ใจ อึ๊งภากรณ์
การทำลายประชาธิปไตยในระยะยาวของพวกล้าหลังที่กำลังอ้างว่า “ปฏิรูปการเมือง” ภายใต้อำนาจมืดของเผด็จการทหาร เป็นการรุกสู้สองด้านคือ ด้านการเมือง และด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้การรุกสู้ทำลายประชาธิปไตยและความเท่าเทียมนี้ เริ่มมาตั้งแต่รัฐประหารรอบที่แล้วในปี ๒๕๔๙
ความไม่พอใจของพวกทหารและอภิสิทธิ์ชนอนุรักษ์นิยม มาจากแนวร่วมทางการเมืองที่ทักษิณกับพรรคไทยรักไทยเคยสร้างกับพลเมืองส่วนใหญ่ แนวร่วมนี้สร้างบนพื้นฐานการเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมหลายอย่างที่เป็นประโยชน์กับคนระดับล่าง เช่นนโยบายสาธารณะสุขถ้วนหน้า นโยบายสร้างงานในชนบท หรือนโยบายพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวนาด้วยการประกันราคาข้าวเป็นต้น และเมื่อประชาชนเห็นชอบกับนโยบายดังกล่าวก็มีการแห่กันไปเลือกพรรคการเมืองของทักษิณ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ประชาธิปไตยแบบใหม่สำหรับไทย
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในอดีตเคยชินกับระบบประชาธิปไตยรัฐสภาที่มีการเลือกตั้งบนพื้นฐานระบบอุปถัมภ์ โดยไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม และย่อมนำไปสู่รัฐบาลผสมจากหลายพรรคเสมอ การที่มีรัฐบาลผสมจากหลายพรรค ซึ่งบ่อยครั้งขาดเสถียรภาพ เป็นประโยชน์ต่อนักการเมืองระบบอุปถัมภ์ เพราะมันเป็นระบบที่ “ผลัดกันเป็นรัฐมนตรีและแบ่งกันกิน” ไม่มีนักการเมืองคนใดที่มีอำนาจเหนือกลุ่มการเมืองอื่น และที่สำคัญคือมีช่องว่างที่เอื้อกับการใช้อำนาจและอิทธิพลนอกระบบของทหารและข้าราชการชั้นสูงที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย แต่เมื่อมีนักการเมืองคนไหนดูท่าทางจะใหญ่เกินไป ก็มีการโค่นล้มด้วยวิธีการต่างๆ เช่นในกรณี ชาติชาย ชุณหะวัณ
หลังจากชัยชนะของทักษิณและพรรคไทยรักไทย อภิสิทธิ์ชนอนุรักษ์นิยมเริ่มค่อยๆ กังวลและไม่พอใจที่พรรคของทักษิณผูกขาดอำนาจทางการเมืองประชาธิปไตย โดยครองใจประชาชนที่เลือกพรรคไทยรักไทยอย่างเสรีและด้วยจิตสำนึก พวกนายพลและข้าราชการชั้นสูงที่เคยชินกับอำนาจนอกระบบ เริ่มพบว่าอำนาจของตนเองลดลง นักการเมืองแบบเก่า เช่นในพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่สามารถแข่งแนวกับพรรคของทักษิณได้ เพราะยึดติดกับการต่อต้านนโยบายที่เป็นประโยชน์กับคนจน ซึ่งเห็นชัดหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง นอกจากนี้ชนชั้นกลางที่เคยเสพสุขในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ก็เริ่มไม่พอใจมากขึ้นที่รัฐบาลทักษิณเน้นการใช้งบประมาณรัฐในการพัฒนาชีวิตของคนธรรมดา เพื่อดึงคนส่วนใหญ่เข้ามา “ร่วมพัฒนาประเทศ” และทำให้สังคมมีความทันสมัย
ท้ายสุดพวกนักวิชาการฝ่ายขวาที่คลั่งกลไกตลาดเสรีแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” โกรธแค้นกับการที่รัฐบาลทักษิณใช้นโยบายเศรษฐกิจผสมระหว่างตลาดเสรีกับการใช้งบประมาณรัฐในการสร้างงานและพัฒนาประเทศ พวกนี้ชื่นชมนโยบายเศรษฐกิจแบบ “ปล่อยวาง” คือปล่อยให้กลุ่มทุนและคนรวยกอบโกย และปล่อยให่คนจนอดอยาก
แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่าทักษิณและไทยรักไทยมีวาระและผลประโยชน์ของตนเอง เขาไม่ใช่พวกสังคมนิยมที่ยึดผลประโยชน์คนทำงานเป็นหลัก ดังนั้นเขาให้ความสำคัญกับเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพและกำไรให้กลุ่มทุนใหญ่ ปฏิเสธการสร้างรัฐสวัสดิการแบบครบวงจรบนพื้นฐานการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวยและบริษัทใหญ่ และพร้อมจะใช้ความรุนแรงในการละเมิดสิทธิมนุษชนของประชาชนอีกด้วย กรณีปาตานีหรือสงครามยาเสพติดเป็นตัวอย่างที่ดี
ถ้าเราเข้าใจต้นเหตุความไม่พอใจของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เราจะเข้าใจว่าตอนนี้พวกสัตว์เลื้อยคลานที่เข้าไปในสภาปฏิกูลกำลังทำอะไรกันอยู่ภายใต้คำโกหกว่าจะ “ปฏิรูป”
ในด้านการเมืองพวกล้าหลังเหล่านี้วางแผนจะลดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และอำนาจของประชาชนที่จะเลือกแนวทางสำหรับตนเอง เขาเริ่มทำตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการปี ๒๕๕๐ แต่กำลังเร่งเครื่องทำให้เข้มข้นมากขึ้น วิธีการที่ใช้ในการหมุนนาฬิกากลับของพวกนี้ คือการออกแบบระบบการเลือกตั้งที่กีดกันไม่ให้พรรคการเมืองไหนมีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาภายใต้คำโกหกเรื่อง “เผด็จการรัฐสภา” ความหวังคือการกลับสู่ระบบ “ผลัดกันเป็นรัฐมนตรีและแบ่งกันกิน” ที่มาจากการเมืองอุปถัมภ์ นอกจากนี้จะมีการเพิ่มอำนาจองค์กร “ไม่เคยอิสระ” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพื่อกดทับเสียงประชาชนและนโยบายของรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา พูดง่ายๆ พวกอภิสิทธ์ชนและทหารต้องการมีอำนาจนอกระบบเหนือกลไกประชาธิปไตย เพราะเขามองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ไม่ควรมีอำนาจอธิปไตย
ในด้านเศรษฐกิจ พวกคลั่งกลไกตลาดเสรีต้องการทำลายระบบสาธารณะสุขถ้วนหน้าด้วยการบังคบให้ประชาชน “ร่วมจ่าย” จะมีการวางแผนกดค่าแรงและหาทางทำลายมาตรฐานการจ้างงาน จะมีการเสนอให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากคนจนมากขึ้น และจะมีการสร้างภาพว่าปรับระบบภาษีให้มีความเป็นธรรม แต่ในรูปธรรมไม่แตะเศรษฐีใหญ่กับนายทุนเลย นอกจากนี้จะมีการหาทางพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคและการคมนาคมในราคาถูก โดยพยายามไม่ใช้งบประมาณรัฐมากเกินไป เพราะงบประมาณรัฐควรแจกให้กองทัพและคนข้างบนแทน ตามความเชื่อของพวกคลั่งกลไกตลาดเหล่านี้ การเน้นภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศจะไม่นำไปสู่การบริการประชาชนที่มีคุณภาพ
จะเห็นว่าในการปลดแอกประเทศไทยจากเผด็จการอภิสิทธ์ชนนี้ เราต้องรณรงค์ทั้งประเด็นการเมืองและเศรษฐกิจของคนชั้นล่าง ของกรรมาชีพผู้ทำงานและเกษตรกรรายย่อย เราต้องเพิ่มสิทธิทางการเมืองและที่ยืนสำหรับคนชั้นล่างหรือคนธรรมดา และเราต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วยการดึงเศรษฐีและนายทุนลงมา ไม่ใช่แค่เรียกร้องประชาธิปไตยแบบลอยๆ หรือหวังกลับไปสู่ยุคทักษิณ นี่คือความสำคัญของการเมือง “ฝ่ายซ้าย” หรือการเมือง “สังคมนิยม” นั้นเอง