ทหารมันต้องการทำอะไร?

ทหารมันต้องการทำอะไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถ้าจะตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็ต้องตอบว่าทหารมันต้องการ “ทำเหี้ย”

อย่างไรก็ตามเราคงต้องวิเคราะห์ไปไกลและลึกกว่านี้

คงไม่มีใครที่พอมีสมองที่จะเชื่อว่าประยุทธ์ทำรัฐประหาร เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายและคืนความสันติสุขให้กับประชาชน

28-soldiers-AFP-Getty

ถ้าใครไม่แน่ใจก็ลองทบทวนบทบาทกองทัพและประยุทธ์ก็ได้ ประยุทธ์และทหารเผด็จการอื่นร่วมกันก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยา เพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อเข้าข้างฝ่ายเผด็จการ พอมันต้องจัดการเลือกตั้งอีกเพื่อดูดี ฝ่ายทักษิณก็ชนะอีก มันเลยให้ศาลทำรัฐประหารตุลาการแล้วตั้งรัฐบาล อภิสิทธ์-สุเทพ ในค่ายทหาร ต่อมาเมื่อเสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตย แก๊งประยุทธ์-อนุพงษ์-อภิสิทธ์-สุเทพ ก็จัดการฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธในมือเก้าสิบราย หลังจากนั้นมันจำเป็นต้องยอมให้มีการเลือกตั้งอีก แล้วมันก็แพ้อีกทั้งๆ ที่ประยุทธ์เสือกการเมืองโดยวิจารณ์พรรคเพื่อไทยก่อนวันเลือกตั้งเป็นประจำ ปลายปีที่แล้วประยุทธ์ก็นั่งเฉยอมยิ้มปล่อยให้อันธพาลสุเทพก่อความรุนแรงและทำลายกระบวนการเลือกตั้ง ดังนั้นข้ออ้างของประยุทธ์ในการก่อรัฐประหารฟังไม่ขึ้น ไม่ต่างจากข้ออ้างเหลวไหลของผู้ก่อรัฐประหารในอดีตทุกครั้ง

เราต้องหวังว่าพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยในไทย จะจดจำชื่อของพวกทำเหี้ยทั้งหลาย เพื่อขึ้นบัญชีดำและจัดการกับพวกก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในอนาคต ไม่ใช่ไปอโหสิกรรม นิรโทษกรรม หรือลืมคนทำชั่วแบบในอดีต ชื่อแรกๆต้นๆ ในบัญชีดำของเราต้องเป็นแก๊ง ประยุทธ์-อนุพงษ์-อภิสิทธ์-สุเทพ แต่ขอเพิ่มชื่อทักษิณเข้าไปด้วย เพราะเขาเคยก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในปาตานี และสงครามยาเสพติดด้วย เราต้องไม่ “สองมาตรฐาน” เหมือนฝ่ายตรงข้าม

ทุกวันนี้เราเห็นทหารมุ่งหน้าปราบ รังแก และจำคุก คนเสื้อแดงและพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยอื่นๆ ในขณะที่ปล่อยให้อันธพาลประชาธิปัตย์และพวกชนชั้นกลางลอยนวล แต่พวกนี้คือกลุ่มคนที่ทำลายความสงบสุขของสังคมไทยด้วยการไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตยตลอดแปดปีที่ผ่านมา

ประยุทธ์กำลังพยายามทำสงครามกับคนเสื้อแดงและพลเมืองรักประชาธิปไตยทุกคน มาตรการในการเรียกเราไปรายงานตัว ขัง บังคับให้สัญญาว่าจะไม่ทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งรวมไปถึงนักวิชาการและผู้สื่อข่าวด้วย มาตรการในการใช้ทหารบุกบ้านคน มาตรการในการพยายามคุมพื้นที่สาธารณะเมื่อมีข่าวว่าคนอาจออกมาประท้วง มาตรการในการเก็บหนังสือจากร้านหนังสือ และมาตรการในการปิดกั้นการแสดงออกในสถานที่ศึกษา ล้วนแต่เป็นมาตรการของเผด็จการสุดขั้วที่มีกลิ่นอายของระบบฟาสซิสต์ แต่มันยังไม่มีการจัดตั้ง “รัฐตำรวจ” เบ็ดเสร็จแบบที่พวกฟาสซิสต์ทำ มันคงทำไม่ได้ด้วย เพราะต้องไปฝืนใจประชาชนส่วนใหญ่อย่างหนักและต่อเนื่อง

กิริยาการหลงตนเองของประยุทธ์ ทั้งในเรื่องที่จะให้ประชาชนกราบไหว้ และในเรื่องที่อ้างว่าตน “ทำงานหนักเพื่อชาติ” บวกกับความโง่เขลาปัญญาอ่อนของการรณรงค์ให้ประชาชนกลับคืนสู่ความสุข ซึ่งไม่มีใครนอกจากสลิ่มที่จะเชื่อหรือไม่หัวเราะเยาะในใจนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าสมเพช

กิริยาต่างๆ และวิธีการของประยุทธ์ทำให้ผมนึกถึง จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ….ใช่ครับ สฤษดิ์มันหลงตนเองถึงขนาดแต่งตั้งตนเองให้เป็นหัวหน้าทุกอย่าง รวมถึงหัวหน้าจอมคอร์รับชั่นอีกด้วย

สฤษดิ์มันโหดร้าย จับนักต่อสู้คนดีหลายคนมายิงเป้า แต่สฤษดิ์ก็เป็นคนน่าสมเพชด้วย เป็น “จอมพลผ้าขาวม้าแดง” ที่เอาผู้หญิงไปทั่วแล้วแจกเงินรัฐจากภาษีประชาชนให้เมียน้อย และเป็นนักธุรกิจมาเฟียที่ละเมิดกฏหมายที่ตนเองมีส่วนในการร่าง ไม่ว่าจะขายน้ำมันหรือดิบุกเถื่อน หรือกอบโกยเงินใต้โต๊ะ รัฐบาลกับผู้นำประเทศอื่นๆ รู้เรื่องนี้ไปกันหมด เสียชื่อประเทศไทย แต่ต่างประเทศซีกตะวันตกยอมปิดปากเพราะสฤษดิ์เลือกจะเลียสหรัฐในยุคสงครามเย็น

ที่สำคัญคือ ยุคสฤษดิ์กับยุคนี้ มันต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน เวลามันผ่านไปกว่า 50 ปี วุฒิภาวะของพลเมืองไทยพัฒนาไปไกล ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น ทุกคนมีการศึกษา ทุกคนมีส่วนเสียโดยตรงจากเผด็จการ และคนส่วนใหญ่เป็นผู้ทำงานในเมืองหรือนอกภาคเกษตร เผด็จการทหารครองเมืองนานๆ ไม่ได้ ประชาชนจะลุกฮือต้านในที่สุด

พลเอก “น้ำนม” ประยุทธ์ไม่มีวันหมุนนาฬิกากลับได้ ไม่ว่าเขาจะฝันเปียกกี่คืนเรื่องนี้

ประเด็นคือ ประยุทธ์กับพวกประจบสอพลอรอบตัวมัน โง่เขลาเต็มตัวที่ฝันว่าจะหมุนนาฬิกากลับแบบนั้น หรือเขามีเป้าหมายอื่น?

เรื่องความโง่เขลาของประยุทธ์กับพรรคพวกนั้นผมพร้อมจะเชื่อ แต่มันก็เป็นไปได้อีกว่ามันไม่โง่ถึงขนาดนั้น ไม่ว่ามันจะเลวและมือเปื้อนเลือดแค่ไหน

ถ้าประยุทธ์กับพวกประจบสอพลอรอบตัวมันมีเป้าหมายอื่น เป้าหมายหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ เขากำลังพนันครั้งใหญ่ว่า ถ้าเขาข่มขู่พวกเรา ถ้าเขาขังแกนนำ และถ้าเขาสร้างกระแสความกลัว ในไม่ช้าพวกเราจะหดหู่หมดกำลังใจ หลังจากนั้นมันก็จะเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งอีกรอบ เพื่อให้พรรคการเมืองของทักษิณและยิ่งลักษณ์ไม่มีวันชนะหรือครองอำนาจได้ เขาพนันว่าเราจะไม่สู้เรื่องนี้

ถ้านี่คือเป้าหมายของพวกมัน เราต้องทำทุกอย่างที่จะไม่หดหู่หมดกำลังใจหรือยอมจำนน เราอาจลดระดับการเคลื่อนไหวชั่วคราว แต่ในพื้นที่ใต้ดินเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างเครือข่ายทางการเมือง ที่หนักแน่นกว่าเดิม พอมีโอกาสเราก็จะได้ระเบิดออกมาประท้วงและล้มเผด็จการได้

ทุกวันนี้ทั้งทักษิณ นักการเมืองเพื่อไทย และแกนนำ นปช. กำลังร่วมมือกับทหาร ซึ่งต้องถือว่าเป็นการหักหลังประชาชน เขามีทางเลือกอื่นในการนำการต่อสู้ แต่เขาเลือกไม่ทำ เขายอมจำนน ดังนั้นพลเมืองรากหญ้าต้องก้าวขึ้นมานำตนเอง แต่นำตนเองอย่างเป็นระบบที่มีการจัดตั้ง

วันนี้ประชาธิปไตยไทยถอยหลัง แต่ในอนาคต เมื่อเราพร้อม เราจะลุกขึ้นสู้และล้มระบบอำมาตย์ทั้งหมด โค่นมันแบบถอนรากถอนโคน

ศิลปะต้านรัฐประหารและเผด็จการ

ศิลปะต้านรัฐประหารและเผด็จการ

เราใช้ศิลปะวัฒนธรรมในการต่อสู้กับเผด็จการได้ แค่มีความคิดสร้างสรรค์ กับสีพ่น ก็พอ ทำไวๆ แล้วหลบหายไปในชุมชน ทำหลายๆ แห่ง เปลี่ยนสถานที่อย่างต่อเนื่อง….

10413354_721127401263658_6642358743462253337_nenhanced-buzz-18485-1286896790-6 IMG_1866 stopwars 244636-political-graffiti-in-egypt 10339721_721679897875075_5624906714375325922_n

สำหรับนักดนตรี ก็สามารถอัดเพลงเพื่อประชาธิปไตย ส่งให้เพื่อน และให้คนอื่นโหลดในยูทูปได้ กระจายสู่กันฟัง

ประชาธิปไตยและประชสชนจงเจริญ!!!

ใครเลีย คณะเผด็จการบ้าง?

ใครเลีย คณะเผด็จการบ้าง?

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

ในคณะที่พลเมืองผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมาก กล้าออกมาคัดค้านและแสดงความไม่พอใจกับการทำลายประชาธิปไตยของ “คณะสัตว์ชั่ว” คสช. จนหลายคนโดนเรียกไปรายงานตัว และบางคนติดคุก ผมได้สำรรวจแถลงการณ์ต่างๆ ในเวป์ประชาไทหลังรัฐประหาร เพื่อดูว่าใครอวยทหารบ้าง

ngo (1)

กลุ่มที่ออกแถลงการณ์คัดค้านรัฐประหาร100%โดยไม่มีเงื่อนไข มีดังนี้ กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย, พีมูฟ  + YPD, เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.), พรรคสามัญชน, สมัชชาคนจน, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน, เครือข่ายสลัม 4 ภาค, กลุ่มบัณฑิตอาสาสมัครปกป้องประชาธิปไตย, สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย, และคณะบุคคล ประกอบด้วย โคทม อารียา กับคนอื่น

และอย่าลืมว่ามีหลายกลุ่มคนที่ไม่ได้ออกแถลงการณ์แต่ออกมาต้านรัฐประหารเป็นรูปธรรมแทน

 xxxxxxxxxx

กลุ่มที่อวยทหารแบบเนียนๆ ประกอบไปด้วยพวกเอ็นจีโอคือ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) โดยมีการปิดหูปิดตาถึงการปล้นประชาธิปไตย และ เรียกร้องให้ คสช. กำกับหน่วยงานของรัฐมิให้ “ฉวยโอกาส” ผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ซึ่งเป็นมุมมองที่ตรงกับศาลเตี้ยรัฐธรรมนูญที่คัดค้านรถไฟความเร็วสูง และเป็นการคิดแบบแยกส่วนปัญญาอ่อน

เอ็นจีโอพวกนี้คงต้องการให้สังคมไทยด้อยพัฒนา และต้องการให้พลเมืองต้องพึ่งกุศลจาก เอ็นจีโอ

ที่แย่ที่สุดคือ กป.อพช. แถลงว่า “สถาบัน องค์กรและกลุ่มพลังทางการเมืองที่ร่วมในความขัดแย้ง ล้วนมีส่วนทำให้วิกฤติการเมืองเข้าสู่ภาวะตีบตัน” ซึ่งเป็นการแก้ตัวแทนทหารที่ยึดอำนาจโดยอ้างว่าต้องสร้างความสงบ และโทษผู้ที่ต้องการรัฐบาลเลือกตั้ง ว่ามีส่วนทำร้ายบ้านเมืองพอๆ กับม็อบอันธพาลของสุเทพ มันเป็นการขู่เราว่า ถ้าเราออกมาปกป้องประชาธิปไตย มันจะนำไปสู่รัฐประหาร

อีกกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนรัฐประหารแบบเนียนๆ โดยสร้างภาพหลอกลวงว่ารักประชาธิปไตยคือ นักกิจกรรมทางสังคม 11 คน ประกอบด้วย จักรชัย โฉมทองดี, นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ, จะเด็จ เชาวน์วิไล, สุภา ใยเมือง, สุนทรี หัตถี  เซ่งกิ่ง, สามารถ สะกวี, ชูวิทย์ จันทรรส, นิอับดุลฆอร์ฟาร โตะมิง, คำรณ ชูเดชา และ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ซึ่งออกแถลงการณ์ปฏิเสธการรัฐประหารในนามธรรม แต่ขอให้คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนไทย “โดยเร็วที่สุด” คือไม่ใช่ทันที และแย่พอๆ กับ กป. อพช. เพราะ ไป “ขอให้ทุกฝ่ายทบทวนว่า การพยายามเอาชนะคะคานกันอย่างเด็ดขาดที่ผ่านมาโดยไม่สนใจความแตกต่างและความหลากหลายทางความคิด” นำไปสู่วิกฤต พูดง่ายๆ พวกนี้มองว่าการไม่เห็นด้วยกับการล้มการเลือกตั้ง เป็นความ “คับแคบ” ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

ในความจริง สองกลุ่มเอ็นจีโอดังกล่าวนี้ มีประวัติอันยาวนานในการเข้ากับเสื้อเหลืองบ้าง กวักมือเรียกรัฐประหาร ๑๙ กันยาบ้าง และ “เป็นห่วง” ผู้ชุมนุมสลิ่ม ในขณะที่เพิกเฉยต่อการเข่นฆ่าเสื้อแดงโดยประยุทธ์กับอภิสิทธิ์

นอกจากนี้ ก่อนที่รัฐประหารจะเกิดขึ้นรอบนี้ นักเอ็นจีโอหลายคน ได้ออกมา “เตือนถึงภัยสงครามกลางเมือง” โดยเรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ประนีประนอมกับม็อบสุเทพฯ ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่คำแก้ตัวของทหารในการยึดอำนาจ

เอ็นจีโอพวกนี้ไม่ชอบระบบการลงคะแนนเสียง ทั้งในองค์กรของตนเอง และในสังคมโดยทั่วไป พร้อมกันนั้นเขามองว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย หรือเพื่อไทย ถูกซื้อและโง่

เขามองว่ารัฐไม่ควรลงทุนสนับสนุนชีวิตของพลเมือง และมองว่าตนมีหน้าที่ต่อสายไปลอบบี้ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือมาจากการเลือกตั้ง

พวกเอ็นจีโอเหล่านี้ และองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(หมา) ก็เงียบสนิท เรื่องการที่ทหารเรียกพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยไปรายงานตัว และเรื่องการสร้างกระแสความกลัวโดยทหาร

 xxxxxxx

ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่ไม่ปกปิดการเลียทหารเผด็จการเลยคือ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน, ฝูงอธิการบดี, อาจารย์ปฏิกิริยาที่เข้าข้างสลิ่ม และสถาบัน TDRI ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มองโดยทั่วไปว่าการทำรัฐประหารเป็นเรื่องดี และเป็น “โอกาส” ในการ “ปฏิรูป” ประเทศไทย

เราต้องจัดตั้งลับ เรียนรู้จากข้อดีข้อเสียของ พคท.

เราต้องจัดตั้งลับ เรียนรู้จากข้อดีข้อเสียของ พคท.

ใจ อึ๊งภากรณ์

ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยจะต้องทำงานปิดลับใต้ดิน เพื่อคานอำนาจมืดของทหารที่คอยคุกคามเราตลอด แต่สำหรับคนรุ่นผม มันไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยต้องสู้แบบปิดลับมานาน ครั้งสุดท้ายก็หลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙

hammer-and-sickle-md

     เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมศึกษายุทธวิธีการเคลื่อนไหวใต้ดิน พวกเราควรทบทวนแนวการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เพื่อวิเคราะห์จุดเด่นกับจุดด้อย

พคท. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการจัดตั้งมวลชน เพราะมวลชนที่กระจัดกระจายแบบ “ต่างคนต่างทำ” อาจกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหวในตอนต้น แต่พอไปสักพักก็หมดกำลังใจ หมดแรง

การจัดตั้งสำคัญ เพราะเป็นการสร้างเครือข่ายการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงไปทั่วประเทศ ซึ่งมีผลทำให้ พคท. ต่อสู้ไปได้นาน ทั้งๆ ที่มีการพยายามปราบปรามอย่างหนักจากฝ่ายชนชั้นปกครองไทย นอกจากนี้การจัดตั้งหมายความว่าทุกคนมี “ความเข้าใจร่วมกัน” ว่าสังคมมีลักษณะแบบไหน และก้าวต่อไปในการต่อสู้ควรจะเป็นอย่างไร พูดง่ายๆ พคท. มีทฤษฏีที่วิเคราะห์สังคมและนำไปสู่การปฏิบัติร่วมกันของสมาชิก เรื่องนี้สำคัญมากในปัจจุบัน เพราะขณะที่ฝ่ายทหารเผด็จการกำลังสร้างกระแสความกลัว ขณะที่ผู้ปฏิบัติการบางคนถูกจับไป ขณะที่แกนนำเก่ายอมจำนนและสร้างความสับสนในมวลชน เราต้องรักษาความมั่นใจ เราต้องรักษาปัญญาที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ และเราต้องมีแผนสู้

พคท. เข้าใจการทำงานปิดลับที่อาศัยกลุ่มเล็กๆ ที่ประสานงานกันทั่วประเทศ และนอกประเทศ ผ่านตัวแทนหรือที่สหายเก่าเรียกกันว่า “จัดตั้ง” หรือแกนนำของกลุ่มเล็กๆ นั้นเอง นี่คือวิธีที่จะหลีกเลี่ยงการปราบปรามองค์กร

แต่การจัดตั้งของพคท. มีข้อบกพร่องใหญ่คือ การจัดตั้งของเขาเป็นรูปแบบเผด็จการ สหายนำสั่งลงมาและลูกพรรคต้องทำตาม ต้องเห็นด้วย คิดเองไม่ได้ ไม่มีประชาธิปไตยภายใน ในแง่หนึ่งพอพูดแบบนี้ก็ทำให้เรานึกได้ว่า พคท. เป็นเงาสะท้อนกลับสังคมเผด็จการ แต่ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทย เราใช้วิธีการของเผด็จการไม่ได้

ดังนั้นการจัดตั้งรูปแบบใหม่ที่เราต้องใช้คือ การจัดตั้งกลุ่มเล็กๆ ที่ถกเถียงประเด็นอย่างเสรี เรียนรู้และศึกษาสภาพสังคมด้วยกัน และส่งผู้แทนไปประสานกับผู้แทนของกลุ่มอื่นๆ มันเป็นการจัดตั้งแบบรากหญ้า หรือแบบล่างสู่บน ซึ่งมีลักษณะประชาธิปไตย

การมีประชาธิปไตยในองค์กรเคลื่อนไหวสำคัญเพราะ เป็นวิธีที่จะประมวลประสบการณ์การต่อสู้ของทุกคนในโลกจริง แทนที่จะทำงานภายใต้ความคิดของคนคนเดียวหรือแกนนำไม่กี่คน มันเป็นวิธีที่เราจะทดสอบการวิเคราะห์สังคมและแนวสู้ในโลกจริง เพื่อปรับปรุงตลอดเวลา ไม่ใช่ทำงานแบบท่องสูตร

ในขณะเดียวกันเราต้องเข้าใจว่า การมีประชาธิปไตยในองค์กรเคลื่อนไหวแบบที่เราจะสร้าง ไม่ได้หมายความว่า “ต่างคนต่างเคลื่อนไหว” แบบเสรี 100% เพราะนั้นจะนำไปสู่การปฏิบัติแบบกระจัดกระจาย ซึ่งจะไม่มีพลังเมื่อเผชิญหน้ากับเผด็จการรวมศูนย์ของฝ่ายอำมาตย์ เราต้องมีวินัยในตัวเราเองที่จะทำตามมติเสียงส่วนใหญ่เสมอ เราจะมาเสพสุขกับความเป็นเสรีชนไม่ได้ถ้าเราจะโค่นเผด็จการ

พคท. เข้าใจเสมอว่าเราต้องขยายมวลชนและขยายความคิดไปสู่คนจำนวนมาก เราก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ใช่แค่พอใจในการกระทำของกลุ่มเล็กๆ อย่าลืมว่าเพื่อนๆ พลเมืองไทยเป็นล้านๆ ไม่พอใจกับการเหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยโดยทหารหรือม็อบพรรคประชาธิปัตย์ พลเมืองเหล่านี้คือแนวร่วมสำคัญของเรา

พคท. มีจุดอ่อนสำคัญอีกสองจุดคือ (1) การเลือกวิธีจับอาวุธ แทนที่จะเน้นการขับเคลื่อนมวลชน ซึ่งรวมถึงการนัดหยุดงานของคนทำงานด้วย และ(2) เลือกสมรภูมิชนบท แบบ “ป่าล้อมเมือง”

เราคงเรียนรู้ไปแล้ว จากประวัติศาสตร์ พคท. ว่าการจับอาวุธคงเป็นวิธีที่จะรบกับทหารที่มีอาวุธและรถถังครบมือไม่ได้ แต่จุดอ่อนของทหารคือ เวลาเขาจะบริหารบ้านเมือง เขาใช้ปืนอย่างเดียวไม่ได้ และใช้ตลอดไปไม่ได้อีกด้วย ในที่สุดเขาต้องการอาศัยการร่วมมือจากเรา เราจึงต้องหาทางไม่ร่วมมือ ต้องหาทางประท้วงเมื่อโอกาสเหมาะ

ในเรื่องสมรภูมิ นักประชาธิปไตยคงเข้าใจกันแล้วว่าสมรภูมิหลักคือในเมืองต่างๆ ตามที่เราเห็นคนออกมาประท้วงรัฐประหารเมื่อไม่นานมานี้ เราทำงานปิดลับในเมืองง่ายกว่าในชนบทด้วย เพราะในเมืองมีชุมชนแออัด

ถึงแม้ว่าเราจำใจต้องทำงานปิดลับตอนนี้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าเราต้องรู้จักปรับตัว ถ้าโอกาสหรือช่องว่างเกิดขึ้น เราต้องสามารถเปลี่ยนวิธีทำงานไปเป็นการทำงานแบบเปิดเผยอย่างรวดเร็ว ในอดีตหลายองค์กรที่เคยชินกับการทำงานปิดลับ จะปรับตัวเพื่อทำงานแบบเปิดเผยไม่ทัน ตรงนี้นักปฏิวัติรัสเซียชื่อ เลนิน เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศของนักต่อสู้ที่พร้อมจะปรับตัวเพื่อเข้ากับสถานการณ์เสมอ แต่เวลาเลนินปรับตัว เขาไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนหรือุดมการณ์แต่อย่างใด การปรับตัวต่างจากการทิ้งอุดมการณ์เดิมโดยสิ้นเชิง มันเป็นคนละเรื่องกัน

ประชาชนจงเจริญ!

เราต้องก้าวพ้นความกลัวเพื่อจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน

เราต้องก้าวพ้นความกลัวเพื่อจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน

ใจ อึ๊งภากรณ์

IAP992282

การที่คณะเผด็จการสั่งให้นักประชาธิปไตย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักทำข่าวก้าวหน้า ต้องไป “รายงานตัว” กับมัน เป็นวิธีการสร้างความกลัวโดยทั่วไปในสังคมไทย

รัฐประหารครั้งนี้ นับว่าโหดร้ายที่สุดในรอบ 28 ปี ที่ผ่านมา ร้ายพอๆ กับ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เพราะอย่าลืมว่ารัฐประหารครั้งนี้เป็น “รัฐประหารยาว” นับตั้งแต่ ๑๙ กันยา ผ่านการฆ่าเสื้อแดงที่ราชประสงค์ แล้วมาถึงจุดปัจจุบัน และประยุทธ์มือเปื้อนเลือดเป็นตัวการสำคัญมาตลอด

การสั่งให้พลเมืองที่ไม่ได้กระทำความผิด ไปรายงานตัวต่อทหารโจร ถือว่าเป็นการทำสงครามกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เราต้องเรียนรู้วิธีรับมือและทำสงครามกลับไป แต่ไม่ใช่ด้วยการจับอาวุธ เราต้องอาศัยการเมืองประชาธิปไตยและมวลชน

สิ่งที่เราไม่ควรลืมคือ การบริหารประเทศในระยะยาว ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน เราจะต้องไม่ร่วมมือกับกติการเผด็จการ

คณะทหารเผด็จการต้องการสร้างความกลัว เพราะความกลัวอาจนำไปสู่อัมพาต อัมพาตในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และอัมพาตในการเคลื่อนไหว

แต่เรายอมเป็นอัมพาตไม่ได้!! ซึ่งแปลว่าเราจะต้องก้าวพ้นความกลัว

การก้าวพ้นความกลัวไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำอะไรโง่ๆ และไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความกลัวอยู่ในใจ แต่เราต้องหาทางบริหารความกลัวที่มีอยู่โดยปกติ เพื่อไม่ให้เราอัมพาต และเพื่อไม่ให้เราต้องยอมแพ้ เพราะถ้าเรายอมแพ้ สังคมไทยจะถอยหลังสู่ยุคมืด การเสียสละของวีรชนประชาธิปไตยตั้งแต่ ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบันก็จะเปล่าประโยชน์ และลูกหลานคนรุ่นต่อไป จะต้องเติบโตภายใต้ระบบทาสทางความคิด

สถานการณ์ปัจจุบันหมายความว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรทำเด็ดขาด คือนั่งอยู่บ้านคนเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอโทรทัศน์ มันจะนำไปสู่ความหดหู่และความกลัว เราต้องออกจากบ้านทุกวันเพื่อไปนัดคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในวงเล็กๆ เงียบๆ ดื่มกาแฟ และคุยอย่างเป็นระบบ คือคุยกับคนเดิมทุกวันอย่างต่อเนื่อง คุยเพื่อแลกข่าว แต่ไม่ใช่ข่าวลือนะ คุยเพื่อร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ คุยเพื่อศึกษาบทเรียนจากอดีตและจากประเทศอื่น และที่สำคัญคือ (1)ต้องคุยเพื่อวางแผนการต่อสู้แบบปิดลับ ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติการในที่สาธารณะแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน และการคุยกันตอนนี้ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอะไรบ้างที่ใหญ่กว่าการออกมาประท้วงเชิงสัญญลักษณ์ ซึ่งเราต้องทำในอนาคต (2)ต้องคุยเพื่อเลือกตัวแทนที่จะไปคุยกับกลุ่มเล็กๆ อื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่าย ซึ่งในประเด็นนี้ต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสาร นี่คือ “ก.ข.ค.” ของการจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน

FistX

     การต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลา แต่เรามีเวลา เราคือคนส่วนใหญ่ และเราคืออนาคต พวกทหาร พวกอำมาตย์ และพวกต้านประชาธิปไตย คือคนส่วนน้อยที่ไม่มีอนาคตต่างหาก

กษัตริย์วาน คาร์ลอส ของสเปนลาออก

กษัตริย์วาน คาร์ลอส ของสเปนลาออก

King Juan Carlos in Botswana 04/12

กษัตริย์ วาน คาร์ลอส ของสเปน ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจอมเผด็จการฟาสซิสต์ ฟรังโก้ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ขวาจัดของเผด็จการหลัง ฟรังโก้ ตาย ประกาศลาออกจากตำแหน่งท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวในราชวงศ์ เรื่องอื้อฉาวแรกคือการ วาน คาร์ลอส ไปทริ้ปราคาแพงปิดลับ เพื่อไปยิงช้างในอัฟริกา ซึ่งขณะนั้นประชาชนสเปนกำลังตกงานและเดือดร้อนกันทั่วประเทศจากวิกฤตเศรษฐกิจ ซ้ำยังอ้างว่าตนเองเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าด้วย เรื่องอื้อฉาวที่สองคือการคอร์รับชั่นของลูกสาวเจ้าหญิงคริสตีนา หนังสือพิมพ์ El Mundo รายงานข่าวว่าสองเรื่องนี้ทำให้ชาวสเปน 75% มองว่า วาน คาร์ลอส ควรจะลาออกตั้งแต่ปีที่แล้ว

หลายคนเข้าใจผิดว่า วาร คาร์ลอส เป็น “กษัตริย์ประชาธิปไตย” แต่ในช่วงท้ายของเผด็จการฟรังโก้ คลื่นการต่อสู้ทั่วยุโรปให้กำลังใจชาวสเปนในการต้านเผด็จการและปลดแอกตนเอง พรรคคอมมิวนิสต์จัดตั้งสภาแรงงานใต้ดิน และสามารถนัดหยุดงานฝ่าฝืนกฏหมายได้ ซึ่งกดดันนายทุนสเปนเป็นอย่างมาก ส่วนชาวบาส์ค ก็จับอาวุธสู้เพือแบ่งแยกดินแดน และสามารถวางระเบิดยักษ์ใต้รถรัฐมนตรีกลาโหมดับ ปรากฏว่าซากรถขึ้นไปอยู่บนหลังคาตึกสูง ชนชั้นปกครองสเปนมองว่าเผด็จการคงไปไม่รอดหลัง ฟรังโก้ตาย ก่อนหน้านี้ ฟรังโก้ เคยหวังว่ากษัตริย์เลี้ยงของเขา จะรักษาระบบฟาสซิสต์หลังยุคฟรังโก้ แต่พวกนั้นทานกระแสประชาธิปไตยในสังคมไม่ได้ พอเข้าสู่ยุค 80 ทหารฟาสซิสต์พยายามทำรัฐประหารโดยบุกรัฐสภาเพื่อหมุนนาฬิกากลับ แต่ วาน คาร์ลอส ไม่สนับสนุน ในเอกสารลับของกระทรวงต่างประเทศเยอรมัน ซึ่งพึ่งปล่อยออกมาให้ประชาชนอ่าน วาน คาร์ลอส เล่าให้ทูตเยอรมันฟังว่าตนเองอยากเห็นระบฟาสซิสต์กลับมา และเห็นใจนายทหารที่พยายามทำรัฐประหาร แต่จำใจต้องสร้างภาพสาธารณะว่าไม่เห็นด้วย

ท่าทีสหภาพแรงงานก้าวหน้าต่อรัฐประหาร

ท่าทีสหภาพแรงงานก้าวหน้าต่อรัฐประหาร

protest-at-moratuwa

ในช่วงวิกฤตการเมืองที่นำไปสู่การทำรัฐประหารรอบล่าสุด เรามักได้ยินข่าวเกี่ยวกับสหภาพแรงงานบางองค์กรจากรัฐวิสาหกิจ เช่นการบินไทย กฟผ. หรือรถไฟ ที่ปฏิกิริยา สนับสนุนม็อบสุเทพ และเลียก้นทหาร แต่พวกนั้นเป็นเพียงนักสหภาพข้าราชการที่มาจากบางส่วนของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น เราจึงไม่ควรเหมารวมว่าแรงงานในภาคส่วนอื่นๆ หรือแม้แต่คนทำงานธรรมดาในรัฐวิสาหกิจไม่ตื่นตัวและรักประชาธิปไตย

“เลี้ยวซ้าย” สัมภาษณ์แกนนำคนหนึ่งของ “กลุ่มคนงานต้านรัฐประหาร” จากย่านโรงงานแถวๆ กรุงเทพฯ

 

รัฐประหารครั้งนี้มีผลกระทบกับสหภาพแรงงานอย่างไร?

“มีผลกระทบแน่นอน กิจกรรมของสหภาพ ต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะบางสหภาพแรงงาน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาโบนัสกลางปี ปกติเคยนำคนงานมาชุมนุมกดดันนายจ้างเพื่อให้ได้โบนัสตามที่ สร.เสนอ แต่เมื่อมีรัฐประหาร สหภาพแรงงานกลัว ไม่กล้าออกมากดดันให้ข้อเรียกร้องตนบรรลุเป้าหมาย”

 

นักสหภาพแรงงานฝ่ายประชาธิปไตยมีแผนรับมือกับสถานการณ์ภายใต้เผด็จการทหารอย่างไร?

“แผนรับมือ คือเราก็พยายามต่อต้านกันทุกรูปแบบ ตั้งแต่วันแรกงัดเอาเสื้อต้านรัฐประหารมาใส่กัน กระจายข่าวในเฟส และเตรียมตัวออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการณ์ แต่เราต้องทำแบบหลบๆซ่อนๆ จึงล่าช้า เราแอบแจกแถลงการณ์ในโรงงาน แอบวางตามห้องน้ำในห้างต่างๆ ย่านชานเมืองที่คนงานและคนทั่วไปไช้ และในต่างจังหวัดด้วย

เราไม่อยากถูกจับ เราไม่ต่างจากคนอื่น แต่สถานการณ์บ้านเราก็ต้องเดินหน้าแบบนี้ ไม่มีทางเลือกอื่น มัวกลัวก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

 

ภาระข้างหน้าของสหภาพแรงงานควรจะเป็นอย่างไร? เพื่อร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยโดยรวม

“ถึงที่สุดในภายภาคหน้าเราคงต้องเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยกับส่วนกลาง เพื่อให้เป็นพลังมากยิ่งขึ้น และคงต้องพยายามติดต่อ สร.ในเครือข่ายที่อยู่ ต่างประเทศให้ช่วยกดดันให้ทหารกลับที่เดิม และให้มีเลือกตั้ง ข้อเรียกร้องเราอยู่ในแถลงการณ์ที่แนบมา”

 

คนงานรากหญ้า สมาชิกทั่วไปในสหภาพ แคร์เรื่องรัฐประหารหรือไม่?

คนงานรากหญ้าทั่วไป เข้าใจเรื่องรัฐประหารค่อนข้างดีกว่าผู้นำด้วยซ้ำ เพราะมีบาง สร.ผู้นำเอาข้าวเอาน้ำไปให้ทหาร สมาชิกสหภาพแรงงานออกมาด่า ว่าจะไม่จ่ายเงินค่าสมาชิก และจะไม่ให้ความร่วมมือกับ สร.นั้นอีก หากกรรมการสร.ยังคงมีจุดยืนเช่นนี้ และคนงานหลายคนแจ้งมายังกรรมการบางคนว่าให้ช่วยนำเค้าออกไปเคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร

 

กลุ่มคนงานต้านรัฐประหาร

กลุ่มคนงานต้านรัฐประหารจากย่านอุตสาหกรรมใกล้เคียงกรุงเทพฯ ออกแถลงการณ์ “ไม่เอารัฐประหาร” โดยประกาศจุดยืนว่าการทำรัฐประหารครั้งนี้ เป็นการกระทำที่เหยียบย่ำหัวใจผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั้งชาติ เป็นการกระทำที่ทำลายประชาธิปไตย ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก และปิดกั้นการรวมตัวของประชาชน ซึ่งรวมถึงเสรีภาพของสหภาพแรงงานที่ในภาวะปกติถูกขัดขวางโดยนายจ้างอยู่แล้ว

กลุ่มคนงานต้านรัฐประหาร ยืนยันว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาขบวนการแรงงานมีส่วนสำคัญในการต่อต้านรัฐประหารและระบบเผด็จการ และหลังรัฐประหารหลายครั้งมีการออกกฎหมายที่ริดรอนสิทธิเสรีภาพของชนชั้นผู้ทำงาน

กลุ่มคนงานต้านรัฐประหารอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เมื่อเห็นแรงงานซีกหนึ่งไปมีส่วนร่วมกับกลุ่มมอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ และ การโค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

กลุ่มคนงานต้านรัฐประหารมีจุดยืนห้าข้อดังนี้คือ

  1. เรียกร้องให้ ยกเลิกกฎอัยการศึกทันที
  2. คัดค้านการทำรัฐประหาร
  3. เรียกร้องให้คืนอำนาจให้ประชาชนทันที
  4. เรียกร้องให้ปล่อยตัวประชาชนที่ถูกจับ
  5. คัดค้านการที่ทหารจะนิรโทษกรรมตัวเอง

เชิญอ่านรายละเอียดของแถลงการณ์ที่แนบมาเป็นภาพ….

WDeclaration