วัฒนธรรมไทยๆแบบอำมาตย์ คือ วัฒนธรรม “อีแร้ง”

นายพลระดับสูงของไทยเมื่อเข้าสู่การถกเถียงทางการเมืองประเด็นต่างๆ เวลาจนตรอกใช้เหตุผลสู้ปกป้องการกระทำอันไร้ความชอบธรรมไม่ได้ เช่น กรณีการปราบปรามคนเสื้อแดง ก็เริ่มพองตัวเองขมขู่คนอื่นแบบอันธพาลทันทีไล่คนที่เห็นต่างออกนอกประเทศ น่าสมเพช น่าขยะแขยงเป็นที่สุด

โดย สมุดบันทึกสีแดง

วัฒนธรรมไทยนั้นถ้าใครใจกว้างพอก็มองเห็นว่ามันมีหลายส่วนหลายแง่มุม ทั้งในอดีตและปัจจุบันคนไทยเป็นจำนวนมากอยากเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและศักดิ์ศรีความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ เช่น คณะราษฎร์ 2475 , อดีตนักศึกษาตุลา คนเหล่านี้จะมีมุมมองและทัศนะคติต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมชาติ แตกต่างออกไปจากบรรดาคนไทยที่คลั่งไทยจัดทั้งหลายที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน พวกคลั่งไทยนี่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสุดฤทธิ์สุดเดช โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เคารพเพื่อนมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงที่เน้นให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

การที่วัฒนธรรมไทยๆ แบบอำมาตย์กลายมาเป็นกระแสหลักนั้นมันมีปัญหาหลายอย่าง เพราะมันเต็มไปด้วยความก้าวร้าว เสพติดความรุนแรง การกล่าวหาคนอื่นอย่างไรสติ ว่าไม่รักชาติ ฯลฯ ไม่ว่าจะจากคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆ เช่น นายพล, อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ในสถาบันระดับสูง พิธีกร ผู้อ่านข่าว การผลิตซ้ำการถูกข่มขืนของนางเอกในนิยายน้ำเน่าก่อนพบรักแท้ หรือ ประชาชนคนธรรมดาที่คลั่งความเป็นไทยแบบอำมาตย์ พฤติกรรมร่วมสมัยที่พวกเราคุ้นเคยกันคือ “การล่าแม่มด” ในโลกไซเบอร์  วัฒนธรรมไทยแบบนี้ ที่ชิงชังบุคคลที่มีความเห็นต่าง แต่ห้มหัวให้กับผู้มีอำนาจ ถูกส่งเสริมโดยอำมาตย์มาอย่างยาวนาน

นายพลระดับสูงของไทยเมื่อเข้าสู่การถกเถียงทางการเมืองประเด็นต่างๆ เวลาจนตรอกใช้เหตุผลสู้ปกป้องการกระทำอันไร้ความชอบธรรมไม่ได้ เช่น กรณีการปราบปรามคนเสื้อแดง ก็เริ่มพองตัวเองขมขู่คนอื่นแบบอันธพาลทันทีไล่คนที่เห็นต่างออกนอกประเทศ น่าสมเพช น่าขยะแขยงเป็นที่สุด พวกนี้กินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชนปีหนึ่งเป็นแสนล้าน แต่เรื่องมันไม่จบเพียงแค่นั้น บรรดาคลั่งไทยตัวเล็กๆ ต่างออกมาเห่าหอนขานรับกันเป็นทอดๆ วัฒนธรรมแบบอันธพาลถูกผลิตซ้ำมาเรื่อยๆตั้งแต่ยอดของสังคมจนสู่ตัวเล็กๆคลั่งชาติของคนไทยบางส่วน เช่น เมื่อพูดถึงประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องพรมแดนกับกัมพูชา ชาวโรฮิงญา ชาวมุสลิม หรือ ถ้อยคำที่เหยียดหยามเชื้อชาติ และ ภูมิภาค เนื้อหาของตัววัฒนธรรมและลักษณะทางการเมืองของมัน นั้นถือได้ว่าปฏิกิริยาที่สุด

การเมืองแบบปฏิกิริยาคือ การเมืองของพวกอนุรักษ์นิยมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน หรือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความเป็น “ปฏิกิริยา” คือ อาการตอบสนองต่อขบวนการปฏิรูปที่ก้าวหน้า และการปฏิวัติ พวกปฏิกิริยามองว่าข้อเสนอที่ก้าวหน้าเป็นภัยต่อตนเอง และต้องการที่จะทำลายพลังความสร้างสรรค์ ความสมานฉันท์ หรือกดทับความงดงามดังกล่าวไว้ เพื่อพิทักษ์การเมืองแบบเดิมอนุรักษ์นิยม ตัวอย่างของการเมืองแบบนี้เห็นได้โดยทั่วไปทั้งในปัจจุบันหรือในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะในพื้นที่ทางการเมืองและแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน

ลาว คำหอม นักเขียนชื่อดังของไทยได้เคยเขียนเรื่องสั้นสะท้อนด้านมืดเกี่ยวกับพฤติกรรมบางส่วนของคนไทยและได้ตั้งคำถามเข้าถึงเนื้อในอย่างถึงแก่น  ต่อคำโฆษณาชวนเชื่อของรัฐไทยที่ว่าคนไทยนั้นอ่อนโยน โอบอ้อมอารี เป็นชาวพุทธ ในซี่รี่ของการชวนเชื่อนี้บางส่วนไปไกลถึงขนาดที่ว่า รอยยิ้มแบบสยามนั้นงดงามดว่าชาติใดในโลก!

ในเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “อุบัติโหด” ซึ่งเขียนขึ้นมาในปี พ.ศ. 2512 เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาซึ่งมีพระนั่งรวมมาในรถด้วยคนกลุ่มแรกที่มาเห็นเหตุการณ์นั้นไม่ได้ทำการช่วยเหลือแต่อย่างใด แต่มารื้อดูทรัพย์สินว่ามีอะไรให้ปล้นได้บ้าง มิหนำซ้ำยังฆ่าคนบาดเจ็บที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อชิงทรัพย์ คนกลุ่มที่สองมาก็เช่นเดียวกัน คราวนี้ปล้นพระที่นอนเป็นศพ ผ้าเหลืองและความเป็นพระไม่ได้กระตุกให้คนเหล่านั้นนึกถึงศีลธรรมแต่อย่างใด เมื่อตำรวจมาถึงก็ลังเลว่าจะยิงปืนซ้ำไปที่ศพดีหรือไม่ เพราะมีผลต่อรางวัลนำจับ โดยไม่มีการสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุ แต่ว่าหยิบฉวยเรื่องราวต่างๆ มาปั้นขึ้นเพื่อเข้าข้างการกระทำของตัวเอง ลาว คำหอม ได้ฉายภาพทิ้งท้ายบรรยากาศไว้อย่างสะเทือนใจว่า “เวลาผ่านไปคนเริ่มเข้ามามุงดูอุบัติเหตุมากขึ้น เพลงลูกทุ่งครวญเสียงละห้อยแข่งกับรายการปาฐกถาธรรมะจากวิทยุถ่านที่ชาวบ้านถือว่ามาด้วย”

ในปี พ.ศ.2534 ได้มีเหตุการณ์เครืองบินของสายการบินออสเตรเลียประสบอุบัติเหตุตกลงที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นได้แห่ไปถึงที่เกิดเหตุอย่างเร็ว แต่ไม่ได้ช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุ แต่ไปปล้นศพ!ขโมยเอาทรัพย์สินสิ่งมีค่าของผู้เสียชีวิตข่าวนี้ตีพิมพ์ไปทั่วโลก คนที่มีจิตสำนึกรักความเป็นธรรมในระดับธรรมดา เห็นข่าวนี้แล้วก็เกิดความอับอายในพฤติกรรมอันอัปยศของเพื่อนร่วมชาติ ทำไมคนบางส่วนในสังคมไทยถึงเป็นแบบนั้น ทำไมมีพฤติกรรมแบบ “อีแร้งรุมทึ้งศพ” ได้ขนาดนั้น ในระดับย่อยๆ เหตการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ เช่น กรณี รถทัวร์คว่ำ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 คนไทยส่วนหนึ่งผู้คุ้มคลั่งอำมาตย์ได้รุมล้อมฆ่านักศึกษาอย่างเลือดเย็น นักศึกษาถูกแขวนคอใต้ต้นมะขามถูกฟาดจนตาย คนไทยส่วนหนึ่งจำนวนมากยืนล้อมดูหัวเราะด้วยความชอบใจ ปรบมือโห่ร้องด้วยความยินดี ป่าเถื่อนที่สุด ความดิบเถื่อนดังกล่าวยังฝังอยู่ในสายเลือดพวกคลั่งไทยจัด เช่น ในเหตุการณ์ราชประสงค์เลือด คนชั้นกลางผู้หิวเลือดได้ส่งเสียงเชียร์ให้ทหารฆ่าคนเสื้อแดง ออกอาการดีใจเมื่อเห็นคนเสื้อแดงตาย ผ่านการอัพเดทสถานะใน Facebook วัฒนธรรมไทยๆ แบบอำมาตย์มันเต็มไปด้วยความพิษในทุกระดับจริงๆ

กรณีที่ “สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักเรียนในระดับมัธยม ที่มีความกล้าหาญออกมาตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ความล้าหลังของระบบการศึกษาไทย การเน้นควบคุมนักเรียนในลักษณะที่ควบคุมกองทหาร กฎระเบียบเรื่องทรงผม การแต่งกาย ลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนเชื่อฟังมากกว่าส่งเสริมให้มีการคิดเองเป็น

การรณรงค์ดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างน่ายินดี ผ่านการรณรงค์ใน Facebook และออกสื่อโทรทัศน์ ซึ่งด้วยความสำเร็จของตัวมันเองแล้วได้ดึงดูดคนสองประเภทเข้ามา คือ คนที่ชื่นชมและเห็นด้วย และพวกซากเดนผู้คุ้มคลั่งวัฒนธรรมไทยๆ แบบอำมาตย์

กลุ่มปฏิกิริยาเข้าสู่การถกเถียงด้วยมารยาทแบบเดิมๆ คือ มารยาทแบบอันธพาลบวกอีแร้ง พวกนี้มีปัญหาในการถกเถียงผ่านการใช้เหตุมาก เช่น ให้เหตุผลข้างๆ คูๆ เกี่ยวกับภาพที่หลุดออกมาในบางโรงเรียนที่บังคับให้นักเรียนก้มลงกราบครู (ดังรูปภาพ) ว่ามันมีความชอบธรรม เคารพผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด ฯลฯ การถกเถียงตอบโต้กับผู้ใหญ่ต่างหากเป็นเรื่องที่รับไม่ได้

ข้อเสนอของ สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย ซึ่งนำโดยนักเรียนระดับมัธยมนั้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง และเพื่อปกป้องหน่ออ่อนอันงดงามอันนี้ ผู้ใหญ่ผู้รักความเป็นธรรมทั้งหลายจะต้องไม่ปล่อยให้พวกคลั่งวัฒนธรรมไทยๆ สายอำมาตย์ มาใช้พฤติกรรมอีแร้งกับเยาวชนของพวกเรา ๆ สนับสนุนพวกเขาในทิศทางที่พวกคุณทำได้ พรรคเพื่อไทยทรยศเราคลั้งแล้วครั้งเล่า พวกวัฒนธรรมไทยๆ แบบอำมาตย์ข่มเหงพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เยาวชนของพวกเราได้สร้างความหวังขึ้นมา พวกเขากำลังพยายามวาดให้มันมีพื้นที่ให้ได้ในสังคมไทย เมื่อเมล็ดพืชสีแดงได้งอกขึ้นมาเราต้องป้องป้องให้พวกเขาเติบโตแผร่สยายรากและเงาออกไป โดยพวกเราจะใช้วัฒนธรรมของความสมานฉันท์แบบคนที่มีอารยะแบบที่คนที่มียึดกับหลักการว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องเท่าเทียมกัน

ข้อเสนอในการรณรงค์เพื่อให้ยกเลิกความคลั่งไทย และเรียนรู้ประวัติศาสตร์สากล ของ “สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย” มีความจำเป็นจริง เพราะในงานรับปริญญาของจุฬาลงกรมหาวิทยาลัย ได้วาดภาพของฮิตเลอร์ในบอร์ดขนาดใหญ่เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาได้ทำท่าซาลูสแบบนาซี นิสิตจบใหม่จากมหาวิทยาชั้นนำของประเทศไม่มีความรู้เรื่องความเลวร้ายของฮิตเลอร์ มันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของผู้เขียนที่จะเข้าใจว่าทำไมนิสิตจุฬาส่วนหนึ่งถึงเต็มไปด้วยความอวิชา และไร้ซึ่งจริยธรรมสามัญพื้นฐานที่จะเข้าใจความเลวร้ายของฮิตเลอร์ที่กระทำกับชาวยิว ความจริงพื้นฐานอีกอันหนึ่งคือ นาซีเกลียดและอยากกำจัดคนที่ไม่ผิวขาว เช่น คนไทย เป็นต้น

ความจริงอันน่าขยะแขยงอันนี้จะคงอยู่กับสังคมและมันไม่หายไปไหน การคงอยู่ของมันนั้นไม่ได้นอนอยู่นิ่งๆ และไม่ส่งผลต่อพวกเรา เพราะมันเป็นการเน้นย้ำว่าพฤติกรรมแบบอีแร้งของพวกคลั่งไทยมีอยู่เรื่อยๆ คนที่อยากเห็นสังคมไปข้างหน้า และอยากมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่จะกลายเป็นแพะบูชายันญ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทางเลือกมีสองทาง หนึ่งอยู่กับมันให้ได้ สอง ทำลายพฤติกรรมแบบนี้ไปเสีย อย่าให้มันได้มีพื้นที่ยืนในสังคม

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s