ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม เป็นการท้าทายรัฐบาลอย่างแรง
และเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลนี้ได้รับการคัดค้านจากมวลชนจำนวนมาก สิ่งที่จุดประกายคือแผนการทำลายและสร้างตึกทับสวน
เกซิ กลางเมืองอิสแตมบูล การประท้วงครั้งนี้ไม่มีพรรคหรือกลุ่มไหนวางแผนจัดการล่วงหน้า
แต่มีหลายองค์กรที่ตอนนี้เข้ามาแข่งแนวเพื่อแย่งชิงการนำ
เช่นพวกชาตินิยมฝ่ายขวาที่สนับสนุนทหาร และฝ่ายซ้ายที่ต้านทหารแต่ไม่สนับสนุนรัฐบาล
นอกจากนี้ในกลุ่มผู้ประท้วงมีมวลชนของพรรครัฐบาลส่วนหนึ่งด้วย
ประชาชนไม่พอใจการที่รัฐบาลมั่นใจในตนเองจนไม่ยอมปรึกษาใคร
และไม่พอใจความรุนแรงของตำรวจที่มีต่อผู้ประท้วง
นอกจากนี้ตุรกีอยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลงจากยุคเผด็จการทหาร
และคนจำนวนมากอยากกวาดล้างกฏหมายเผด็จการให้หมดไป ก้าวหนึ่งที่ผ่านไปแล้วคือการสร้างสันติภาพกับชาวเคอร์ด
แต่มีก้าวอื่นๆที่ต้องเดิน
เพราะในกลุ่มผู้ประท้วงมีความคิดหลากหลาย
พรรครัฐบาลคือพรรคมุสลิมหรือ “พรรคความยุติธรรมและการพัฒนา” (AKP) พรรคนี้ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2002 และชนะการเลือกตั้งมาหลายรอบ
ล่าสุดในปี 2011 พรรคนี้ได้คะแนนเสียง 50% นโยบายของรัฐบาลเน้นกลไกตลาดเสรีของกลุ่มทุน แต่มีนโยบายให้คนจนบ้าง
รัฐบาลไม่ได้คลั่งศาสนาเหมือนที่ฝ่ายค้านอ้าง อย่างไรก็ตามระบบการเมืองในตุรกีมีซากของเผด็จการหลงเหลือจากสมัยเผด็จการทหาร
เช่น มีการจำคุกนักข่าว หรือทนายความที่เห็นต่างจากรัฐ และนักกิจกรรมชาวเคอร์ดที่อยากแบ่งแยกดินแดนก็ถูกปราบปรามอย่างรุนแรง
นอกจากนี้พรรค AKP มักจะเน้นศีลธรรมจารีตที่มองว่าผู้หญิงควรจะมีลูกอย่างน้อยสามคน
และนายกรัฐมนตรี เอร์โดแกน
อยากเห็นการยกเลิกกฏหมายที่อนุญาตให้สตรีทำแท้งอย่างเสรี
(CHP) อ้างว่าเป็นพรรคในรูปแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย
และคอยสร้างภาพว่ารัฐบาลจะหมุนนาฬิกากลับไปสู่ยุคมืดแห่งกฏหมายอิสลาม
อย่างไรก็ตามฐานเสียงหลักของพรรคนี้มาจากคนชั้นกลางและคนรวย และพรรค CHP นี้เป็นพรรคที่ใครๆ มองว่าเป็นปากเสียงของทหารเผด็จการ กองทัพตูรกีมีประวัติการแทรกแซงการเมืองผ่านการทำรัฐประหารพอๆ
กับในไทย และในช่วงปี 2002-2007 มีการวางแผนเพื่อพยายามโค่นรัฐบาล
AKP ที่มาจากการเลือกตั้ง
ออตโตมัน โดยที่ คามาล อัตตาเทอร์ค ปฏิวัติสังคมและขึ้นมาเป็นผู้นำเผด็จการ
นโยบายคลั่งชาตินี้ถูกใช้เพื่อกดขี่เชื้อชาติอื่นๆ ภายในประเทศ เช่นชาวอาร์มีเนีย
ชาวยิว ชาวกรีก และชาวเคอร์ด และตูรกีมีกฏหมายคล้ายๆ 112 ของไทยที่ห้ามไม่ให้ใครวิจารณ์ คามาล อัตตาเทอร์ค
หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
และนับถืออิสลาม ถูกเขี่ยออกจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยที่มีการเน้นบทบาทของชนชั้นกลางที่มีวัฒนธรรมตะวันตก
สามมาตราแรกรัฐธรรมนูญที่เขียนในยุคนั้น เน้นบทบาทของกองทัพในการปกป้อง “สาธารณรัฐสมัยใหม่
ที่ไร้ศาสนาแห่งชาติ และใช้ลัทธิชาตินิยมของ อัตตาเทอร์ค” มีการ “ห้าม”
ไม่ให้แก้ไขสามมาตราดังกล่าวด้วย
พวกนายพลพยายามใช้ศาลยุบพรรครัฐบาล และในปี 2007 มีการพยายามใช้ศาลเพื่อห้ามไม่ให้คนจากพรรคนี้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตามกองทัพไม่ประสบความสำเร็จ
และหลังจากนั้นรัฐบาลเริ่มดำเนินคดีกับพวกนายพลที่พยายามล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ผลคืออิทธิพลของกองทัพในการเมืองลดลง และการทำรัฐประหารยากขึ้น
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าทหารหมดอำนาจโดยสิ้นเชิง
ไม่ต่างจากรัฐบาลอนุรักษ์นิยมคริสเตียนในยุโรปตะวันตก และนายทุนก็พึงพอใจกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้
เศรษฐกิจตูรกีได้รับผลกระทบจากวิกฤษเศรษฐกิจโลกบ้างแต่ไม่มากเท่าเขตยูโร
และการปฏิวัติในตะวันออกกลางในสองสามปีที่ผ่านมา มีผลให้ตูรกีขยายอิทธิพลในการเมืองระหว่างประเทศได้
ซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ถูกกดขี่เริ่มแสดงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะชาวเคอร์ด ซึ่งตอนนี้กำลังเจรจาทำข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาล
รัฐบาลเองก็ถูกกดดันให้ยกเลิกกฏหมายเผด็จการที่กดขี่ชาวเคอร์ด เช่นกฏหมายที่ห้ามไม่ให้เขาพูดภาษาของตนเองเป็นต้น
ฝ่ายนายทุนและประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องการเห็นสันติภาพด้วย แต่พรรคฝ่ายค้าน CHP ที่เน้นแนวคลั่งชาติไม่พอใจ
เราจะเห็นหลายเรื่องที่มีลักษณะคล้ายไทย
เพราะในทั้งสองประเทศผู้รักประชาธิปไตยกำลังต่อสู้กับอิทธิพลของเผด็จการทหาร
และในทั้งสองประเทศฝ่ายที่สนับสนุนเผด็จการคือพวกคนชั้นกลางและคนรวยที่อ้างว่า “รักประชาธิปไตย”
และต้องการ “ปกป้องสถาบันศักดิ์สิทธิ์” ในตูรกีสถาบันศักดิ์สิทธิ์คือ “ลัทธิชาตินิยมไร้ศาสนาของอัตตาเทอร์ค”
ในทั้งสองประเทศมีความพยายามที่จะใช้ศาลเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ในมุมกลับรัฐบาลดังกล่าว
คือเพื่อไทยในไทย และ AKP ในตูรกี ไม่ใช่รัฐบาลก้าวหน้าที่พร้อมจะสร้างความเท่าเทียมทางสังคม
และปฏิรูประบบอย่างแท้จริง และทั้งในไทยและตูรกี
คนจนส่วนใหญ่เลือกรัฐบาลดังกล่าวที่มีอิทธิพลของกลุ่มทุน เพราะคนจนหรือกรรมาชีพยังไม่ได้สร้างพรรคทางเลือกที่เข้มแข็งพอ
ในตูรกีจะเป็นสงครามระหว่างรัฐกับชาวเคอร์ด ในไทยจะเป็นสงครามระหว่างรัฐกับชาวมุสลิมมาเลย์แห่งปัตตานี
ในทั้งสองประเทศจะต้องมีข้อตกลงทางการเมือง ไม่ใช่เน้นการทหาร
และประชาชนทุกเชื้อชาติต้องสนับสนุนเสรีภาพของทุกฝ่าย
โดยไม่คลั่งชาติหรือปกป้องพรมแดนเพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง
จุดยืนของฝ่ายซ้ายในตูรกีหรือไทย
ควรจะเป็นการร่วมต่อสู้ในขบวนการของมวลชนเมื่อมีข้อเรียกร้องเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยและลดอิทธิพลของทหาร
ดังนั้นเราร่วมกับพี่น้องเสื้อแดงในไทย
และฝ่ายซ้ายในตูรกีต้องยืนเคียงข้างมวลชนที่ปะทะกับรัฐบาลในช่วงนี้
อย่างไรก็ตามเราจะไม่คล้อยตามพรรคเพื่อไทยหรือแกนนำ นปช.
เมื่อมีการหักหลังวีรชนและนักโทษการเมือง หรือเมื่อมีการหันหลังกับผลประโยชน์ของคนจน
เช่นในเรื่องสาธารณสุข สิทธิแรงงาน หรือรัฐสวัสดิการ ในตูรกีสถานการณ์ไม่เหมือนไทยในทุกเรื่อง
แต่ฝ่ายซ้ายจะต้องแยกตัวออกและแข่งแนวทางความคิดอย่างชัดเจนจากพวกคลั่งชาติที่จับมือกับทหาร
เพราะพวกนี้หวังนำมวลชนไปในทางที่ผิด