เผด็จการประยุทธ์กับพุทธศาสนา

ใจ อึ๊งภากรณ์

เผด็จการมือเปื้อนเลือดของประยุทธ์ลั่นว่าจะจัดระเบียบใหม่สำหรับพุทธศาสนา

ในประการแรกการที่ฆาตกรจะมาทำอะไรกับศาสนา ก็คงไม่ทำให้ดีขึ้นแน่นอน และเราก็ทราบดีว่าพระสงฆ์คนโปรดของประยุทธ์คืออันธพาลห่มเหลืองที่ชื่อพุทธะอิสระ พุทธะอิสระเป็นสมาชิกแก๊งขวาจัดที่ใช้ความรุนแรงบนท้องถนน เพื่อทำลายการเลือกตั้ง และเชิญทหารเข้ามาทำรัฐประหาร นี่คงจะเป็น “พระตัวอย่าง” ใน “วัดตัวอย่าง” ของแก๊งทหารที่ขโมยสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเราไป

“พระตัวอย่าง” อีกคนคงจะเป็นคนห่มผ้าเหลืองที่เรียกตัวเองว่า “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และออกมาเลียชม คสช. คงเป็นเพราะ คสช. ทำผิดศีล 5 หลายข้อมั้ง?

แน่นอน คสช. คงไม่เสนอว่าพระเสื้อแดงเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งๆ ที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนและสิทธิเสรีภาพ

แล้วเรื่องความวิปริตทางเพศละ?

ผมไม่ใช่คนที่นับถือศาสนาแต่อย่างใด แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมสตรีเป็นพระไม่ได้ และไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ธรรมดาๆ ภายใต้ความรัก อย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ หลายศาสนาเขาให้พระแต่งงาน แต่พวกคริสต์แคทอลิคกับไทยพุทธ เขาไม่ให้ พวกนักบวชสองศาสนานี้หลายคนก็เลยกลายเป็นพวกวิปริตทางเพศไป

ส่วนเรื่องการสะสมเงินทอง ก็ให้ประชาชนตรวจสอบเอง เพื่อเลือกว่าจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธาใคร อันนี้เป็นมาตรฐานที่ต้องใช้กับนักการเมืองและทหารเผด็จการด้วย โดยเฉพาะคนที่ครองหลายตำแหน่งพร้อมกัน

ในสังคมไทยผมแนะให้มีการแยกระหว่าง “นักบวช” หรือคนที่บวชเป็นพระ กับ “ครูสอนศาสนา” เพราะการบวชเป็นพระในรูปธรรม ก็ทำไปเพื่อตนเองหรือพ่อแม่ เพื่อแสวงหาอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม แถมยังให้สังคมเลี้ยงอีก และคนที่ไปบวชหลายคนก็เป็นคนชั่วซึ่งไม่ได้กลับตัวแต่อย่างใด ตัวอย่างอันดับหนึ่งคือสุเทพ ดังนั้นจะไปกราบไหว้บูชาคนที่ห่มผ้าเหลืองเพื่อตนเองทำไม? ก็ปล่อยให้เขาทำของเขาไป เหมือนคนที่ชอบตกปลาหรือฟังเพลง ก็ไม่มีใครไปไหว้

ส่วนครูสอนศาสนาควรเป็นคนที่อยากศึกษาปรัชญาแล้วนำมาถ่ายทอดให้คนอื่น พวกนี้มีเจตนาทำเพื่อสังคม เราจะเห็นด้วยกับปรัชญาของเขาหรือไม่นั้นก็อีกอย่าง และใครศรัทธาไปไหว้ก็ไปไหว้ไปฟังได้อย่างอิสระ

และท้ายสุดศาสนากับรัฐควรแยกกันโดยสิ้นเชิง ใครจะนับถือหรือไม่นับถืออะไรก็ให้เป็นเรื่องส่วนตัว

อุดมการณ์ประชาธิปไตยมันมากกว่าแค่เรียกร้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่พลเมืองไทยจำนวนมากมองว่าตนเองเป็น “ผู้รักประชาธิปไตย” และนี่คือความหวังสำหรับอนาคตประเทศไทย

แต่อุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ใหญ่โตกว่าแค่การเรียกร้องให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หรือการเรียกร้องให้พลเมืองทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน

ถ้าเรามีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เราต้องปฏิเสธการเมืองแบบ “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่อาศัยเงินช่วยเหลือจากผู้เป็นใหญ่ เพราะท่อน้ำเลี้ยงกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมแนวทางและความคิด ทุกวันนี้คนที่เคยพึ่งพาเงินจากทักษิณหรือนักการเมืองเพื่อไทย จะถูกกดดันให้หยุดการเคลื่อนไหวและร่วมมือกับทหาร จะมีการพูดให้ “รอ” แล้วในปีสองปีสถานการณ์จะ “ดีขึ้น” แต่การที่คนคิดวิเคราะห์อะไรเองไม่เป็น เพราะไปพึ่งพาการนำของผู้ใหญ่ และไม่พึ่งตนเองในการเคลื่อนไหว จะสร้างประชาธิปไตยไม่ได้

ถ้าเรามีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เราต้องไม่เหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว เพราะทุกคนต้องเท่าเทียมกันและได้รับการเคารพในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนรักประชาธิปไตยจำนวนมาก ไม่เคารพคนที่เข้ามาทำงานในไทยจากพม่า ลาว หรือเขมร และไม่เคารพชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ และคอยด่าการต่อสู้ของเขาเพื่อปลดแอกปาตานี

มันเป็นที่น่าเสียใจ ที่เพื่อนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยในยุโรป เหยียดคนผิวดำและมุสลิม และใช้คำหยาบคายที่พวกฟาสซิสต์ผิวขาวในยุโรปใช้ แถมเขาไม่เข้าใจว่าพวกคนผิวขาวในยุโรปที่เหยียดสีผิว ก็จะมองคนไทยที่ย้ายมาอยู่ในยุโรปว่าเป็นคนต่างชาติตาตี๋ที่น่ารังเกีจ ซึ่งควรถูกขับไล่ออกไปพร้อมๆ กับคนมุสลิม บางครั้งมีนักวิชาการที่อ้างตัวว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยที่เรียกคนผิวดำด้วยคำหยาบคายเช่นกัน อาจเป็นความเคยชิน แต่เป็นความเคยชินที่ไร้จิตสำนึก เราต้องร่วมกันเปลี่ยน

การดูถูกคนรักเพศเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ควรทำเช่นกัน เปรมอาจเป็นคนล้าหลังที่ต่อต้านประชาธิปไตย แต่เราไม่ควรใช้คำหยาบคายเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศมาใช้กับเขา

ถ้าเราจะสร้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ที่จะเผชิญหน้ากับเผด็จการประยุทธ์ และล้มเผด็จการและผลพวงของ คสช. องค์กรของเราต้องมีประชาธิปไตยภายใน และแนวร่วมที่เราสร้างต้องยอมรับคนที่มีมุมมองหลากหลายถ้ามีจุดร่วมกันในการต่อต้านเผด็จการ แน่นอนเราเถียงกันและแข่งแนวเพื่อช่วงชิงการนำทางความคิดได้ และสิ่งนี้ต้องทำ แต่ไม่ควรมีความพยายามที่จะครอบงำคนอื่น เพราะการชี้นำกับการครอบงำไม่เหมือนกัน

เราต้องร่วมกันพัฒนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยในหมู่นักกิจกรรมของฝ่ายเรา เพื่อเอาชนะอุดมการณ์เผด็จการที่ครอบคลุมสังคมไทยทุกวันนี้

รัฐบาลฝรั่งเศสถูกยุบท่ามกลางความขัดแย้งซ้าย-ขวา

ประธานาธิบดี ฟรานซ์วา ฮอลแลนด์ เห็นชอบกับการที่รัฐบาลพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรี แมนูล วาลส์ ยุบตัวเองภายใต้ความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีซีกซ้ายกับขวา

อาร์โน มอนทาบูร์ก, เบนนัว แฮมมอน และ โอเรล ฟิลิเพที สามรัฐมนตรีจากซีกซ้าย คัดค้านนโยบายการตัดงบประมาณรัฐ โดยเฉพาะในการบริการประชาชนและสวัสดิการสำรับคนทำงาน นโยบายดังกล่าว พร้อมกับการลดภาษีให้กลุ่มทุน เป็นนโยบายที่ถูกผลักดันอย่างแรงจากรัฐบาลฝ่ายขวาของเยอรมันทั่วอียูภายใต้ข้ออ้างว่าจะลดหนี้และกระตุ้นให้กลุ่มทุนลงทุนเพิ่ม

แต่ผลของนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้วแบบนี้ ทำให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสและเยอรมันหดตัว และทำให้คนทำงานยากลำบากมากขึ้น สามรัฐมนตรีฝ่ายซ้ายกล่าวว่านโยบายดังกล่าวทำให้คนหันไปสนับสนุนพรรคฟาสซิสต์นาซี “แนวร่วมแห่งชาติ” และทำให้คนทั่วไปเบื่อหน่ายระบบการเมือง เพราะหมดหวังในชีวิต

ขณะนี้ประธานาธิบดี ฟรานซ์วา ฮอลแลนด์ เป็นประธานาธิบดีที่มีคะแนนนิยมที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนที่ชนะการเลือกตั้งเขาประกาศว่าจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและสภาพชีวิตคนทำงานดีขึ้น แต่ในรูปธรรมประธานาธิบดีพรรคสังคมนิยมคนนี้ไม่ทำอะไรและใช้นโยบายฝ่ายขวา

การตั้งรัฐบาลใหม่ที่ไม่มีรัฐมนตรีจากซีกซ้าย อาจลดความขัดแย้งภายใน แต่จะไม่มีวันแก้ปัญหาของการที่คนทั่วไปเบื่อหน่ายระบบการเมืองและหันไปสนับสนุนพรรคฟาสซิสต์

สิ่งเดียวที่จะลดคะแนนสนับสนุนพรรคแนวร่วมแห่งชาติ คือการเคลื่อนไหวต่อต้านการเหยียดสีผิว และการตัดงบประมาณรัฐที่เป็นประโยชน์กับประชาชน

เผด็จการประยุทธ์ เราจะสร้างประชาธิปไตยได้อย่างไร?

ใจ  อึ๊งภากรณ์

(สรุปจากการประชุมคนไทยรักประชาธิปไตยที่ประเทศเด็นมาร์ค)

 

ปรากฏการณ์ล่าสุดในไทยคือการแต่งตั้งตนเองเป็นนายกของประยุทธ์มือเปื้อนเลือด ประยุทธ์มั่นใจในตนเอง ว่าสมุนใน “สภาทหาร” จะเลือกเขา จนประยุทธ์ไม่สนใจไปร่วมประชุมด้วย

เผด็จการของประยุทธ์ทั้งโหดร้ายและโง่ โหดร้ายเพราะขัง ทรมาน และใช้ 112 ไล่จับคนที่คิดต่าง โง่เพราะหน้าด้านปกครองเดี่ยว และสร้างภาพหน้าสมเพชว่าคืนความสุขให้ประชาชน

เผด็จการนี้ทำให้นึกถึงยุคเผด็จการก่อน 14 ตุลา นักเขียนชื่อดัง วัฒน์  วรรลยางกูร มองว่า “คสช คือเศษสวะตกค้างจากสงครามเย็น” และ สุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ ชี้แจงว่า การรวบอำนาจของประยุทธ์ ใช้วิธีการที่ไม่มีการใช้มาตั้งแต่ยุคเผด็จการถนอม

ในปัจจุบันจำนวนคนไทยที่รักประชาธิปไตย ที่ต้องเดินทางออกนอกประเทศมีจำนวนสูงมาก ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยมีมานานแล้ว ครั้งก่อนจะเป็นช่วงยุค 6 ตุลา

คสช. มีแผนทำอะไร? แน่นอนพวกมันและพวกประจบสอพลอที่คอยฉวยโอกาสเลียเผด็จการ ไม่มีวันปฏิรูประบบการเมืองไทยให้มีประชาธิปไตยมากขึ้นได้ พวกนี้เป็นพวกมือเปื้อนเลือดที่ก่อรัฐประหารและปิดกั้นเสรีภาพ แต่ฝูงนักวิชาการเลื้อยคลาน มักเห่าหอนว่านี่คือการ ”ปฏิรูป”

ถ้ามีการปฏิรูปจริงมันจะมีหน้าตาอย่างไร? จะต้องมีการทำลายอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของทหาร จะต้องมีการยกเลิกกฎหมาย 112 จะต้องมีการลงโทษพวกที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและพวกที่ก่อรัฐประหาร จะต้องมีการยกเลิกองค์การ(ไม่)อิสระ และต้องมีการสร้างความเสมอภาคผ่านระบบรัฐสวัสดิการและการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย แต่เราต้องรอให้ล้มเผด็จการก่อน

ต้นเหตุของวิกฤติทางการเมืองในประเทศไทยเริ่มจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2539 ตอนนั้น ทักษิณ สามารถเสนอนโยบายที่ครองใจประชาชนในสถานการณ์วิกฤติ นโยบายของทักษิณ ไม่ใช่“ประชานิยม”แต่เป็นนโยบายที่ทำให้สังคมไทยทันสมัยและคนจนมีส่วนในสังคมมากขึ้น ทักษิณ ไม่ได้มีเจตนาที่จะท้าทายระบบการเมืองอุปถัมภ์แบบเก่าและเขาอยากปกป้องอำนาจของอำมาตย์ แต่ในรูปธรรมนโยบายของทักษิณสร้างศัตรูมากมายในแวดวงพวกอนุรักษ์นิยม นี่คือสาเหตุที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง และ ชนชั้นกลางล้าหลังเกลียดชังประชาธิปไตยมาตลอด

แต่เราจะหวังว่าทักษิณและพรรคพวกหรือแม้แต่ นปช. จะนำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ ทักษิณเองก็ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาหลายครั้ง และ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยและนปช. ก็ยอมจำนนต่อทหาร ทักษิณถึงกับเสนอแนะให้คนเสื้อแดงร่วมมือกับเผด็จการ คสช.

ถ้าเราเข้าใจที่มาของวิกฤติการเมืองไทยแบบนี้ เราจะเข้าใจด้วยว่าการเปลี่ยนรัชกาล จะไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด และจะไม่กระทบต่ออำนาจของทหาร

เผด็จการ คสช. จะไม่พังเองและผลพวงของเผด็จการนี้จะไม่หายไปเองจากสังคม ยิ่งกว่านั้นเราไม่ควรลืมว่ามีคนที่กำลังติดคุกอยู่

ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องจัดตั้งทางการเมืองอย่างเป็นระบบ และ จะต้องเป็นการจัดตั้งอิสระจากทักษิณ โดยเชื่อมโยงกับขบวนกับขบวนการแรงงานเพื่อใช้พลังกดดันทางเศรษฐกิจ การจัดตั้งขบวนการประชาธิปไตยภายในประเทศเป็นเรื่องชี้ขาด และ เรากำลังรอวันที่จะมีการทำงานแบบนี้อย่างจริงจัง เราต้องตั้งคำถามกับ “องค์กรเสรีไทย” ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และเน้นการทำงานแบบไหน? เพราะถ้ามีแต่การเน้นการ“ล็อบบี้”องค์กรต่างประเทศประชาธิปไตยจะไม่เกิด

เราจะไปหวังอะไรได้จากสหรัฐอเมริกา ที่ปราบปรามประชาชนผิวดำภายในประเทศ? เราจะไปหวังอะไรได้จากรัฐบาลในยุโรปที่พร้อมจะก่อสงครามเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง? เราจะไปหวังอะไรได้จากสหประชาชาติที่ไม่เคยห้ามอาชญากรรมของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์?

บทเรียนสำคัญจากพม่าสอนให้เรารู้ว่าการประนีประนอมกับเผด็จการทหาร ไม่นำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย ดังนั้นขบวนการประชาธิปไตยในไทยต้องประกาศให้ชัดเจน ว่าจะเคลื่อนไหวเพื่อลดอิทธิพลของทหาร ยกเลิก 112 และนำคนอย่างประยุทธ์ มาลงโทษในอนาคต

ความยุติธรรมไม่มีสันติไม่เกิด

แปลมาจาก Socialist Worker UK

มวลชนจำนวนมากเดินขบวนประท้วงความรุนแรงของตำรวจ ในย่าน Ferguson ของเมือง St. Louis สหรัฐอเมริกา

การเดินขบวนและการประท้วงถึงจุดจลาจล เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 9 สิงหาคม หลังจากที่วัยรุ่น ไมเคิล บราวน์ ถูกตำรวจยิงตายและทิ้งศพบนท้องถนนเป็นเวลา 4 ชั่วโมง

บ่อยครั้งผู้ประท้วงจะเดินหน้าไปสู่ตำรวจผู้ถืออาวุธและตะโกนว่า “ยกมือขึ้น อย่ายิง” แต่ตำรวจโต้ตอบด้วยก๊าซน้ำตา หมา อาวุธสงครามและรถถัง มีการพยายามประกาศเคอฟิว แต่ผู้ประท้วงกลับมาทุกคืน มีการโต้ตอบความรุนแรงของตำรวจด้วยก้อนหินและขวด

มีคืนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น คืนนั้นตำรวจไม่ได้ออกมาอยู่บนท้องถนน ทุกอย่างจึงสงบ

ทั้งๆ ที่คนจำนวนมากวิจารณ์ตำรวจ ผู้ว่าฯ รัฐมิซูรี่  ประกาศภาวะฉุกเฉินและสั่งให้กองกำลังแห่งชาติพร้อมอาวุธครบมือ ลงมาจัดการประชาชนต่อ

ตำรวจพยายามป้ายร้ายไมเคิล โดยโกหกว่าเขาขโมยของจากร้านค้า แต่ถ้าจริง นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาควรจะถูกยิงตาย ยิ่งกว่านั้นตำรวจที่ยิงไมเคิลตาย ไม่เคยถูกแจ้งว่าไมเคิลไปขโมยของจากร้าน

แม่ของไมเคิล เรียกร้องให้มีการจับกุม แดเรน วิลสัน นายตำรวจผู้ยิงไมเคิลตาย นายตำรวจคนนี้โกหกว่าไมเคิล พยายามแย่งปืนตนเอง แต่พยานหลายคนยืนยันว่ามีแต่ตำรวจที่ไล่ยิงไมเคิล ขณะที่เขาวิ่งหนีและตะโกนเรียกร้องไม่ให้ตำรวจยิง ในที่สุดหลังจากที่วัยรุ่นคนนี้ถูกยิงหลายครั้งและล้มลงบนถนน ตำรวจก็ประหารชีวิตโดยการจ่อยิงหัวจนตาย

ผู้ประท้วงทุกคนเข้าใจดีว่าปัญหาคือนโยบายเหยียดเชื้อชาติของตำรวจทั่วสหรัฐอเมริกา มันไม่ใช่แค่ปัญหาของตำรวจเลวบางคนเท่านั้น ในรอบเดือนที่ผ่านมาคนผิวดำที่ไม่ถืออาวุธถูกยิงตาย 4 คนในสหรัฐ

Ferguson เป็นย่านที่คนผิวดำอาศัยอยู่ 67% แต่สัดส่วนตำรวจผิวดำมีแค่ 6% และคณะกรรมการบริหารโรงเรียนในย่านนี้มีคนผิวดำเพียง 1 คนจากกรรมการทั้งหมด 7 คน สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึงการเหยียดสีผิวและเลือกปฏิบัติในองค์การต่างๆ ของภาครัฐ อย่างไรก็ตามในเมืองที่มีตำรวจผิวดำจำนวนมาก ประชาชนผิวดำก็ยังถูกมองว่าเป็นอาชญากร และ ถูกตำรวจกลั่นแกล้งเสมอ

การลุกฮือของประชาชนที่ Ferguson เป็นเพียงบทล่าสุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้สิทธิเสรีภาพ

ผู้ลี้ภัยที่เคยถูกข่มขืน ถูกบังคับให้คลอดลูกในไอร์แลนด์

ใจ อึ๊งภากรณ์

 

ประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ยังมีพวกพระศาสนาคริสต์ล้าหลังครอบงำสังคม ดังนั้นการทำแท้งยังผิดกฏหมาย เรื่องอื้อฉาวล่าสุดคือมีสตรีผู้ลี้ภัยที่เคยถูกข่มขืน ถูกศาลบังคับให้คลอดลูกผ่านการผ่าตัดทั้งๆ ที่ขอทำแท้ง นับว่าเป็นตัวอย่างความโหดร้ายทารุณที่สุดของกฏหมายห้ามทำแท้ง อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้อาจเป็นสิ่งที่จุดประกายการรณรงค์ในไอร์แลนด์ให้สตรีมีสิทธิทำแท้งเสรีรอบต่อไป

ในไอร์แลนด์กฏหมายห้ามทำแท้งบังคับให้สตรีถูกผ่าตัดโดยไม่ยินยอม หรือบังคับให้สตรีตายขณะคลอดลูกในกรณีก่อนหน้านี้ ในไทยกฏหมายห้ามทำแท้งบังคับให้สตรีต้องไปทำแท้งเถื่อนซึ่งเสี่ยงต่อชีวิต

Protesters in Ireland

     สิทธิของสตรีที่จะควบคุมร่างกายตนเอง โดยไม่มีนักการเมือง พระ ผู้พิพากษา หรือพวกอนุรักษ์นิยมหัวไดโนเสาร์ มาควบคุม เป็นสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิพลเมืองพื้นฐาน “สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย” นี้ หมายถึงสิทธิที่จะตั้งท้องหรือไม่ และสิทธิที่จะยุติการตั้งท้องถ้าไม่พร้อม สิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัยนั้นเอง

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” เพื่อนำความคิดของตนเอง มาบังคับใช้กับคนอื่น โดยสนับสนุนกฎหมายห้ามทำแท้งอย่างที่มีอยู่ในไทยหรือไอร์แลนด์ในปัจจุบัน เป็นพวกที่ใช้เผด็จการเพื่อกดขี่คนอื่น เพราะถ้าคุณเป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งคุณก็ไม่ต้องทำ แต่คุณไม่มีสิทธิ์เหนือร่างกายผู้หญิงคนอื่นที่คิดต่าง ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณมีสิทธิ์พูดและคิด แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้นในการสนับสนุนการบังคับผู้หญิงไม่ให้ทำแท้ง คนที่อยากเผด็จการกับร่างกายสตรี เป็นพวกที่นิยมระบบทาส เพราะการใช้อำนาจเหนือร่างกายผู้อื่นคือระบบทาส

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” ในการห้ามทำแท้ง เป็นพวกสองมาตรฐาน เพราะเน้น “สิทธิจอมปลอมของทารกที่ยังไม่เกิด” เหนือ “สิทธิแม่” แต่ยิ่งกว่านั้นพวกนี้เป็นคนที่ให้ความชอบทำกับการมีกองทัพเพื่อฆ่าคน และให้ความชอบธรรมกับการฆ่าผู้รักประชาธิปไตยโดยทหาร นอกจากนี้พวกที่คัดค้านการทำแท้งมักจะสนับสนุนโทษประหารชีวิตอีกด้วย

ในอดีตหัวหอกในการจำกัดสิทธิสตรีไทยในการทำแท้งคือ จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นหัวหน้าแก๊งพันธมิตรฯ จำลอง คนนี้เคยเป็นทหารรับจ้างเพื่อฆ่าคนในลาว เป็นคนที่มีส่วนในเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา และเป็นคนที่เคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคพวกของเขามองว่าพลเมืองไทยมี “ประชาธิปไตยมากเกินไป”

ม็อบสุเทพเคยใช้วาจาที่เหยียดสตรี ในการด่านายกยิ่งลักษณ์ พวกนี้เป็นพวกที่ต่อต้านประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพทุกชนิด

แต่การที่เราเคยมีนายกรัฐมนตรีสตรี ไม่ทำให้สิทธิสตรีคืบหน้าแต่อย่างใดในไทย ยิ่งลักษณ์ไม่เคยออกมาสนับสนุนสิทธิทำแท้ง หรือวิจารณ์พวกที่ใช้วาจาเหยียดเพศ และไม่ทำอะไรเพื่อกำจัดพวกทหารเผด็จการ

สิทธิการทำแท้งเป็นเรื่องชนชั้น เพราะในขณะที่คนจนหรือกรรมาชีพในโรงงานต้องเสี่ยงกับการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยในสถานที่เถื่อน หรือเสี่ยงกับการติดหนี้มหาศาลเพื่อไปทำแท้งในคลินิก คนรวยและลูกสาวของครอบครัวเบื้องบนชั้นสูง สามารถใช้เงินซื้อการทำแท้งปลอดภัยในไทยหรือในต่างประเทศ และเขาทำเป็นประจำ

นี่คือสาเหตุที่เราต้องเน้นและสนับสนุนการรณรงค์ของสหภาพแรงงานไทย ที่เคยพัฒนาสิทธิสตรีอย่างเป็นรูปธรรมในอีดต เช่นสิทธิลาคลอด และเราต้องสนับสนุนข้อเรียกร้องของขบวนการแรงงานในปัจจจุบัน เพื่อให้สตรีไทยมีสิทธิทำแท้ง

พวกอนุรักษ์นิยมเสื้อเหลืองโกหกว่าการทำแท้งกับการมีเพศสัมพันธ์แบบ “สำซ่อน” เกี่ยวโยงกัน แต่เราต้องเปิดเผยความจริงว่าสตรีส่วนใหญ่ที่เลือกทำแท้งในไทยและที่อื่น เป็นคนที่มีคู่ถาวร จำนวนมากมีลูกแล้วด้วย แต่จุดร่วมคือไม่พร้อมจะตั้งท้อง

ถ้าพิจารณาประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่ามีแค่สองประเทศเท่านั้นที่ยอมให้ผู้หญิงมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายตนเอง โดยยอมให้มีสิทธิทำแท้งเสรี สองประเทศนั้นคือสิงคโปร์ และเวียดนาม

กรณีเวียดนาม ที่มีเสรีภาพในการทำแท้ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะยากจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานภาพของผู้หญิงในเรื่องสุขภาพเจริญพันธ์ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศไทย ในประเทศที่มีสิทธิ์ทำแท้งเสรี ผู้หญิงจะสามารถทำแท้งในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน ซึ่งสร้างความปลอดภัยกับผู้หญิง

การปฏิวัติรัสเซีย การปฏิวัติสังคมนิยม

การปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 เป็นตัวอย่างสำคัญของความพยายามในการยึดอำนาจรัฐเพื่อสร้างสังคมนิยม เราสามารถเรียนบทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นี้ได้

สภาพสังคมรัสเซีย และลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การปฏิวัติ

รัสเซียสมัยนั้นปกครองโดยเผด็จการของกษัตริย์ซาร์ แต่ทั้งๆ ที่หลายส่วนของสังคมมีสภาพที่ตกค้างจากระบบฟิวเดิลก่อนทุนนิยม รัสเซียถูกลากเข้าไปในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์แล้ว ลีออน ตรอทสกี้ นักมาร์คซิสต์รัสเซียเรียกสภาพเช่นนี้ว่าเป็น “การพัฒนาแบบองค์รวมและต่างระดับ” องค์รวมเพราะมีสภาพร่วมกับสังคมทุนนิยมอื่นๆ ในประเทศที่พัฒนา แต่ต่างระดับเพราะบางส่วนของสังคมรัสเซียล้าหลังมาก โดยเฉพาะสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรในชนบท

แต่ในเมืองเพทโทรกราด(Petrograd) ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ใกล้พรมแดนกับฟินแลนด์ มีโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ขนาดใหญ่ซึ่งจ้างคนงานหลายพันคน ในขณะเดียวกันโรงงานอุตสาหกรรมโดยทั่วไปในสหรัฐมีคนงานแค่หลักร้อย โรงงานที่ทันสมัยที่สุดในรัสเซียก้าวหน้ากว่าของสหรัฐ แต่โดยรวมแล้วสหรัฐอเมริกาพัฒนาไปไกลกว่ารัสเซีย เราจะเห็นความขัดแย้งแบบนี้ในระบบทุนนิยมทุกวันนี้ด้วย

สภาพเช่นนี้ของรัสเซียมีผลต่อภารกิจของชนชั้นกรรมาชีพผู้ทำงาน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในสังคม เพราะทั้งๆ ที่เขาเป็นคนส่วนน้อย แต่เขาทำงานในแผนกเศรษฐกิจที่ทันสมัยที่สุดและสร้างมูลค่ามหาศาล ยิ่งกว่านั้นเกษตรกรรายย่อยที่เป็นคนส่วนใหญ่ มีฐานะทางชนชั้นเป็นนายทุนน้อยยากจนที่แข่งขันกันเอง ในการผลิตและขายสินค้า

ดังนั้นกรรมาชีพจะต้องเป็นผู้นำการปฏิวัติสังคมนิยมเพื่อการยึดระบบการผลิตมาเป็นของส่วนรวม และต้องนำการปฏิวัติด้วยความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ที่มาจากการศึกษาและการทำงานในระบบอุตสาหกรรมอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันกรรมาชีพต้องดึงเกษตรกรรายย่อยมาเป็นแนวร่วม และต้องพิสูจน์ให้เกษตรกรเห็นว่าสังคมนิยมจะเป็นประโยชน์กับเขา

ความก้าวหน้าทันสมัยของลัทธิการเมืองมาร์คซิสต์ในหมู่กรรมาชีพ เมื่อเปรียบเทียบกับลัทธิการเมืองของเกษตรกรที่อยากเปลี่ยนสังคม เห็นได้จากความแตกต่างในเป้าหมายและยุทธวิธี ลัทธิการเมืองของเกษตรกรเน้นการหมุนนาฬิกากลับไปสู่ยุคที่เกษตรกรแต่ละครอบครัวมีที่ดินทำกินของตนเอง วิธีที่จะไปสู่เป้าหมายคือการลอบฆ่านักการเมืองหรือเจ้าของที่ดิน ซึ่งมีผลในการถูกปราบปรามเท่านั้น ส่วนนักมาร์คซิสต์ต้องการสร้างสังคมสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลจีที่ก้าวหน้าที่สุด เพื่อให้คนส่วนใหญ่ร่วมกันปกครองตนเอง และตั้งเป้าหมายในการยึดอำนาจรัฐโดยมวลชน

ในปี 1905 ภายหลังจากที่รัสเซียพ่ายแพ้สงครามแย่งชิงอำนาจกับญี่ปุ่น มีการพยายามปฏิวัติของกรรมาชีพท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่ตามมา การประท้วงตอนแรกนำโดยหลวงพ่อกาปอนมีการชูรูปเจ้าเพื่อขอความเมตตาจากกษัตริย์ซาร์ แต่ซาร์โต้ตอบด้วยกระสุนและความตาย ซึ่งสร้างกระแสการปฏิวัติท่ามกลางความโกรธแค้น

ในยุคนั้นกรรมาชีพก่อตั้งสภาคนงานเป็นครั้งแรกในเมืองเพทโทรกราด ซึ่งเรียกว่า Soviets(โซเวียต) เพื่อประสานงานการปฏิวัติ นับว่าเป็นการคิดค้นรูปแบบสภาประชาธิปไตยที่ก้าวหน้ากว่ารัฐสภาในระบบทุนนิยม เพราะควบคุมทั้งการเมืองและเศรษฐกิจพร้อมๆ กัน เนื่องจากสถานที่ทำงานทุกแห่งมีสภาคนงาน นอกจากนี้มีระบบตรวจสอบถอดถอนผู้แทนตลอดเวลา แต่การปฏิวัติครั้งนี้ถูกปราบซึ่งทำให้มีการเรียนบทเรียนในการต่อสู้สำหรับอนาคต

ในปี 1914 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งระเบิดขึ้น รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส รบกับ เยอรมัน เพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมในโลก พรรคสังคมนิยมทั้งหลายในยุโรปที่เคยมีจุดยืนต้านสงคราม กลับยอมจำนนต่อแนวชาตินิยมและสนับสนุนสงครามในประเทศของตนเองข้อยกเว้นคือพรรคบอลเชวิค(Bolshevik)ในรัสเซีย และนักต่อสู้มาร์คซิสต์อย่างตรอทสกี้ โรซา ลัคแซมเบอร์ค คาร์ล ไลปนิค กับ จอห์น มะเคลน ในประเทศรัสเซีย เยอรมัน และอังกฤษ

พอถึงกุมภาพันธ์ปี 1917 สงครามยืดเยื้อ ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะและประชาชนยากลำบากจนทนไม่ไหว มีการเดินขบวนของกรรมกรหญิงในรัสเซียเพื่อประท้วงปัญหาปากท้อง ซึ่งเกิดขึ้นในวันสตรีสากลแต่ถูกทหารยิงล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในไม่ช้าทหารชั้นล่างรับไม่ได้ เลยหันปืนใส่ผู้บังคับบัญชา ในที่สุดมีการล้มรัฐบาลของกษัตริย์พระเจ้าซาร์ สหภาพรถไฟไม่ยอมเดินรถไฟให้ทหารฝ่ายซาร์เคลื่อนไหว มีการลุกฮือจากมวลชนซึ่งไม่มีการวางแผนล่วงหน้า แต่นักสังคมนิยมที่มีประสบการณ์ยาวนานในการเคลื่อนไหวต่อสู้และการจัดตั้งมีส่วนร่วมและบ่อยครั้งเป็นแกนนำ มีการตั้งสภา Soviets เป็นครั้งที่สองในเมืองต่างๆ ซึ่งในครั้งนั้นกลายเป็น สภา Soviets สามประเภทคือ สภาคนงาน สภาทหารเกณฑ์ และสภาเกษตรกรรายย่อย สองสภาหลังส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยคนชนบท

ในขั้นตอนแรกนักการเมืองพรรคนายทุน(พวก Cadets) ฉวยโอกาสเข้ามาตั้งรัฐบาลแทนรัฐบาลซาร์เพราะฝ่ายกรรมาชีพและเกษตรกรไม่ได้มีแผนล่วงหน้าในการยึดอำนาจและขาดความมั่นใจ ในที่สุดพรรค Cadets สร้างความไม่พอใจเป็นอันมากเพราะจริงๆ แล้วไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอะไร และไม่ต้องการยุติสงคราม จึงมีการแต่งตั้งนายก Kerensky ที่ได้รับการสนับสนุนโดย พรรคสังคมนิยมต่างๆ เช่น พรรคเมนเชวิค (Menshevik) พรรคปฏิวัติสังคมของเกษตรกร และ บอลเชวิคซีกขวา รัฐบาลใหม่นี้เรียกว่า “รัฐบาลชั่วคราว” ก่อนที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่

เมื่อถึงเดือนเมษายน 1917 เลนินนั่งรถไฟถึงเมืองเพทโทรกราดพอลงจากรถไฟเลนินประกาศว่า “รัฐบาลชั่วคราวจงพินาศ! สภา Soviets ต้องยึดอำนาจ!” บอลเชวิคซีกขวา เช่น สตาลิน คาเมเนียฟ ซีโนเวียฟ มองว่าเลนิน “บ้า” แต่เลนินกำลังเสนอว่ากรรมาชีพจะต้องปฏิวัติถาวรไปสู่สังคมนิยม ไม่ใช่ปล่อยให้ระบบทุนนิยมและสงครามป่าเถื่อนดำรงอยู่ต่อไป และเลนินได้รับการสนับสนุนจากมวลชนจำนวนมาก

“วิทยานิพนธ์เดือนเมษายน 1917” ของเลนิน เสนอว่าต้องปฏิวัติถาวรสู่สังคมนิยม ไม่ใช่ชะลอขั้นตอนไว้ที่ “ทุนนิยมประชาธิปไตย” แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฏีปฏิวัติถาวรของตรอทสกี้ที่เขียนไว้ในปี 1906 และ ข้อเสนอของคาร์ล มาร์คซ์ ก่อนหน้านั้นในปี 1848

“วิทยานิพนธ์เดือนเมษายน 1917” ของเลนิน เป็นบทความสำคัญที่ถูกปกปิดในไทยโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อสี่สิบปีก่อน เพราะตอนนั้นพรรคคอมมิวนิสต์กำลังเสนอนโยบาย “สองขั้นตอนของการปฏิวัติไทย” คือการหยุดในขั้นตอนทุนนิยม และพรรคกำลังพยายามทำแนวร่วมกับนายทุน “ก้าวหน้า” และ “ผู้รักชาติทั้งหลาย” นโยบายแบบนี้ยังถูกสะท้อนในการนำของแกนนำ นปช. ที่เป็นแต่กองเชียร์ให้กับทักษิณและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทุกวันนี้

การปฏิวัติสองขั้นตอน ที่ชะลอไว้ที่ขั้นตอน “ทุนนิยมประชาธิปไตย” หมดสมัยและความก้าวหน้าไปทั่วโลกตั้งแต่ ค.ศ. 1848 ในสมัยนี้ไทยไม่ใช่กึ่งศักดินากึ่งทุนนิยม แต่เป็นทุนนิยมเต็มตัวไปนาน ถ้าจะสร้างรัฐไทยใหม่ต้องก้าวสู่สังคมนิยม ไม่เช่นนั้นก็จะถอยหลัง

รัฐบาลชั่วคราวของ Kerensky เลือกที่จะทำสงครามจักรวรรดินิยมกับเยอรมันต่อไป ประชาชนล้มตายเป็นหมื่น ทหารยิ่งไม่พอใจ พรรคบอลเชวิค จึงชูคำขวัญ “ขนมปัง ที่ดิน และสันติภาพ” ซึ่งสอดคล้องกับกระแสคิดของประชาชน ทหาร และกรรมาชีพ ในไม่ช้าเกิดสภาพ “อำนาจคู่ขนาน” คืออำนาจสภา Soviets (สามสภา ทหาร เกษตรกร และคนงาน) คานกับอำนาจรัฐบาลชั่วคราวของพวกที่สนับสนุนทุนนิยมและสงคราม

กลางปี 1917 ในเดือนกรกฎาคม มวลชนลุกฮือในเมืองเพทโทรกราด แต่พรรคบอลเชวิคสามารถยับยั้งไว้ก่อนเพราะที่อื่นทั่วประเทศยังไม่พร้อม พรรคเกรงว่าจะถูกปราบ อย่างไรก็ตามฝ่ายขวาพยายามฉวยโอกาสทำรัฐประหาร นำโดยนายพล คอร์นิลอฟ(Kornilov) ดังนั้นพรรคบอลเชวิคเลิกสู้กับรัฐบาลชั่วคราวก่อน และ “วางปืนบนไหล่” รัฐบาลชั่วคราว เพื่อสู้กับนายพลคอร์นิลอฟ สหภาพแรงงานรถไฟปิดทางรถไฟไม่ให้ทหารของคอร์นิลอฟผ่านอีกครั้ง ในที่สุดฝ่ายประชาชนเอาชนะรัฐประหารได้ เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้คนจำนวนมากเห็นว่าพรรคบอลเชวิคพูดจริงทำจริง และ Kerensky หมดความชอบธรรม เพราะไร้ปัญญาที่จะสู้

ต่อมาปลายๆ เดือนตุลาคม สามสภา Soviet เปลี่ยนผู้แทน ในสภากรรมาชีพและสภาทหารพรรคบอลเชวิคได้เสียงข้างมาก ในสภาเกษตรกรพรรคปฏิวัติสังคมซีกซ้าย ซึ่งเป็นแนวร่วมของบอลเชวิค ก็ได้เสียงส่วนใหญ่ มีการลงคะแนนเสียงในทั้งสามสภาให้ยึดอำนาจรัฐผู้นำพรรคบอลเชวิค เลนิน นำนโยบายของพรรคปฏิวัติสังคมของเกษตรกร มาเสนอทั้งหมดเพื่อปฏิรูปชนบท ฝ่ายปฏิวัติส่งกองกำลังไปปิดสภาร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาลชั่วคราวที่ไม่เคยทำอะไร การปฏิวัติรอบนี้เป็นการก้าวไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม และเกือบจะไม่มีการนองเลือดเลย เพราะประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน

เลนินประกาศในสภา Soviet ว่า “เราจะเดินหน้าสู่การสร้างสังคมนิยม” ซึ่งมีนโยบายสำคัญเฉพาะหน้าคือ

• เลิกสงครามทันที

• ใช้การทูตแบบใหม่ ในลักษณะสากลนิยมและชนชั้นนิยม คือทำแนวร่วมกับกรรมาชีพเยอรมัน ต่อต้านนายพลเยอรมัน มีการเจรจาในลักษณะเปิดเผยโปร่งใส ไม่มีเจรจาลับ

• สร้างรูปแบบประชาธิปไตยใหม่โดยสภา Soviets และในภาคเศรษฐกิจกรรมาชีพคุมการผลิต ไม่มีนายทุนและนายจ้าง

• เสรีภาพสำหรับสตรี สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกในโลกสำหรับสตรีธรรมดา มีโรงอาหาร โรงซักผ้า โรงเลี้ยงเด็ก เพื่อลดภาระงานบ้านของสตรีภายในครอบครัว สตรีมีสิทธิ์ทำแท้ง และสามารถแต่งงานและหย่าอย่างง่ายๆ ไม่ใช่ถูกชายควบคุม

• มีเสรีภาพทางศาสนาเป็นครั้งแรก เพราะรัฐบาลกษัตริย์เคยระบุว่าทุกคนต้องเป็นคริสต์แบบรัสเซีย ทุกคนมีสิทธิ์นับถือหรือไม่นับถือศาสนา มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัว รัฐไม่เกี่ยวข้อง

• มีความสร้างสรรค์ทางศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษา เกิดขึ้นในบรรยากาศเสรีภาพของการปฏิวัติ

• มีการจัดที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ เช่น การอยู่ร่วมกันหลายคนหลายครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบ้าน

• เกษตรกรยึดที่ดิน โดยไม่ต้องรอการออกคำสั่งจากรัฐบาล รากหญ้าปฏิวัติเอง

• ประกาศเสรีภาพสำหรับประเทศเล็กๆ ในอดีตอาณานิคมของรัสเซียทันที

แต่ฝ่ายทุนนิยมไม่ได้นิ่งนอนใจ เกิดสงครามกลางเมือง เพราะกองทัพตะวันตก 14 กองทัพบุกรัสเซีย พร้อมพวกฟาสซิสต์ และพรรคการเมือง Cadet พรรคเมนเชวิค และซีกขวาของพรรคปฏิวัติสังคม จับอาวุธค้านการปฏิวัติสังคมนิยม วิธีต่อสู้ของกองทัพแดง ที่อาศัยการเมืองนำการทหารและนำโดยตรอทสกี ได้รับชัยชนะในที่สุด และมีการปกป้องคนกลุ่มน้อยที่เคยถูกระบบเผด็จการซาร์กดขี่ เช่น คนยิว และชาวอิสลามทางตะวันออก เป็นต้น

พม่า: บทเรียนสำคัญสำหรับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทย

ตั้งแต่อดีตนายพล เทียน เส่ง ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีพม่าในเดือนมีนาคม ปี 2011 นักวิจารณ์ต่างชาติ มักมองในแง่ดีว่าพม่ากำลังเดินทางไปสู่รูปแบบการเมืองประชาธิปไตยเสรีนิยม แต่หลายคนลืมไปว่านายพล เทียน เส่ง ขึ้นมามีอำนาจแต่แรกภายใต้เผด็จการทหารที่ยึดอำนาจในปี 1988 เทียน เส่ง เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเผด็จการมาตลอด  เขาเป็นนายพล เป็นเลขาธิการของคณะกรรมการเผด็จการ และต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวเขาไม่เคยแสดงจุดยืนที่อิสระจากกองทัพแต่อย่างใด

โครงสร้างอำนาจของกองทัพพม่าในส่วนบนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด การพูดถึงระบบการเมืองที่อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิรูปเป็นการเข้าใจผิด

รัฐธรรมนูญปัจจุบันของพม่าถูกร่างขึ้นโดยคณะที่แต่งตั้งมาจากทหาร และมีการนำมาใช้หลังจากที่ทหารจัดการลงประชามติที่ไม่โปร่งใส  ประชามตินี้จัดขึ้นหลังจากที่พายุนากิส สร้างความเสียหายมหาศาลภายในประเทศ  และมีการเป่าประกาศว่า 92.48% ของประชากรเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญครั้งนี้

พรรคการเมืองของทหารในปัจจุบันชื่อพรรค USDP และแกนนำของพรรคมีคนอย่าง ตาน ฉ่วย และ เทียน เส่ง รวมอยู่ด้วย และไม่ว่าพรรคของทหารจะชนะการเลือกตั้งด้วยวิธีการสกปรกหรือไม่ แต่กติกาในระบบเลือกตั้งระบุว่า 25% ของที่นั่งในสภาจะต้องเป็นนายทหารที่ถูกแต่งตั้งโดยกองทัพโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งเลย

ย่อหน้าแรกของรัฐธรรมนูญทหารปี 2008 ระบุว่ากองทัพมีบทบาทสำคัญในการนำการเมือง ในรูปธรรมกองทัพคุม 25% ของที่นั่งในรัฐสภา และกองทัพมีอำนาจในการวีโต้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่สำคัญ และถ้ารัฐสภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญตรงไหน จำเป็นจะต้องมีเสียงสนับสนุน จาก 75% ของส.ส. ถึงจะทำได้ รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และการโกงในระบบเลือกตั้งหรือการลงประชามติ แปลว่ากองทัพจะยังถืออำนาจต่อไปในประเทศพม่า นอกจากนี้กองทัพสามารถควบคุมคณะกรรมการเลือกตั้ง ผ่านเส้นสายต่างๆ และมาตรา 413 ของรัฐธรรมนูญระบุว่าประธานาธิบดีสามารถจะยกอำนาจให้กับผู้บัญชาการทหารเพื่อปกครองประเทศ รวมถึงอำนาจศาลด้วย ถ้ามี “เหตุจำเป็น”

กองทัพพม่ามีอำนาจทางเศรษฐกิจด้วย เพราะเป็นเจ้าของสองบริษัทแม่ยักษ์ใหญ่ คือ UMES กับ MEC สำนักข่าวรอยเตอร์เสนอว่า UMES ผูกขาดการนำเข้าของสินค้า และมีนักวิชาการออสเตรเลียเสนอว่า ตาน ฉ่วย เป็นผู้คุมกำไรของบริษัทนี้ ส่วน MEC เป็นบริษัทที่มีความลึกลับพอสมควร และ มีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมหนักและภาค IT

หลังจากรัฐธรรมนูญทหารถูกนำมาใช้และมีรัฐสภาที่ทหารควบคุมได้ แกนนำในกองทัพพม่ามองว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มโครงการปฏิรูปเพื่อแก้ภาพพจน์แย่ๆ ของทหารพม่าในเวทีสากล  มีความหวังว่าการกระทำที่ดูเหมือนปฏิรูปนี้จะหลอกประเทศสากลได้ ด้วยเหตุนี้นาง อองซานซูจี ถูกปล่อยตัวและมีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองเป็นร้อย   นอกจากนี้สื่อมวลชนเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้นหลังจากที่เคยถูกควบคุมอย่างหนัก

โศกนาฏกรรมของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า คือการหักหลังการต่อสู้โดยนางอองซานซูจี โดยที่เขายังมีอิทธิพลครองใจชาวพม่าที่รักประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก

ในเดือนเมษายน 2012 พรรคการเมืองของ อองซานซูจี (พรรคNLD)  เข้าร่วมในการเลือกตั้งซ่อม ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ สส. พรรคทหารได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ พรรคของซูจี ชนะ 43 ที่นั่ง จาก 44 ที่นั่งที่มีตำแหน่งว่างในการการเลือกตั้งครั้งนั้น และ ซูจี ก็เข้ามาเป็น สส. ในรัฐสภา   อย่างไรก็ตามพรรคNLD คุมแค่ 7% ของรัฐสภา

การร่วมในกระบวนการเลือกตั้งจอมปลอมของทหาร โดยนางอองซานซูจี และพรรค NLD ถือว่าเป็นการยอมรับระบบการเมืองภายใต้ทหาร แล้วยังช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับทหารอีกด้วย

นอกจากนี้มีคนวิจารณ์ว่าประสิทธิภาพของ อองซานซูจี และNLD ในรัฐสภาเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ทำตัวเป็นฝ่ายค้านแต่อย่างใด เพียงแต่เดินตามหลังรัฐบาลอย่างเชื่องๆ อองซานซูจี จึงดูเหมือน “ถูกตอนให้เป็นหมัน” และเป็นปากเสียงของประชาชนไม่ได้อีกแล้ว

ชนชั้นปกครองพม่าพึงพอใจอย่างยิ่งที่เห็นการวิวัฒนาการของอองซานซูจี จากผู้นำฝ่ายค้านไปสู่ผู้สนับสนุนทหารและสนับสนุนภาพลวงตาเกี่ยวกับการปฏิรูป

ในอดีต ในยุคที่มีการลุกฮือต่อต้านเผด็จการทหารครั้งยิ่งใหญ่ในปี 1988 อองซานซูจี มีบทบาทสำคัญในการสลายการชุมนุม และต้อนความหวังของผู้รักประชาธิปไตยไปสู่ระบบการเลือกตั้ง แต่ทั้งๆที่เขาชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น ทหารไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน ในขณะที่พลังมวลชนก็ถูกสลายไป เผด็จการจึงครองพม่าต่อไปจนทุกวันนี้ได้

นักศึกษาจำนวนหนึ่งไม่พอใจกับพฤติกรรมของอองซานซูจีเป็นอย่างมาก และหันไปสนใจยุทธศาสตร์การจับอาวุธสู้กับกองทัพพม่า แต่ในที่สุดมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงและไร้พลังแต่แรก

สิ่งที่มีพลังแท้ในการต้านเผด็จการพม่าคือมวลชนที่เชื่อมโยงกับสหภาพแรงงาน ซึ่งในปี 1988 เกือบจะล้มทหารได้ก่อนที่อองซานซูจีจะเข้ามาสลาย มวลชนที่เชื่อมโยงกับสหภาพแรงงานจึงเป็นความหวังสำหรับอนาคตประชาธิปไตยพม่า

ปัญหาของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เมื่อใช้แนวคิดวัฒนธรรมชาตินิยม

โดย ลั่นทมขาว

อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นนักวิชาการที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย และบทความล่าสุด “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย 2557” (ในประชาไท) มีเป้าหมายในการเสนอว่าเผด็จการทหารปัจจุบันไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของพลเมืองไทย เราคงต้องเห็นด้วยตรงนั้น

อย่างไรก็ตามในบทความนี้ อ.นิธิ ติดกับดักแนวคิดวัฒนธรรมชาตินิยม จึงมีปัญหามากเมื่อมาพิจารณาแนวคิดที่แบ่งแยกอำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เพราะเขามองว่าเป็นแนวคิด “ฝรั่ง”

นอกจากการใช้คำว่า “ฝรั่ง” เป็นคำเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งตรงกับการเรียกคนไทยว่า “ไอ้ตาตี๋” แล้ว ประเด็นหลักคือ อ.นิธิ หลงคิดว่าในตะวันตกมีแนวคิดเดียว แทนที่จะเข้าใจว่ามีหลากหลายแนวคิดที่แข่งกัน และบ่อยครั้งเป็นแนวคิดที่อิงจุดยืนทางชนชั้นด้วย ซึ่งไม่ต่างจากในไทยเลย มันมีหลากหลายแนวคิดทางการเมือง และหลากหลายวัฒนธรรมที่แข่งกันเสมอเช่นกัน

ในเรื่องการแบ่งแยกอำนาจเพื่อ “คานกัน” ที่อ.นิธิอ้างว่าเป็นแนวตะวันตกนั้น เราควรทราบว่า แนวคิด “เสรีนิยม” (liberalism) อันนี้ เป็นเพียงหนึ่งแนวคิดในหลายความคิดที่ตรงข้ามกันและนำไปสู่การถกเถียงเสมอในระดับสากล

ในความเป็นจริง พลเมืองส่วนใหญ่ในยุโรปไม่เคยเชื่อว่ามีการแบ่งอำนาจจริง คนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลกับรัฐสภาเป็นพวกเดียวกัน ต่างกันก็ตรงที่มีพรรคการเมืองที่แข่งแนวกันเท่านั้น และคนส่วนใหญ่ไม่เคยเชื่อว่าศาลมีความอิสระจากชนชั้นปกครองด้วย นี่คือ “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” ของสามัญชนในยุโรป ในสหรัฐไม่ต่างออกไป และคนส่วนใหญ่ในสหรัฐมองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปเลือกตั้งเพราะเศรษฐีชนชั้นปกครองชนะทุกครั้งไม่ว่าจะมาจากพรรคไหน

ในทางการเมือง การเสนอว่าควร “แบ่งแยกอำนาจ” ระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ในตะวันตก เป็นมาตรการเพื่อให้ฝ่ายนายทุนและอภิสิทธิ์ชนแบ่งอำนาจกันเอง อย่าลืมว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเสนอมาในช่วงก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งเลย และไม่ต้องพูดถึงสิทธิของสตรีหรือคนผิวดำด้วย พอสหรัฐพัฒนาประชาธิปไตยและพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็มีการสร้างอุปสรรค์เพื่อไม่ให้คนธรรมดาเข้ามาดำรงตำแหน่งในสามองค์กรดังกล่าวอีกด้วย

แนวอื่นๆ ในตะวันตกที่อิงชนชั้นกรรมาชีพ จะเสนอรูปแบบประชาธิปไตยแบบสภาคนงาน ที่มีการประชุมในสถานที่ทำงานและถอดถอนผู้แทนได้ตลอด อย่างเช่นหลังการปฏิวัติรัสเซียหรือในคอมมูนปารีส นอกจากนี้ในปัจจุบันมีการเชื่อว่าองค์กรที่คานอำนาจรัฐบาลได้ดีที่สุดคือขบวนการเคลื่อนไหวทางการสังคม โดยเฉพาะขบวนการแรงงาน และในหลายๆประเทศของตะวันตก มีการร่วมกันดูแลกระบวนการเลือกตั้งผ่านกรรมการที่มาจากพรรคการเมืองต่างๆ แทนที่จะเน้นเรื่ององค์กรอิสระ

นี่คือสาเหตุที่เราควรใช้แนวคิดชนชั้นมากกว่าแนวคิดวัฒนธรรมชาตินิยม เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจความหลากหลายของอุดมการณ์และแนวคิดในประเทศต่างๆทั่วโลก แทนที่จะเหมารวมว่าแต่ละชาติมีลักษณะพิเศษ

ในไทยคำว่า “ปฏิรูป” หมดความหมายไปแล้ว

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกวันนี้ในไทย พวกที่เกลียดชังสิทธิเสรีภาพของประชาชน และพวกที่มีส่วนร่วมในการใช้กำลังเพื่อทำลายประชาธิปไตย ได้ทำให้คำว่า “ปฏิรูป” มีความหมายตรงข้ามกับความหมายเดิม เราน่าจะหันมาใช้คำว่า “อปฏิรูป” หรือ “ปฏิกูล” เพื่อบรรยายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ขอทบทวนความจริงเกี่ยวกับสภาพการเมืองหน่อย คือในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา พวกอนุรักษนิยม ไม่ว่าจะเป็นทหาร คนชั้นกลาง ข้าราชการชั้นสูง นักวิชาการล้าหลัง เอ็นจีโอ และพรรคประชาธิปัตย์ ได้กระทำทุกอย่างเพื่อสร้างอุปสรรคต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน และการดำรงอยู่ของประชาธิปไตย การพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหอกในการสร้างประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่ประเด็นหลักคือพลเมืองไทยส่วนใหญ่ได้เลือกพรรคเหล่านี้ในการเลือกตั้งที่ตรงไปตรงมา ไม่มีการโกง และเขาเลือกเพราะพรรคของทักษิณมีนโยบายใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนส่วนใหญ่ ตัวอย่างที่สำคัญคือระบบรักษาพยาบาลถ้วนหน้า การสร้างงานในหมู่บ้าน และการช่วยเหลือเกษตรกร ดังนั้นการแจกเงินซื่อเสียงจึงหมดความสำคัญลงในวันเลือกตั้ง

ฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเพราะระบอบอุปถัมภ์แบบเก่า และการมีอำนาจนอกกรอบประชาธิปไตย ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง และพรรคการเมืองเก่าเคยใช้ ดูเหมือนจะหมดยุค เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่พรรคการเมืองของทักษิณครองใจพลเมืองส่วนใหญ่ได้ผ่านนโยบายการเมืองที่ถูกทดสอบในวันเลือกตั้ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงพร้อมจะใช้ทุกกลไกในการล้มประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารสองรอบ การใช้กลไกศาล กกต. หรือองค์กรอิสระลำเอียง และการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงแต่ไม่เคยถูกลงโทษ

ด้วยเหตุนี้เราพอสรุปได้ว่าคนที่ครองอำนาจอยู่ปัจจุบัน คือประยุทธ์ จันทร์โอชา และแก๊งเผด็จการ เป็นพวกมือเปื้อนเลือดที่จงใจฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ราชประสงค์ และทำรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต่อจากนั้นหลังทำรัฐประหารก็มีการโกหกบิดเบือนความจริงตลอด และปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดร้ายผ่านการกักขังและข่มขู่หรือทรมานนักโทษการเมือง

เราฟันธงได้เลยว่าคณะเผด็จการที่กำลังอ้างว่าจะริเริ่มกระบวนการ “ปฏิรูป” เป็นพวกอาชญากรที่ “ฆ่า” ประชาธิปไตย เขาเป็นพวก “อปฏิรูป-ปฏิกูล” นั้นเอง

แล้วพวกนี้จะไป “ปฏิรูป”  การเมืองทำหอกอะไรได้?

ใครมีสมองเท่าไส้เดือนคงเข้าใจเป้าหมายจริงของคณะทหาร มันต้องการเปลี่ยนกติกาการเมืองเพื่อขัดขวางการที่พลเมืองส่วนใหญ่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองและใช้สิทธิเสรีภาพ

คณะทหารต้องการ “พม่าโมเดล” คือเราไปเลือกตั้งได้ แต่ทหารและแนวร่วมประจบสอพลอยังคุมอำนาจต่อ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งจะถูกกฏหมายและองค์กรหรือสถาบันต่างๆ มัดมือไว้จนดิ้นไม่ได้ภายใต้ข้ออ้างว่ามันเป็นการ “ตรวจสอบ” นักการเมือง แต่อย่างที่ทุกคนเห็นทุกวันนี้ ผู้ที่อ้างว่ามีอำนาจตรวจสอบไม่เคยถูกประชาชนตรวจสอบได้เลย

แค่นี้ยังไม่แย่พอ ท่านผู้อ่านควรจะทำใจไว้เพิ่ม เพราะสิ่งที่แย่กว่านี้คือปรากฏการณ์ของพวกตอแหล โกหก โง่เขลา เลียทหาร ที่วิ่งเต้นจะไปร่วมกระบวนการ “อปฏิรูป-ปฏิกูล” ที่กำลังเกิดขึ้น และพวกสื่อมวลชนที่รายงานอย่างหน้าด้านว่า “นี่คือการปฏิรูป”

คำถามคือ พวกนี้มันโง่ หรือมันจงใจโกหกทุจริตเพื่อผลประโยชน์มันเอง? ในกรณีนักวิชาการและพวกอดีตข้าราชการหรือนักกฏหมาย รวมถึงนายทหาร ผมมองว่ามันจงใจโกหกทุจริตว่านี้คือการปฏิรูป แต่พวกเอ็นจีโอบางคน สื่อมวลชน และพวกผู้นำแรงงานน้ำเน่า อาจทั้งโง่และทั้งจงใจโกหกในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่โดยรวมแล้วฝูงเปรตเหล่านี้ เป็นพวก “ขยะสังคม” ที่เราจะต้องกวาดทิ้งจากการมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของประเทศ เพราะเขาไม่เคารพพลเมืองส่วนใหญ่ ไม่ชื่นชมสิทธิเสรีภาพกับประชาธิปไตย และไม่สุจริตพอ หรือไม่ฉลาดพอ ที่จะกล้าพูดความจริง

ในเดือนต่อๆไป เราคงเห็นละครสัตว์ “อปฏิรูป-ปฏิกูล” เล่นไปบนเวทีที่ทหารสร้าง แต่ในอนาคตข้างหน้าพลเมืองไทยจะล้มกระดานเผด็จการและผลพวงทั้งหมดของพวกนี้เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง