10 ปีหลังตากใบ การเมืองแบบชุมชนนิยม ไม่ใช่คำตอบสำหรับปาตานี

ใจ อึ๊งภากรณ์

10ปีหลังอาชญากรรมรัฐที่ตากใบ คนที่รับผิดชอบคือทักษิณ ผบ.ทหาร และผบ.ตำรวจ ยังไม่ถูกนำมาขึ้นศาล ไม่ต่างจากผู้ที่ต้องรับผิดชอบกรณีอาชญากรรมรัฐอื่นๆ เช่น ๑๔ ตุลา ๖ตุลา พฤษภา ๓๕ หรือราชประสงค์ ๕๓

ถ้ามองไปข้างหน้าด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะมีการแก้ไขปัญหาที่ปาตานี สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังในอนาคต ถ้าปาตานีมีสันติภาพ คือการเมืองแบบ “ชุมชนนิยม”

การเมืองแบบชุมชนนิยมคืออะไร มันเป็นการมองปัญหาการเมืองในรูปแบบที่เชื่อว่าปัญหาที่ปาตานี หรือไอร์แลนด์เหนือ หรือบอสเนีย ฯลฯ เกิดจากความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรม ดังนั้นมีการเสนอว่าควรมีระบบการเมืองที่ให้แต่ละเชื้อชาติ ศาสนา หรือชุมชน มีตัวแทนทางการเมืองของตนเอง เพื่อมาแบ่งอำนาจกันกับเชื้อชาติ ศาสนา หรือชุมชนอื่น

แต่ปัญหาที่ปาตานี ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างคนมุสลิมมาเลย์กับคนไทยพุทธ หรือระหว่างคนมุสลิมมาเลย์กับคนจีนแต่อย่างใด มันเป็นปัญหาที่มาจากความเป็นจักรวรรดินิยมของรัฐไทยหรือรัฐสยามต่างหาก ยิ่งกว่านั้นคนมุสลิมมาเลย์ ไม่ได้มีผลประโยชน์ตรงกันทุกคน คนไทยพุทธก็เช่นกัน มันมีความแตกต่างทางชนชั้นภายในทุกชุมชน ดังนั้นการเมืองแบบ “ชุมชนนิยม” เป็นการปิดหูปิดตาถึงชนชั้นและการกดขี่ขูดรีดทางชนชั้น และมันเป็นการสร้าง แล้วแช่แข็ง ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติและศาสนาที่ไม่ได้มีมาก่อน

ในมาเลเซียกับสิงคโปร์ มีการออกแบบระบบที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “Consociationalism” คือระบบการปกครองที่ “บริหาร” เชื้อชาติ โดยมีการจัดให้ทุกเชื้อชาติมีตัวแทนของตนเองในรัฐบาล ซึ่งมีการใช้รูปแบบการปกครองอย่างนี้ในไอร์แลนด์เหนือหรือในบอสเนียด้วย ในกรณีมาเลเซีย เราจะเห็นว่ารัฐบาล “แนวร่วมชาติ” ประกอบไปด้วยพรรคของชาวมาเลย์ (U.M.N.O.) พรรคของชาวจีน (M.C.A. – Malay Chinese Association) และพรรคของชาวอินเดีย (M.I.C. – Malay Indian Congress)

แต่ประเด็นปัญหาสำคัญคือตัวแทนของเชื้อชาติจะมาจากชนชั้นไหน และจะเลือกกันอย่างไร? ประเด็นชนชั้นแบบนี้ไม่มีการพิจารณาเลย เพราะคนที่เสนอ Consociationalism มักมองว่าชนชั้นไม่สำคัญ หรืออยากจะกลบความขัดแย้งทางชนชั้น อย่างไรก็ตามการที่พรรค “เถ้าแก่จีน” (พรรค M.C.A.) ถูกเลือกมาเป็นผู้แทนของชาวจีนทั้งหมด เป็นปัญหาถ้ามวลชนไม่ถูกทำให้สงบนิ่งเพื่อตามการนำของอภิสิทธิ์ชนจีน ดังนั้นการปกครองแบบ Consociationalism ย่อมประกอบไปด้วยระบบ “เผด็จการอ่อนๆ” เพื่อควบคุมความขัดแย้งทางเชื้อชาติเสมอ สิ่งนี้ดำรงอยู่ในระบบการเมืองมาเลเซียกับสิงคโปร์ในปัจจุบัน สรุปแล้วมีการยกความขัดแย้งทางเชื้อชาติมาเป็นข้ออ้างในการลดทอนสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตย

คำถามหรือปัญหาที่ตามมา ซึ่งเป็นเรื่องที่แก้ยากคือ ใครเป็นผู้แทนที่แท้จริงของประชาชนเชื้อชาติต่างๆ เพราะที่แล้วมา “ผู้ใหญ่ตามประเพณี” ของเชื้อชาติต่างๆ ในหมู่บ้าน มักอ้างความชอบธรรมโบราณในการเป็นผู้แทน ทั้งๆที่อาจสังกัดคนละชนชั้นกับคนส่วนใหญ่ และทั้งๆที่ไม่มีการเลือกตั้งผู้แทนตามระบอบประชาธิปไตยเลย ถ้าจะเรียกร้องประชาธิปไตยในสังคมโดยรวม ต้องมีประชาธิปไตยในส่วนย่อยๆด้วย รวมถึงการเลือกผู้แทนของเชื้อชาติต่างๆ

ในปาตานีคนมุสลิมมาเลย์ ไม่ได้มีความคิดทางการเมืองในรูปแบบเดียว มีหลายแนวความคิด ในชุมชนพุทธ หรือในหมู่คนเชื้อสายจีน ก็มีหลายแนว และที่สำคัญคือคนมาเลย์มุสลิมจำนวนมากสามารถจับมือสมานฉันท์ทางการเมืองกับคนพุทธหรือคนจีนได้ และนั้นคือแนวทางแท้ในการสร้างสันติภาพและความสุขในปาตานี ไม่ว่าจะแยกดินแดน หรือกระจายอำนาจการปกครองภายใต้รัฐไทยใหม่

เบื้องหลังการเลิกทาสเลิกไพร่ของรัชกาลที่๕ มาตการในการกดค่าแรงรับจ้าง

ใจ อึ๊งภากรณ์

การพัฒนาของระบบทุนนิยมทั่วโลก บวกกับการขยายตัวของระบบการค้าเสรี สร้างทั้งปัญหาและโอกาสให้กับกษัตริย์ไทยในยุคที่จักรวรรดินิยมอังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามา ซึ่งกษัตริย์กรุงเทพฯ เคยเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการพยายามผูกขาดการควบคุมระบบแรงงานบังคับและการค้าขาย  ปัญหาคือรายได้ที่เคยได้จากการควบคุมการค้าอย่างผูกขาดลดลงหรือหายไปจากการกดดันให้มีการค้าเสรีโดยตะวันตก  แต่ในขณะเดียวกันการเปิดเศรษฐกิจเชื่อมกับตลาดโลกที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีผลในการสร้างโอกาสมหาศาลสำหรับนายทุนที่สามารถลงทุนในการผลิตสินค้า แต่โอกาสนั้นจะใช้ไม่ได้ ถ้าไม่รีบพัฒนาแรงงาน

167

     การผลิตข้าวในไทยเป็นตัวอย่างที่ดี  ระหว่างปี ค.ศ. 1870-1880 การผลิตข้าวเพื่อส่งออกไปขายในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 93% ในสภาพเช่นนี้ระบบศักดินาที่เคยอาศัยการเกณฑ์แรงงาน เป็นอุปสรรค์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ ถ้าจะมีการลงทุนในการผลิตข้าวเพื่อขายในตลาดโลก จะต้องใช้กำลังแรงงานในการขุดคลองชลประทานและการปลูกข้าวมากขึ้น และแรงงานนั้นจะต้องมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม แรงงานเกณฑ์ที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเครื่องจูงใจ มักจะไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ถ้าจะแก้ปัญหานี้ได้ผู้ปกครองต้องเปลี่ยนระบบแรงงานไปเป็นแรงงานรับจ้าง เพื่อขยายกำลังงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และต้องนำแรงงานรับจ้างเข้ามาจากประเทศจีนอีกด้วย ซึ่งมีผลทำให้อัตราการค่าจ้างลดลงเมื่อกำลังงานเพิ่มขึ้น ในไทยค่าแรงลดลง 64% ระหว่างปี ค.ศ. 1847 กับ 1907

ในขณะเดียวกันต้องมีการสร้างชนชั้นชาวนาแบบใหม่ขึ้นด้วย ซึ่งมีลักษณะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยอิสระที่มีเวลาและแรงบันดาลใจในการผลิตข้าวมากกว่าไพร่ในอดีต ใครที่คุ้นเคยกับเขตรังสิตจะทราบดีว่าที่นี่มีคลองชลประทานที่ตัดเป็นระบบอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างชัดเจน คลองชลประทานที่ขุดขึ้นที่รังสิต ขุดโดยแรงงานรับจ้าง และการลงทุนในการสร้างที่นาเหล่านี้เป็นการลงทุนโดยบริษัทหุ้นส่วนของระบบทุนนิยมเพื่อการผลิตส่งออก ผู้ที่ลงทุนคือกษัตริย์ ญาติใกล้ชิดของกษัตริย์ และนายทุนต่างชาติ  หลังจากที่มีการขุดคลองก็มีการแจกจ่ายกรรมสิทธ์ที่ดินบริเวณริมฝั่งคลอง และชาวนาที่ปลูกข้าวในพื้นที่นี้เป็นชาวนาอิสระที่มาเช่าที่นา

นอกจากนี้ในการแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆ รัฐที่ยกเลิกแรงงานบังคับไปแล้ว เช่นอังกฤษ อาจใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับระบบทาสที่ดำรงอยู่เพื่อโจมตีรัฐคู่แข่งที่ยังมีระบบนี้อยู่ อันนี้เป็นประเด็นหนึ่งในการยกเลิกระบบแรงงานบังคับในไทย

ในประเด็นการเมือง การที่รัชกาลที่ ๕ ยกเลิกระบบเกณฑ์แรงงานบังคับ ซึ่งต้องอาศัยเจ้าขุนมูลนาย ถือว่าเป็นการตัดอำนาจเศรษฐกิจและการเมืองของเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้นไป มีเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำลายระบบศักดินา เพื่อสร้างระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และรวมศูนย์รัฐแบบทุนนิยมเป็นครั้งแรกในไทย พร้อมกันนั้นกษัตริย์ก็แปรตัวไปเป็นนายทุนใหญ่ในระบบทุนนิยมไทย

สายฟ้าแลบกลางคืนอันมืดมัว

ใจ อึ๊งภากรณ์

การชูมือสามนิ้วโดยมวลชนในงานศพ อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่งเปรียบเสมือนสายฟ้าแลบกลางคืนอันมืดมัว คงสร้างความไม่สบายใจให้กับไอ้ประยุทธ์มือเปื้อนเลือดไม่น้อย และในขณะเดียวกันคงสร้างความไม่สบายใจให้กับยิ่งลักษณ์และทักษิณด้วย

ในช่วงแรกๆ ที่เราเห็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมากไปรับศพ อภิวันท์ วิริยะชัย ที่สนามบิน มันจะเป็นปรากฏการณ์ของประชาชนที่อยากแสดงความเคารพต่ออดีตผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่เผด็จการป่าเถื่อนครองอำนาจในสังคม ยิ่งกว่านั้นอดีตผู้นำคนนี้ยังโดนกฏหมาย 112 อีกด้วย ซึ่งเป็นเครื่องมือของพวกที่ต้องการทำลายประชาธิปไตยมาตลอด

ในด้านหนึ่งการแห่กันไปรับศพ และการแห่กันไปเผาศพ รวมถึงการตะโกนว่า “ยิ่งลักษณ์สู้ๆ” อาจดูเหมือนว่ายังอยู่ในกรอบการสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และนั้นคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งการสนับสนุนคนที่โดน 112 เป็นสัญญลักษณ์ของมวลชนที่ก้าวหน้ากว่าเพื่อไทยและ นปช. ที่ไม่เคยอยากพูดถึงหรือแตะกฏหมายเผด็จการอันนี้

แต่พอเราเห็นมวลชนจำนวนมากที่ได้โอกาสพิเศษของงานศพ แล้วใช้โอกาสนี้ในการประท้วงชูสามนิ้ว เพื่อแสดงความโกรธแค้นไม่พอใจกับเผด็จการ เราเห็นชัดว่ามวลชนพร้อมจะไปไกลกว่าพรรคเพื่อไทยและ นปช. ที่คอยบอกให้ฝ่ายเรา “เงียบและรอ” เสมอ สิ่งที่ชัดเจนคือการประท้วงไม่ได้ถูกนำโดยพรรคเพื่อไทยหรือแกนนำนปช. มันระเบิดขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชนที่ไม่ได้หายไปเลย ทั้งๆ ที่ประยุทธ์อาจเดินโอ้อวดเหมือนนักเลงท่ามกลางการปลอบใจตนเองว่าสามารถ “ควบคุมสถานการณ์” ได้ และ “คืนความสุข” ให้กับสังคม

การชูมือสามนิ้วครั้งนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีโอกาส มีกระแสความรู้สึก และมวลชนมีกำลังใจเพราะมาอยู่ด้วยกันจำนวนมาก จึงหายกลัว มันเป็นสายฟ้าแลบกลางดึกอันมืดมัว มันไม่ได้แสดงว่าหลังจากนี้จะมีคนออกมาต้านเผด็จการทุกวันกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ แต่มันแสดงให้เห็นว่ามวลชนจำนวนมากพร้อมจะสู้ถ้ามีการจัดตั้งและการนำ มันแสดงว่าประยุทธ์และพรรคพวกไม่สามารถทำลายความฝันของประชาชนที่จะล้มเผด็จการและสร้างสิทธิเสรีภาพกับประชาธิปไตย

ปัญหาใหญ่ขององค์กรเสรีไทยในยุโรป

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ องค์กรเสรีไทยในยุโรป ถูกทดสอบและไม่ผ่าน เพราะประยุทธ์มือเปื้อนเลือดหัวหน้าคณะเผด็จการไทยมาร่วมประชุมที่อิตาลี่ แต่องค์กรเสรีไทยในอียูหรือในยุโรป ไม่ว่าจะมีชื่อหรูแค่ไหน ไม่ยอมส่งทีมไปประท้วงต่อต้านประยุทธ์

ผมเคยเขียนบทความต้อนรับการก่อตั้งองค์กรเสรีไทยเมื่อหลายเดือนก่อน พร้อมอธิบายว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากตั้งความหวังกับองค์กรนี้ในเมื่อการนำจาก นปช. และทักษิณ-เพื่อไทย หมดสิ้นไป ในขณะเดียวกันผมเคยเสนอว่าองค์กรเสรีไทยควรมีจุดยืนเพื่อสร้างประชาธิปไตยในไทย รวมถึงการต่อต้านกฏหมาย 112 ด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ องค์กรเสรีไทยต้องทำการจัดตั้งคนไทยในประเทศไทย ซึ่งเป็นการจัดตั้งใต้ดิน

อย่างไรก็ตามเมื่อติดตามคำแถลง คำสัมภาษณ์ และกิจกรรมขององค์กรเสรีไทย ก็พบว่าแกนนำองค์กรนี้เน้นเรื่องการล็อบบี้รัฐบาลต่างประเทศเท่านั้น และไม่ใส่ใจในการจัดตั้งคนไทยในประเทศไทยเพื่อล้มเผด็จการ

การล็อบบี้รัฐบาลต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ผมเองและเพื่อนๆคนไทยในยุโรปหลายคน ก็ได้ติดต่อกับสส.ในประเทศที่ตนพักอยู่ เพื่อกดดันรัฐบาลในยุโรปให้ลดความสัมพันธ์กับเผด็จการทหารไทย และเราทำสิ่งเหล่านี้เอง ไม่ได้ทำผ่านองค์กรเสรีไทย สส.หลายคนก็ยืนยันกับเราว่ารัฐบาลในยุโรปกังวลถึงความเป็นเผด็จการของไทย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องชี้ขาดคือการจัดตั้งคนไทยภายในประเทศไทย ถ้าเผด็จการประยุทธ์และผลพวงโสโครกทั้งหลายของเขาจะถูกล้ม คนไทยในประเทศไทยต้องออกมาล้มผ่านการจัดตั้งใต้ดินและบนดิน เราจะไปหวังรัฐบาลมหาอำนาจที่ชอบตอแหลไม่ได้

สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดคือ แม้แต่การล็อบบี้รัฐบาลต่างประเทศ ที่องค์กรเสรีไทยอ้างว่าเป็นงานหลัก เสรีไทยก็ไม่ทำ เพราะไม่มีการจัดส่งทีมคนไทยไปประท้วงประยุทธ์ที่อิตาลี่เลย ผมเข้าใจว่าคนไทยหลายคน รวมถึงผมเอง ต้องทำงานเลี้ยงชีพและลางานไม่ได้ นอกจากนี้ไม่มีทุนสำรองเพื่อการเดินทาง แต่แกนนำเสรีไทยและคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีในองค์กรเสื้อแดงยุโรปอีกจำนวนหนึ่ง มีเวลาและเงินทุน ดังนั้นต้องสรุปว่าเลือกที่จะไม่ไปประท้วงประยุทธ์ด้วยเหตุผลเล่นพรรคเล่นพวกตามลักษณะคนคับแคบทางจิตใจและการเมือง

เลิกเถิด ความคับแคบและการเล่นพรรคเล่นพวก เพราะสิ่งที่เราต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใด คือการสร้างแนวร่วมต้านเผด็จการไทยที่ไม่กีดกันใครและยอมรับความหลากหลายทางความคิด มันยังไม่สายเกินไปที่จะทำสิ่งเหล่านี้ และมันไม่สายเกินไปที่องค์กรเสรีไทยจะปรับตัว ถ้าเป็นองค์กรจริงและไม่ใช่องค์กรผีที่มีแต่ชื่อ ไม่แน่การปรับตัวหันหน้าเข้าหากันอาจทำให้องค์กรเสรีไทยกลายเป็นองค์กรมวลชนที่นำการต่อสู้ในไทยได้ ผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่ชักเริ่มกังวล

จุดยืนร่วมของเราในการต้านเผด็จการ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถ้าเราจะจัดตั้งทางการเมืองอย่างจริงจังเพื่อล้มเผด็จการ เราควรสร้างองค์กรแนวร่วมมวลชนที่มีจุดยืนดังนี้คือ

  1. เราร่วมกันต่อต้านรัฐบาลทหาร และผลพวงของการดัดแปลงระบบการเมืองโดยเผด็จการดังกล่าวภายใต้คำโกหกว่าจะปฏิรูปการเมือง
  2. เรามีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในสังคม ซึ่งหมายความว่าในอนาคตต้องมีการนำทหารเผด็จการและเจ้าหน้าที่รัฐผู้ที่ก่ออาชญากรรมกับประชาชนมาขึ้นศาล
  3. เรามองว่าการสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ไม่สามารถทำได้ถ้าเราไม่ยกเลิกกฏหมายเผด็จการแบบ 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน
  4. เราต้องตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าจะลดบทบาทของกองทัพในการเมืองและสังคม
  5. เราต้องสร้างความยุติธรรม ทั้งทางกฏหมาย ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม

จุดยืนกว้างๆ ดังนี้มีความสำคัญถ้าเราจะสร้างองค์กรมวลชนที่มีความหลากหลาย เพราะถ้าเราไม่สร้างองค์กรมวลชน เราจะสร้างประชาธิปไตยไม่ได้

แต่จุดยืนกว้างๆ แบบนี้ไม่พอ เพราะนอกจากการสร้างองค์กร “แนวร่วม” มวลชนแล้ว เราต้องสร้างพรรคการเมืองที่จะเป็นแกนนำ ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์สังคม ศึกษาทฤษฏี และมีนโยบายที่ชัดเจนในหลายเรื่อง

ภายในแนวร่วมมวลชนอาจมีหลายพรรคหลายแกนนำร่วมกันได้ ไม่ควรกีดกันผู้รักประชาธิปไตย แต่สำรับเราชาวสังคมนิยม เราต้องสร้างพรรคสังคมนิยมหรือ “พรรคซ้าย”

สังคมนิยมคืออะไร? ในบทความสั้นนี้ เราคงต้องแค่สรุปสั้นๆ ว่าสังคมนิยมคือระบบประชาธิปไตยที่อำนาจรัฐอยู่ในมือคนทำงานธรรมดา ไม่มีอภิสิทธิ์ชน ไม่มีนายทุน มันเป็นรูปแบบสังคมการเมืองที่เน้นความสมานฉันท์ระหว่างพลเมือง แทนการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นในระบบสังคมนิยมคุณภาพชีวิตของทุกคนควรจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ทุกคนเข้าถึงระบบสาธารณะสุขและการศึกาที่มีคุณภาพได้ ไม่มีการเหยียดเพศหรือเชื้อชาติ… ทำนองนั้น

สังคมนิยมเป็นรูปแบสังคมที่เราต้องร่วมกันสร้าง มันไม่ตกหล่นจากฟ้าโดยอัตโนมัติ และมันไม่ได้มาจากคำสั่งของผู้นำ มันอาศัยการรณรงค์และการถกเถียงเสมอ

ผมขอเสนอว่าพรรคซ้ายที่เราต้องสร้าง นอกจากจะต้องเคลื่อนไหวใต้ดินร่วมกับแนวร่วมต้านเผด็จการแล้ว เราจะต้องจัดตั้งทางการเมือง คือต้องรวมตัวกันภายใต้ชุดความคิดสังคมนิยมที่ผมกล่าวถึงข้างบน

ผมเสนอว่าใครที่สนใจร่วมสร้าง “พรรคซ้าย” ในไทย ควรจัดวงคุยหัวข้อต่างๆ เช่น รัฐคืออะไร? ทุนนิยมกับสังคมนิยมต่างกันอย่างไร? เราจะลดการกดขี่ทางเพศอย่างไร? ประเทศไทยเป็นสังคมเหยียดเชื้อชาติหรือไม่? ประชาธิปไตยทุนนิยมต่างจากประชาธิปไตยสังคมนิยมอย่างไร? บทเรียนในการล้มเผด็จการในอดีตมีอะไรบ้าง? ทำไมพวกที่คลั่งกลไกตลาดเสรีต่อต้านการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและต้องการให้เรา “ร่วมจ่าย” ในระบบรักษาพยาบาล? เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง ทั้งข้อดีข้อเสีย จากพคท.? พลังในการเปลี่ยนสังคมอยู่กับกลุ่มไหนบ้าง? ระบบชนชั้นคืออะไร? การนำตนเองจากล่างสู่บนมีลักษณะอย่างไร? รัฐสวัสดิการภายใต้ทุนนิยมมีหน้าตาอย่างไร? ฯลฯ……

สำหรับเนื้อหาในการคุยการเมืองหัวข้อแบบนี้ และหัวข้อที่พวกเราคิดขึ้นเอง ท่านสามารถหาได้ที่บล็อก “เลี้ยวซ้าย” นี้ หรือที่  http://redthaisocialist.com/2011-03-04-16-28-48.html และhttp://thaimarxistdocuments.wordpress.com/  หรือท่านสามมารถติดต่อโดยตรงกับผม เพื่อให้ผมส่งเนื้อหาไปให้ ติดต่อได้ที่ ji.ungpakorn@gmail.com หรือพวกเราก็สามารถไปค้นคว้าเองได้

ใครที่จัดวงคุยและเคลื่อนไหวสร้างพรรคซ้าย ควรหาทางประสานกับกลุ่มผู้อยากก่อตั้งพรรคซ้ายในพื้นที่อื่น ควรทำเอง ผ่านการกลั่นกรองคนที่รู้จักดีและไว้ใจได้ และคนที่อยู่ต่างประเทศอย่างผมก็ยินดีช่วยประสานงานให้ได้ถ้าจำเป็น แต่คงจะต้องติดต่ออย่างต่อเนื่องนานพอสมควร เพื่อให้ไว้ใจกันได้

บทความนี้ควรจะอ่านประกอบกับบทความ “อย่ามาพูดว่า นปช. สู้ไม่ได้ ฟังไม่ขึ้น”  “การทำงานแนวร่วมในยุคเผด็จการ” “อุดมการณ์ประชาธิปไตยมันมากกว่าแค่การเรียกร้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”  “เผด็จการประยุทธ์เราจะสร้างประชาธิปไตยอย่างไร?”  “บทเรียนจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”  “การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องอาศัยการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ”  และบทความ “พรรค”

ความสำคัญของกรรมาชีพคนทำงานในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา

การต่อสู้ของมวลชนชาวไทยในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนชั้นล่าง เนื่องจากคนไทยนับเป็นแสนออกมาประท้วงและล้มเผด็จการทหารจนสำเร็จ ปรากฏการณ์อันนี้ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับมุมมองที่ดูถูกประชาชนว่า “ไม่เข้าใจประชาธิปไตย”

เวลามีการพูดถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ แนวความคิดที่ปฏิเสธบทบาทสำคัญของมวลชนในการพัฒนาสังคมไทย มักจะให้ความสำคัญกับความแตกแยกในหมู่ชนชั้นปกครองมากกว่าการกระทำของมวลชน ซึ่งไม่แตกต่างจากคนที่มัวแต่มองเบื้องบนทุกวันนี้

นอกจากนี้เขาจะเน้นรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงในวันนั้น เหมือนกับว่าเป็น “แผนลับ” ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในแวดวงกลุ่มชั้นนำไทย หรืออาจเสนอว่าความรุนแรงเกิดจาก “ความเข้าใจผิดที่นำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมือง” แต่ในความเป็นจริงความรุนแรงของฝ่ายเผด็จการทหารในวันที่ ๑๔ ตุลาคม มาจากการที่เขาไม่พร้อมที่จะสละอำนาจเผด็จการอย่างง่ายๆ ในขณะที่มวลชนส่วนหนึ่งไม่พร้อมที่จะทนอยู่ต่อไปภายใต้การปกครองเผด็จการ

ดังนั้นเราจะพบว่าถึงแม้ว่ามีการตกลงกันว่าจะปล่อยนักโทษทางการเมืองที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญ และมีการสัญญาว่าจะร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยภายใน 6 เดือนจนผู้นำการประท้วงส่วนใหญ่เสนอให้สลายม็อบ แต่มวลชนส่วนหนึ่งยังไม่พร้อมที่จะสลายตัวจนกว่าจอมเผด็จการทั้งสามจะลาออกจากตำแหน่ง  ความรุนแรงจากฝ่ายทหารจึงเกิดขึ้น

เราต้องมองว่ากระแสการต่อสู้ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม เป็นกระแสที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาพลังการผลิตแบบทุนนิยมภายใต้เผด็จการทหาร การพัฒนาพลังการผลิตดังกล่าวมีผลทำให้ชนชั้นกรรมาชีพไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะมีการดึงชาวนาจากชนบทมาเป็นแรงงานในเมือง นอกจากนี้การพัฒนาของระบบทุนนิยมยังมีผลให้ระบบการศึกษาขยายตัวด้วย จำนวนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้เพิ่มขึ้นจาก 15,000 คน ไปเป็น 50,000 คนภายในเวลาแค่ 9 ปี และที่สำคัญคือสัดส่วนนักศึกษาที่เป็นลูกกรรมาชีพเพิ่มขึ้นเป็น 46% การสร้างมหาวิทยาลัยรามคำแหงในปี ๒๕๑๒ คงจะมีผลตรงนี้

นอกจากเงื่อนไขของพลังการผลิตแล้ว อีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญ คือความขัดแย้งทางชนชั้นที่เกิดขึ้นในยุควิกฤตเศรษฐกิจโลกภายหลัง“ยุคทอง”ที่ตามหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง การเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจของระบบโลกปลายทศวรรษ 1960 มีผลทำให้เกิดการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ทั่วโลก ในฝรั่งเศสนักศึกษาจุดประกายที่นำไปสู่การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1968 ในสหรัฐคนผิวดำลุกขึ้นสู้เพื่อปลดปล่อยตนเอง และผู้ที่ต่อต้านสงครามเวียดนามสร้างแนวร่วมกับกองทัพปลดแอกเวียดนามจนสหรัฐต้องยอมแพ้ สิ่งเหล่านี้สร้างกระแสการปลดปล่อยทางการเมืองที่มีผลกระทบกับความคิดของคนหนุ่มสาวในไทยเป็นอย่างมาก และภาวะทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายของกรรมาชีพ ที่ต้องทนค่าจ้างขั้นต่ำในระดับประมาณ 10 บาทต่อวันมาเกือบ 20 ปี มีผลในการสร้างกระแสการต่อสู้ที่นำไปสู่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖

คนงานกรรมาชีพมีส่วนสำคัญในการสร้างกระแสการต่อสู้ ในยุคเผด็จการทหารการนัดหยุดงานเป็นเรื่องผิดกฏหมาย แต่ปรากฏว่าระหว่างปี ๒๕๐๘ ถึง ๒๕๑๔ มีการนัดหยุดงาน 113 ครั้ง และในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปี ๒๕๑๖ ก่อนเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม มีการนัดหยุดงานเพิ่มขึ้นถึง ๔๐ ครั้ง กรณีหนึ่งที่โรงงานผลิตเหล็กกล้ามีการหยุดงานยาวนานถึงหนึ่งเดือนจนได้รับชัยชนะ สาเหตุสำคัญที่ทำให้การต่อสู้เมื่อ ๑๔ ตุลาคมได้รับชัยชนะในการล้มเผด็จการถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็เพราะประชาชนกรรมาชีพในเมืองออกมาช่วยนักศึกษาเป็นหมื่นเป็นแสน

นักวิชาการสำนัก “ประชาสังคม” ที่ปฏิเสธเรื่องความขัดแย้งทางชนชั้น มักจะเสนอว่านักศึกษาหรือคนชั้นกลางเป็นผู้เคลื่อนไหวในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ซึ่งมีผลในการเปิดโอกาสให้คนชั้นล่างที่ไม่รู้จักสู้เองได้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้นในช่วงหลังจากนั้น ทั้งนี้เพราะสำนักแนวความคิดนี้ไม่เชื่อว่าคนชั้นล่างทำอะไรเพื่อตัวเองได้ และมักมองข้ามการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมาชีพและชาวนาเสมอ แต่สำนักมาร์คซิสต์มองว่าชนชั้นล่างมีส่วนสำคัญในการปลดแอกตนเองจากเผด็จการทหาร และเรามักจะมองว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยภายใต้ระบบทุนนิยม แยกออกจาการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อผลประโยชน์ปากท้องไม่ได้

อีโบลา เป็นวิกฤตที่ไม่ควรจะเกิดแต่แรก

ในปี 1977 ศาสตราจารย์ พีเทอร์ พิออท และทีมวิจัยจากประเทศเบลเยี่ยม ค้นพบไวรัสอีโบลาในประเทศไซเอียร์ ประเทศหนึ่งในอัฟริกาตะวันตก ในปีนั้น พีเทอร์ พิออท และทีมวิจัยนี้แนะนำให้องค์กรต่างประเทศต่างๆ ทำการตรวจประชาชนและควบคุมการระบาดของโรคนี้แต่แรก เพื่อไม่ให้มันลามต่อไปได้ แต่ไม่มีใครฟัง เพราะประเทศต่างๆ ในอัฟริกาตะวันตกเป็นประเทศยากจนที่ “ไม่มีความสำคัญ” ในเวทีโลก เกือบ 40 ปีหลังจากนั้นก็เกิดการระบาดครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งตอนนี้คาดว่าจำนวนคนไข้ที่ตายจากอีโบลารอบนี้สูงกว่า 4000 คนแล้ว

อีโบลาเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิด “ไข้เลือดออก” ชนิดหนึ่ง ประเมินกันว่ามาจากค้างคาวและธรรมดาไม่ได้เป็นโรคของมนุษย์ นี่คือสาเหตุที่มนุษย์ไม่มีภูมิต้านทาน อาการของอีโบลาในระยะแรกๆ เหมือนไข้หวัดใหญ่คือไข้สูง อาเจียนและเจ็บคอ แต่ในไม่ช้าจะมีอาการเลือดออกทางหูหรือจมูกและในอวัยวะภายในอีกด้วย ซึ่งจบลงด้วยการที่ไตและตับเลิกทำงาน เกือบครึ่งหนึ่งของคนไขจะเสียชีวิต

ศาสตราจารย์ พีเทอร์ พิออท ซึ่งขณะนี้เป็นคณบดี “วิทยาลัยอนามัยและโรคเมืองร้อนของลอนดอน” อธิบายว่าอีโบลาไม่ใช่โรคที่ติดง่ายๆ ผ่านหยดน้ำในอากาศเหมือนไข้หวัดใหญ่ เขาพูดว่า “ถ้ามีคนไข้ติดเชื้ออีโบลานั่งข้างๆ ผมบนรถไฟใต้ดิน ผมจะไม่กังวลถ้าคนไข้คนนั้นไม่อาเจียนใส่ผม” อีโบลาติดได้จากของเหลว เช่นเลือด อาเจียน หรือน้ำลาย และอาจติดจากเหงื่อคนไข้ได้ แต่ของเหลวเหล่านี้ต้องเข้าปากหรือจมูกเรา อย่างไรก็ตามไวรัสนี้แปรตัวได้ถ้ามีการแพร่ระบาดไปในหมู่คนจำนวนมาก

ระยะเวลาเพาะเชื้อใช้เวลาประมาณ 21 วัน และในช่วงนี้คนไข้จะไม่มีอาการและเราติดเชื้อจากเขาไม่ได้

ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีวิกฤตอีโบลา

ในประการแรก ประเทศพัฒนาและบริษัทยาข้ามชาติ ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหามาเกือบ 40 ปี และในกรณีบริษัทยาข้ามชาติ การผลิตวัคซีนสำหรับอีโบลาไม่ก่อให้เกิดกำไร เพราะคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อเป็นคนจนผิวดำ ข้อมูลนี้ทำให้เราเข้าใจได้ดีว่ากลไกตลาดเสรีและบริษัทยาเอกชน ไม่เคยบริการความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในโลก เพราะเรื่องกำไรเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับหนึ่ง

ในประการที่สอง ไลบีเรีย เซียราลีโอน และกินนี ตกอยู่ภายใต้สงครามกลางเมืองโหดร้ายในอดีต เพราะมีการแย่งชิงทรัพยากรแร่ธาตุโดยขุนศึกที่มีบริษัทตะวันตกหนุนหลังหรือเป็นลูกค้า ระบบสาธารณะสุขจึงเกือบจะไม่มีหรือด้อยพัฒนามาก เผด็จการในหลายประเทศก็ไม่สนใจผลประโยชน์คนจน เพราะไม่จำเป็นต้องขึ้นมามีอำนาจผ่านการเลือกตั้ง

ในประการที่สาม องค์กรไอเอ็มเอฟ และองค์กรที่เชิดชูนโยบายกลไกตลาดเสรี (ในไทย TDRI เป็นองค์กรแบบนี้) มักจะกดดันให้รัฐบาลในประเทศยากจน ลดค่าใช้จ่ายของรัฐ ซึ่งมีผลในการทำลายระบบสาธารณะสุขและสาธารณูปโภค เช่นระบบแจกจ่ายน้ำสะอาดหรือไฟฟ้า ในเมืองหลวงของไลบีเรียไม่มีโรงพยาบาลของรัฐแม้แต่แห่งเดียว และในหลายประเทศต้องมีการพึ่งพาหมออาสาสมัครของ “แพทย์ไร้พรมแดน” หรือจากประเทศคิวบา

สภาพย่ำแย่ของระบบสาธารณะสุขในหลายประเทศของอัฟริกาตะวันตก รวมถึงการที่หมอและพยาบาลขาดอุปกรณ์ในการป้องกันตัว ทำให้อีโบลากลายเป็นวิกฤต เพราะในประเทศที่พัฒนาแล้วการรักษาและการป้องกันการแพร่ระบาดจะทำได้อย่างจริงจัง ส่วนในไลบีเรียหรือที่อื่นในอัฟริกาตะวันตก หมอและพยาบาลล้มตายไปจำนวนมากหลังจากที่ดูแลคนไข้

ในระยะสั้นคงต้องมีการเร่งผลิตยารักษาและวัคซีน ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและยังไม่พร้อมที่จะถูกใช้อย่างปลอดภัย เพื่อให้คนไข้ได้รับทันที เพราะขณะนี้หมอกับพยาบาลได้แต่ให้น้ำเกลือ และต้องมีการเร่งส่งความช่วยเหลือทางการแพทย์จากประเทศที่ร่ำรวย แต่รัฐบาลของมหาอำนาจไม่สนใจจะแก้ปัญหาอีโบลาเท่าไร พร้อมจะลงทุนมหาศาลในการก่อสงคราม แต่ไม่พร้อมจะป้องกันไม่ให้คนทั่วไปตายจากโรคร้าย

อีโบลาและโรคระบาดร้ายแรงอื่นๆ พิสูจน์ให้เราเห็นว่าเรื่องการแพทย์กับเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจแยกกันไม่ออก และภายใต้ระบบทุนนิยมกลไกตลาดเสรี คนจน คนผิวดำ และผู้ถูกกดขี่อื่นๆ มักจะไม่ได้รับการบริการแต่อย่างใด ทุนนิยมมองไม่เห็นหัวมนุษย์ เราจึงต้องรวมตัวกันต่อสู้เพื่อสังคมนิยมและประชาธิปไตยแทน

ฮ่องกง เผด็จการกับความเหลื่อมล้ำ

ใจ อึ๊งภากรณ์

นักศึกษาฮ่องกงที่ออกมาประท้วงเพื่อประชาธิปไตย ออกมาประท้วงเรื่องความเหลื่อมล้ำและฐานะทางเศรษฐกิจด้วย เพราะทั้งๆ ที่จีนเคยประกาศว่าจีนกับฮ่องกงเป็น “ประเทศเดียว สองระบบ” แต่ในความเป็นจริงทุนนิยมจีนเริ่มเข้ามาครอบงำฮ่องกง และในขณะเดียวกันมีการพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพตามรูปแบบเผด็จการจีน อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนและอินเตอร์เน็ดฮ่องกงยังมีเสรีภาพมากกว่าในจีนแผ่นดินใหญ่

หลายคนมองว่า เหลียง ชุน หยิง ผู้ว่าการเกาะฮ่องกง เป็นแค่ตัวแทนของจีนแผ่นดินใหญ่ และบริหารฮ่องกงเพื่อผลประโยชน์กลุ่มทุนจีนและนายทุนจีน

ล่าสุดมีข่าวอื้อฉาวว่า เหลียง ชุน หยิง กอบโกย 50 ล้านดอลล่าฮ่องกงเข้ากระเป๋าตนเองจากข้อตกลงกับบริษัทออสเตรเลีย

พลเมืองฮ่องกงจำนวนมากมองว่าในยุคปัจจุบัน คนที่จะพัฒนาอาชีพและชีวิตตนเองได้ ต้องมี “เส้น” คือมีสายสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะคนใหญ่คนโตในจีนแผ่นดินใหญ่ และทุกวันนี้ช่องทางสำหรับนักศึกษาที่จบออกมาเริ่มแคบลงทุกวัน เพราะต้องไปแข่งกับคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ที่ได้เปรียบเพราะมีเส้น

ปัจจุบัน 1 ใน 5 ของพลเมืองฮ่องกง หรือ 1.3 ล้านคน อยู่ในระดับยากจน และตลอดเวลาเขาจะเห็นพวกเศรษฐีและลูกหลานแกนนำพรรคจีน ข้ามฝั่งมาซื้อของราคาแพงที่เขาเองซื้อไม่ได้ ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกว่าจีนกำลังเข้ามายึดครองเหมือนอาณานิคม

ราคาบ้านหรือคอนโดกลางฮ่องกงแพงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก สาเหตุหนึ่งก็มาจากการกวาดซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อหวังขายในราคาสูงขึ้นโดยเศรษฐีจากแผ่นดินใหญ่ ราคาบ้านโดยเฉลี่ยสูงกว่ารายได้ต่อปีของคนธรรมดาถึง 14 เท่า และพลเมืองธรรมดาต้องอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ แออัด คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหาที่อยู่ของตนเองได้ และต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่เป็นเวลานาน หลายคนต้องดูแลพ่อแม่หรือคนชราอีกด้วย เพราะระบบสวัสดิการบําเหน็จบํานาญแย่มาก

กลุ่มทุนใหญ่จากจีนตอนนี้คุมเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดหุ้น และบริษัทฮ่องกงกำลังถูกผลักออกไปเพราะแข่งไม่ไหว และสำหรับนักศึกษาฮ่องกง เขาพบว่าบริษัทใหญ่จากแผ่นดินใหญ่เลือกจ้างคนจากแผ่นดินใหญ่แทนคนฮ่องกง และบริษัทเหล่านี้นำผู้บริหารระดับสูงเข้ามาจากแผ่นดินใหญ่อีกด้วย

ขณะนี้พลเมืองฮ่องกงไม่มีสิทธิ์เลือกผู้ว่าได้อย่างเสรี แต่คนรวยหนึ่งหมื่นคนมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงมากกว่าพลเมือง 7 ล้านคน เขาสามารถปิดกั้นหรือวีโต้ความต้องการของประชาชนได้ อภิสิทธิ์ชนอีก 1 แสนคนมีสิทธิ์เลือกครึ่งหนึ่งของรัฐสภา

เผด็จการจีนแผ่นดินใหญ่บังคับให้นักเรียนฮ่องกงต้องเรียน “หลักสูตรรักชาติ” และในรอบ 14 ปีที่ผ่านมารายได้ของคนหนุ่มสาวที่จบการศึกษาลดลง 10-15%

การประท้วงที่นำโดยคนหนุ่มสาวฮ่องกง สามารถดึงคนวัยกลางเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก และมีผลในการจุดประกายการเคลื่อนไหวต่อสู้ของนักศึกษาในไต้หวันอีกด้วย ส่วนในเวียดนาม ซึ่งเป็นเผด็จการ นักศึกษาหลายกลุ่มก็ออกมาประท้วงสนับสนุนชาวฮ่องกง

ถ้าการต่อสู้ของชาวฮ่องกงจะชนะ ในระยะยาวต้องมีการเชื่อมโยงกับขบวนการแรงงานให้ดีกว่าที่ผ่านมา และต้องมีการแพร่กระจายการต่อสู้ไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่ผ่านความสมานฉันท์ และถ้าขบวนการนี้สามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้ ก็คงให้กำลังใจกับคนไทยที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกด้วย

ประยุทธ์ไปเยี่ยมเพื่อนแท้ที่พม่าเพราะที่อื่นต่างรังเกียจ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่เป็นประชาธิปไตย รังเกียจและไม่อยากคบหัวหน้าเผด็จการไทย ประยุทธ์จึงจำเป็นต้องไปสร้างภาพน่าสมเพชว่าเป็น “รัฐบุรุษสากล” โดยการไปเยือนต่างประเทศได้ แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลเพื่อนแท้ของเผด็จการมือเปื้อนเลือดประยุทธ์มีน้อยเหลือเกิน อันดับหนึ่งคือพม่า

การที่ผู้นำไปเยือนประเทศอื่น ส่วนใหญ่เป็นการสร้างภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ดีเท่านั้น บางครั้งผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งอาจพาทีมผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนไปด้วย แต่เผด็จการไทยตอนนี้ทั้งขาดความชอบธรรมและขาดความสามารถ

Members-of-Burmas-militar-006

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความใกล้ชิดระหว่างประยุทธ์กับเผด็จการทหารพม่า มาจากการที่ทั้งสองฝ่ายอยากออกแบบระบบ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่มีการเลือกตั้งแต่ไม่มีสิทธิเสรีภาพจริง คือไม่ว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง อำนาจแท้ยังอยู่ในมือทหาร แถมอาจมีการกีดกันไม่ให้นักการเมืองที่ประชาชนชื่นชมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ศาสตร์มารนี้ทหารพม่าชำนาญมาก ประยุทธ์ก็คงอยากไปแลกเปลี่ยนหาความรู้

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัวผม แต่เป็นความเห็นของสื่อต่างประเทศมากมาย รวมถึงหนังสือพิมพ์ชั้นนำ “ไฟแนนเชียลไทมส์” ของนักลงทุนอังกฤษด้วย และเป็นความเห็นของสำนักข่าวรอยเตอร์อีกด้วย

สื่อต่างประเทศมองว่า ไม่ว่าประยุทธ์จะเซ็นข้อตกลงอะไรกับเผด็จการพม่า มันก็เป็นแค่นามธรรมที่ขาดรายละเอียด เพราะการสร้างภาพเป็นเรื่องหลัก

อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นจุดร่วมของเผด็จการทหารไทย กับเผด็จการทหารพม่า คือเขาไม่แคร์เหี้ยอะไรกับพลเมืองของตนเอง ทหารพม่าอาจตั้งคำถามกับการที่ตำรวจไทยทำให้แรงงานพม่าเป็นแพะรับบาปในกรณีอาชญากรรมที่เกาะเต่า แต่มันเป็นแค่คำถามตามพิธีกรรมเท่านั้น เผด็จการทหารพม่าไม่สนใจปัญหาพลเมืองพม่าพอที่จะกระจายรายได้และสร้างงานให้เขา เพื่อนบ้านพม่าจึงต้องข้ามมาฝั่งไทยเพื่อหางานเลี้ยงครอบครัว ในขณะเดียวกันพวกนายพลพม่าก็เสพสุขใช้จ่ายตามวิถีชีวิตเศรษฐี

ส่วนรัฐบาลประยุทธ์ก็พ้อมจะทำให้คนงานพม่าเป็นแพะรับบาป ขับไล้คนงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านออกไป และปล้นสิทธิเสรีภาพจากพลเมืองไทย พร้อมกับทำลายระบบสาธารณะสุขและรายได้ของแรงงานไทย

มิตรภาพระหว่างคนไทยกับคนพม่า หรือกับพลเมืองประเทศเพื่อนบ้านย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่น่ายกย่อง แต่มิตรภาพระหว่างทรราชไทยกับพม่าเป็นอุปสรรค์ต่อการสร้างสิทธืเสรีภาพประชาธิปไตยในไทยและในพม่า

ประเด็นสำคัญคือ พลเมืองไทยที่รักประชาธิปไตยจำนวนมากคงเข้าใจสิ่งที่ผมเขียนอยู่แล้ว แต่จะมีสื่อหรือองค์กรทางการเมืองไทยสักกี่แห่งที่กล้าพูดความจริงง่ายๆ แบบนี้

จาก ๖ ตุลา ถึงเผด็จการยุคนี้

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถ้าเราเปรียบเทียบเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙ กับ วิกฤตประชาธิปไตยภายใต้เผด็จการทหารยุคนี้ เราจะเห็นชัดว่า “เรื่องประชาธิปไตย” กับเรื่องความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น เป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้

การปราบปรามนักศึกษาและประชาชนฝ่ายซ้ายที่ธรรมศาสตร์ ในปี ๒๕๑๙ เป็นผลพวงของการลุกฮือล้มเผด็จการในวันที่ ๑๔ ตุลา สามปีก่อนหน้านั้น และรากฐานการลุกฮือของนักศึกษา กรรมาชีพ และเกษตรกรสมัยนั้น มาจากความเหลื่อมล้ำทางอำนาจการเมืองกับฐานะทางเศรษฐกิจ และสภาพสังคมที่ถูกแช่แข็งไว้ภายใต้เผด็จการ สฤษดิ์ ถนอม ประภาส คือไม่มีการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตย ไม่มีการปรับค่าจ้าง ไม่มีการพัฒนาสภาพการจ้างงาน และไม่มีการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรในชนบท ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจก็ขยายตัว แต่ในขณะเดียวกันมีคนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัว และไม่ยอมรับสภาพเช่นนี้อีกต่อไป มีคลื่นการนัดหยุดงานของกรรมาชีพเกิดขึ้น นักศึกษาตื่นตัวมากขึ้น และเกษตรกรเริ่มออกมาประท้วง  นั้นคือสาเหตุที่มวลชนเหล่านี้ชื่นชมแนวสังคมนิยมในหลากหลายรูปแบบ เพราะสังคมนิยมคือแนวคิดที่ต้องการล้มเผด็จการขุนศึกและนายทุน และแก้ไขปัหญาความเหลื่อมล้ำพร้อมๆ กัน

ที่สำคัญคือมีการจัดตั้งคนชั้นล่างในรูปแบบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสังคมและยึดอำนาจรัฐ นี่คือสิ่งที่ชนชั้นปกครองไทยรับไม่ได้ และเป็นสาเหตุที่เขาเข่นฆ่าประชาชนและก่อรัฐประหาร

วิกฤตปัจจุบันมีจุดร่วมตรงที่ ข้อเสนอของทักษิณและพรรคไทยรักไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาสังคมให้ทันสมัย พร้อมกับมีการดึงประชาชนเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนา และประชาชนก็อาศัยระบบการเลือกตั้งเพื่อแสดงความชื่นชมกับนโยบายรูปธรรมของไทยรักไทย การที่ไทยรักไทยครองใจประชาชนผ่านนโยบาย มีผลทำให้ชนชั้นปกครองไทยซีกอนุรักษ์นิยม รับไม่ได้กับประชาธิปไตยและการพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อม เขาหวงสภาพเดิมที่เขาเป็นอภิสิทธิ์ชน

แต่ไทยรักไทยไม่ใช่พรรคฝ่ายซ้ายและไม่ใช่พรรคของคนชั้นล่างแบบ พคท. นี่คือความแตกต่างที่สำคัญ ในยุคไทยรักไทยคนรุ่นตุลาหมดความศรัทธาในแนวสังคมนิยมและพคท.ไปนานแล้ว เพราะ พคท.เป็นฝ่ายแพ้ และมีจุดอ่อนเพราะมีแนวโน้มเป็นเผด็จการ การใช้แนวจับอาวุธแทนการจัดตั้งกรรมาชีพในเมือง ก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอีกอันหนึ่ง แต่พวกคนเดือนตุลาที่หมดศรัทธา ทิ้งจุดเด่นสำคัญของ พคท. ไป คือความสำคัญในการจัดตั้งมวลชนทางการเมือง ให้เป็นพรรคการเมืองของคนชั้นล่าง หลายคนก็เลยไปหลงรักทักษิณและพรรคนายทุนของเขาแทน แต่ที่แย่กว่านั้นก็คืออดีตคนเดือนตุลาที่กลายเป็นสลิ่มและรับใช้ทหารทุกวันนี้

คนรุ่นตุลาที่หมดความศรัทธาในแนวสังคมนิยม ไม่เคยเข้าใจสังคมนิยมแบบ มาร์คซ์ เองเกิลส์ เลนิน หรือตรอทสกี้ เขารับมาแต่แนวเผด็จการชาตินิยมของสตาลินกับเหมา เกือบทุกคนจึงก้มหัวให้นายทุนและระบบทุนนิยม ทั้งๆ ที่มันเป็นระบบที่สร้างความเหลื่อมล้ำมหาศาล มันเป็นเรื่องตลกที่คนอย่างทักษิณเข้าใจทุนนิยมมากกว่าอดีต พคท. เกือบทุกคน และทักษิณพร้อมจะใช้ทุนนิยมแบบที่ใช้งบประมาณรัฐในการพัฒนาชีวิตคนจน แทนทุนนิยมตลาดเสรี 100% แต่ทักษิณก็ไปไม่ไกล เพราะต่อต้านระบบรัฐสวัสดิการ

ถ้าเราพูดถึงความรุนแรงของชนชั้นปกครองไทย ความโหดร้ายทารุณของตำรวจ ตชด. ในวันที่ ๖ ตุลาที่ธรรมศาสตร์ และของทหารภายใต้ประยุทธ์ที่ราชประสงค์ ก็พอๆ กัน คือใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชนมือเปล่า เป้าหมายคือการทำลายขบวนการประชาชน

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อเราเปรียบเทียบ ๖ ตุลา กับตอนนี้คือ บทบาทของชนชั้นกลาง เพราะที่สนามหลวงในวันที่ ๖ ตุลา มีม็อบอันธพาลชนชั้นกลางฉลองการเข่นฆ่านักศึกษาอย่างป่าเถื่อนที่สุด ม็อบดังกล่าวมีสองกลุ่มหลักคือ ลูกเสือชาวบ้าน กับพวกนวพล นอกจากนี้มีม็อบคนตกงานหรือนักศึกษาอาชีวะ ที่เป็นกระทิงแดง

และเราก็ทราบดีว่าในวิกฤตปัจจุบัน พวกพันธมิตรปิดสนามบิน และพวกสลิ่มประชาธิปัตย์ที่ทำลายการเลือกตั้ง ก็เป็นคนชั้นกลาง

สรุปแล้วคนชั้นกลางไม่ใช่พลังก้าวหน้า และไม่ใช่ที่พึ่งของนักประชาธิปไตยแต่อย่างใด

ผลพวงของ ๖ ตุลา และการเอาชนะ พคท. ทำให้ไทยมีประชาธิปไตยครึ่งใบที่เน้นระบบอุปถัมภ์ แทนนโยบายทางการเมือง สถานการณ์นี้เริ่มถูกแก้ไขเมื่อมีการรณรงค์ให้ช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และการเสนอนโยบายของไทยรักไทย หลังวิกฤตเศรษฐกิจ และหลังการล้มเผด็จการในปี ๒๕๓๕ แต่ในไม่ช้าสังคมไทยก็ถูกหมุนกลับไปสู่ยุคมืดอีก

สาเหตุสำคัญที่ฝ่ายประชาธิปไตยในยุคนี้อ่อนแอเกินไป คือคนที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” ในขบวนการเอ็นจีโอ ซึ่งหลายคนเป็นอดีตคนเดือนตุลา หันหลังให้กับการจัดตั้งทางการเมือง หันหลังให้กับความคิดทางการเมืองภาพกว้าง ปฏิเสธทฤษฏี ปฏิเสธการยึดอำนาจรัฐ และหันไปตั้งความหวังกับทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย ในที่สุดก็ถูกลากไปกับกระแสสลิ่ม

นอกจากนี้คนเสื้อแดง ที่เป็นนักประชาธิปไตยรุ่นใหม่ ก็ “ลืม” บทเรียนในการจัดตั้งพรรคของ พคท. และไม่ได้ศึกษาแนวชนชั้น หรือแนวสังคมนิยม จึงอ่อนแอในการนำตนเองอย่างอิสระจาก ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ หรือนักการเมืองพรรคเพื่อไทย

ด้วยเหตุนี้เราไม่ควรแปลกใจที่ปีนี้ พวกปฏิกิริยาที่บริหารธรรมศาสตร์ และพวกทหารมือเปื้อนเลือดที่ปกครองประเทศ ต้องการห้ามไม่ให้เราจัดงาน ๖ ตุลา

เขาต้องการฝังประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน