หยุดปลายปีนี้ มาฟังดนตรีของ เบทโฮเฟิน ดีกว่า
สิ่งแรกที่เราควรรู้เกี่ยวกับดนตรีของ ลุดวิจ ฟาน เบทโฮเฟิน
คือเวลาเปิดฟัง ต้องเปิดดังๆ เพราะ เบทโฮเฟิน เป็นศิลปินร้อนแรงที่ต้องการเห็นสังคมใหม่
เขาเกลียดชังพวกเจ้าขุนนางศักดินา และมองพวกนี้ว่าเป็นกาฝากของสังคมที่ต้องถูกกวาดล้างไปจากสังคม
คือเวลาเปิดฟัง ต้องเปิดดังๆ เพราะ เบทโฮเฟิน เป็นศิลปินร้อนแรงที่ต้องการเห็นสังคมใหม่
เขาเกลียดชังพวกเจ้าขุนนางศักดินา และมองพวกนี้ว่าเป็นกาฝากของสังคมที่ต้องถูกกวาดล้างไปจากสังคม
ซิมโฟนี แรกของนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันคนนี้
ที่เราแนะนำให้ท่านฟังคือ ซิมโฟนีที่ สาม ซึ่งแต่งขึ้นในปี 1804 ขณะที่กองทัพของ นโปเลียน
กำลังกวาดล้างเจ้าขุนนางเก่าจากประเทศต่างๆ ในยุโรปและเผยแพร่แนวคิดสาธารณะรัฐจากการปฏิวัติฝรั่งเศส
เชิญฟังได้ที่นี่
ที่เราแนะนำให้ท่านฟังคือ ซิมโฟนีที่ สาม ซึ่งแต่งขึ้นในปี 1804 ขณะที่กองทัพของ นโปเลียน
กำลังกวาดล้างเจ้าขุนนางเก่าจากประเทศต่างๆ ในยุโรปและเผยแพร่แนวคิดสาธารณะรัฐจากการปฏิวัติฝรั่งเศส
เชิญฟังได้ที่นี่
เวลาฟังชิ้นนี้ควรนึกภาพการกวาดล้างพวกอำมาตย์หัวเก่าออกไปจากสังคม
ตอนกลางๆ ของซิมโฟนีมีดนตรีที่ชวนให้เรานึกถึงงานศพของสังคมเก่าด้วย ตอนที่งานชิ้นนี้ออกมาใหม่ๆ
พวกอนุรักษ์นิยมหัวเก่าไม่ชอบ เพราะไม่เข้าใจดนตรีสมัยใหม่ของเบทโฮเฟิน
และกลัวว่ามัน “รุนแรง” เกินไป เขาอาจกลัวตำแหน่งของตนเองในสังคมไปด้วย
ตอนจบของซิมโฟนี เราจะได้ยินชัยชนะของ นโปเลียน
ตอนกลางๆ ของซิมโฟนีมีดนตรีที่ชวนให้เรานึกถึงงานศพของสังคมเก่าด้วย ตอนที่งานชิ้นนี้ออกมาใหม่ๆ
พวกอนุรักษ์นิยมหัวเก่าไม่ชอบ เพราะไม่เข้าใจดนตรีสมัยใหม่ของเบทโฮเฟิน
และกลัวว่ามัน “รุนแรง” เกินไป เขาอาจกลัวตำแหน่งของตนเองในสังคมไปด้วย
ตอนจบของซิมโฟนี เราจะได้ยินชัยชนะของ นโปเลียน
อย่างไรก็ตาม เบทโฮเฟิน ไม่ใช่นักวิเคราะห์ทางการเมือง
และเขาไปฝากความหวังกับ นโปเลียน แล้วต้องผิดหวังโกรธแค้นเมื่อ นโปเลียน ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ์
และเขาไปฝากความหวังกับ นโปเลียน แล้วต้องผิดหวังโกรธแค้นเมื่อ นโปเลียน ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ์
ซิมโฟนีชิ้นที่สองที่เราแนะนำคือ ซิมโฟนีที่เก้า
ชิ้นสุดท้ายของ เบทโฮเฟิน ที่แต่งขึ้นตอนเขาหูหนวก ดังนั้นเขาต้องจินตนาการโน๊ตเพลงสำหรับดนตรีชิ้นนี้
ซิมโฟนีเก้าเป็นชิ้นสุดยอดของเขาที่แต่งขึ้นมาเชิดชูความเป็นมนุษย์
แทนที่จะเชิดชูพระเจ้า ศาสนา และขุนนาง อย่างที่ศิลปินก่อนหน้านี้มักทำ
เชิญฟังได้ที่นี่
ชิ้นสุดท้ายของ เบทโฮเฟิน ที่แต่งขึ้นตอนเขาหูหนวก ดังนั้นเขาต้องจินตนาการโน๊ตเพลงสำหรับดนตรีชิ้นนี้
ซิมโฟนีเก้าเป็นชิ้นสุดยอดของเขาที่แต่งขึ้นมาเชิดชูความเป็นมนุษย์
แทนที่จะเชิดชูพระเจ้า ศาสนา และขุนนาง อย่างที่ศิลปินก่อนหน้านี้มักทำ
เชิญฟังได้ที่นี่
เวลาฟังชิ้นนี้อยากให้นึกถึงความขัดแย้งและการต่อสู้
เพื่อได้มาซึ่งมนุษย์ที่พัฒนาเต็มที่ ถ้าเป็นมาร์คซิสต์เราอาจมองว่ามนุษย์สมัยใหม่เกิดท่ามกลางความขัดแย้งในเชิงวิภาษวิธี
ดนตรีมันทั้งร้อนแรงและงดงามด้วย ความงดงามปรากฏในส่วนที่ดนตรีช้าลงตอนกลาง
เสมือนกับว่า เบทโฮเฟิน มองว่าธรรมชาติ
และมนุษย์ที่เกิดจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่สวยที่สุด
ในตอนท้ายมีเสียงร้องจากมนุษย์เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูความเป็นคนและความสุขความสมานฉันท์
นี่คือสิ่งที่ควรเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับพวกที่มองประชาชนส่วนใหญ่ว่าโง่หรือเป็นแค่ฝุ่นใต้ตีน
เพื่อได้มาซึ่งมนุษย์ที่พัฒนาเต็มที่ ถ้าเป็นมาร์คซิสต์เราอาจมองว่ามนุษย์สมัยใหม่เกิดท่ามกลางความขัดแย้งในเชิงวิภาษวิธี
ดนตรีมันทั้งร้อนแรงและงดงามด้วย ความงดงามปรากฏในส่วนที่ดนตรีช้าลงตอนกลาง
เสมือนกับว่า เบทโฮเฟิน มองว่าธรรมชาติ
และมนุษย์ที่เกิดจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่สวยที่สุด
ในตอนท้ายมีเสียงร้องจากมนุษย์เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูความเป็นคนและความสุขความสมานฉันท์
นี่คือสิ่งที่ควรเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับพวกที่มองประชาชนส่วนใหญ่ว่าโง่หรือเป็นแค่ฝุ่นใต้ตีน
งานของนักประพันธ์เพลงชาวตะวันตกในยุคนั้นก้าวหน้าไปไกลกว่าส่วนอื่นของโลก
เพราะระบบทุนนิยมเริ่มพัฒนาขึ้น มีการแต่งเพลงโดยเขียนโน๊ตเพลงลงบนกระดาษ
แทนที่นักดนตรีจะต้องท่องจำ การเขียนโน๊ตแบบนี้ทำให้สามารถจัดวงดนตรีใหญ่ๆ ที่แต่ละคนเล่นโน๊ตสลับซับซ้อนที่แตกต่างกัน
เพื่อประสานเสียงเข้ากันได้
และการจ้างนักดนตรีจำนวนมากแบบนี้ก็ต้องอาศัยส่วนเกินจากการผลิตอันมีพลังในระบบทุนนิยมด้วย
เพราะระบบทุนนิยมเริ่มพัฒนาขึ้น มีการแต่งเพลงโดยเขียนโน๊ตเพลงลงบนกระดาษ
แทนที่นักดนตรีจะต้องท่องจำ การเขียนโน๊ตแบบนี้ทำให้สามารถจัดวงดนตรีใหญ่ๆ ที่แต่ละคนเล่นโน๊ตสลับซับซ้อนที่แตกต่างกัน
เพื่อประสานเสียงเข้ากันได้
และการจ้างนักดนตรีจำนวนมากแบบนี้ก็ต้องอาศัยส่วนเกินจากการผลิตอันมีพลังในระบบทุนนิยมด้วย