เสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยควรเลิกหลอกตัวเอง

เสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยควรเลิกหลอกตัวเอง

กองบรรณาธิการเลี้ยวซ้าย

รัฐประหารรอบล่าสุดดูเหมือนจะใกล้ถึงเป้าหมาย
เหลือแค่การล้มรัฐมนตรีรักษาการ แล้วแต่งตั้งนายก ม๗ ก็จบ และที่แกนนำ นปช.
ประกาศว่าจะ “สู้จนถึงที่สุด” นั้นมีความหมายอะไรในรูปธรรม? หรือเป็นเพียงคำพูดที่ไร้ความหมายเพื่อเอาใจคนรักประชาธิปไตย?



     มาถึงจุดนี้แล้ว
ชาวเสื้อแดงและคนรักประชาธิปไตยอื่นๆ ควรทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ม็อบพันธมิตรแรกปรากฏตัว
     มีการยุบสภาและประกาศการเลือกตั้งสองครั้ง
โดยหวังว่าจะพิสูจน์กับประชาชน ว่าการพยายามล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นขาดความชอบธรรม
แต่ทั้งสองกรณี ภายใต้ทักษิณครั้งหนึ่ง และภายใต้ยิ่งลักษณ์อีกครั้ง
เพียงแต่ทำให้ฝ่ายประชาธิปัตย์และพวกต่อต้านการเลือกตั้ง บอยคอตการเลือกตั้ง
ก่อม็อบต่อไป แล้วในที่สุดจบลงด้วยรัฐประหารทหาร หรือรัฐประหารตุลาการ
     มีการเลือกตั้ง 4 ครั้ง ฝ่ายไทยรักไทย
พลังประชาชน หรือเพื่อไทย ชนะทุกครั้ง โดยไม่มีหลักฐานการโกงแต่อย่างใด
แต่กลับจบลงด้วยการล้มรัฐบาลด้วยวิธีต่างๆ ดังนั้นการเลือกตั้งรอบต่อไป ถ้าเกิดจริงและไม่โดนเปลี่ยนกติกาจนไร้ประชาธิปไตย
ก็คงไม่แก้ปัญหาอะไรเลย เพราะมันไม่พิสูจน์อะไรที่ใครๆ ไม่ทราบมาก่อน
มันไม่ตบหน้าทหารหรือม็อบสุเทพ และมันไม่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของอำมาตย์
เพราะอำมาตย์ต่อต้านประชาธิปไตย
และไม่เคารพการเลือกตั้งหรือเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ อาจไม่มีการเลือกตั้งเร็วๆ
นี้ด้วยซ้ำ
    
มีการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงเพื่อไล่รัฐบาลเถื่อนของอภิสิทธิ์ที่ก่อตั้งในค่ายทหาร
เสื้อแดงจำนวนมากโดนทหารฆ่าอย่างเลือดเย็น ในที่สุดในปีต่อไปก็มีการยอมให้มีการเลือกตั้ง
ยอมให้ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นนายก แต่ก็ถูกล้มในที่สุด
     ถ้าเราถูกบังคับให้มีนายก ม๗
และการเปลี่ยนกติกาเพื่อโกงการเลือกตั้งโดยอำมาตย์และประชาธิปัตย์
เราจะออกมาชุมนุมแบบเดิม หรือจะยกระดับการต่อสู้?
และถ้าจะยกระดับการต่อสู้มันหมายความว่าอะไรในรูปธรรม และใครจะนำการต่อสู้ดังกล่าว?
แต่แน่นอน ถ้าเราไม่ออกมาสู้เพราะเราเบื่อ น้อยใจ หรือหดหู่ ฝ่ายอำมาตย์ก็จะชนะ
     ที่สำคัญคือใครตั้งรัฐบาล
ไม่ได้แปลว่าคุมอำนาจรัฐโดยอัตโนมัติ มันชัดเจนว่าอำมาตย์คุมอำนาจรัฐ โดยเฉพาะ
ทหาร ศาล ข้าราชการชั้นสูง และสื่อมวลชนส่วนใหญ่
และพวกนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการและแกนนำเอ็นจีโอด้วย
นอกจากนี้ตำรวจก็ไม่รู้จะรับคำสั่งจากใคร ตามลำพังก็ไม่เคยก้าวหน้าอะไร และไม่มีอำนาจมากมาย
ตอนนี้ก็แค่กล้าๆ กลัวๆ ส่วน ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ นักการเมืองเพื่อไทย และแกนนำ นปช.
ก็ไม่อยากแตกหักกับพวกอำมาตย์ที่คุมอำนาจรัฐ
เป้าหมายของเขาคือเพียงอยากกลับเข้าสู่สมาคมอำมาตย์เท่านั้น
     เพื่อนๆ เสื้อแดง เพื่อนๆ ผู้รักประชาธิปไตย
ท่านคิดหรือว่าเราจะมีประชาธิปไตยได้ ถ้าไม่กำจัดอำมาตย์แบบถอนรากถอนโคน?
ท่านยังฝันต่อไปหรือว่าพรรคเพื่อไทยหรือทักษิณหรือแกนนำ นปช.
จะสู้อย่างจริงจังในรูปธรรม? ทักษิณเคยมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยจริงหรือ?
ในความเป็นจริงเขาสนใจประชาธิปไตยแค่ในกรณีที่ตนเองชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่สนใจสิทธิเสรีภาพพอที่จะยกเลิก
112 หรือละเว้นการก่ออาชญากรรมกับคนมาเลย์มุสลิมในภาคใต้
คนแบบนี้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างถึงที่สุดได้อย่างไร?
    
หรือท่านยังฝันอยู่ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาลจะเกิดประชาธิปไตยแท้?
หรือท่านยังฝันอยู่ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะเข้ามาแก้ปัญหาการเมืองให้เรา?
     ลองพิจารณาให้ดี ความฝันแบบนี้
ที่กล่าวถึงข้างบน ทั้งหมดเป็นความฝันประเภทที่เราฝากให้ผู้ใหญ่มาแก้ไขปัญหาให้เรา
และสร้างประชาธิปไตยให้เรา มันเป็นความฝันของทาส
     เราจะรอการล้มรัฐบาลกี่รอบ
การก่อตั้งเผด็จการกี่รอบ เราถึงจะเข้าใจว่าเราเองต้องนำตนเองร่วมกับคนอื่น
เพื่อสร้างประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพจากล่างสู่บน?
     ถ้าเราเข้าใจว่าการสร้างประชาธิปไตยในไทย
คงต้องอาศัยการโค่นโครงสร้างอำมาตย์ เช่นการปลดผบ. ทหาร ลดงบประมาณทหาร ตัดอำนาจทหาร
ปลดศาลตุลาการ ยุบองค์กรที่โกหกว่า “อิสระ” ปลด สว.แต่งตั้ง และยึดสื่อมวลชนมาเป็นของประชาชน
เราก็คงหลอกตัวเองว่า “เป็นเรื่องง่าย” ไม่ได้ แน่นอนมันไม่ง่าย มันจะใช้เวลา
แต่มันจำเป็นถ้าเราจะร่วมกันเป็นพลเมืองที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
     พวกเราในองค์กรเลี้ยวซ้ายพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ว่าการต่อสู้กับอำมาตย์ต้องอาศัย
การจัดตั้งมวลชน
อย่างเป็นระบบ อิสระจาก นปช. และเพื่อไทย ต้องพัฒนากลุ่มคนก้าวหน้าจากเครือข่ายหลวมๆ
ให้การเป็นองค์กรจัดตั้งให้ได้ ต้องมีนโยบายและเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่ชัดเจน
ต้องมีคณะทำงานที่เป็นแกนนำ ต้องเชื่อมกับหลายส่วนของสังคม
มีงานรณรงค์ในหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องปากท้องและการเมืองภาพรวม ต้องมีและขยายสมาชิก
มีผู้ปฏิบัตงานที่ผ่านการฝึกฝน ในงานภาคปฏิบัติการ และงานทางความคิด โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว
และต้องมีสื่อของเราเอง
     เราไม่ได้ “ขอให้มิตรสหายมาขึ้นอยู่กับเรา”
เราขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเป็นระบบในลักษณะเท่าเทียมกัน
     ที่สำคัญยิ่งคือ เราต้องสนใจ “อำนาจ”
เราต้องรวบรวม “พลัง” เพื่อเผชิญหน้ากับอำนาจและพลังของฝ่ายอำมาตย์แบบมืออาชีพ เพราะ
“อำนาจ” และ “พลัง” ของฝ่ายเราหาได้ในหมู่คนทำงานกรรมาชีพ โดยเฉพาะเมื่อนัดหยุดงาน
และต้องสมทบกับพลังมวลชนของเกษตรกรรายย่อย

     ความจริงนี้ ไม่ได้งอกมาจากสมองใคร
มันมาจากบทเรียนในการล้มอำมาตย์หรือต่อสู้กับอำมาตย์ในตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา
ยุโรป และจากไทยเองในอดีต ที่สำคัญคือมันทำได้ ถ้าเราอยากทำจริง

ต้องเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน

ต้องเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตอนนี้มันชัดเจนว่าแนวประนีประนอมของพรรคเพื่อไทย
และ แนว นปช. ที่เดินตามเพื่อไทย ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
    
ถ้าเราเข้าใจลักษณะของ “รัฐ” ในระบบการเมืองของโลก ตามที่ มาร์คซ์
เองเกิลส์ และเลนิน เคยอธิบาย
เราจะเข้าใจว่าการเป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภาประชาธิปไตยทุนนิยม
ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการคุมอำนาจรัฐเลย เพราะรัฐประกอบไปด้วย ทหาร ศาล ตำรวจ และคุก
และรัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองทุกซีกทุกก๊ก เพื่อกดขี่ชนชั้นอื่นๆ
มันไม่เคยเป็นกลางและไม่เคยเป็นประชาธิปไตย
แม้แต่ในประชาธิปไตยตะวันตกก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าในประเทศดังกล่าวพลังของคนทำงานและประชาชนโดยทั่วไป
คอยห้ามไม่ให้รัฐล้ำเส้นมากเกินไปเท่านั้น แต่ทุกอย่างไม่แน่นอนมั่นคง
พื้นที่ประชาธิปไตยไม่ได้แช่แข็ง มันขยายและมันหดได้



    
วันนี้เราเห็นอำนาจรัฐ ผ่านตลก.(ร้าย)รัฐธรรมนูญ
โค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สาม
ก่อนหน้านั้นเราเห็นทหารทำรัฐประหาร และเห็นทหารเข่นฆ่าคนเสื้อแดงที่ท้าทายเผด็จการและอำนาจรัฐ
โดยเรียกร้องประชาธิปไตย เครื่องไม้เครื่องมือในการใช้อำนาจรัฐมีอีกมากมาย
เช่นกระบวนการที่คนใหญ่คนโตแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
หรือการใช้วุฒิสภาหรือหัวหน้าสถาบันวิชาการ
ในการเชียร์พวกที่มุ่งหวังลดพื้นที่ประชาธิปไตย ส่วนม็อบสุเทพก็เป็นเพียงอันธพาลชนชั้นกลาง
เป็นคนส่วนน้อย และผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เขาพยายามสร้างภาพว่าเป็นมวลมหาประชาชน
แต่การที่เขาทำอะไรก็ได้บนท้องถนน แสดงว่าส่วนต่างๆ ของรัฐสนับสนุนเขา
ถือว่าม็อบสุเทพเป็นเครื่องมือที่ให้ “เอกชน” ทำแทน
    
ทักษิณและนักการเมืองพรรคเพื่อไทยเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นปกครอง
และเขาเคยเป็นก๊กหนึ่งของรัฐไทย เพราะรัฐไม่ได้มีลักษณะรวมศูนย์เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน
มันเป็น “คณะกรรมการเพื่อร่วมบริหารผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน” อย่างที่ มาร์คซ์
กับ เองเกิลส์ เคยเขียนไว้ และมันมีความขัดแย้งภายในด้วย
นี่คือสาเหตุที่ทักษิณและนักการเมืองเพื่อไทยไม่ต้องการนำการต่อสู้ที่แตกหักกับกลุ่มอำนาจอนุรักษ์นิยมของรัฐ
    
แต่ถ้าไทยจะเป็นประชาธิปไตย เราต้องเปลี่ยนการเมืองและสังคมแบบถอนรากถอนโคน
ถ้าแค่เล่น “ปฏิกูลการเมืองก่อนเลือกตั้ง”
มันไม่มีวันที่จะขยายพื้นที่ประชาธิปไตยได้เลย

    
สิ่งที่ต้องถูกเปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคนมีมากมาย แต่เรื่องหลักๆ เฉพาะหน้าคือ

1.
ต้องสร้างพลังของคนธรรมดา เพื่อห้ามการทำลาย หรือจำกัด เสรีภาพประชาธิปไตย
และเพื่อให้มีการเคารพพลเมือง ทุกคนต้องมีหนึ่งเสียงเท่ากัน
พลังนี้คนอื่นสร้างให้ไม่ได้ ต้องสร้างจากรากหญ้าข้างล่าง
2.
ต้องยกเลิกกฏหมาย 112,
พรบ.คอมพิวเตอร์ และกฏหมายหมิ่นศาลในรูปแบบปัจจุบัน
เพื่อเปิดให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามกระบวนการประชาธิปไตยสากล
ซึ่งแปลว่าต้องปล่อยนักโทษทางความคิดเช่น สมยศ พฤกษาเกษมสุข และคนอื่น
3.
ต้องยกเลิกองค์กรที่อ้างความอิสระ และยกเลิกศาลตุลาการในรูปแบบที่เป็นอยู่ เพราะองค์กรที่อ้างความอิสระทั้งหลายไม่เคยเป็นกลาง
และยิ่งกว่านั้นองค์กรที่มาจากการแต่งตั้งโดยทหารหรือฝ่ายเผด็จการอื่นๆ เช่นตลก.(ร้าย)รัฐธรรมนูญ
มักใช้อำนาจเผด็จการเหนือผู้แทนที่ได้รับเลือกมาจากประชาชน ที่สำคัญคือแนวคิดเรื่อง
องค์กรอิสระเป็นแนวคิดที่มองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ไม่มีวุฒิภาวะในการลงคะแนนเสียง
จึงต้องให้
ผู้รู้คอยควบคุมตรวจสอบ
ในอนาคตเราจะต้องคานอำนาจหรือตรวจสอบรัฐบาลและรัฐสภาด้วยองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
4.
ต้องลดบทบาททางการเมืองและสังคมของทหารลงไป
เพื่อไม่ให้ทำรัฐประหารหรือแทรกแซงการเมือง ซึ่งแปลว่าต้องลดงบประมาณ
ปลดนายพลจำนวนมาก และนำทหารออกจากสื่อมวลชนและรัฐวิสาหกิจ
5.
ต้องสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ด้วยการนำ “ฆาตกรรัฐ” มาขึ้นศาล
ไม่ว่าจะเป็นทหารระดับสูง หรือนักการเมืองอย่าง อภิสิทธ์ สุเทพ หรือ ทักษิณ
และต้องมีการยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศอีกด้วย
6. ต้องเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวยอย่างถ้วนหน้า
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำผ่านการสร้างรัฐสวัสดิการ

ถ้าจะทำสำเร็จต้องทำพร้อมกัน
และทำด้วยความมั่นใจ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ
ต้องอาศัยพลังที่อยู่นอกกรอบรัฐในการกระทำ
คือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยนั้นเอง
ซึ่งตอนนี้มีอยู่แล้วในรูปแบบเสื้อแดง อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวต้องอาศัยแนวความคิดทางการเมือง
ซึ่งในขบวนการเสื้อแดงมีหลายแนว ในเมื่อแนวหลักของ นปช. กับเพื่อไทย ใช้ไม่ได้
และไม่มุ่งหวังสร้างประชาธิปไตยจริง กลุ่มคนที่อยากเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน
ต้องพยายามรวมตัวกันเป็นองค์กร เพื่อช่วงชิงการนำ
และเพื่อลงมือสร้างสายสัมพันธ์กับขบวนการสหภาพแรงงานที่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย
เพราะในสังคมทุนนิยม กรรมาชีพมีพลังถ้ารู้จักใช้

จะสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือจะอยู่แบบทาส?

จะสู้เพื่อประชาธิปไตย
หรือจะอยู่แบบทาส?



ตามที่หลายคนคาด ในที่สุด “ตลก. (ร้าย)
รัฐธรรมนูญ” ก็ก่อรัฐประหารครั้งที่สาม ฝ่ายต้านประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นทหาร
ข้าราชการชั้นสูง นักการเมืองและอันธพาลประชาธิปัตย์
กับพวกชนชั้นกลางล้าหลังคงดีใจ พวกนักวิชาการและแกนนำ เอ็นจีโอ
คงพึงพอใจกับผลงานของตนเอง

     แต่ปัญหาของเรา ชาวประชาธิปไตยคือ เราจะสู้เพื่อประชาธิปไตย
หรือจะอยู่แบบทาส
? ถ้าเราจะสู้ เราพึ่งพาการนำของพรรคเพื่อไทยไม่ได้
และเราต้องการการนำอย่างจริงจังจากฝ่ายเสื้อแดง ไม่ใช่การนำแบบเดิมของ นปช.
ที่กล้าๆ กลัวๆ และนำเราไปสู่การยอมจำนน
คำถามคือเสื้อแดงก้าวหน้าและคนที่รักประชาธิปไตยพร้อมหรือยัง ที่จะรวมกลุ่มท่ามกลางความสามัคคี
และนำตนเองอิสระจากเพื่อไทย

"โฉมหน้าศักดินาไทย" ของจิตรภูมิศักดิ์

โฉมหน้าศักดินาไทย” ของจิตรภูมิศักดิ์

หนังสือ
“โฉมหน้าศักดินาไทย” ของจิตรภูมิศักดิ์
เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ปลุกใจการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวในยุคหลัง ๑๔ ตุลา
เพราะเป็นหนังสือที่กล้าประณามความป่าเถื่อน การกดขี่ และความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
โดยที่ไม่ติดกรอบนิยายรักผู้นำชั้นสูงของชนชั้นปกครอง
นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้เป็นความพยายามของจิตรที่จะวิเคราะห์ประวัติศาสตร์สังคมไทยอย่างเป็นระบบจากมุมมองของผู้ถูกกดขี่ขูดรีด
ก่อนหน้านั้นหนังสือประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่เป็นแนวของชนชั้นปกครอง
ในขณะที่ฝ่ายซ้ายไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
หรือปัญญาชนไม่สังกัดพรรค อย่างเช่น
   สุภา ศิริมานนท์ สมัคร บุราวาศ
หรือกุหลาบ สายประดิษฐ์
ยังไม่ได้มีการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ไทยจากมุมมองมาร์คซิสต์แต่อย่างใด
ดังนั้นงานของจิตรชิ้นนี้และชิ้นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภูมิภาคนี้เป็นงานบุกเบิกที่สำคัญอย่างยิ่ง



     อย่างไรก็ตาม เราต้องกล้าฟันธงไปว่า
ด้วยเหตุที่จิตรมีข้อจำกัดหลายประการ หนังสือ “โฉมหน้าศักดินาไทย”
เป็นหนังสือที่วิเคราะห์ระบบศักดินาไทยอย่างผิดพลาด
และไม่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาความเข้าใจของเราในยุคนี้ได้
     จิตร ภูมิศักดิ์ วิเคราะห์ระบบศักดินาไทย
หรือระบบก่อนทุนนิยมในไทย ว่าเป็นระบบ “อำนาจในการครอบครองที่ดินอันเป็นปัจจัยการผลิต”
จิตรมองว่าระบบศักดินาเริ่มจากระบบกระจายอำนาจทางการเมืองและลงเอยด้วยการรวบอำนาจ
  โดยที่พระเจ้าแผ่นดินกลายเป็นเจ้าของที่ดินทั้งปวงและปกครองในลักษณะ
“สมบูรณาญาสิทธิราชย์”
     ในความเป็นจริง
ระบบศักดินาไทยเป็นระบบที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเลย
เพราะการครอบครองที่ดินไม่มีความหมายสำหรับการควบคุมปัจจัยการผลิต
ในเมื่อเมืองสยามมีที่ดินล้นฟ้า
ถ้าดูตัวเลขความหนาแน่นของประชากรแล้วจะเข้าใจ 
เพราะในค.ศ.
1904 คาดว่ามีประชาชนแค่ 11 คนต่อ 1
ตารางกิโลเมตรในไทย ซึ่งเทียบกับ
73 คนในอินเดีย และ 21
คนในอินโดนีเซีย การเกณฑ์แรงงานบังคับในลักษณะทาสและไพร่และการทำสงครามเพื่อกวาดต้อนเชลยศึกจึงเป็นวิธีการหลักในการควบคุมปัจจัยการผลิตแทนการถือครองที่ดิน
นอกจากนี้กฏหมายเกี่ยวกับการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เคยมีในสมัยศักดินา
และรัชกาลที่ ๕ ต้องร่างกฏหมายนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อยกเลิกระบบไพร่และระบบทาส
ดังนั้นการที่พระเจ้าแผ่นดินประกาศว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดในยุคศักดินาไม่มีความหมายมากนัก
เพราะไม่สามารถใช้การครอบครองที่ดินเพื่อสร้างผลประโยชน์ได้ เช่นขายให้คนอื่น
หรือกู้เงินโดยเอาที่ดินเป็นหลักประกัน และยศศักดิ์ในระบบศักดินา
ที่กำหนดขั้นของบุคคลในสังคมตามการถือครองที่ดิน
น่าจะไม่มีความหมายที่เกี่ยวกับที่ดินโดยตรง
เพราะแม้แต่ขอทานและทาสก็มียศที่ดิน ๕ ไร่ตามยศศักดิ์ และคนที่มีที่ดิน ๕ ไร่
ไม่น่าจะเป็นขอทานหรือทาส
     ระบบศักดินาไม่ใช่ระบบเดียวกับระบบฟิวเดอล
และไม่ใช่ระบบเดียวกับระบบทาสของยุโรปด้วย
แต่เป็นระบบก่อนทุนนิยมในสังคมส่วนหนึ่งของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
สาระสำคัญคือมีการปกครองแบบกระจายอำนาจ มีการควบคุมแรงงานบังคับ และมีการใช้ทาส นอกจากนี้ศักดินาไม่ใช่ระบบเดียวกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เพราะระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่๕
 
และเป็นระบบการปกครองรวมศูนย์ภายในกรอบรัฐชาติ
ที่ใช้แรงงานรับจ้าง เพื่อตอบสนองการสะสมทุน พูดง่ายๆ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นรูปแบบรัฐทุนนิยมรูปแบบแรกของไทย
    
รากฐานของปัญหาในการวิเคราะห์ระบบศักดินาของจิตรคือ
เขานำขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ก่อนทุนนิยมที่ มาร์คซ์ เคยเสนอสำหรับยุโรปตะวันตก
มาสวมกระบวนการประวัติศาสตร์ของไทยในลักษณะกฏเหล็กอย่างกลไก ดังนั้นสำหรับจิตร
ระบบศักดินาคือระบบเดียวกันกับระบบฟิวเดอลในยุโรป และเป็นระบบที่วิวัฒนาการมาจาก
“ยุคทาส”
 แต่ มาร์คซ์
ไม่เคยเสนอเลยว่าขั้นตอนของประวัติศาสตร์ก่อนทุนนิยมจะเหมือนกันทั่วโลก
เพราะระบบทุนนิยมเป็นระบบแรกที่มีการสร้างมาตรฐานร่วมแบบโลกาภิวัฒน์
คือเป็นระบบแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่ทำให้ทุกส่วนของโลกคล้ายคลึงกันไปหมดในด้านเศรษฐกิจ
การเมือง และสังคม
     การต่อสู้กับปัญหาความกลไกในแนวคิดของฝ่ายซ้ายไทย
ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับอิทธิพลของแนวความคิดสตาลิน-เหมา
ถ้าเราไม่วิเคราะห์แนวสตาลิน-เหมาและอิทธิพลของมันผ่าน พ.ค.ท.
เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมนักสู้ผู้กล้าหาญอย่างจิตร ภูมิศักดิ์
ที่พยายามวิเคราะห์สังคมไทยเพื่อเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น สามารถตกหลุมของความกลไกได้

     จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นปัญญาชนไทยที่เรียกได้ว่า
ล้ำหน้าในยุคสมัยของเขา เพราะเขาเสนอสิ่งที่แตกต่างห่างไกลจากความคิดของคนส่วนใหญ่ในขณะนั้น
เขากลายเป็นแกะดำของชาวจุฬาฯ เขาต้านระบบ
SOTUS ตั้งคำถามกับศาสนาพุทธและความชอบธรรมของชนชั้นสูง
จนถูกจับโยนบก แต่เขาก็มิได้สะทกสะท้าน
จิตใจของจิตรภูมิศักดิ์จึงน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างในความกล้าหาญในความเสียสละและความแน่วแน่
จิตรหล่อหลอมตัวเองในสงครามประชาชน
ผลงานของจิตรมีอยู่หลายหลากในต่างแขนงทั้งการเมือง ศาสนา วรรณคดีและศิลปะ
ไม่น่าเชื่อว่าในชั่วชีวิตคนคนหนึ่งที่เสียชีวิตก่อนวัยจะมีงานเขียนที่ผลิตขึ้นมาได้มากมายและมากด้วยคุณค่าเช่นนี้  เมื่อเราให้ความเคารพต่อ จิตร ภูมิศักดิ์
นักปฎิวัติที่ศรัทธาต่อพรรคที่เขาเชื่อว่าเป็นลัทธิมาร์คซ์ในขณะนั้น 
เราก็ควรจะใช้มุมมองลัทธิมาร์คซ์มาวิเคราะห์งานของเขา 

จากหนังสือ  รื้อฟื้นการต่อสู้  ซ้ายเก่าสู่ซ้ายใหม่ไทยใจ
อึ๊งภากรณ์ และนุ่มนวล ยัพราช บรรณาธิการสำนักพิมพ์
ประชาธิปไตยแรงงาน (๒๕๔๗)