![]() |
สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักโทษการเมือง นักสู้เพื่อประชาธิปไตย |
ระบบศาลและคุกในประเทศไทยเป็นระบบป่าเถื่อนที่ล้าหลังกว่ามาตรฐานสากลหลายร้อยปี และเป็นที่น่าอับอายขายหน้า แต่การที่ชนชั้นปกครองไทยไม่เคยสนใจที่จะสร้างวัฒนธรรมพลเมืองเสรี และไม่เคยเคารพความเป็นมนุษย์ของประชาชน เพราะมัวแต่มองว่าประชาชนเป็นเพียง “ราษฎร์”
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
อ.สุรชัยรายงานเกี่ยวกับ “คุกนรก” ที่พัทยาว่า ปัญหาที่หนักที่สุดก็คือปัญหา 2 น. คือ “น้ำ” กับ “แน่น” เรือนจำพิเศษพัทยาเปิดทำการเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เพื่อรองรับผู้ต้องขับประมาณ 600 คน แต่ปัจจุบันคุมขังอยู่ 3,600 คน เกินความจุไปถึง 3,000 คน ผลคือที่นอนไม่พอ จึงต้องมีคนไปนอนบนโถส้วม ใช้กล่องกระดาษรองนอน เวลามีคนจะไปถ่ายก็ต้องปลุกให้ลุกขึ้น แต่ก็ยังไม่พอ ต้องจัดเวรยามห้องละ 5-10 คน ยืนและนั่งเพื่อให้มีที่ว่างให้คนอื่นๆ นอนสภาพห้องขังที่ อ.สุรชัยต้องทนคือมีขนาด 5×10 เมตร เท่ากับ 50 ตารางเมตร ต้องนอนรวมกัน 60 กว่าคน ต้องทำยกพื้นขึ้นไปอีก 1 ชั้นจึงจุได้ 60 กว่าคน ส่วนปัญหาเรื่องน้ำจะปล่อยให้ไหลวันละ 2-3 ชั่วโมง 10 โมงเช้าถึงเที่ยงหรือบ่ายโมง ช่วงเช้า ช่วงเย็นและตลอดทั้งคืนไม่มีน้ำ ผู้ต้องขังจึงเป็นหิดและโรคผิวหนังกันมาก
ชนชั้นปกครองไทยทุกคนอำมาตย์และเพื่อไทยต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้มันบ่งบอกถึงความล้าหลังของผู้มีอำนาจในสังคมไทย คนที่เข่นฆ่าประชาชนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพมาหลายครั้ง คนที่ใช้กฏหมายป่าเถื่อน 112 เพื่อปิดปากประชาชน คนที่ขังคนจนและผู้ที่คิดต่างในขณะที่ตนเองฆ่าคนปล้นประชาชนทำนาบนหลังพลเมือง แต่ไม่เคยเข้าคุกหรือถูกลงโทษ
ระบบศาลและคุกในประเทศไทยเป็นระบบป่าเถื่อนที่ล้าหลังกว่ามาตรฐานสากลหลายร้อยปี และเป็นที่น่าอับอายขายหน้า แต่การที่ชนชั้นปกครองไทยไม่เคยสนใจที่จะสร้างวัฒนธรรมพลเมืองเสรี และไม่เคยเคารพความเป็นมนุษย์ของประชาชน เพราะมัวแต่มองว่าประชาชนเป็นเพียง “ราษฎร์” ที่ควรจะเจียมตัวยอมรับการปกครองจากเบื้องบน ทำให้ชนชั้นปกครองไทยไร้จิตสำนึกโดยสิ้นเชิงในการพัฒนาระบบศาลและคุก
ถ้าเป็นประเทศประชาธิปไตยทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการและสหภาพแรงงานเสรีในตะวันตก เมื่อมีข่าวเรื่องสภาพคุก อย่างที่ อ.สุรชัยรายงานมา หนังสือพิมพ์ องค์กรสิทธิมนุษยชน พรรคฝ่ายซ้ายในสภา และสหภาพแรงงานจะลุกขึ้นประณาม และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบคุกจะต้องลาออกหรืออย่างน้อยต้องออกมารายงานว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรอย่างเร่งด่วน แต่ในไทยเงียบไปหมดนอกจากกลุ่มคนก้าวหน้ากลุ่มเล็กๆ มันแสดงว่าอะไร? มันแสดงว่าพลเมืองส่วนใหญ่ชินกับความเป็นสัตว์ที่ชนชั้นปกครองทำให้ตนเองเป็น แต่ยิ่งกว่านั้นมันแสดงว่าพวกเอ็นจีโอที่อ้างว่าเป็น “ภาคประชาชน” หรือพวกสำนักงานสิทธิมนุษยชน หรือพวกนักวิชาการที่ชอบพูดถึงประชาธิปไตย เป็นพวกชนชั้นกลางตอแหล น่าสมเพชเพราะเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนจอมปลอม อย่าลืมว่าสภาพคุกในไทยเป็นเรื่องเก่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เนื่องจากมีนักสิทธิมนุษยชนตัวจริง อย่าง อ.สุรชัยหรือ คุณสมยศออกมาเปิดโปง มันกลายเป็นข่าวเล็กๆ ได้ในยุคปัจจุบัน แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และแม้แต่แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ และในกรณีพรรคเพื่อไทยมีการจงใจแช่แข็งความป่าเถื่อนผ่านการจับมือกับทหารอีกด้วย แถมรัฐมนตรีบางคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องคุกและระบบยุติธรรมก็เป็นโจรเสียเอง
สภาพเช่นนี้แปลว่าการตื่นตัวของพลเมือง ทั้งเสื้อแดงบางส่วน และคนที่ไม่สังกัดสีอีกส่วน ภายใต้กระแสนิติราษฎร์ และกระแสยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย 112 สำคัญ และยังแสดงอยู่บ้างว่าพลเมืองไทยไม่น้อยพร้อมที่จะเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสังคมอย่างจริงจัง ดังนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมาร่วมกันพิจารณาปัญหา ความป่าเถื่อนของระบบศาลและคุกในประเทศไทย เราต้องกัดไม่ปล่อย และไม่ทอดทิ้งเพื่อน
บางคนชอบพูดว่า “เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ” แต่ถ้าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธก็แปลว่าศาสนาพุทธมีส่วนในการสร้างความป่าเถื่อนในระบบคุกและศาล และศาสนาพุทธดูเหมือนสอนให้ประชาชนหันหลังให้กับความปวดร้าวของนักโทษ ซึ่งนักโทษส่วนใหญ่ในไทยและที่อื่นเป็นคนจน พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่ที่ติดคุกติดคุกเพราะยากจน และเขายากจนเพราะนายทุนและชนชั้นปกครองไทยที่ปัจจุบันร่ำรวยเป็นเศรษฐีระดับโลก ทำนาบนหลังคนมาตลอดอย่างที่ อ.ปรีดี เคยวิจารณ์ในอดีต
และเมื่อคนจำนวนมากยากจน มันก็นำไปสู่การลักขโมย การซื้อขายและใช้ยาเสพติด และความรุนแรงที่มาจากความเครียด แต่ไม่ว่าคนจนไทยจะจนแค่ไหน เขาไม่เคยเข่นฆ่าประชาชนแบบที่ทหารไทย “ฆ่าหมู่” ในกรณีคนเสื้อแดง นักศึกษา หรือคนมาเลย์มุสลิมเลย ดังนั้นอาชญากรตัวจริงคือชนชั้นปกครองไทย ศาสนาพุทธรูปแบบที่ถูกใช้ในสังคมไทย สอนให้คนโทษผู้ที่ขาดโอกาสยากจนและติดคุก โดยแก้ตัวให้ชนชั้นปกครองว่าคนจนคงจะสร้างกรรมไว้ เขาเลยมีทุกข์ ซึ่งแปลว่าผู้มีอำนาจเป็น “ผู้มีบุญ” และพวกมีอำนาจเหล่านี้ก็หน้าด้านพูดถึง “คนดี” เป็นประจำอีกด้วย ตกลงแล้วคนที่ทำนาบนหลังคนและเข่นฆ่าประชาชนกลายเป็น “ผู้มีบุญ” และคนที่ถูกกดขี่ขูดรีดเข่นฆ่าและถูกจับเข้าคุกเป็นคนที่มี “กรรมเก่า” ตามแนวคิดแบบนี้ และพระสงฆ์ที่คิดว่าตนเองมีสิทธิ์สั่งสอนคนอื่นในเรื่องความดี ก็เงียบเฉยเรื่องความอยุติธรรมของสังคม
แน่นอนศาสนาพุทธไม่ได้มีสำนักเดียว คาร์ล มาร์คซ์ เคยเขียนไว้นานแล้วว่าถ้าเราจะเข้าใจศาสนาเราต้องดูที่การปฏิบัติโดยมนุษย์ ไม่ใช่แค่คำสอน ซึ่งการปฏิบัติพุทธมีความหลากหลาย และผมเชื่อว่าในไทยมีชาวพุทธจำนวนหนึ่งที่ทนสภาพความอยุติธรรมไม่ได้เหมือนกัน แต่เขาเป็นคนส่วนน้อย
ปัญหาความล้าหลังของสภาพสังคมไทยไม่ได้มาจากการที่ชนชั้นปกครองมันป่าเถื่อนเท่านั้น เพราะชนชั้นปกครองทั่วโลกก็ป่าเถื่อนเช่นกัน ไม่ว่าจะยุโรป อเมริกา หรือญี่ปุ่น แต่ปัญหามาจากอีกสองสาเหตุคือ พวกชนชั้นกลางที่ตั้งตัวขึ้นมาเป็น “ผู้ก้าวหน้าที่มีการศึกษา” และชอบเอะอะเรื่องการคอร์รับชั่นหรือการใช้อำนาจเกินเหตุ เช่นนักวิชาการ หรือผู้นำเอ็นจีโอ ล้วนแต่เป็นพวกที่ขี้คลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมแท้ เพราะก้มหัวให้อำนาจเผด็จการตัวจริงในสังคม เขาเลยทำงานแยกส่วน และเลือกประเด็นเดียวเล็กๆ มาจับ โดยมีข้ออ้างเหลวไหลว่าเราเปลี่ยนรัฐหรือล้มรัฐไม่ได้ และพวกนี้ก็อ้างต่อว่าชนชั้นเป็นเรื่อง “ล้าสมัย” …. ไปๆ มาๆ พวกนี้ก็เคยชินกับการปิดหูปิดตาถึงภาพรวมของสังคมป่าเถื่อน และแถมมีชีวิตสะดวกสบายตามแนวชนชั้นกลางมากขึ้น จากการเป็นแกนนำเอ็นจีโอหรือการเป็นนักวิชาการ ในที่สุดก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการหลายๆ ชุด อาจเข้าวุฒิสภาด้วย
และปรากฏว่าการใช้เวลาร่วมกับคนอื่นในสภาหรือกรรมการต่างๆ แบบนี้ ทำให้เขาใกล้ชิดกับสมาชิกของชนชั้นปกครอง และห่างเหินจากประชาชนจริงตามลำดับ ที่อธิบายแบบนี้ก็เพื่อให้เห็นว่ามันไม่ใช่นิสัยใจคอส่วนตัวของเขาที่มีข้อบกพร่อง ใครๆ ก็บกพร่องได้ ผมเองก็บกพร่องในหลายเรื่อง ไม่ใช่ มันเป็นสภาพแวดล้อมตัวเขา อันมาจากทางเลือกทางการเมืองที่เขาเลือกเดินแต่แรกต่างหาก
อีกสาเหตุสำคัญที่สังคมไทยล้าหลังก็เพราะชนชั้นกรรมาชีพไทยและประชาชนตัวเล็กๆ อย่างเรา ยังไม่สามารถรวมตัวกันในองค์กรทางการเมือง เช่นพรรคและสหภาพแรงงาน ในลักษณะที่อิสระโดยสิ้นเชิงกับชนชั้นปกครอง และมีมวลชนเพียงพอที่จะมีอำนาจต่อรองกับฝ่ายศัตรู ผมใช้คำว่า “ฝ่ายศัตรู” เพราะอย่าลืมว่าชนชั้นปกครองไทย ทั้งอำมาตย์ ทหาร และนักการเมือง เข่นฆ่าประชาชนและทำนาบนหลังคนอย่างต่อเนื่อง ถ้านั่นไม่ใช่ศัตรูแล้ว “เพื่อน” จะมีหน้าตาอย่างไร? แบบรัฐบาลเพื่อไทยหรือ? ไม่น่าจะใช่ พรรคเพื่อไทย ทั้งยิ่งลักษณ์และทักษิณ เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนายทุน ทักษิณเองก็มือเปื้อนเลือดจากการฆ่าเพื่อนชาวมุสลิมของเราในภาคใต้ และยิ่งลักษณ์ก็ถ่มน้ำลายใส่วีรชนเสื้อแดง หันหลังให้นักโทษการเมือง และไม่เคยสนใจคนจนอย่างจริงจัง มัวแต่ไปจับมือกับทหารและไปเที่ยวรอบโลกจับมือกับทรราชในตะวันออกกลางเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนไทย
ผู้พิพากษาและระบบศาลในไทยเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับความยุติธรรมโดยสิ้นเชิง สาเหตุเพราะผู้พิพากษาเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในระบบเผด็จการมาตลอด และไม่สามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกตรวจสอบโดยประชาชนตามกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อความโปร่งใสและความเป็นธรรมมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่การแต่งตั้งผู้พิพากษาและการมองว่าเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่ต้องได้รับการตรวจสอบจากสังคม มีการใช้ “กฎหมายหมิ่นศาล” ในลักษณะเดียวกับกฎหมาย 112 เพื่อบังคับกีดกันไม่ให้ใครวิจารณ์คำตัดสินของศาลและกระบวนการของศาล
แต่ในหลักสากล “การหมิ่นศาล” มีความหมายต่างออกไปคือ คนที่ “หมิ่นศาล” เป็นเพียงคนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเท่านั้น ส่วนใครจะวิจารณ์ผู้พิพากษา การตัดสินของศาล หรือกระบวนการของศาล ทุกคนทำได้อย่างเสรี ตามสิทธิในระบบประชาธิปไตย แต่อย่าคิดว่า “ความอิสระของศาล” ตามทฤษฏีประชาธิปไตยเสรีนิยมคือคำตอบ เพราะมันเป็นเพียงการสร้างภาพลวงตาเท่านั้น ศาลยังอิงชนชั้นปกครอง ถ้าศาลจะยุติธรรมจริง ผู้พิพากษาต้องมาจากการเลือกตั้ง และเราต้องสามารถถอนถอนได้ด้วย
นอกจากนี้ในระบบศาลไทย พลเมืองธรรมดาไม่มีส่วนร่วมเลย เพราะไม่มีระบบลูกขุนที่คัดเลือกจากประชาชนโดยไม่เลือกหน้าหรือมีข้อจำกัดใดๆ ระบบลูกขุนและการมีส่วนร่วมของพลเมืองมีความสำคัญในการคานความอคติของผู้พิพากษา ลูกขุนมีสิทธิ์ตัดสินว่าผู้ต้องหาผิดหรือไม่ ส่วนผู้พิพากษามีหน้าที่ชี้แจงประเด็นกฎหมาย และลงโทษผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิดเท่านั้น ระบบนี้เป็นระบบที่ขยายพื้นที่ประชาธิปไตยเข้าสู่ระบบศาล
ผู้พิพากษา ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศาล ไม่เคยแสดงความเคารพต่อพลเมืองที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบศาลเลย เขามองว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นคนชั้นต่ำที่ “ย่อม” ทำความผิด ผู้พิพากษา ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศาล ไม่เคยมองว่าตนควรจะบริการรับใช้ประชาชนแต่อย่างใดบ่อยครั้งเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ท่าทีเหยียดหยามดูหมิ่นประชาชน มีหลายกรณีที่ผู้พิพากษาไม่ยอมลงมาตัดสินคดีในศาล ผู้ต้องหาจึงต้องคุยกับผู้พิพากษาผ่านโทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งเป็นการกีดกันระบบยุติธรรมและสิทธิเสรีภาพในการชี้แจงข้อมูลให้ผู้พิพากษาอย่างเต็มที่ ในกรณีอื่นผู้พิพากษาบังอาจใช้เสียงในการอ่านคำตัดสินหรือการพูดที่ค่อยเกินไป จนผู้ต้องหาและประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะรับฟัง สภาพการคุมนักโทษโดยตำรวจ และระบบประกันก็เป็นการกดขี่คนจนอีก
ในกรณีคดี 112 ประชาชนทั่วไปไม่สามารถร่วมพิจารณาคดีได้ และไม่สามารถตรวจสอบความเที่ยงตรงของศาลได้ เพราะสื่อจะถูกห้ามไม่ให้รายงานรายละเอียดของคดีทุกครั้ง มันเผด็จการลำเอียงเบ็ดเสร็จ
ระบบศาลในไทย ไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานที่ถือว่าผู้ต้องหาทุกคนบริสุทธิ์ก่อนที่จะมีการตัดสินคดี ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ระบุไว้เป็นนามธรรมในรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นมีการกีดกันไม่ให้คนจนสามารถได้รับการประกันตัวการล่ามโซ่และบังคับให้ผู้ต้องหาที่อยู่ในขั้นตอนก่อนตัดสินคดีต้องแต่งชุดนักโทษ เป็นการละเมิดมาตรฐานยุติธรรมพื้นฐาน เพราะเป็นการสร้างภาพว่าเขาเหล่านั้น “ผิด” ก่อนที่จะตัดสินคดี นอกจากนี้ในระบบศาลและคุกไทย และในสังคมไทยโดยรวมไม่มีการมองถึง “สิทธิมนุษยชน” ของนักโทษที่ได้รับการตัดสินคดีไปแล้ว การปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้จึงขาดแง่ของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง มีการมองว่าเขาทำผิดกฏหมาย ดังนั้นเขาสละสิทธิ์ที่จะเป็นคน ในขณะเดียวกันคนชั้นสูงที่ทำผิด ไม่ว่าจะโกงกิน ฆ่าคน หรือปกปิดความจริงด้วยการพูดเท็จ ก็ลอยนวลกลายเป็น “ยิ่งกว่าคน” อย่างที่พวกนายพลและผู้ใหญ่ทั้งหลายเป็นในปัจจุบัน นี่คือความคิดที่ให้ความชอบธรรมกับการที่สภาพคุกไทย แย่พอๆ กับสภาพกรงสัตว์ ไม่มีการคำนึงถึงความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด
ความแหลมคมของระบบอยุติธรรมในศาลไทย เห็นชัดจากการปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกกดขี่ขูดรีดมากที่สุดในสังคม ในศาลแรงงานนักสหภาพแรงงานไม่เคยได้รับความยุติธรรมและความเคารพแต่อย่างใด เพราะศาลและรัฐใกล้ชิดสนิทสนมกับนายจ้าง และมองว่าคนงานคือศัตรูหรือ “คนสร้างปัญหา” ในกรณีคนงานจากประเทศเพื่อนบ้านก็ยิ่งแล้วใหญ่ มันทำให้เราเห็นความแหลมคมของความขัดแย้งทางชนชั้นที่พวกนักวิชาการชนชั้นกลางชอบปฏิเสธ คนอีกกลุ่มหนึ่งที่กลายเป็น “คนอันตราย” สำหรับชนชั้นปกครองไทย คือคนธรรมดาที่กล้าท้าทายอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครองด้วยวาจาหรือการชุมนุมอย่างสงบ นั้นคือสาเหตุที่คนที่โดนคดี 112 ถูกรัฐเลือกปฏิบัติอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ ในมุมตรงข้ามกับผู้ถูกกดขี่ คนรวย คนมีเส้น นายพลระดับสูง นักการเมืองที่ใกล้ชิดกับทหารหรืออำมาตย์ หรือลูกนักการเมือง ฯลฯ ไม่เคยต้องรับโทษหรือถูกพิพากษาเลย
ผมเขียนไปแล้วว่าคุกไทยเต็มไปด้วยคนจน ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีคดีประเภท “ลักขโมย” หรือคดียาเสพติด แต่กระแสหลักหรือคนที่แต่งตั้งตนเองเป็นผู้แทนของ “ภาคประชาชน” ไม่เคยถกเถียงและพิจารณาว่ามีระบบคุกไว้ทำไม เพื่อแก้แค้น? เพื่อลงโทษ? หรือเพื่อปกป้องสังคมจากคนอันตราย? ซึ่งคำถามเหล่านี้มีผลต่อสภาพคุกด้วยไม่ค่อยมีการถกเถียงกันว่าโทษประหารเป็นความป่าเถื่อนชนิดหนึ่งที่เป็นเพียงการแก้แค้นโดยสังคมต่อคนจนหรือไม่ นอกจากนี้ไม่มีการพิจารณาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุของการลักขโมย หรือสาเหตุของการใช้ยาเสพติด เพื่อหาทางแก้ไขแต่แรกโดยไม่ใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนของคุกหรือ “สงครามยาเสพติด”
การที่สังคมไทยภายใต้ชนชั้นปกครองปัจจุบันเป็นสังคมป่าเถื่อน แปลว่าการเคารพธงชาติ ธงของชนชั้นปกครอง เป็นเพียงการเคารพพวกป่าเถื่อนเท่านั้น เพราะ “ชาติไทย” ไม่มีจริง มีแต่ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง สองฝั่งตรงข้ามซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่บางทีเปิดเผย บางทีซ่อนเร้น บางทีถูกกลบและมอมเมาจนเงียบไปชั่วคราว และตราบใดที่เราไม่ลุกขึ้นสู้เพื่อเปลี่ยนสังคม คำว่า “ไทย” ไม่ว่าจะสะกดด้วย “ย”ยักษ์หรือไม่ คงต้องแปลว่า “ทาส”