ใจ อึ๊งภากรณ์
เผด็จการมือเปื้อนเลือดของประยุทธ์ลั่นว่าจะจัดระเบียบใหม่สำหรับพุทธศาสนา
ในประการแรกการที่ฆาตกรจะมาทำอะไรกับศาสนา ก็คงไม่ทำให้ดีขึ้นแน่นอน และเราก็ทราบดีว่าพระสงฆ์คนโปรดของประยุทธ์คืออันธพาลห่มเหลืองที่ชื่อพุทธะอิสระ พุทธะอิสระเป็นสมาชิกแก๊งขวาจัดที่ใช้ความรุนแรงบนท้องถนน เพื่อทำลายการเลือกตั้ง และเชิญทหารเข้ามาทำรัฐประหาร นี่คงจะเป็น “พระตัวอย่าง” ใน “วัดตัวอย่าง” ของแก๊งทหารที่ขโมยสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเราไป
“พระตัวอย่าง” อีกคนคงจะเป็นคนห่มผ้าเหลืองที่เรียกตัวเองว่า “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และออกมาเลียชม คสช. คงเป็นเพราะ คสช. ทำผิดศีล 5 หลายข้อมั้ง?
แน่นอน คสช. คงไม่เสนอว่าพระเสื้อแดงเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งๆ ที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนและสิทธิเสรีภาพ
แล้วเรื่องความวิปริตทางเพศละ?
ผมไม่ใช่คนที่นับถือศาสนาแต่อย่างใด แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมสตรีเป็นพระไม่ได้ และไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ธรรมดาๆ ภายใต้ความรัก อย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ หลายศาสนาเขาให้พระแต่งงาน แต่พวกคริสต์แคทอลิคกับไทยพุทธ เขาไม่ให้ พวกนักบวชสองศาสนานี้หลายคนก็เลยกลายเป็นพวกวิปริตทางเพศไป
ส่วนเรื่องการสะสมเงินทอง ก็ให้ประชาชนตรวจสอบเอง เพื่อเลือกว่าจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธาใคร อันนี้เป็นมาตรฐานที่ต้องใช้กับนักการเมืองและทหารเผด็จการด้วย โดยเฉพาะคนที่ครองหลายตำแหน่งพร้อมกัน
ในสังคมไทยผมแนะให้มีการแยกระหว่าง “นักบวช” หรือคนที่บวชเป็นพระ กับ “ครูสอนศาสนา” เพราะการบวชเป็นพระในรูปธรรม ก็ทำไปเพื่อตนเองหรือพ่อแม่ เพื่อแสวงหาอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม แถมยังให้สังคมเลี้ยงอีก และคนที่ไปบวชหลายคนก็เป็นคนชั่วซึ่งไม่ได้กลับตัวแต่อย่างใด ตัวอย่างอันดับหนึ่งคือสุเทพ ดังนั้นจะไปกราบไหว้บูชาคนที่ห่มผ้าเหลืองเพื่อตนเองทำไม? ก็ปล่อยให้เขาทำของเขาไป เหมือนคนที่ชอบตกปลาหรือฟังเพลง ก็ไม่มีใครไปไหว้
ส่วนครูสอนศาสนาควรเป็นคนที่อยากศึกษาปรัชญาแล้วนำมาถ่ายทอดให้คนอื่น พวกนี้มีเจตนาทำเพื่อสังคม เราจะเห็นด้วยกับปรัชญาของเขาหรือไม่นั้นก็อีกอย่าง และใครศรัทธาไปไหว้ก็ไปไหว้ไปฟังได้อย่างอิสระ
และท้ายสุดศาสนากับรัฐควรแยกกันโดยสิ้นเชิง ใครจะนับถือหรือไม่นับถืออะไรก็ให้เป็นเรื่องส่วนตัว