วิเคราะห์สถานการณ์ปฏิวัติในอียปิต์
โดย สาเมย์
นากวิป องค์กรปฏิวัติสังคมนิยมอียิปต์
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่
30 มิถุนายน คือ คลื่นใหม่ของการปฏิวัติอียิปต์ หลังคลื่นที่ล้มมูบารัคในปี 2011
จำนวนคนที่ออกมาประท้วงในวันนั้นเกิน 17 ล้านคน
ใหญ่กว่าการประท้วงทุกครั้งในประวัติศาสตร์โลก นื่คือประเด็นหลัก และ
ประเด็นนี้สำคัญยิ่งกว่า การเข้าร่วมในการประท้วงครั้งนี้จากกลุ่มคนบางส่วนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลมูบารัค
และมันสำคัญกว่าภาพหลอกลวงว่ากองทัพและตำรวจเข้าข้างประชาชน
การประท้วงของมวลชนเป็นล้านเป็นปรากฎการณ์พิเศษไม่ใช่ปรากฎการณ์ประจำวัน
และมีผลในการเพิ่มจิตสำนึกและความมั่นใจของมวลชน คือ มั่นใจว่าเขามีพลังที่จะเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์ได้
ประเด็นนี้ก็สำคัญกว่า คำขวัญ หรือ สโลแกน หรือ
ข้อเสนอเรื่องทางเลือกที่มีการชูขึ้นมา
แน่นอนพวกชนชั้นนายทุนเสรีนิยมต้องการฉวยโอกาสใช้กระแสมวลชนเพื่อล้มชนชั้นนำอิสลาม
เพื่อให้เขาเข้ามามีอำนาจแทน ผ่านการสนับสนุนของกองทัพ และ
เราปฏิเสธไม่ได้ที่ซากรัฐบาลเผด็จการมูบารัคก็ต้องการที่จะเข้ามามีบทบาททางการเมืองด้วย
แต่การปฏิวัติของมวลชนจำนวนมากมีตรรกะพิเศษ คือ จะไม่ยอมจำนนอย่างง่ายๆ
ต่อแผนของนายทุนเสรีนิยมหรือซากเดนของชนชั้นปกครองเก่า ทั้งๆ ที่มวลชนอาจจะได้รับอิทธิพลจากคำขวัญหรือคำมั่นสัญญาของพวกนี้
เหมือนกับที่มวลชนเคยได้รับอิทธิพลจาก สโลแกนและคำมั่นสัญญาจากชนชั้นนำอิสลาม
แน่นอน
มันมีอิทธิพลของสื่อกระแสหลักภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำที่คัดค้านพรรคมุสลิม
มันมีการโฆษณาว่าตำรวจและทหารอยู่เคียงข้างประชาชน มีการโฆษณาว่ากองกำลังของรัฐเป็นกลาง
และ ต้องการแค่ปกป้องชาติ ยิ่งกว่านั้นมีการอ้างว่ากองทัพมีอุดมการณ์ปฏิวัติ
แต่อิทธิพลของการเป่าประกาศแบบนี้เป็นเรื่องชั่วคราวและผิวเผิน
มันลบความทรงจำและประสบการณ์โดยตรงของมวลชนไม่ได้ ประสบการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่ากองทัพและตำรวจเป็นพวกปฏิกิริยาต่อต้านการปฏิวัติ
และ เป็นศัตรูของประชาชน
สาเหตุที่มันมีอิทธิพลชั่วคราวแบบนี้ในมวลชน
มาจากการหักหลังของฝ่ายค้านเสรีนิยม ที่นำโดย “แนวร่วมกู้ชาติ”
พวกนี้ทอดทิ้งเป้าหมายของการปฏิวัติและหักหลังวีรชนที่เสียชีพ เพื่อให้ตนเองขึ้นมามีอำนาจ ความอ่อนแอของฝ่ายปฏิวัติอยู่ที่ว่า
ไม่มีแนวร่วมปฏิวัติที่เข้มแข็งพอที่จะเปิดโปง “แนวร่วมกู้ชาติ” และช่วงชิงการนำเพื่อให้มวลชนเข้ามาสนับสนุนแนวทางปฏิวัติที่เป็นรูปธรรม
แนวทางนี้จะไปไกลกว่าพวกเสรีนิยมหรือพวกชนชั้นนำอิสลาม
เพื่อให้การปฏิวัติพัฒนาถึงขั้นสูง ซึ่งจะกระทำได้ด้วยการโค่นล้มสถาบันต่างๆ ของเผด็จการเก่า
รวมถึงทหาร ซึ่งเป็นหัวใจของการทำลายการปฏิวัติ
มวลชนไม่ได้กบฎและทำการปฏิวัติขึ้นใหม่เพราะต้องการเผด็จการทหาร หรือ
มองว่านายทุนเสรีนิยมดีกว่าพรรคมุสลิม เขาออกมาประท้วงและกบฎเพราะอดีตประธานาธิบดีมูรซี่
ทรยศต่อการปฏิวัติ
รัฐบาลของมูรซี่ไม่ได้นำข้อเรียกร้องของการปฏิวัติแม้แต่ข้อเดียวมาปฏิบัติเป็นรูปธรรม
เช่น ข้อเรียกร้องเพื่อความยุติธรรมทางสังคม เพื่อเสรีภาพ
เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ เพื่อแก้แค้นแทนวีระชนที่เสียชีวิต
ในความเป็นจริงการปกครองของพรรคมุสลิม
เน้นนโยบายของรัฐบาลเดิมสมัยเผด็จการมูบารัค
คือ นโยบายที่นำไปสู่ความยากจนของประชาชนผ่านกลไกตลาดเสรี
การโกงกินของข้าราชการและการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริการและอิสราเอล
แทนที่จะกวาดล้างพวกมือเปื้อนเลือดและพวกคอรัปชั่น ออกจากโครงสร้างรัฐ พรรคมุสลิมพยามทำข้อตกลงกับกองทัพและฝ่ายราชการลับ
เพื่อที่จะเข้ามาร่วมบริหารประเทศกับพวกนี้ ดังนั้นรัฐบาลพรรคมุสลิม
กลายเป็นเพียงเครื่องพ่วงของเผด็จการมูบารัค
ซึ่งประชาชนเคยออกมาล้มเมื่อสองปีก่อน
นี่คือเนื้อเรื่องหลักของการระเบิดขึ้นในคลื่นการปฏิวัติที่สองในวันที่ 30
มิถุนายน พรรคมุสลิมไม่ได้เข้าใจประเด็นนี้ ซึ่งทำให้ฐานสนับสนุนลดลงอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือน
และนี่คือสิ่งที่กองทัพและนักการเมืองนายทุนเสรีนิยมไม่เข้าใจเช่นกัน เพราะเขาจะไม่สามารถใช้อำนาจปืนในการดำเนินนโยบายเก่าของมูรซี่
หรือ ของคณะกรรมการทหาร และ มูบารัคก่อนหน้านั้น
รัฐบาลและสื่อกระแสหลักตะวันตกที่อยู่ใต้อิทธิพลของนายทุน พยายามจะวาดภาพว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์คือแค่รัฐประหารที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกินเลยขอบเขตของประชาธิปไตยทางการในระบบทุนนิยม
มันเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชนจำนวนมาก
ซึ่งสร้างความชอบธรรมในเชิงประชาธิปไตยปฏิวัติ
สถานการณ์แบบนี้เปิดฉากไปสู่รูปแบบใหม่ๆ ของพลังประชาชน
มันพัฒนาไปไกลกว่าระบบการเลือกตั้ง ที่ให้เราเลือกระหว่างซีกต่างๆ ของชนชั้นนายทุน
และสร้างภาพลวงตาว่าเป็นประชาธิปไตยโดยไม่แตะอำนาจของรัฐนายทุนที่ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์คือประชาธิปไตยสูงสุด
มันเป็นการปฏิวัติของประชาชนเป็นล้าน
ส่วนการที่กองทัพปลดมูรซี่ออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องที่ใครๆ คาดเดาไว้อยู่แล้ว เพราะเมื่อกองทัพเห็นว่ามวลชนออกมาแบบนี้
กองทัพต้องจำยอม แต่ไม่ได้เป็นการจำยอมเพราะรักชาติหรือรักประชาชน
มันการจำยอมเพราะกลัวการปฏิวัติต่างหาก
ถ้านายพลอัลซิซี่ ไม่ออกมาแทรกแซงตอนนั้นการปฏิวัติจะเดินหน้าล้มมูรซี่
พรรคมุสลิม กองทัพ และ โครงสร้างของรัฐทุนนิยมทั้งหมด สิ่งเหล่านี้มวลชนยังทำได้
พวกทหารเป็นศัตรูของการปฏิวัติอียิปต์ เขาปลดทั้งมูบารัคและมูรซี่
เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น
ในยุคก่อนชัยชนะของมูรซี่ในการเลือกตั้ง
มวลชนที่เคยหลงเชื่อว่ากองทัพยืนเคียงข้างการปฏิวัติได้ตาสว่างและหันมาต่อต้านคณะกรรมการทหาร
ตอนนี้มวลชนจำนวนมากอาจจะหลงเชื่อนิยายเกี่ยวกับความกล้าหาญของนายพลอัลซิซี่
อย่างไรก็ตามมวลชนสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดต่อไปได้อย่างรวดเร็ว และ
หมดความปลื้มในกองทัพภายในไม่กี่เดือน
การที่มวลชนล้มประธานาธิบดีสองครั้งในรอบ 30 เดือนที่ผ่านมา ถูกสะท้อนในคลื่นการนัดหยุดงานในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ
การต่อสู้ทางการเมืองและการต่อสู้ในเรื่องปากท้องจะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
หลังคลื่นการปฏิวัติแรก กองทัพประเมินว่าพรรคมุสลิม
คงจะมีความสามารถพอที่จะลดและในที่สุดยุติพลังของการปฏิวัติ แต่สถานการณ์พิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง
ตอนนี้กองทัพจึงหันมาตั้งความหวังกับพวกนักการเมืองเสรีนิยมของฝ่ายนายทุน
แต่นักการเมืองเหล่านี้ไม่มีทางที่จะตอบสนองความต้องการของคนจำนวนมากในวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอียิปต์
ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดโปงพวกนี้และฝ่ายทหารที่หนุนหลัง
อันตรายและความเสี่ยงที่เผชิญหน้าเราอยู่ในขณะนี้ คือ
การปราบปรามจากฝ่ายรัฐที่เริ่มพุ่งเป้าไปที่พรรคมุสลิม
แต่อาจจะถูกใช้เพื่อปราบปรามการนัดหยุดงานของกรรมกรและการประท้วง
ด้วยเหตุนี้เราจะต้องคัดค้านการปราบปรามพรรคมุสลิม และ การปิดสื่อของเขา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนี้จะเกิดขึ้นกับขบวนการแรงงานและฝ่ายซ้ายในวันข้างหน้า
ปัญหาใหญ่ของเราในฝ่ายปฏิวัติที่ต้องการโค่นล้มซากเดนของเผด็จการที่ยังมีอิทธิพลอยู่
คือ เราอ่อนแอเกินไป ฝ่ายปฏิวัติทุกส่วนจะต้องสามัคคีรวมพลัง เพื่อช่วงชิงการนำในกระแสมวลชนโดยเสนอแนวทางปฏิวัติที่เป็นรูปธรรม
เราจะต้องเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่พวกเสรีนิยมที่เกาะติดอำนาจทหาร
เราจะต้องสามารถเชื่อมโยงข้อเรียกร้องปากท้องของขบวนการแรงงานและคนจน กับ
ข้อเรียกร้องทางการเมือง
ด้วยเหตุนี้ เราเริ่มเตรียมการเพื่อการปฏิวัติคลื่นที่สามตั้งแต่วันนี้ และ
เราเตรียมการที่จะนำการปฏิวัติคลื่นนี้ไปสู่ชัยชนะ
มวลชนได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขากระตือรือร้นที่จะปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง
เราจะต้องลุกขึ้นมารับภาระกิจทางประวัติศาสตร์ที่จะทำงานร่วมกัน
เพื่อให้การปฏิวัติประสบความสำเร็จ