ถ้าเราคิดว่าเราเป็นศูนย์กลางความคิด นายกคนกลางย่อมเป็นคนที่เราชอบนั้นเอง

ถ้าเราคิดว่าเราเป็นศูนย์กลางความคิด
นายกคนกลางย่อมเป็นคนที่เราชอบนั้นเอง

ในสมัยก่อนเวลามหาอำนาจเจ้าอาณานิคมตะวันตกเขียนแผนที่
เขาจะเขียนให้ประเทศของตนอยู่ตรงกลางโลก ตั้งแต่สมัยที่จีนเป็นมหาอำนาจแต่โบราณ
เขาจะเรียกประเทศจีนว่าราชอาณาจักรกลาง
    
ในยุคนี้ พวกตอแหลต้านประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นฝูงอธิการบดี
เครือข่ายนักวิชาการล้าหลัง พรรคแมลงสาบ หรือ เอ็นจีโอรักทหารเผด็จการ ก็ล้วนแต่ทำตัวไม่ต่างออกไป
คือนำความคิดตนเองมาเป็นศูนย์กลาง
    
ดังนั้นเราคงไม่แปลกใจที่ “นายกคนกลาง” ที่พวกแช่แข็งประเทศไทยเหล่านี้เสนอมา
ล้วนแต่เป็นพวกแช่แข็งสังคมที่พวกนี้ชื่นชมแต่แรก เขาต้องการ “นายกกลางหัวใจ”
ของเขานั้นเอง

สำรวจโลกใบเก่าอันแสนโสโครกและอัปลักษณ์

สำรวจโลกใบเก่าอันแสนโสโครกและอัปลักษณ์
สมุดบันทึกสีแดง
ณ วันนี้ เราเห็นไอ้คนขี้โกงที่ใช้นามสกุล
“รักโลกใบเก่า” ใช้เลห์เหลี่ยมสารพัดที่จะทำลายประชาธิปไตย
และทำลายความสร้างสรรค์ของปัจเจกผู้ที่อยากดำรงอยู่ในโลกใบใหม่ พวกรักโลกใบเก่าหยิ่งผยองในความเป็นมนุษย์ของตนเองว่ามีมากว่าคนอื่นๆ
พวกรักโลกใบเก่าทนงว่าตัวเองมีการศึกษาดีกว่าคนอื่นจึงมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในละเมิดสิทธิคนที่ด้อยกว่า
พวกนี้เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเพราะ “รักโลกใบเก่า”
ฉะนั้นโลกใบนั้นจะหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง พวกรักโลกใบเก่าอธิบายว่าประเทศไทยมีลักณะพิเศษ
การเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่นๆเป็นพวกที่ไม่ใช่คนไทย พวกรักโลกใบเก่ามีหู
แต่มีไว้เพื่อฟังความข้างเดียว มีปากแต่มีไว้เพื่อพูดจาไร้สาระ

     พวกรักโลกใบเก่าชอบแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเหนือบ้านคนอื่น
พวกรักโลกใบเก่าชอบไล่ให้คนออกนอกประเทศให้ไปอยู่ที่อื่น
นักแสดงในโลกใบเก่าชอบอ้างว่าตัวเองเป็นคนของประชาชนทั้งๆที่ไม่มีใครเลือกมา
อุตสาหกรรมบันเทิงในโลกใบเก่าถูกครอบงำด้วยพล็อตเรื่องแบบจักรๆ วงศ์ๆ ในโลกใบเก่าคนที่ทำนาบนหลังคนถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการทำงาน
กลายเป็นคนร่ำรวยที่สุด
     พวกรักโลกใบเก่า นั้นมีใบหน้าเดียวเทรนเดียวกันคือ
“อัปลักษณ์และโสโครก” ส่วนสมองนั้น “คิดได้มิติเดียวคือทำลายคนที่เห็นต่าง
อุปถัมภ์ลูบหลังคนพวกเดียวกัน” “ภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการคือ การพูดโกหก” สิ่งที่ค้ำจุนโครงสร้างของโลกใบเก่า
คือ ยศถาบรรดาศักดิ์ ความต่ำสูงของชาติตระกูล
ปรัชญามุมมองโลกนั้นเน้นย้ำความเชื่อแบบไสยศาสตร์ ปฏิเสธการใช้เหตุผลและหลักฐาน
เชิดชู ผี สาง นางไม้ และ เทวดา มีการเซ่นไหว้ตลอดปี
     สถาบันหลักๆทางสังคมของโลกใบเก่าเป็นอย่างไร?
พวกนี้มีสถาบันหลักๆ ในรูปแบบที่ไม่แตกต่างจากโลกสมัยใหม่
แต่ทัศนะคติเท่านั้นที่ต่างออกไป เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และ ศาลชนิดต่างๆ ผู้พิพากษาต่างทำงานกันเป็นทีมเพื่อให้มีหลักประกันว่าความยุติธรรมจะไม่มีวันเกิดขึ้นในโลกใบเก่าแน่นอน
ผู้พิพากษานามสกุลรักโลกใบเก่านั้น จะทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่เข่นฆ่าประชาชนพ้นผิด
และ พวกนี้จะทำทุกช่องทางเพื่อเอาผิดกับประชาชนที่เห็นต่าง
ในโลกใบเก่าการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เกิดขึ้นเกือบทุกทศวรรษ
บรรดานายทหารที่มีส่วนในการเข่นฆ่าประชาชนจะได้รับการเชิดหน้าชูตา
มีสายสะพายกันถ้วนหน้า ผู้พิพากษาในโลกใบเก่ามีลักษณะพิเศษ คือ
มองไม่เห็นความผิดของพวกเดียวกัน เช่น เพื่อนผู้พิพากษาขโมยเงินภาษีประชาชนเพื่อส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
ฯลฯ
     คณะกรรมการการเลือกตั้ง
เป็นหน่วยงานที่จะทำทุกอย่างเพื่อเป็นหลักประกันว่า
การเลือกตั้งที่ใสสะอาดเสรีจะไม่มีทางเกิดขึ้น
ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหน่วยงานนี้จะทำทุกอย่างเพื่อล้มการเลือกตั้ง
หน่วยงานนี้โดยหัวใจและจิตวิญญาณแล้วสนับสนุนการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง
     องค์กรสิทธิมนุษยชน สิทธิความเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิทธิที่สงวนให้ไว้ให้กับคนบางกลุ่มเท่านั้น
องค์กรนี้หวงแหนลักษณะความไม่เท่าเทียมกันของคนในโลกใบเก่ามาก
เกือบทุกครั้งที่ประชาชนผู้สนใจโลกใบใหม่ออกมาเคลื่อนไหว
องค์กรสิทธิมนุษยชนจะออกมาปรามก่อนเสมอ บางกรณีถึงขั้นออกแถลงการณ์ประณาม ในช่วงที่ประชาชนผู้ฝักใฝ่โลกใบใหม่ถูกปราบถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมกลางกรุงเทพ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ตั้งใจหลับตาเพื่อไม่มองเห็นความจริง
     มหาวิทยาลัยภายใต้ปรัชญาของโลกใบเก่านั้นเน้นความมืดบอดทางปัญญา
มหาวิทยาลัยเน้นเครื่องแบบนักศึกษามากกว่าเน้นคุณค่าของเสรีภาพในการแสดงออก หรือ
การเรียนการสอนที่ขบคิดตีปัญหาอย่างรอบด้าน
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั้นเน้นสร้างให้นักคิดในอดีตกลายเป็นเพียงรูปปั้นทางประวัติศาสตร์ให้จุดธูปกราบไหว้แทนที่จะสืบทอดแนวความคิดอันสว่างไสว
ผู้บริหารนั้นหลงไหลและคลั่งใคล้การควบคุมเด็กๆ  ผู้บริหารนั้นมีมือเพื่อปิดหูปิดตานักศึกษา ผู้บริหารนั้นมีลิ้นเพื่อเลียผู้มีอำนาจ
ผู้บริหารนั้นมีเท้าเพื่อเหยียบย่ำความสร้างสรรค์ทางความคิดของนักศึกษาผู้อยากใช้นามสกุล
“รักโลกใบใหม่”
ผู้บริหารและคณาจารย์เมื่อโดนนักศึกษาตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมในการเลียเผด็จการแต่ละเลยหลักมนุษยธรรม
ความเท่าเทียม ได้ออกมาข่มขู่สอบวินัยและอาจจะพักการเรียน
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้ออกมาแถลงว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง
! ผู้บริหารกลายเป็นเพียงนายหน้าค้า
“ใบกระดาษ”
     ธนาคารบางธนาคาร มีรูปแบบและปรัชญาการทำงานแบบ
“ไร้หัวใจเป็นที่ตั้ง” พนักงานธนาคารพวกนี้รังเกียจการปล่อยกู้ให้ชาวนา พวกนี้มองไม่ออกและไม่สนใจจะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวและไหลเวียนอย่างเป็นระบบ
พวกนี้สนใจอย่างเดียวคือเก็บรักษาเงินไว้เพื่อให้โจร นามสกุล ณ รักโลกใบเก่า
     พระบางรูปในโลกใบเก่า ทำตัวไม่ต่างจากอันธพาล
รีดไถชาวบ้านอยู่ร่ำไป พระส่วนใหญ่ในโลกใบเก่าคือตัวอุปสรรคใหญ่สำหรับสิทธิสตรีสตี
โดยเฉพาะกฎหมายทำแท้ง พระอันธพาลบางรูปเป็นหัวขบวนจุดชนวนให้มีการใช้ความรุนแรง
พระในโลกใบเก่ามองว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็น “บาป”
     วงการสื่อสารมวลชน ชิงชังแนวทางการทำงานที่นำความจริงมาเปิดเผยอย่างรอบด้าน
แต่ขยันทำงานล่วงเวลาเพื่ออัดฉีดความเทจ ป้ายสีผู้ที่เห็นต่างกับโลกใบเก่า
     กองทัพในโลกใบเก่ามีไว้เพื่อเข่นฆ่าประชาชนผู้ฝักใฝ่โลกใบใหม่
นายพลกลายเป็นฆาตกรที่มีเกียรติ กองทัพสามารถใช้เงินเป็นล้านๆ ในการซื้ออาวุธที่ล้าสมัยเพื่อนำมาเข่นฆ่าประชาชน
นายพลหรือนายทหารยศสูงเป็นเพื่อนสนิทกับการคอรัปชั่น
ทหารและกองทัพกลายเป็นนักฆ่าที่ถูกต้องตามกฎหมาย
     นักการเมืองส่วนใหญ่ในโลกใบเก่า
“ไร้กระดูกสันหลัง”

โลกใบเก่าเป็นโลกใบที่สกปรก โสมม
เป็นภัยต่อคนส่วนใหญ่ …ฉันจะทำลายโลกใบเก่า…เพื่อสร้างโลกใบใหม่ 

ทั่วโลกองค์กร “อิสระ” คือเครื่องมือเผด็จการ

ทั่วโลกองค์กร “อิสระ” คือเครื่องมือเผด็จการ
ใจ อึ๊งภากรณ์

ขณะนี้องค์กรที่อ้างกันว่า “อิสระ”
ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(คตง.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือวุฒิสภาในส่วนที่มาจากการแต่งตั้ง
ล้วนแต่หมดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงในสายตาประชาชนไทยส่วนใหญ่ สาเหตุก็อย่างที่เราเห็นกันอยู่คือ
องค์กรเหล่านี้ ซึ่งในปัจจุบันงอกออกมาจากเผด็จการและรัฐประหาร
ล้วนแต่ตั้งหน้าตั้งตาสร้างอุปสรรค์กับกระบวนการประชาธิปไตย
และพร้อมที่จะทำลายสิทธิเสรีภาพในแง่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

    
องค์กรเหล่านี้ไม่เคยจับผิดผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐไทยที่เข่นฆ่าประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ
หรือการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในปาตานี และพวกนี้ก็เพิกเฉยกับการฆ่าวิสามัญใน “สงครามยาเสพติด”
ในยุคทักษิณอีกด้วย พวกนี้เพิกเฉยต่อการโกงกินทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารที่รวยกว่าเงินเดือนปกติและกอบโกยทรัพย์สินจากการทำรัฐประหารหรือการคุมสื่อและรัฐวิสาหกิจ
หรือนายทุนที่โกงลูกจ้าง และถ้ามีการจับผิดนักการเมือง ก็แค่เป็นเพราะเป็น “ฝ่ายตรงข้าม”
ไม่เคยมีการจับผิดพวกที่แต่งตั้งกันเองและชงเรื่องกันเองเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน
ไม่เคยมีการออกมาประณามกฏหมายเผด็จการ 112 ที่ปิดปากและทำลายสิทธิเสรีภาพ
ไม่เคยมีการวิจารณ์สองมาตรฐานของการที่คนอย่างคุณสมยศติดคุกเป็นสิบๆปี
ในขณะที่นักการเมืองและทหารฆาตกรอย่างสุเทพ อภิสิทธิ์ ประยุทธ์ หรือทักษิณลอยนวล และไม่มีองค์กรอิสระใดที่วิจารณ์การที่ศาลลำเอียงปกป้องตนเองจากการถูกวิจารณ์ด้วยกฏหมาย
“หมิ่นศาล”
    
พวกนักวิชาการที่เชิดชูแนวคิดเกี่ยวกับ “องค์กรอิสระ”
โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ และหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา ไม่เคยสุจริตพอที่จะเปิดเผยว่าแนวคิด
“เสรีนิยม”
(liberalism) อันนี้ เป็นเพียงหนึ่งแนวคิดในหลายความคิดที่ตรงข้ามกันและนำไปสู่การถกเถียงเสมอในระดับสากล
เขาพยายามพูดว่า “ทุกคนที่รักประชาธิปไตย” ย่อมเห็นด้วยกับการมีองค์กรอิสระ
และพูดเหมือนกับว่ามันเป็นแค่ “เทคนิค” ในการบริหารประเทศที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง
    
ส่วนแกนนำ เอ็นจีโอ ที่คล้อยตามความคิดนี้ ก็กระทำด้วยความโง่เขลา
เพราะพวกเขามีจุดยืนที่ปฏิเสธการให้ความสำคัญกับทฤษฏี เลยรับแนวคิดของชนชั้นนายทุนมาเต็มตัว
โดยไม่สนใจที่จะรู้ตัว เนื่องจากภูมิใจในการเป็น “นักปฏิบัติ”
    
แนวคิดทางเศรษฐกิจการเมืองที่เรียกว่า “เสรีนิยม” เป็นแนวของชนชั้นนายทุน
ในอดีตมันอาจ “เสรี” ในแง่ที่พยายามต้านการผูกขาดเศรษฐกิจและการเมืองโดยพวกขุนนาง
แต่นั้นมันเกิดในศตวรรษที่ 19 ในปัจจุบันความ “เสรี” ของแนวเสรีนิยม คือเสรีภาพแบบ
“มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เสรีภาพในการกอบโกยเอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่
เพื่อปกป้องและเพิ่มความเหลื่อมล้ำ
    
ในทางการเมือง การเสนอว่าควร “แบ่งแยกอำนาจ” ระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ
และตุลาการ เป็นมาตรการเพื่อให้ฝ่ายนายทุนและอภิสิทธิ์ชนแบ่งอำนาจกันเอง
อย่าลืมว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเสนอมาในช่วงก่อตั้งสหรัฐอเมริกา
ซึ่งตอนนั้นประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง และไม่ต้องพูดถึงสิทธิของสตรีหรือคนผิวดำเลย
พอสหรัฐพัฒนาประชาธิปไตยและพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์เลือกตั้ง
ก็มีการสร้างอุปสรรค์เพื่อไม่ให้คนธรรมดาเข้ามาดำรงตำแหน่งในสามองค์กรดังกล่าว
    
ประเด็นสำคัญสำหรับไทยในยุคนี้คือ ทำไมเราไม่ควรมีสิทธิ์เลือกทั้งรัฐบาล
สภา และศาล? เพราะถ้าเราไม่มีสิทธิ์เลือก ใครจะแต่งตั้งเขา?
คำตอบคือพวกอภิสิทธิ์ชนนั้นเอง
นี่คือสาเหตุที่คนจนกับคนรวยได้รับการเลือกปฏิบัติจากกระบวนการยุติธรรมทั่วโลก
    
ในปัจจุบัน การผลักดันเรื่อง “องค์กรอิสระ” ซึ่งหมายถึง “องค์กรที่อิสระจากการเมือง”
เป็นวิธีที่จะลดอำนาจของประชาชนที่ใช้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น
เพราะในระบบประชาธิปไตย นักการเมืองได้ตำแหน่งมาจากการเลือกตั้ง
ดังนั้นการมีองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเมืองเลือกตั้ง
ก็เพียงแต่เป็นองค์กรที่อภิสิทธิ์ชนหรืออำมาตย์แต่งตั้งเอง และแต่งตั้งเพื่อลดทอน “ตรวจสอบ”
คนที่มาจากการเลือกตั้ง เช่นการใช้ ส.ว. แต่งตั้ง หรือ พวก “องค์กรอิสระ”
ทั้งปวงในไทยที่คิดว่าตนเองควรมีอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
    
การเสนอว่าธนาคารกลางในประเทศต่างๆ เป็นองค์กร “อิสระ” โดยเฉพาะในยุโรป
เป็นการโยกย้ายอำนาจในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ให้กับคนที่พวกนายทุนแต่งตั้ง
แทนที่จะมาจากกระบวนการประชาธิปไตย เพราะธนาคารกลางมีหน้าที่ควบคุมธนาคารพาณิชย์
กำหนดอัตราดอกเบี้ย และ ควบคุมระบบการเงิน และคนที่ดำรงตำแหน่งบริหารธนาคารกลางมีแต่พวกนายธนาคารหรือนายทุน
ไม่เคยมีใครที่เป็นกรรมาชีพหรือคนธรรมดาเลย
    
สรุปแล้วแนวคิดเสรีนิยมที่เน้นความสำคัญขององค์กรอิสระ
เป็นแนวคิดที่ไม่ไว้ใจวุฒิภาวะของประชาชนส่วนใหญ่ และไม่ไว้ใจประชาธิปไตย มันเข้ากับความคิดของม็อบชนชั้นกลางที่พยายามทำลายประชาธิปไตยไทย
    
ประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมที่เราเห็นทั่วโลก เป็นเพียงประชาธิปไตยครึ่งใบ
เพราะอำนาจในการลงทุนและจ้างงาน ซึ่งมีผลกระทบหลักต่อชีวิตคนส่วนใหญ่
และเป็นการควบคุมเศรษฐกิจ มักอยู่ในมือนายทุนที่ไม่เคยมาจากการเลือกตั้งเลย
แต่แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบแบบนี้ ก็ “มากไป” สำหรับฝ่ายเสรีนิยม
    
เราต้องยกเลิกองค์กรที่อ้างตัวว่า “อิสระ” ในไทย
การแก้ไขหรือปฏิรูปจะไม่เปลี่ยนสถานการณ์แต่อย่างใด

    
บางคนอาจถามว่าถ้าไม่มีองค์กรอิสระเราจะกำจัดการคอร์รับชั่นและการใช้อำนาจแบบผิดๆ
โดยนักการเมืองอย่างไร คำตอบคือต้องใช้กระบวนการประชาธิปไตย
ต้องมีหลายพรรคการเมืองที่เสนอทางเลือก
และพลเมืองทุกคนต้องมีสิทธิ์เข้าชื่อถอดถอนนักการเมือง
พร้อมกันนั้นต้องมีการเลือกตั้งศาล และผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะทุกคนที่มีอำนาจในการกำหนดอนาคตของพลเมือง

“จัดตั้ง” คือ หลักประกันที่ดีที่สุด

“จัดตั้ง” คือ หลักประกันที่ดีที่สุด
สมุดบันทึกสีแดง

ตอนนี้ความขัดแย้งทางการเมืองได้เดินมาสู่จุดที่กลไกหลักๆ
ของสถาบันทางการเมืองหยุดการทำงาน เพราะพรรคเพื่อไทยตั้งใจที่จะเดินหน้าเข้าสู่การประนีประนอม
ไม่ว่าการประนีประนอมนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาออกมาหน่าเกลียดขนาดไหน ข้อเสนอและข้อวิเคราะห์ที่ว่าความขัดแย้งมาถึงจุดที่กำลังก้าวเข้าสงครามกลางเมือง
เป็นแนวความคิดที่ปูทางเพื่อให้ข้อเสนอนี้ถูกยอมรับได้ง่ายๆ



รูปธรรมของการประนีประนอมที่น่าเกลียดอาจจะออกมาในหลายรูปแบบ
เช่น “รัฐบาลแห่งชาติ”  “
การลดอำนาจของบุคคลที่มาจากการเลือกตั้ง” “การเพิ่มอำนาจให้ศาล”
“การเพิ่มอำนาจให้สำนักตรวจสอบงบประมาณฯ” “การเพิ่มจำนวน สว
ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ฯลฯ ไม่ว่าการประนีประนอมจะออกมาในรูปแบบไหน
ฝ่ายที่อยู่ข้างบนทุกฝ่ายก็จะอยู่สุขสบายและไปรอด แต่ฝ่ายฉิบหายก็เป็นฝ่ายประชาชน

อีกข้อเสนอหนึ่งที่เริ่มมีการพูดถึงคือ
การแก้ปัญหาด้วยการชูการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งข้อเสนอนี้น่าจะออกมาจากอารมณ์ที่โกรธแค้นมากกว่าจะมีการสำรวจความเป็นไปได้อย่างเป็นระบบ
แต่ถ้าข้อเสนอนี้มีการพูดเรื่อยๆ พวกเราต้องให้ความสำคัญ ซึ่งคำถามที่เราจะต้องถามพร้อมๆ
กันคือ ระหว่างการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ และ การเมือง เชิงชนชั้น
อันไหนมีประสิทธิในการแก้ปัญหามากกว่ากัน

มีความเป็นไปได้ไหมที่จะมีการแบ่งแยกดินแดน?
คำตอบคือยากมาก ในกรณีของประเทศติมอร์
ซึ้งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรที่สำคัญคือน้ำมัน 
แต่ยังอยู่ในสภาวะความยากจนเพราะรัฐบาลไร้ศักยภาพที่จะหาเงินมาลงทุนและแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติเพื่อขาย
หรือ
ถ้าบริษัทเหล่านั้นเข้ามาลงทุนผลประโยชน์ก็จะตกไปอยู่ที่กลุ่มทุนและชั้นนำไม่กี่คนแทนที่จะตกไปสู่ประชาชนชาวติมอร์
เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเวเนซุเอล่าก่อนยุคซาเวท ทีนี้วกกลับมาที่ภาคเหนือและภาคอีสาน
คำถามที่จะต้องถาม คือ ทรัพยากรอยู่ที่ไหน? หรือ
ภายใต้ประเทศใหม่จะบริหารประเทศแบบไหน? และประเด็นที่สำคัญคือ
ทำไมเราต้องยกกรุงเทพซึ่งเป็นศูนย์กลางของความมั่งคั่งตกไปอยู่ในมือของพวกอันธพาลด้วย

ทีนี้ถ้าเราพูดถึงการเมืองชนชั้น มันมีปรากฎการณ์หนึ่งที่เราต้องมีคำตอบ
กรณีที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กรณีล่าสุดคือ
พนักงานธนาคารออมสินที่ออกมาคัดค้านการให้เงินกู้เพื่อช่วยเหลือชาวนาคนยากคนจน
ทำคนเหล่านี้ถึงใจจืดใจดำขนาดนี้?
ทำไมพวกนี้กลายพันธ์ไปเป็นองค์ลัษณ์พิทักฝ่ายม๊อบสุเทพได้อย่างไร? คำอธิบายคือ
เราฝ่ายเสื้อแดงและฝ่ายซ้ายไม่ได้เข้าไปจัดตั้งในสหภาพแรงงาน
แต่ปล่อยให้ฝ่ายขวาเข้าไปจัดตั้งแทน
พวกนั้นจึงยึดถือผลประโยชน์ของฝ่ายปฏิกิริยาเป็นหลัก

ส่วนใหญ่ของข้อถกเถียงทางการเมืองของฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตยนั้นยังอยูในกรอบที่ยังไม่ค่อยพัฒนาไปไกลนัก
โดยยืนอยู่ที่การรักษากรอบประชาธิปไตยเดิมๆที่มีอยู่
ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยเดินหน้าประนีประนอม กรอบเดิมๆ
เหล่านี้ก็จะไม่เหลือมิหนำซ้ำเราก็จะได้โครงสร้างทางการเมืองที่แย่กว่าเดิม
ถ้าเราไม่อยากวนซ้ำที่เดิม
เราต้องพัฒนาการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยให้ไปไกลมากกว่าที่เป็นอยู่

การเรียกร้องให้มวลชนออกมาสำแดงพลังเป็นเรื่องที่ดีและต้องมีการทำอย่างต่อเนื่องแต่มันไม่เพียงพอ 
เพราะถ้าไม่มีพรรคการเมืองที่ก้าวหน้ารับช่วงต่อพลังของมวลชนที่ออกมาแต่ละครั้งก็จะสลายไป
การที่มวลชนจะคานอำนาจของพรรคการเมืองได้นั้น จะต้องเป็นมวลชนที่มีการจัดตั้งทางการเมือง
และอุดมการณ์ทางการเมืองที่นำมาจัดนั้นจะต้องเป็นการเมืองที่เน้นผลประโยชน์ทางชนชั้น
สามารถรับมือกับความซับซ้อนของความขัดแย้งทางชนชั้นที่เกิดขึ้น
พรรคการเมืองที่เราต้องการมากๆ ในขณะนี้
จะต้องเป็นพรรคการเมืองที่ต้องการท้าทายระบบเก่าจริงๆ  สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้นเคยทำมาก่อน โดยการจัดตั้งกรรมาชีพอย่างเป็นระบบ
เริ่มมาตั้งแต่ยุค 2475 ซึ่งการต่อสู้ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยความดุเดือด
ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะหันไปรับแนวเหมาและเน้นการตั้งฐานที่มั่นในป่าแทนในเมือง  


ถ้าเราจะหนีจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่
มันไม่มีทางลัด มันหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงและให้ความสำคัญกับการจัดตั้ง และ
มีพรรคการเมืองทางเลือกจริงๆ ไม่อย่างนั้นเราก็จะกลับไปอยู่ในโครงสร้างทางการเมืองแบบเก่าๆ 

สิทธิสตรี

สิทธิสตรี
ผู้รักความเป็นธรรมทุกคนต้องยอมรับว่าในสังคมนี้
สตรีด้อยโอกาสกว่าชาย ตัวอย่างเช่น ค่าจ้างโดยเฉลี่ยของหญิงมักต่ำกว่าชาย
หญิงมักมีบทบาทเป็นผู้นำของสังคมน้อยกว่าชาย
และสังคมมักจะมีค่านิยมที่ให้โอกาสกับชายมากกว่าหญิงในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศเป็นต้น
สาเหตุมาจากอะไรและเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
?


     ในการอธิบายปัญหาของสตรีและทางออกในการแก้ปัญหาดังกล่าว
เราจะพบว่ามีสองสำนักความคิดหลักคือ
1. สำนักความคิด
สตรีนิยม หรือแฟมินิสต์
(Feminist)
2. สำนักความคิดแบบ
ลัทธิมาร์คซ์ หรือมาร์คซิสต์
     สำนักความคิดสตรีนิยมจะเสนอว่าปัญหาของหญิงมาจากชาย
ผู้ชายทุกคนรวมหัวกันกดขี่หญิง
ชายทุกคนไม่ว่าจะกรรมาชีพหรือนายทุนได้ประโยชน์จากการกดขี่หญิง
ดังนั้นชายเป็นผู้กำหนดกฎกติกาทั้งหลายในสังคมที่เอาเปรียบผู้หญิง
ชายบังคับให้หญิงอ่อนน้อมต่อตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานบ้าน การตัดสินใจ หรือการมีความสัมพันธ์ทางเพศ  ทฤษฎีนี้มีชื่อว่า
ทฤษฎีพ่อเป็นใหญ่ฉะนั้นทางออกของแนวนี้คือผู้หญิงทุกชนชั้นจะต้องสร้างแนวร่วมต่อต้านผู้ชาย
พวกนี้จึงเสนอว่าควรมี ส
.. หรือ ส.. หญิงเพิ่มขึ้น
     สิ่งที่ฝ่ายสตรีนิยมเสนอ
ถ้าดูแบบผิวเผินอาจมีความจริง แต่เมื่อเราพิจารณาลึกกว่านั้นจะมีข้อบกพร่อง เช่น
แนวคิดนี้ไม่สามารถอธิบายว่าการกดขี่ทางเพศเริ่มเมื่อไรในประวัติศาสตร์มนุษย์
และไม่สามารถอธิบายได้ว่าชายที่เป็นกรรมาชีพจะได้อะไรจากการที่เมียของเขากินค่าแรงต่ำ
เป็นต้น
     นักคิดแนวมาร์คซิสต์เช่น เองเกิลส์
อธิบายว่าการกดขี่ทางเพศไม่มีในสมัยบรรพกาล
แต่เริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีสังคมชนชั้นเพราะมีชายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย
ใช้อาวุธที่เคยใช้ล่าสัตว์เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในสังคม กดขี่หญิงและชายอื่นๆ
และตั้งตัวเองเป็นผู้ขูดรีดผลผลิตส่วนเกินของสังคมโดยตนเองไม่ต้องทำงาน ชายกลุ่มนี้ต้องการควบคุมหญิงที่เป็นเมียตนเอง
เพื่อเป็นแหล่งผลิตลูกหลานในการสืบทอดมรดกทรัพย์สิน
     ในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ชนชั้นนายทุนเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการที่สังคมมองว่า
หญิงเสมือนเท้าหลังที่มีหน้าที่หลักคือการเลี้ยงดูลูกและทำงานบ้าน
เพราะหญิงจะได้เป็นผู้ผลิตแรงงานรุ่นต่อไปเพื่อป้อนเข้าโรงงาน
โดยที่นายทุนไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นี่คือเงื่อนไขที่ผลิตซ้ำแนวคิด “ครอบครัวจารีต”
    
แต่ในขณะเดียวกันระบบทุนนิยมมีความขัดแย้งในตัวมันเอง
เพราะนายทุนปัจจุบันต้องการขยายกิจการและจ้างงานเพิ่มตลอดเวลา
จึงมีการดึงแรงงานหญิงเข้ามาทำงานนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้หญิงเริ่มมีความอิสระและเรียกร้องสิทธิมากขึ้น
นอกจากนี้ในสังคมไทยและที่อื่น ค่าจ้างของชายหนึ่งคน ถูกนายทุนกดไว้เพื่อเพิ่มกำไร
 จึงย่อมไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้
ผู้หญิงจำนวนมากก็ออกไปทำงาน
แต่รัฐและนายจ้างพยายามปฏิเสธการรับผิดชอบในการจัดสถานที่เลี้ยงเด็กฟรี
โดยใช้แนวคิด “หญิงเป็นเท้าหลัง” และ
ครอบครัวจารีตเพื่อแก้ตัว

     นักมาร์คซิสต์เชื่อว่ากรรมาชีพหญิงไม่ควรจับมือกับรัฐมนตรีชนชั้นนายทุนที่เป็นท่านผู้หญิงและไม่ควรเลือก
.. หรือ ส.. หญิงจากพวกนายทุน
เพราะการกดขี่ทางเพศมาจากสังคมชนชั้น 
ในระยะสั้นกรรมาชีพหญิงและชายต้องต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เช่นสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย
โดยเฉพาะสิทธิทำแท้ง เพราะการกดขี่หญิงสร้างความแตกแยกในขบวนการแรงงาน และไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยกับกรรมาชีพชาย
แต่ในระยะยาวเราต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อล้มระบบกดขี่ชนชั้นของทุนนิยมและสร้างระบบสังคมนิยมแทน
การกดขี่ทางเพศทุกรูปแบบจะได้หมดสิ้นไปสักที

no more army : นักกิจกรรมเรียกร้องให้ทหารกลับเข้ากรมกอง

2 มี.ค. 57 นักกิจกรรมประชาธิปไตย จัดกิจกรรมเรียกร้องให้ทหารกลับเข้ากรมกอง หยุดแทรกแซงการเมือง ด้านหน้า กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ บางเขน

กลไกตลาดคืออะไร อะไรคือกลไกตลาด กลไกตลาดมีจริงหรือไม่

ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ไม่เคยปลอดจากการถูกแทรกแซงโดยรัฐ และส่วนมากกระทำไปภายใต้การให้ผลประโยชน์จากชนชั้นนายทุน หรือพูดอีกอย่างคือ พวกนายทุน ต้องการการแทรกแซงกลไกตลาดจากรัฐตลอดเวลา เพื่อสร้างความมั่งคั่ง และให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา

โดย วัฒนะ วรรณ

ช่วงนี้ เราๆ ท่านๆ ที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง คงจะได้ยิน ได้ฟัง ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลกันพอสมควร เหตุผลอันหนึ่งที่มักจะมีการพูดกันเยอะ แต่ไม่ค่อยมีใครจะอภิปราย ทำราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมชาติ นั่นคือคำว่า “บิดเบือนกลไกตลาด”

คนที่พูดเช่นนี้เขามักจะเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ หรือแสร้งทำเป็นเชื่อ เพราะมันให้ผลประโยชน์แก่ตนเอง เขาเหล่านั้นกล่าวอ้างว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ถูกขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด ที่เขามักจะเรียกกันว่า “มือที่มองไม่เห็น” ตามแนวทางทฤษฎีเสรีนิยม ที่มีเจ้าสำนักที่ชื่อว่า อดัม สมิธ

สมิธ อธิบายว่า ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม “กลไกตลาด” จะเป็น “มือที่มองไม่เห็น” คอยจัดการบริหาร ทรัพยากร และผลผลิตทั้งมวล ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสังคม โดยที่ “มือที่มองไม่เห็น” จะจัดการทรัพยากรและผลผลิตต่างๆ ให้เข้าสู้ “ดุลยภาพ” เสมอ

“ดุลยภาพ” คืออะไร

ดุลยภาพ ประกอบได้ด้วย สองส่วนหลักๆ คือ อุปสงค์ ที่เป็นความต้องการบริโภคของคนในสังคม ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ และก็ อุปทาน ที่เป็นปริมาณสินค้า ที่ถูกผลิตขึ้นมาในสังคม ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ

ตามความคิดของสำนักเสรีนิยม เขาก็จะท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า ถ้าสินค้ามีจำนวนมากกว่าความต้องการบริโภค ราคาสินค้าจะลดลง เมื่อราคาลดลง กำไรก็จะลดลง เมื่อกำไรลดลง ผู้ผลิตก็จะผลิตลดลง ปริมาณสินค้าก็จะลดลง ปริมาณสินค้า และความต้องการ ก็จะเข้าสู่จุด “ดุลยภาพ” เป็นต้น หรือเรียกอีกอย่างว่า ปริมาณสินค้า และความต้องการ จะจัดสรรกันพอดี ไม่เหลือไม่ขาด

ในทางกลับกัน ถ้าสังคมมีความต้องการบริโภคสินค้า มากกว่า จำนวนสินค้าที่ถูกผลิตได้ ราคาสินค้าก็ปรับตัวสูงขึ้น เพราะคนต้องการมาก กำไรก็จะมากขึ้น เมื่อกำไรมากขึ้น นายทุน ก็จะมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้ามากขึ้น จนเพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าก็ค่อยๆ ลดลง ในขณะเดียวกันกำไรที่เคยได้รับมากขึ้น ก็ค่อยๆ ลดลง จนไม่มีแรงดึงดูดให้คนมาผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้า และความต้องการบริโภคก็จะเข้าสู่ “ดุลยภาพ” คือทั้งสินค้า และความต้องการ จะมีพอดี ไม่เหลือ ไม่ขาด

ความเป็นจริง มันเป็นแบบนั้นหรือไม่ 

จอร์น เมย์นาด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมอีกสำนัก แย้งพวกสำนักสมิธว่า ระบบเศรษฐกิจ จะไม่เข้าอยู่ระบบดุลยภาพเสมอไป โดยเฉพาะช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เคนส์ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า “กับดักสภาพคล่อง”

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ถึงแม้ผู้คนจะมีความต้องการในการบริโภคสินค้าจำนวนมาก แต่เอกชนผู้มีเงินทุนจะไม่กล้า ไม่มั่นใจ ไม่ลงทุน ในการผลิตสินค้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค อาจจะเนื่องด้วยคนมีความต้องการ แต่ไม่มีเงินซื้อ หรือการลงทุนนั้นอาจจะไม่เกิดผลกำไรเท่าควร เช่น ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น

เคนส์ จึงเสนอว่าในสภาวะแบบนี้ รัฐบาลที่มีเงิน จะต้องลงทุนในระบบเศรษฐกิจ สร้างงาน ผลิตสิ่งต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้คนมีสินค้าสำหรับบริโภค มีรายได้จากการทำงาน เพื่อจะนำมาจับจ่าย กระตุ้นให้เกิดการผลิตในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

นี่เป็นตัวอย่างคราวๆ ว่าแท้จริงแล้วภายใต้แนวคิดเสรีนิยมเอง ยังมีแนวคิดที่สนับสนุนให้เกิดการแทรกแซง “กลไกตลาด” ได้ ตามความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และความต้องการของผู้คนในสังคม

แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะอ้างแนวคิด ทฤษฎี เสรีนิยมกลไกตลาดสำนักไหนๆ ก็ตาม ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ไม่เคยปลอดจากการถูกแทรกแซงโดยรัฐ และส่วนมากกระทำไปภายใต้การให้ผลประโยชน์จากชนชั้นนายทุน หรือพูดอีกอย่างคือ พวกนายทุน ต้องการการแทรกแซงกลไกตลาดจากรัฐตลอดเวลา เพื่อสร้างความมั่งคั่ง และให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน เมื่อคราวเกิดวิกฤตปี 40 มีการใช้เงินรัฐจำนวนกว่า 2 ล้านล้านบาท ในการเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินกว่า 50 แห่งที่ล้มละลาย เป็นวงเงินที่มากกว่าจำนำข้าวกว่า 4 เท่าตัว

หรือแม้กระทั่งการดำเนินธุรกิจทั่วๆ ไปในทุกวันนี้ จะมีรัฐเข้าไปแทรกแซงตลอดเวลา ทั้งการให้สิทธิพิเศษทางภาษี การให้สัมปทาน การเก็บและไม่เก็บภาษีประเภทต่างๆ มากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกันไป

ดังนั้น การที่รัฐเขาไปแทรกแซง ในระบบเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม ก็เท่ากับการไป “บิดเบือนกลไกตลาด” มากบ้างน้อยบ้าง จึงเป็นเรื่องปกติ มันจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว น่ากังวล แต่ประการใด ตราบเท่าที่มันให้ประโยชน์กับพวกนายทุน ขุนศึก และชนชั้นนำด้วยกัน และก็แทบมองไม่เห็นว่ามันมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอะไรหลงเหลืออยู่บ้างที่ไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐ

ที่เขียนมาซะยืดยาว มิใช่จะเชียร์ จะสนับสนุนระบบทุนนิยมกลไก ตลาดแต่ประการ เพราะโดยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แบบกลไกตลาด มันก็มีปัญหา มันไม่สามารถผลิตสินค้าตอบสนองคนในสังคมได้จริงๆ มันตอบสนองเพียงแต่คนที่มีเงิน เพราะการเอาราคาสินค้าเป็นตัวตั้ง ก็เท่ากับว่าคนที่มีเงินจะได้บริโภคสินค้านั้นๆ ก่อน คนจนๆ แต่ที่เขียนมา เพื่อจะอธิปรายว่า “กลไกตลาด” ไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ ที่แตะต้องไม่ได้ เพราะที่ผ่านมามันมีการแตะต้องแทรกแซงกันมาตลอด มากบ้าง น้อยบ้าง ก็เท่านั้น แต่มันจะไม่เป็นปัญหา ถ้าการแทรกแซงนั้นๆ ให้ประโยชน์กับชนชั้นนำ กับนายทุน

แบ่งแยกประเทศผมไม่แคร์ แต่จะยกทรัพยากรให้พวกอำมาตย์มารทำไม?

แบ่งแยกประเทศผมไม่แคร์ แต่จะยกทรัพยากรให้พวกอำมาตย์มารทำไม?
ใจ อึ๊งภากรณ์

ผมไม่เคยสนับสนุนประโยคในรัฐธรรมนูญไทยที่กล่าวว่า
“ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” และในการปฏิรูปการเมืองเพื่อประชาธิปไตยควรจะตัดออก
อย่างน้อยก็เพื่อให้ “ชาวปาตานี” สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้
แต่โดยรวมแล้วผมไม่เคยหวงดินแดนรัฐชาติไทยแทนชนชั้นปกครอง เพราะประชาชนไทย 99
% ไม่เคยเป็นเจ้าของดินแดนที่แท้จริงอันนี้
แม้แต่ที่ดินทำกินกับบ้านที่อยู่อาศัย ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เป็นเจ้าของด้วยซ้ำ
และเราก็ไม่ต้องไปเชื่อประวัติศาสตร์ปลอมที่เสนอว่าวีรบุรุษคนใหญ่คนโตเคยปกป้องพรมแดนรัฐชาติไทยเพื่อส่วนรวม
ยิ่งกว่านั้นพวกวีรบุรุษเหล่านั้นยังไปยึดพื้นที่ที่เคยเป็นชุมชนอื่น
มาขึ้นกับกรุงเทพฯ อีกด้วย
    
ดังนั้นใครเสนอให้แบ่งแยกประเทศ ผมไม่แคร์เลย


    
แต่ที่เราทุกคนที่รักประชาธิปไตยควรแคร์และหวงคือ
ผลิตผลจากการทำงานของประชาชนส่วนใหญ่  เพราะทรัพยากรดังกล่าวมาจากหยาดเหงื่อของผู้ทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นกรรมาชีพหรือเกษตรกร มันไม่ได้เกิดจากนายทุนในปัจจุบันหรือศักดินาในอดีต
คนดังกล่าวเป็นเพียงคนที่ “ทำนาบนหลังคน” เท่านั้น
    
คำถามสำคัญที่เราควรตั้งกับเพื่อนๆ เสื้อแดง ที่อยากแบ่งประเทศ เพราะโกรธแค้น
จากการลอยนวลของมารต้านประชาธิปไตย ทหารเผด็จการ และฝูงนักวิชาการกับแกนนำเอ็นจีโอ
คือ เรื่องอะไรเราจะไปยกทรัพยากรมหาศาล ที่มาจากการทำงานของคนธรรมดา
ให้พวกอำมาตย์?
 
   ลองดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของผลิตภัณฑ์มวลรวม
แบ่งเป็นภาค ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมนี้คือผลผลิตทั้งหมดที่มาจากการทำงานของประชาชน
มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม
(ตัวเลขจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
๒๕๕๒
http://www.mtp.rmutt.ac.th/?p=2396  )
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล     3,770,185 
ล้านบาท
ภาคตะวันออกติดชายฝั่งอ่าวไทย    1,398,288 ล้านบาท
ภาคกลางส่วนกลาง  696,438 
ล้านบาท
ภาคตะวันตก  396,909 
ล้านบาท
ภาคใต้  886,503 
ล่านบาท
รวม          7,148,323  ล้านบาท
ภาคเหนือ  862,657 
ล้านบาท
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  1,039,736 
ล้านบาท
รวม        1,902,393  ล้านบาท
    
จะเห็นว่ากรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคกลาง และภาคตะวันออก
ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรม และศูนย์กลางภาคบริการ
มีผลผลิตมากกว่าภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกือบสามเท่า
และมันเป็นผลงานของผู้ทำงานในพื้นที่และผู้ที่ย้ายถิ่นจากภาคอื่นเพื่อหางานทำอีกด้วย
    
นอกจากนี้ภาคกลางและภาคตะวันออกมีท่าเรือ และอ่าวไทยมีก๊าซธรรมชาติ
    
ชนชั้นสำคัญกว่าภูมิศาสตร์ ถ้าแบ่งประเทศอย่างที่เสื้อแดงบางคนเสนอ ประเทศลานนากับตะวันออกเฉียงเหนือจะยากจนมาก
แถมประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้
ที่รักประชาธิปไตยและเกลียดชังม็อบสุเทพ ก็จะตกเป็นทาสเผด็จการอีกด้วย
 
   ไม่ครับ
เราควรตั้งความหวังในอนาคต เพื่อสร้างรัฐไทยใหม่ ให้ประชาชนคนทำงาน
ทั้งกรรมาชีพและเกษตกร เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เราควรยึดทรัพยากรที่นายทุนใหญ่และทหารขโมยจากการทำงานของเรา
เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการภายใต้คำขวัญ “ถ้วนหน้า-ครบวงจร-จากการเก็บภาษีก้าวหน้า”

    
เราควรปฏิรูประบบยุติธรรมแบบถอนรากถอนโคน ลดอำนาจทหาร
ยุบองค์กรที่ไม่เคยอิสระ และเราควรสร้างมาตรฐานสิทธิเสรีภาพประชาธิไตย บนซากรัฐเผด็จการไทยต่างหาก