 |
Antonio Gramsci นักหนังสือพิมพ์ นักปฏิวัติสังคมนิยม ชาวอิตาลี |
คนมักสัมพันธ์กันในระบบการซื้อขาย แลกเปลี่ยนในตลาด สนใจแต่เรื่องมูลค่าแลกเปลี่ยนหรือราคาตลาด แต่ไม่สนใจว่าสินค้าหรือบริการนั้นถูกสร้างให้มีมูลค่า(ใช้สอยได้) ในระบบการผลิตอย่างไร ด้วยเหตุนี้การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในตลาดจึงคอยบดบังลักษณะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ที่เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ในระบบการผลิต
โดย พจนา วลัย
สิ่งที่น่าสังเกตในสังคมอุตสาหกรรม คือ ทำไมคนงานทำงานนานหลายชั่วโมงแต่ความเป็นอยู่ยังไม่ดีเทียบเท่ากับคนรวยชั้นสูง คนชั้นกลาง ทำไมงานที่ทำให้พวกเขาเมื่อยล้า แต่ตัวเองกลับไม่มีความสุข ความพึงพอใจในชีวิตเท่าที่ควร ต้องเรียกร้องอยู่เสมอ ทำไมยิ่งทำงาน ยิ่งทำให้แรงงานไร้อำนาจที่จะเข้าถึงปัจจัยการผลิตและสินค้าที่ตัวเองผลิต ในขณะที่มีคนเพียงจำนวนน้อยไม่ได้ผลิตแต่ได้เป็นเจ้าของมัน หรือเมื่อแรงงานลุกขึ้นสู้ นัดหยุดงาน เรียกร้องสิทธิกลับถูกนายทุนใช้ความรุนแรงตอบโต้ทุกรูปแบบ (กอปรกับมีศาลช่วยคุ้มครอง) ทั้งๆที่เขาทำงานหนัก เร่งผลิตให้แทบไม่ได้หยุด
บทความชิ้นนี้ต่อเนื่องจากตอนที่ 1 ที่อธิบายถึงการสร้างความแปลกแยกในโครงสร้างทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม และในตอนที่ 2 นี้เชื่อมโยงโครงสร้างทางการเมืองระดับบนหรือระบบรัฐว่าสัมพันธ์กับโครงสร้างระดับฐานอย่างไร รัฐเป็นตัวสร้างสภาวะแปลกแยกเหินห่างจากความเป็นเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร ซึ่งเพียงแค่บทความเดียวไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดได้ แต่นำเสนอเพื่อเป็นกรอบกว้างสำหรับใช้ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่คอยสัญญากับประชาชนว่า ประชาชนจะมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อมองไปรอบๆ ตัว ช่างดูห่างไกลคือ เราเห็นอัตราการหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก การกดขี่ผู้หญิงและเด็ก การค้าหญิงบริการทั่วไป การใช้ความรุนแรง การติดยาเสพติด ปัญหาโรคติดต่อ ความเครียด เสียสุขภาพจิตและความรู้สึกแปลกแยก ความหดหู่ของผู้คนจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งที่มากไปกว่าความสำเร็จในชีวิต คือ คนจำนวนมากกำลังเผชิญกับความแปลกแยก ในขณะที่มีคนหลายคนไม่รู้สึกแปลกแยก แต่อาจมีแนวโน้มที่จะหลอกตัวเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง บางทีมีความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีความหมายเพราะมีมายาคติเกี่ยวกับบริบท/สภาพแวดล้อมและตัวตนของตัวเอง
สภาวะแปลกแยกของมนุษย์ในระบบทุนนิยมที่เกิดกับผู้ใช้แรงงาน (จากตอน 1) ทำให้เขาเหินห่างจากความเป็นมนุษย์ในแง่ที่เป็นคนไร้อำนาจ อันเนื่องจากการมีระบบการผลิตที่ผู้ผลิตไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจที่จะผลิต ทั้งยังถูกทำให้ตกอยู่ในอำนาจของตัวสินค้า ที่แรงงานต่างก็พยายามดิ้นรนไขว่คว้าให้ได้มาเป็นเจ้าของเพื่อสนองความต้องการที่ถูกปลุกปั่นโดยฝ่ายทุนมากกว่า สภาวะไร้อำนาจของคนงานสามารถเอาชนะได้ด้วยการรวมตัวกันต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในชีวิตประจำวันเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจการต่อรองกับนายทุน อย่างไรก็ตาม ระบบทุนยังคงผลิตซ้ำระบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบชนชั้น ทั้งนี้มีรัฐ ชนชั้นผู้ปกครองของประเทศช่วยรักษาสถาบัน ระเบียบ กฎหมายที่ให้อำนาจแก่ชนชั้นนายทุน สร้างความชอบธรรมและส่งเสริมการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพในการผลิต และเพิ่มอัตราการขูดรีดผู้ใช้แรงงานมากขึ้นด้วย เมื่อเป็นดังนี้แล้ว นายทุนจะรู้สึกแปลกแยกจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันหรือไม่
ความแปลกแยกของนายทุน
นายทุนอยู่ในสภาพแปลกแยกจากความเป็นมนุษย์ เนื่องจากดังที่กล่าวมาแล้วว่า แรงงานไม่สามารถจะมีความสัมพันธ์กับเขาเพราะมีความขัดแย้งในตัวเอง ที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจควบคุมสิ่งที่ตัวเองผลิตและปัจจัยการผลิตสำหรับใช้พัฒนาการผลิตอย่างต่อเนื่องได้ นายทุนเป็นเจ้าของผลผลิต ตัดสินใจการผลิต ความสัมพันธ์ของนายทุนกับแรงงานคือการที่เขาเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบนั่นเอง กิจกรรมการผลิตที่เน้นแต่ผลิตเพื่อขาย ทำกำไร เพิกเฉยว่าอะไรที่จำเป็นจริงๆที่ต้องใช้หรือใครจะเป็นผู้ใช้สอย นายทุนถูกกระทำโดยสภาพเงื่อนไขทางสังคมที่กำหนดว่าจะผลิตอะไร แลกเปลี่ยนอะไรเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด การแข่งขันระหว่างนายทุน หรือความพึงพอใจในฐานะผู้บริโภค ก็ต้องหามาด้วยการซื้อขาย ให้รู้สึกว่าแตกต่างจากผู้อื่น การปฏิบัติต่อคนงานในลักษณะกดขี่ข่มเหงคนงาน ก็เป็นความแปลกแยกของนายทุนที่กระทำกับคนเยี่ยงวัตถุปัจจัยในการผลิต ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปอย่างไม่ลงรอยกัน
อีกลักษณะหนึ่งของความแปลกแยกคือ ความโลภ ความโหดร้ายและความเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความโลภดูจะเป็นแรงจูงใจของการกระทำของทุนมากที่สุด ซึ่งมาจากการต้องแข่งขัน บริหารจัดการกับลูกค้าและคนงานด้วย ความโลภอยากได้เงินของนายทุนมีไว้เพื่อซื้อได้ทุกอย่าง และสะสมให้มากขึ้น ความโหดร้าย การคุกคามของทุนเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างแข็งขืน ต่อต้าน ต่อรองขอแบ่งปันผลกำไร (ซึ่งเป็นการลดทอนระบบกรรมสิทธิ์เอกชน) ความเจ้าเล่ห์ ดีแต่ปากเป็นเหมือนหน้ากากที่นายทุนสวมใส่เพื่อเก็บซ่อนแรงจูงใจและชั้นเชิงของตัวเอง
ระบบบทุนนิยมร่วมสมัยยิ่งทำให้เกิดภาวะเข้มข้น ระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ข้างต้นเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลก ความแปลกแยกของมนุษย์ยังคงฝังรากลึกในสังคมชนชั้น (เออร์เนส แมนเดลและจอร์ช โนแว็ค. The Marxist Theory of Alienation. New York: Pathfinder Press. 2nd edition, 1973, น.7) ที่ชนชั้นแรงงานถูกทำให้ไร้อำนาจในการตัดสินใจผลิตและเป็นเจ้าของผลผลิตร่วมกัน ส่วนชนชั้นนายทุนผูกขาดอำนาจการบริหารปกครองในภาคการผลิต และเป็นอภิสิทธิชน
ระบบรัฐทุนนิยมเกี่ยวกับความแปลกแยกอย่างไร
รัฐสมัยใหม่ประกอบด้วยสถาบันทางการเมือง สถาบันที่เกี่ยวข้องกับพลเมือง วัฒนธรรมและความเชื่อ แต่ยังประกอบด้วยระบบความสัมพันธ์ของกลุ่มพลังทางสังคมที่พยายามถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ต่อสู้กันและผลผลิตของการต่อสู้ก็อยู่ในระบบรัฐสมัยใหม่ ซึ่งรัฐสมัยใหม่เป็นรัฐทุนนิยม เพราะมีกลไกอุดมการณ์ ความคิดความเชื่อที่ครอบงำแรงงานให้มีรูปการจิตสำนึกผลิตซ้ำระบบทุนนิยม แม้จะมีการต่อสู้กันระหว่างชนชั้น แต่ก็มีการประนีประนอมกันได้เป็นช่วงๆ
จากรูปธรรม รัฐต้องการเงินภาษีจากนายทุน และมีผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะรัฐก็ผลิต หาเงิน สะสมทุนด้วย จึงมีกฎหมาย สถาบันค้ำจุนระบบทุนนิยม และไปเสริมสร้างสภาวะแปลกแยกให้แก่พลเมืองมากขึ้น เนื่องจากรัฐใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตของพลเมืองมากเกินไป เสริมสร้างระบบการแบ่งงานกันทำ ใช้ระบบการจ้างงานยืดหยุ่น คนทำงานขาดความมั่นคง สังคมขาดการคุ้มครอง คนตกงาน ได้รับผลกระทบเมื่อเกิดวิกฤตมากกว่าพวกนายทุน
นอกจากนี้รัฐทุนนิยมยังส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่สร้างความคลั่งสินค้า (Commodity fetishism) และความเชื่อบางอย่าง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์แปลกแยกเหินห่างซึ่งกันและกัน ทั้งนี้อยู่ภายใต้ฐานเศรษฐกิจแบบแบ่งงานกันทำ แบ่งเป็นสาขาวิชา ข้อมูลถูกแยกส่วน ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ แรงงานสมอง แรงงานไร้ฝีมือ ที่ทำให้สังคมมองแรงงานเป็นแค่เครื่องมือการผลิต แต่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัดสินใจในระบบการผลิต จากนั้นความเป็นอยู่ของทุนกับแรงงานก็แตกต่างเหลื่อมล้ำกันจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันนั่นเอง
ลัทธิคลั่งสินค้า คือ การแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ที่มีรากมาจากการค้าขายสินค้าในระบบตลาด ด้วยวิธีที่ความสัมพันธ์ทางสังคมของคนถูกแสดงออกมาในลักษณะเป็นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ/วัตถุบริโภค เป็นความสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยนระหว่างเงินและสินค้า ผู้ซื้อกับผู้ขาย นั่นคือ การแปลงลักษณะอัตวิสัย นามธรรมของมูลค่าทางเศรษฐกิจไปเป็นตัววัตถุ สิ่งของที่คนเชื่อว่ามีค่าอยู่ในตัวอยู่แล้ว (โดยไม่ต้องไปสืบค้นหาที่มาของการสร้างมูลค่าสินค้า ซึ่งจริงๆ มาจากการทำงานของแรงงาน)
พูดง่ายๆ คือ คนมักสัมพันธ์กันในระบบการซื้อขาย แลกเปลี่ยนในตลาด สนใจแต่เรื่องมูลค่าแลกเปลี่ยนหรือราคาตลาด แต่ไม่สนใจว่าสินค้าหรือบริการนั้นถูกสร้างให้มีมูลค่า(ใช้สอยได้) ในระบบการผลิตอย่างไร ด้วยเหตุนี้การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในตลาดจึงคอยบดบังลักษณะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ที่เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ในระบบการผลิต ความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงานคือแก่นสารของระบบทุนนิยมนั่นเอง
แก่นของความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงานได้อธิบายในตอนที่ 1 ว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์ 4 ด้านกว้างๆ ที่ครอบคลุมความมีอยู่ของมนุษย์แทบทั้งหมด ระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ 4 ด้าน คือความสัมพันธ์ของมนุษย์กับกิจกรรมการผลิต กับสินค้า กับมนุษย์คนอื่นๆและกับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ได้สร้างสภาะแปลกแยก ที่ทำให้ชนชั้นแรงงานทนทุกข์ทรมาน เพราะถูกทำให้ไร้อำนาจในการตัดสินใจในระบบการผลิตและสิ่งที่ตัวเองผลิต มูลค่าที่ตัวเองสร้างถูกนายทุนขโมยไปเกือบทั้งหมด
การที่รัฐเข้าไปค้ำจุนระบบทุนนิยม และตอกย้ำสภาวะแปลกแยกให้แก่ชนชั้นแรงงานมากขึ้น คือ การกีดกันประชาชนออกไปจากการมีส่วนร่วมในการเมือง การบริหาร การปกครอง การทำให้เป็นพลเมืองชั้นสอง การทำให้เป็นชายขอบ เพื่อไม่ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ ทรัพยากร ปัจจัยการผลิตในการดำรงชีพและพัฒนาระบบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย และรัฐยังมีบทบาทในการประนีประนอมการต่อสู้ระหว่างทุนกับแรงงาน อีกทั้งจัดตั้งและใช้กลไกปราบปราม (คุก ศาล ทหาร ตำรวจ) ในการจัดการ ทำลายขบวนการประชาธิปไตย
งานของอันโตนิโอ กรัมชี่ ได้อธิบายรัฐว่าเป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มพลังทางสังคมหรือชนชั้น ที่ประกอบด้วย 2 ชนชั้นคือ ชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้ถูกปกครอง (ชนชั้นปกครองหรือผู้มีปัจจัยการผลิต ประกอบด้วยนายทุนใหญ่ เจ้าที่ดินและนายทุนน้อยหรือนายทุนในชนบท ซึ่งครอบครองปัจจัยการผลิต และชนชั้นผู้ถูกปกครองคือ ชาวนาและกรรมาชีพในความหมายที่กว้างคือทั้งคนงานในโรงงาน ช่างฝีมือ นักบวชและกลุ่มปัญญาชนด้วย)
แต่ชนชั้นปกครองเข้าถึงการใช้อำนาจบังคับ สร้างความยินยอมพร้อมใจเหนือผู้ถูกปกครอง และครอบงำด้วยอุดมการณ์ และไม่ต้องการที่จะถูกท้าทายจากกลุ่มพลังอื่นๆ นั่นหมายความว่า ในระบบรัฐเต็มไปด้วยนายทุน (ผู้บังคับบัญชา) มากกว่าแรงงาน (ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา) นายทุนในคราบนักการเมืองรวยๆ ในพรรคการเมืองที่ใช้นโยบายเอื้อให้เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ผลิต และสะสมทุนต่อไปได้ รวมทั้งองค์กร หน่วยงานรัฐที่ประกอบการ ข้าราชการถือหุ้นรัฐวิสาหกิจ บรรษัท ไต่เต้าและสะสมความมั่งคั่งเช่นกัน แต่สิ่งนี้ถูกทำให้ชอบธรรม บดบัง บิดเบือนได้ด้วยกระบวนการกล่อมเกลา อบรมทางสังคม ด้วยความคิดความเชื่อทางอุดมการณ์อยู่เบื้องหลัง
กลไกทางอุดมการณ์ของรัฐทุนนิยม
“อุดมการณ์” (Ideology) หรือ ทัศนคติ/มุมมอง/กรอบในการมองโลก ซึ่งความคิดและสัญลักษณ์ต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นอุดมการณ์โดยทั่วไปจะถูกกำหนดขึ้นมาจากชนชั้นปกครอง สิ่งที่ถูกสั่งสอนกันมาในระบบทุนนิยม คือ การยอมรับระบบกรรมสิทธิ์เอกชน ความยากจนและการกดขี่เป็นเรื่องธรรมดา รัฐและพรมแดนเป็นเรื่องธรรมชาติ สถาบันกษัตริย์ ศาสนาเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผลประโยชน์ที่คนบางกลุ่มได้รับเป็นผลประโยชน์ของทุกคน หรือผลประโยชน์ของชาติคือผลประโยชน์ของทุกคน ที่เข้ากันได้กับแนวคิดลัทธิชาตินิยม กษัตริย์นิยม ที่วางกรอบคิดระบบรัฐรวมศูนย์การปกครองไว้ที่ส่วนกลาง
ในขณะเดียวกัน รัฐก็จะขจัดมุมมองที่ว่า เรามีความแตกต่างทางชนชั้น บดบังร่องรอยการแบ่งแยก ความขัดแย้ง การลุกขึ้นสู้ของชนชั้นผู้ถูกปกครอง เช่น ข่าวสารในสื่อของรัฐมักจะถูกขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากอุดมการณ์ของชนชั้นปกครอง กล่าวคือ มีการนำเสนอข่าวสารแต่เฉพาะนักการเมืองระดับสูง ภาพความร่วมมือระหว่างผู้นำภาคธุรกิจ และความสามัคคีปรองดองกันระหว่างกลุ่มทางสังคมและชนชั้นต่างๆ ส่วนภาคการเมืองการต่อสู้ของประชาชนถูกทำให้เลือนลาง ทว่า รัฐกลับก่อให้เกิดรอยร้าวระหว่างสองชนชั้นมากกว่าความปรองดอง
รอยร้าว ความแตกแยกระหว่างความสัมพันธ์ของกลุ่มพลังทางสังคม/ชนชั้น 2 ชนชั้นนี้ แสดงออกมาในรูปแบบการทำสงครามกัน 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ สงครามแย่งชิงพื้นที่ทางความคิด ที่ชนชั้นที่ถูกกดขี่ท้าทายการครองอำนาจของชนชั้นปกครอง และสงครามปะทะกัน ที่มักเกิดขึ้นในสังคมที่เปราะบาง ทว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยั่งยืนเพราะไม่สามารถครองใจคนได้นาน เนื่องจากเน้นการใช้กำลังบังคับฝ่ายตรงข้าม
กรัมชี่เสนอให้ชนชั้นกรรมาชีพใช้รูปแบบทำสงครามยึดพื้นที่ทางความคิดในประชาสังคม การบ่อนเซาะวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองในสถาบันต่างๆ ซึ่งเป็นกลไกทางอุดมการณ์ของชนชั้นนำ เช่น โรงเรียน สถาบันศาสนา สื่อมวลชน แม้แต่ในสหภาพแรงงาน และสร้างความรับรู้ใหม่ โลกใบใหม่ที่คนเท่าเทียมกันและเอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่เพื่อสร้างดุลยภาพทางอำนาจให้เหนือกว่ากับชนชั้นปกครอง
ในขณะที่ชนชั้นปกครองก็มีวิธีการสร้างดุลยภาพของอำนาจให้เหนือกว่า คือ การปฏิวัติเงียบเพื่อให้เกิดการปฏิรูปจากบนลงล่างโดยกีดกันคนส่วนใหญ่ออกไปจากอำนาจในระบบการเมืองเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะถูกท้าทายจากสังคม หรืออยู่ในภาวะวิกฤตศรษฐกิจ จึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากการถูกต่อต้าน ด้วยการประนีประนอม แต่ก็พยายามรักษาและสืบทอดอำนาจทางการเมืองของตัวเอง ด้วยการลดทอน ขัดขวาง ทำลายความเป็นเอกภาพของชนชั้นที่ถูกปกครองด้วย (วัชรพล พุทธรักษา. กลุ่มพลังทางสังคม: อันโตนิโอ กรัมชี่กับตัวแสดงทางการเมือง. ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ไม่ระบุปีที่พิมพ์) แต่ กรัมชี่ก็เสนอว่า หากชนชั้นผู้ถูกปกครองต้องการเอาชนะ มีอำนาจเหนือกว่า ต้องต่อต้านการปฏิวัติเงียบหรือแนวคิดปฏิรูปของชนชั้นปกครองนี้ ด้วยการทำงานแนวร่วม ทำงานทางความคิดกับประชาชนกลุ่มต่างๆ ให้มากที่สุด
สรุปตรงนี้คือ เมื่อรัฐทุนนิยมถูกชนชั้นนายทุนเข้ามาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง รักษาผลประโยชน์ในระยะยาว และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเองก็แสวงหาความมั่งคั่ง รัฐจึงทำหน้าที่สลายความขัดแย้งทางชนชั้น บิดเบือน ป้องกันการเกิดการรวมตัวเคลื่อนไหวของชนชั้นกรรมาชีพที่จะเป็นอันตรายต่อระบบทุนนิยม และเมื่ออยู่ในสภาวะความขัดแย้ง ผู้มีอำนาจรัฐมักจะทำตัวเป็นกลางคอยไกล่เกลี่ย และบิดเบือนการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพ อย่างไรก็ตาม รัฐไม่สามารถครอบครองจิตใจของคนได้อย่างเบ็ดเสร็จ เป็นเวลานานๆ เพราะในความเป็นจริงมีการต่อสู้ต่อต้านของประชาชนทั้งในระดับชีวิตประจำวันและระดับการเมือง
การครองใจผ่านสภาวะแปลกแยก
เมื่อมีการต่อสู้ทางชนชั้น แต่ทำไมกรรมาชีพยังไม่สามารถเอาชนะได้ เหตุหนึ่งคือ การถูกทำลายเอกภาพด้วยความคิด ความเชื่อ ความคลั่งที่ปลูกฝังกล่อมเกลามาอย่างยาวนานและเป็นประจำ แล้วทำไมประชาชนจำนวนมากถึงเชื่อนิยายของชนชั้นปกครอง ทำไมเขาครองใจคนจำนวนมากได้ ทำไมคนเชื่อว่า “ตลาด” มีพลังหรือชีวิตของมันเองที่เราต้องจำนนต่อ ทั้งๆ ที่ตลาดเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำไมคนลืมว่ามนุษย์สร้างพระพุทธรูปด้วยมือของตนเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา แต่หันมาเชื่อว่าพระพุทธรูปมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์วิเศษหลังจากที่ถูกสร้างขึ้นมา (ลั่นทมขาว. รากฐานและรูปแบบของ“อำนาจ”. เว็บไซด์องค์กรเลี้ยวซ้าย. 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555. http://turnleftthai.blogspot.com/2012/07/blog-post_18.html )
แล้วทำไมคนจำนวนมากในไทยเชื่อเรื่องความดีสูงสุดของกษัตริย์และราชวงศ์ ซึ่งการครองใจชนชั้นผู้ถูกปกครองดำรงอยู่ได้ เพราะด้วยสภาวะแปลกแยกที่ชนชั้นกรรมาชีพกำลังทุกข์ทรมานกับการถูกลดทอนศักดิ์ศรี อำนาจในระบบเศรษฐกิจการเมืองของลัทธิทุนนิยม/เสรีนิยม ให้เสรีภาพ สิทธิพิเศษ อำนาจการต่อรองแก่นายทุนมากกว่า
งานของจอร์ช ลูคักส์ ว่าด้วยปรากฏการณ์ของการสร้างรูปธรรมจอมปลอม (Reification) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างสภาวะแปลกแยก สภาวะแปลกแยกดังเช่นกรณีการแบ่งแรงงานสมองออกจากแรงงานมือเพื่อแบ่งแยกและปกครองเพื่อง่ายต่อการคิดคำนวณมูลค่าและค่าจ้างจากการผลิต แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถแบ่งได้เพราะสมองกับสองมือเมื่อถูกแยกจะไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ หรือการมุ่งสู่เป้าหมายแสวงหากำไรสูงสุดของนายทุนมากเกินไป แต่ไม่ใส่ใจวิธีการ กระบวนการที่นำไปสู่เป้าหมายว่าได้ไปกดขี่ขูดรีดผู้ผลิตหรือไม่ และมองมนุษย์ลูกจ้างเป็นเพียงแค่ปัจจัย/เครื่องมือการผลิตที่ถูกใช้เพื่อเป้าหมายของตัวเองหรือไม่ การที่ลูกค้ามุ่งสนใจแต่สินค้า โดยละเลยที่จะเข้าไปดูกระบวนทำงานและสภาพการจ้างงานของแรงงานว่าเป็นอยู่อย่างไร
การสร้างรูปธรรมจอมปลอมใส่ไปในหัวสมองของชนชั้นแรงงาน คือการที่ทุนทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นความสัมพันธ์กันในเรื่องของการค้า การตลาด หรือทำให้ความสัมพันธ์ของคนอยู่บนฐานของเรื่องเกี่ยวกับวัตถุที่ค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เป็นกระบวนการแยกต้นกำเนิดออกไป แล้วแทนที่ด้วยปรากฏการณ์ภายนอก แยกเปลือกออกจากแก่นแท้ ซึ่งเป็นการบิดเบือนจิตสำนึกของคนจากความเดียงสาไปสู่ความเพี้ยนสุดๆ
รูปธรรมจอมปลอมเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รับรู้ไปในทางที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับ “ข้อเท็จจริงของธรรมชาติ, ผลลัพธ์ของกฎจักรวาล หรือการแสดงเจตจำนงของเทพ รวมถึงการสร้างความต้องการที่จอมปลอม สร้างภาพว่าสินค้านั้นเป็นที่ต้องการที่มาจากภายในตัวมนุษย์ ที่ระบบกฎหมายของรัฐทุนนิยมสันนิษฐาน ทึกทักเอาเองว่าคนต้องการสินค้าจริงๆ และการร่างกฎหมายอนุญาตให้ผู้ประกอบการสร้างสินค้าเช่นนั้น และดังที่คาร์ล มาร์คซ์อธิบายศักยภาพของการสร้างรูปธรรมจอมปลอมว่า
ดอกเบี้ยที่เกิดจากทุน การคลั่งสินค้าอย่างอัตโนมัติ การสร้างมูลค่าด้วยตัวมันเอง เงินสร้างเงิน เหล่านี้ถูกดึงออกมาให้อยู่ในสภาวะบริสุทธิ์ และตัดขาดออกจากผู้สร้างมัน ราวกับว่ามันสร้างตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนจึงถูกกลืนไปในความสัมพันธ์ของสิ่ง วัตถุ เงิน แทนที่ของการผันเงินไปเป็นทุน เรามองเห็นแต่รูปแบบที่ไม่มีเนื้อหา มีแต่เปลือกหุ้ม เพราะการผันเงินเป็นทุนเป็นคุณลักษณะของเงินที่ก่อให้เกิดมูลค่าและดอกเบี้ย ราวกับว่ามันเป็นลักษณะของต้นลูกแพร์ที่ออกเป็นลูกแพร์ และผู้ที่ให้ยืมเงินขายเงินของเขา พอๆกับที่ดอกเบี้ยสร้างสิ่งต่างๆ แต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด
การทำงานของทุนอย่างที่เราเห็นมาตลอด นำเสนอตัวเองว่าเป็นแสงสว่างที่สร้างดอกเบี้ย แต่จริงๆ แล้วทุนในตัวมันเองคือ ทำให้เงินกลายเป็นทุนเพื่อใช้ประกอบการต่อๆไป เมื่อดอกเบี้ยเป็นแค่ส่วนหนึ่งของผลกำไร ของมูลค่าส่วนเกิน ที่นายทุนดูดออกมาจากแรงงาน ณ ตรงนี้ในทางตรงข้าม ดอกเบี้ยเป็นผลผลิตจำเพาะของทุน เป็นสิ่งพื้นฐานแรกเริ่ม และสำหรับกำไรของผู้ประกอบการเป็นผลผลิตของกระบวนการผลิตซ้ำ
ดังนั้น เมื่อเราเสพติดรูปแบบของเงินต่อเงิน เราจะไร้ความหมายไปเลย ดังนั้น ความวิปริตผิดเพี้ยนและการทำให้ความสัมพันธ์ทางการผลิต (ที่เต็มไปด้วยผู้ผลิต) เป็นเรื่องวัตถุ เป็นรูปแบบการทำงานของทุน ศักยภาพของเงิน ของสินค้า ในการขยายมูลค่าให้อิสระลอยตัวจากการผลิตซ้ำ เป็นการสร้างมายาภาพของนายทุน และทุนก็จะถูกสะสมและผลิตซ้ำ สร้างให้ตัวเองมีอยู่อย่างอิสระ ตัดขาดจากกระบวนการผลิต/การทำงานของแรงงาน ทั้งๆที่เงิน กำไร ไม่ได้อยู่อย่างลอยตัว ผลลัพธ์ของกระบวนการผลิตแบบทุน คือ การแยกออกจากกระบวนการ และสร้างตัวตนที่อิสระ (Georg Lukacs. History & Class Consciousness : Reification and the Consciousness of the Proletariat ที่มา : http://www.marxists.org/archive/lukacs/works/history/hcc05.htm )
ลองนึกถึงภาพของธุรการเงิน การเก็งกำไร ที่หลุดออกไปจากฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงระดับราก เงินต่อเงินกลายเป็นทุน เป็นรูปแบบที่ผลิตซ้ำเพื่อนำไปสู่การขยายกิจการ รีดมูลค่า กำไรไปจากการทำงานของแรงงาน ทำให้คนคลั่งสินค้า สัมพันธ์กันในตลาดมากกว่าการเข้าถึงจิตใจของกันและกัน วนเวียนเช่นนี้โดยอัตโนมัติ
จากความสามารถในการสร้างรูปธรรมจอมปลอมของทุนคือ การทำให้ตัวเองแลดูมีบทบาทสำคัญกว่าใครในการสร้างมูลค่า ความร่ำรวย ความเจริญ ความรู้สมัยใหม่ให้แก่ประชาชน ประเทศชาติ จึงเป็นฐานคิดของทุนในการสร้างอำนาจเหนือกว่าแรงงาน ชนชั้นทุนจึงสร้างระบบรัฐ กฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการและเป็นหนึ่งเดียวกับโครงสร้างของทุน
ดังที่แม็กซ์ เวเบอร์ นักสังคมวิทยา สังเกตพัฒนาการโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันนี้ว่า “ทั้งโครงสร้างรัฐและทุนค่อนข้างคล้ายคลึงกันโดยพื้นฐานคือ มีรูปแบบความสัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นรากฐานของรัฐสมัยใหม่ เพื่อให้เหมาะกับโรงงาน ในทำนองเดียวกัน ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวงธุรกิจก็เป็นแบบเดียวกันในรัฐสมัยใหม่ ความเป็นอิสระสัมพัทธ์ (แล้วแต่บริบทแวดล้อม) ของช่างฝีมือครัวเรือน ของชาวนาเจ้าของที่ดิน เจ้าของของบริจาค (พระ) อัศวินและศักดินาอยู่บนฐานความจริงที่ว่าเขาเองเป็นเจ้าของเครื่องมือ สินค้า แหล่งทุน เงิน หรืออาวุธด้วยการสนับสนุนจากสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จในการทำงานในกองทัพ สถาบันการเมืองและในระบบเศรษฐกิจ หรือได้จากการทำงานในหน้าที่
ส่วนการพึ่งพาระดับบนของแรงงาน เสมียน ผู้ช่วยด้านเทคนิค ผู้ช่วยในสถาบันวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐ ทหารระดับล่าง ก็เทียบเคียงกันได้ คือ เครื่องมือ สินค้า แหล่งการเงินที่จำเป็นของทั้งสองฝ่ายเป็นไปเพื่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เพราะความอยู่รอดทางเศรษฐกิจอยู่ในมือของผู้ประกอบการและผู้มีอำนาจทางการเมือง” ดังนั้น รัฐทุนนิยมจึงมีบทบาทแบ่งแยกชนชั้นระหว่างทุนกับแรงงานให้แหลมคมขึ้น วิกฤตความเหลื่อมล้ำจึงเกิดในรัฐแบบนี้
การสร้างรูปธรรมจอมปลอมทำให้คนมีจิตสำนึกจอมปลอมอยู่ในหัวของชนชั้นกรรมาชีพผู้ถูกปกครอง ทำให้ขาดความมั่นใจที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมชนชั้น ลูคักส์จึงเสนอให้รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน สูงสุดคือการสร้างพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้กับอุดมการณ์ของชนชั้นปกครอง กรัมชี่เสนอให้ต่อสู้ในชีวิตประจำวันเพื่อบั่นทอนรูปธรรมจอมปลอมและเอาจิตสำนึกจอมปลอมออกไปจากหัว เพราะวัตถุ สินค้าไม่ใช่ตัวแทนของการดำรงอยู่ของสังคมแต่อย่างใด การดำรงอยู่ของสังคมแท้จริงคือ การเคารพศักดิ์ศรีของคนทำงานเพื่อให้เขามีอำนาจในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและการเมือง และคือการคำนึงถึงสิทธิแห่งความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน ซึ่งจะเป็นฐานคิดสำหรับพัฒนาปรับปรุงรูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง (สังคมนิยม) ต่อไป.