ขั้นตอนล่าสุดในการจัดระบบประชาธิปไตยปลอม

ทุกวันที่ผ่านไปหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. เราเห็นขั้นตอนต่างๆ ของเผด็จการทหาร และพวกประจบสอพลอ เพื่อออกแบบระบบประชาธิปไตยจอมปลอมภายใต้ตีนทหาร ซึ่งคล้ายๆ กับรูปแบบพม่า คือให้มีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง แต่ไม่มีเสรีภาพจริงและประชาชนถูกจำกัดสิทธิในการเลือกรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไหนที่ขึ้นมาก็ต้องถูกควบบคุมโดยคนที่ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง

1. กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าด้วยกัน เราทราบดีว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติปัจจุบัน ไม่มีผลงานอะไรในการปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่พวกเผด็จการต้องการหลักประกันว่าในอนาคตองค์กรแบบนี้จะไม่มีวันอยู่ภายใต้คณะทำงานที่เน้นสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง

2. การจัดการเลือกตั้ง กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอยุบคณะกรรมการการเลือกตั้ง และกำหนดให้มีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งประกอบด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงอื่นๆ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้งข้าราชการในหน่วยงานละ 1 คน สรุปแล้วให้พวกที่ถูกแต่งตั้งโดยทหารคุมการเลือกตั้งในอนาคต

3. กฎหมาย “เศรษฐกิจดิจิทัล-มั่นคงไซเบอร์” เพื่อเพิ่มอำนาจดักฟังและปราบปรามผู้คิดต่าง

4. การถอดถอนอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการทำลายพรรคการเมืองของทักษิณ

ในอนาคตเราจะเห็นมาตรการอื่นๆ คายออกมาจากปากหมาของเผด็จการ

วินสตัน เชอร์ชิล นักการเมืองล้าหลัง ป่าเถื่อน ที่เหยียดสีผิว

ใจ อึ๊งภากรณ์

เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีหลัง วินสตัน เชอร์ชิล ตาย เราควรทำความเข้าใจกับนักการเมืองปฏิกิริยาของอังกฤษคนนี้

วินสตัน เชอร์ชิล เป็นตัวแทนของชนชั้นปกครองอังกฤษที่ชอบใช้อำนาจดิบและความป่าเถื่อน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นตัวเอง

การที่ เชอร์ชิล นำการต่อสู้ของอังกฤษกับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชังพวก ฟาสซิสต์ หรือนาซี แต่อย่างใด ก่อนที่จะเกิดสงครามเขาอยากผูกมิตรกับเยอรมัน และเคยชมผู้นำเผด็จการฟาสซิสต์ มุสุลีนี ของอิตาลี่ เชอร์ชิล พูดว่า “ขบวนการฟาสซิสต์ของคุณเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เพราะต้านฝ่ายสังคมนิยมได้อย่างดี”

ในความเป็นจริง เชอร์ชิล นำการต่อสู้กับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเกรงว่าเยอรมันภายใต้ฮิตเลอร์จะเป็นคู่แข่งจักรวรรดินิยมกับอังกฤษ

เชอร์ชิล เป็นคนเหยียดเชื้อชาติที่น่ารังเกียจ เขาเคยพูดว่า “ผมเกลียดคนอินเดีย พวกนี้เป็นคนน่าขยะแขยงที่มีศาสนาที่น่าขยะแขยง” ในปี 1943 ในขณะที่อินเดียอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษท่ามกลางสงครามโลก เชอร์ชิล จงใจปล่อยให้ประชาชนในรัฐเบงกอล์อดตาย 4 ล้านคน ทั้งๆ ที่อินเดียมีอาหารเพียงพอ

เชอร์ชิล ด่า มหาตมะ คานธี ว่าเป็นคนป่าเถื่อนที่ “ควรจะถูกมัดตัวไว้ให้ช้างกระทืบตาย” เพราะ คานธี กล้าเรียกร้องให้อินเดียมีอิสรภาพจากอังกฤษ

ในอิรัก ในปี 1920 เชอร์ชิล สั่งให้กองทัพอากาศอังกฤษทิ้งระเบิดก๊าซพิษใส่ชาวเคอร์ด ทางเหนือของประเทศ แล้วพอมีคนวิจารณ์ความป่าเถื่อนนี้ ก็ลั่นออกมาว่า “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปแคร์กับชีวิตชนเผ่าล้าหลัง”

ในไอร์แลนด์ เชอร์ชิล ส่งกองกำลังทหารไม่ทางการ ที่ใส่ชุดเครื่องแบบ “ดำ-กากี” ไปใช้ความรุนแรงฆ่าฟันและข่มขืนประชาชน เพื่อหวังทำลายขบวนการกู้ชาติของไอร์แลนด์

ในอังกฤษ ในปี 1911 เชอร์ชิล สั่งให้ทหารและเรือรบ เข้าไปยึดเมืองอตสาหกรรมสำคัญๆ เพื่อปราบปรามขบวนการแรงงานและกระแสการนัดหยุดงาน มีการยิงพลเรือนตายหลายคน แต่รัฐบาลพยายามปกปิดความจริง

วินสตัน เชอร์ชิล ไม่ใช่คนที่น่าเชิดชูหรือเคารพแต่อย่างใด เขาเป็นนักการเมืองล้าหลัง ที่เหยียดสีผิว และพร้อมจะใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนกับชนชั้นของเราทั่วโลก

พรรคซ้าย “ไซรีซา” ชนะการเลือกตั้งในกรีซ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในการเลือกตั้งที่ประเทศกรีซ พรรคแนวร่วมซ้าย “ไซรีซา” (Syriza) ซึ่งมีรากฐานจาก กลุ่มสังคมนิยมหลากหลาย เช่นกลุ่มตรอทสกี้ กลุ่มเหมาอิสต์ กลุ่มเฟมินิสต์ และกลุ่มรักสิ่งแวดล้อม ได้รับชนะในการเลือกตั้งแบบขาดลอย นับว่าเป็นชัยชนะของพรรคซ้ายในยุโรปที่สำคัญเป็นประวัติศาสตร์ มันเป็นการตบหน้าพวกนายทุนใหญ่และนักการเมืองเสรีนิยมกลไกตลาดทั่วยุโรป

นอกจากนี้ชัยชนะของ ไซรีซา เป็นสิ่งสำคัญที่หยุดยั้งการขึ้นมาของพรรคฟาสซิสต์ ที่ชอบฉวยโอกาสโทษคนผิวดำหรือคนมุสลิม เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ชัยชนะของไซรีซา เป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ และ “ยาพิษ” ขององค์กรคลั่งตลาดเสรี ที่กดดันให้รัฐบาลกรีซตัดงบประมาณ จนคนตกงานทั่วประเทศและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนย่ำแย่ ไซรีซา สัญญาว่าจะเพิ่มงบประมาณรัฐเพื่อสร้างงานและรื้อฟื้นสวัสดิการ โดยเลิกจ่ายหนี้ให้ธนาคารของยุโรป

วิกฤตนี้เกิดแต่แรก จากการที่ธนาคารเยอรมันปล่อยกู้ให้ประเทศเล็กๆ ในสหภาพยุโรป (อียู) เช่นกรีซ ปอร์ตุเกส อิตาลี่ หรือสเปน เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นซื้อสินค้าจากเยอรมัน พร้อมกันนั้นมีการสร้างฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคอื่นๆ และในที่สุดการปล่อยกู้กลายเป็นหนี้เสียเพราะผู้กู้จ่ายคืนไม่ได้ พอธนาคารสำคัญๆในสหรัฐและยุโรปเริ่มพังจากหนี้เสียแบบนี้ ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ทั่วโลกตะวันตกในปี 2008

หลังจากนั้นรัฐบาลต่างๆ ก็ก้าวเข้ามาอุ้มธนาคารด้วยเงินภาษีของประชาชนและด้วยการกู้เงินจากภาคเอกชน มีการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างด้วยการลงทุนของรัฐ แต่ในไม่ช้าทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะในสหรัฐหรือยุโรป ก็กลับลำภายใต้คำสั่งของกลุ่มทุนใหญ่และการกดดันจากผู้คุมตลาดการเงิน เพื่อให้ใช้นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด นโยบายดังกล่าวระบุว่าหนี้ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและมาจากการกู้ธนาคารเอกชนแต่แรก ต้องถูกลดด้วยการตัดสวัสดิการและงบประมาณรัฐ ผลคือการทำลายมาตรฐานการจ้างงาน ทำลายรัฐสวัสดิการหลายส่วน  และคนก็ตกงานเป็นล้านๆ สรุปแล้วประชาชนยากจนต้องอุ้มกลุ่มทุนใหญ่

ในสหภาพยุโรป กล่มทุนใหญ่ใช้องค์กร “ไตรภาคี” (Troika) ที่ประกอบไปด้วย ไอเอ็มเอฟ ธนาคารกลางยุโรป และสภาบริหารอียู เพื่อบังคับให้ประชาชนในกรีซ ยอมรับเผด็จการภายใต้นายกรัฐมนตรีที่เป็นนายธนาคาร รัฐบาลใหม่ลงนามในข้อตกลงที่จะตัดสวัสดิการและมาตรฐานการทำงานของประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อจ่ายหนีคืนให้กลุ่มทุนใหญ่ในเยอรมันและที่อื่น ไตรภาคีเผด็จการนี้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายขวาและพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสองพรรคกระแสหลักของกรีซ ต่อมาสองพรรคนี้ก็ตั้งรัฐบาลใหม่เอง และต่อยอดนโยบายกลไกตลาดเสรีที่สร้างความทุกข์ให้ประชาชน

การที่พรรคการเมืองกระแสหลักในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย หรือพรรคของฝ่ายขวา สนับสนุนนโยบายที่ทำลายชีวิตประชาชนเพื่ออุ้มกลุ่มทุนและนายธนาคาร ทำให้เราเริ่มเห็นกระแสความไม่พอใจเกิดขึ้น เกือบทุกรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคใดต้องออกไป เพราะประชาชนหมดความศรัทธา แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่พรรคซ้ายเสมอ ในฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรปตะวันออก พวกฟาสซิสต์กำลังเพิ่มคะแนนเสียง

เรื่องชี้ขาดที่ทำให้พรรคแนวร่วมซ้ายก้าวหน้าในกรีซ ได้คะแนนเสียงส่วนใหญา คือการต่อสู้นอกรัฐสภาของนักสหภาพแรงงานและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ตั้งแต่ปี 2009 มีการนัดหยุดงานทั่วไปในกรีซหลายสิบครั้ง มีการยึดสถานที่ทำงานที่นายจ้างประกาศจะปิด และมีการออกมาต่อต้านพวกนาซีบนท้องถนนอีกด้วย

ทั้งๆ ที่เราควรดีใจกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่เราต้องเข้าใจว่า ฝ่ายซ้ายทางเลือกอื่น ที่ซ้ายกว่า พรรคไซรีซา เช่นองค์กร “แอนตาซียา ต้านทุนนิยม” และสหภาพแรงงานต่างๆ จะต้องเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อห้ามไม่ให้ ไซรีซา ประนีประนอมขายตัวยอมจำนนต่อกลุ่มทุน

ปัญหาจากการยอมประนีประนอมของ ไซรีซา ต่อไตรภาคีกลุ่มทุน เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะแกนนำ ไซรีซา กำลังเหยียบเรือสองแคม คือพยายามเอาใจประชาชนและตามกระแสความไม่พอใจ แต่ในขณะเดียวกันพยายามเอาใจกลุ่มทุนและสัญญาว่าจะตามกติกาของเขาเพื่ออยู่ต่อในสกุลเงินยูโร นอกจากนี้ ไซรีซา ไม่เคยยอมประกาศตัวว่าเป็นพรรคปฏิวัติเพื่อล้มทุนนิยม เพราะมีการผสมแนวคิดปฏิวัติและแนวคิดปฏิรูปเป็น “ยำใหญ่” ทั้งๆ ที่สื่อต่างประเทศชอบนิยาม ไซรีซา ว่าเป็น “ซ้ายสุดขั้ว” แต่ประชาชนกรีซเองมองว่าพรรคนี้เป็น “พรรคซ้ายธรรมดา”

ชัยชนะของประชาชนกรีซรอบนี้ ต้องพัฒนาผลักไปข้างหน้าด้วยการเคลื่อนไหวและนัดหยุดงานนอกรัฐสภา

คดียิ่งลักษณ์:โจรเผด็จการผิดกฏหมาย นำกฏหมายเถื่อนสร้างความชอบธรรมกับตนเอง

ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่สภาเผด็จการ ที่แต่งตั้งโดยเผด็จการ เพื่อเผด็จการ ตัดสินคดีถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ในเรื่องโครงการจำนำข้าว ไม่เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวแต่อย่างใด มันเป็นการนำกฏหมายเถื่อนมาเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างภาพเท็จ ว่าการกีดกันนักการเมืองพรรคเพื่อไทย “เป็นไปตามกฏหมาย” มันไม่ต่างจากการที่อภิสิทธิ์มือเปื้อนเลือดอ้างว่าการฆ่าเสื้อแดงที่ราชประสงค์ “เป็นไปตามกฏหมาย” และมันไม่ต่างจากการที่ทหารใช้กฏหมายเถื่อน 112 ในการเล่นงานกับนักประชาธิปไตย

สำหรับคนอย่าง อภิสิทธิ์ หรือ ประยุทธ์ การใช้กองกำลังฆ่าคนในขบวนการประชาธิปไตย “ไม่ผิด” แต่การนำโครงการจำนำข้าวเข้ามาใช้เป็น “ความผิดร้ายแรง”

และการหาเรื่องพยายามถอดถอนอดีตประธานรัฐสภาและประธานวุฒิสภา ในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญปี ๕๐ ที่ร่างมาโดยทหาร ก็เป็นการพยายามแช่แข็งเผด็จการ โดยส่งสัญญาณว่าทุกอย่างที่ทหารและพรรคพวกร่างมาในอดีตและกำลังร่างเพื่อใช้ในอนาคต ต้องจารึกเป็นหิน ต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตั้งแต่แก๊งประยุทธ์ ใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหารผิดกฏหมาย พร้อมกับการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ประยุทธ์และเหล่าประจบสอพลอ ในกรรมการเผด็จการทั้งหลาย ใช้เวลาออกแบบประชาธิปไตยจอมปลอมตามโมเดลพม่า รูปแบบของประชาธิปไตยเทียมนี้ คือการร่างรัฐธรรมนูญที่แช่แข็งสภาพไร้เสรีภาพ ทำลายพรรคการเมืองที่ประชาชนนิยม และจัดการเลือกตั้งให้เป็นละครตลกร้าย รัฐบาลไหนที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตจะได้ไม่มีอำนาจเพราะต้องถูกควบคุมโดยผู้ที่ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง และทั้งหมดนี้คือการปฏิรูปการเมืองภายใต้ตีนทหาร

คนไทยจำนวนมากที่คิดเองเป็น และผ่านประสบการณ์ของการยุบพรรคหรือการถอดถอนสิทธิทางการเมืองของฝ่ายไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทย เราเข้าใจดีว่าพวกเผด็จการย่อมขยันหาข้ออ้างทางกฏหมายในการทำลายประชาธิปไตยและผลของการออกเสียงของประชาชน คงไม่มีใครหลงคิดว่าคดีของ ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวอะไรกับโครงการจำนำข้าวแต่อย่างใด หรือมีความชอบธรรมทางกฏหมายแต่อย่างใด นักข่าวต่างประเทศที่สามารถวิเคราะห์การเมืองไทย ก็มีความเห็นแบบนี้ด้วย

แต่เราอาจต้องย้อนกลับไปดูโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยสักนิด

การนำภาษีของสังคมมาอุดหนุนโครงการบางอย่าง เพื่อเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนโดยเฉพาะเกษตรกรคนจน เป็นเรื่องที่ชอบธรรม ชาวนาเป็นกลุ่มที่ยากจนกลุ่มแรกๆ ในสังคมไทยที่ถูกละเลยมาต่อเนื่อง

โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อไทย เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชาวนาอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่าจะมีคอร์รับชั่นในบางขั้นตอนเช่นการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ หรือการขายข้าวราคาถูกมากๆ ให้กับนายทุนเพื่อเอาไปขายต่อในราคาเดิมเป็นต้น

ไม่มีใครเสนอว่าอดีตนายก ยิ่งลักษณ์ กระทำการคอร์รับชั่นเอง แต่มีการกล่าวหาว่าเขาไม่ไปห้ามการคอร์รับชั่นต่างหาก ในเรื่องนี้ถ้าจะลงโทษนายกรัฐมนตรีที่ไม่กำจัดการคอร์รับชั่น ก็คงต้องลงโทษนายกรัฐมนตรีทุกคนที่ผ่านมา รวมถึง ประยุทธ์ ด้วย

มีคนส่วนหนึ่งในสังคมที่มีอคติกับโครงการจำนำข้าว พวกนี้จะเป็นพวกคลั่งเสรีนิยมกลไกตลาด เช่น TDRI ที่มักจะหยิบประเด็นการขาดทุนของโครงการมาแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าถึงที่สุดแล้วรัฐบาลอาจจะเป็นหนี้มากขึ้น จุดยืนของประชาธิปัตย์และพวกที่คุมเศรษฐกิจภายใต้คณะทหารปัจจุบัน ก็ไม่ต่าง

พวกคลั่งตลาดเสรีเหล่านี้ มักมองว่ารัฐไม่ควรเอาเงินภาษีไปอุดหนุนโครงการต่างๆ ที่ก่อประโยชน์ให้กับคนในสังคมโดยเฉพาะคนจน แต่ถ้าเอาไปอุดหนุนคนรวย กองทัพ หรือสถาบันกษัตริย์ก็สามารถทำได้

การที่โครงการจำนำข้าวนี้ขาดทุน ถือว่าเป็นการกระจายรายได้ที่รัฐเก็บมา เพื่อช่วยชาวชนบทได้ แต่อีกส่วนหนึ่งของเงินที่ขาดไป มาจากแนวคิดเสรีนิยมกลไกตลาดของรัฐบาลเพื่อไทยแต่แรก ที่ไม่พยายามจะเพิ่มการเก็บภาษีจากคนรวย เพื่อเอามาอุดหนุนโครงการ ด้วยการคาดหวังว่าราคาข้าวในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งไม่เกิด เพราะทั่วโลกมีวิกฤตเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลเพื่อไทยกลับเลือกไม่ปล่อยข้าวราคาถูกมากๆ ออกมาขายให้กับประชาชนคนจน สรุปแล้วโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นความคิดที่ดี แต่ไม่ดีพอ แต่นั้นไม่ใช่สาเหตุที่จะถอดถอน ยิ่งลักษณ์ หรือทำลายกีดกันพรรคเพื่อไทยในอนาคต

และทั้งๆ ที่เผด็จการต้องการให้เรามองว่า “ก้อนขี้” ที่มันกำลังขับออกมาในรูปแบบรัฐธรรมนูญใหม่ และการปฏิกูลการเมือง เป็นสิ่ง “ศักดิ์สิทธิ์” ที่แตะต้องไม่ได้ แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวันเสียศักดิ์ศรีไปไหว้ก้อนขี้ดังกล่าว ในอนาคตเราจะต้องล้มผลพวงของเผด็จการให้หมด

Treachery

อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่เราควรประณามการถอดถอน ยิ่งลักษณ์ การทำรัฐประหารของ ประยุทธ์ และการปฏิกูลการเมืองหลังรัฐประหาร เราไม่จำเป็นต้องเชิดชู ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ หรือเพื่อไทย เพราะแทนที่เขาจะนำการต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย เขากลับหักหลังทรยศต่อขบวนการเสื้อแดง โดยแนะนำให้คนเสื้อแดงร่วมมือกับทหารเผด็จการ นี่คือสาเหตุสำคัญที่เราต้องจัดตั้งอิสระจากพวกนักการเมืองนายทุนเหล่านี้และแกนนำ นปช. ที่คล้อยตามการนำของทักษิณ

อิสลาม ในฐานะธงแห่งการต่อสู้

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในยุคนี้ หลังเหตุการณ์ล่าสุดที่ปารีส มีการรื้อฟื้นแนวคิดปฏิกิริยาฝ่ายขวาของนักวิชาการสหรัฐชื่อ แซมมูล ฮันทิงตัน เรื่อง “ความขัดแย้งทางอารยธรรม” เพื่อมาบิดเบือนความคิดของชาวมุสลิมทั่วโลก บุคคลที่พึ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้คือ นิโคลัส ซาร์โคซิ อดีตประธานาธิบดีพรรคฝ่ายขวาของฝรั่งเศส

ข้อเสนอเรื่อง “ความขัดแย้งทางอารยธรรม” เป็นการให้ความชอบธรรมให้กับสงครามที่รัฐบาลตะวันตกกระทำในตะวันออกกลาง มันเป็นการโกหกว่าตะวันตกมีอารยธรรมที่เน้นเสรีภาพ ในขณะที่สร้างภาพว่าคนมุสลิมเป็นคน “ล้าหลังที่ไม่เคารพเสรีภาพ” และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์ช บุช ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อให้สงครามแย่งชิงน้ำมันในตะวันออกกลาง ดูดีว่าเป็นสงคราม “เพื่อเสรีภาพ”

“ความขัดแย้งทางอารยธรรม” เป็นการมองข้ามการเหยียดสีผิวในสหรัฐและยุคทาส มันมองข้ามการเหยียดสีผิวและคนยิวในยุโรป มันมองข้ามประวัติการล่าอาณานิคม และมันมองข้ามสาเหตุที่สังคมตะวันตกหลายสังคมมีเสรีภาพในขณะนี้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นผลพวงของการต่อสู้ของคนชั้นล่างที่ต้องสู้กับชนชั้นปกครองของตนเอง และทุกวันนี้เสรีภาพดังกล่าวกำลังถูกคุกคามจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

ในอดีต แซมมูล ฮันทิงตัน เคยเขียนงานเขียนวิชาการ เพื่อให้ความชอบธรรมกับการทำสงครามในเวียดนามโดยรัฐบาลสหรัฐ พอสงครามเย็นสิ้นสุดลง เขาหันมาหาความชอบธรรมให้กับสหรัฐต่อไปในตะวันออกกลาง

ประเด็นสำคัญคือทฤษฏี “ความขัดแย้งทางอารยธรรม” เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของสังคมมุสลิม มันปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง

ในความเป็นจริง กลุ่มคนที่ใช้ศาสนาอิสลามเป็นธงนำการต่อสู้ มีความหลากหลายทางความคิดเป็นอย่างมาก และไม่เคยโหดร้ายป่าเถื่อนกว่าสังคมตะวันตก สังคมคริสต์ หรือสังคมไซออนนิสต์ยิว และในอดีตอารยธรรมอิสลามก้าวหน้าและเสรีกว่าอารยะธรรมคริสต์ในยุโรปก่อนยุคทุนนิยมด้วยซ้ำ

การปฏิวัติอิหร่านปี 1979 มาจากความโกรธแค้นเจ็บปวดกับเผด็จการของพระเจ้าชาร์ที่สหรัฐอเมริกาคอยหนุนหลัง เกือบทุกส่วนของสังคมต่อต้านกษัตริย์ชาร์และสามัคคีภายใต้ธงอิสลาม เพราะฝ่ายซ้ายเสียชื่อและอ่อนแอ แต่พอ ชาร์ โดนล้ม ความขัดแย้งทางชนชั้น ระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ นายทุนน้อยอนุรักษ์นิยม ปัญญาชนชาตินิยม เกษตกรรายย่อย ชนกลุ่มน้อย และคนจนในเมือง ก็ระเบิดขึ้น มีการแย่งชิงอำนาจกัน และในที่สุดซีกของ อายาโตลาห์ โคเมนี ชนะ และใช้อำนาจเผด็จการปราบปรามฝ่ายอื่น มันเป็นซีกอนุรักษ์นิยมที่ใกล้ชิดกับนายทุนน้อย มันไม่จำเป็นต้องจบแบบนั้น

ใน อัฟกานิสถาน รัสเซียส่งกำลังทหารไปหนุนผู้นำอุปถัมภ์ของตนเอง และเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น โดยที่ฝ่ายต้านรัสเซียใช้ธงอิสลามเพื่อสู้กับ “คอมมิวนิสต์” พวกนี้ได้รับการหนุนจากประเทศซาอุ และสหรัฐอเมริกา แต่พอรัสเซียแพ้สงครามและถอนตัวออก หลายกลุ่มที่สู้ภายใต้ธงอิสลาม ก็หันมารบกับรัฐบาลต่างๆ ที่เข้าข้างสหรัฐอเมริกา และนำไปสู่การถล่มตึกเวอร์ลเทรดในนิวยอร์ค

องค์กร ไอซิล ที่กำลังรบกับตะวันตกในอิรักและซิเรียในปัจจุบัน เป็นผลผลิตของการทำสงครามของสหรัฐและการจงใจแบ่งแยกประชาชนระหว่าง “อิสลามชีอะ” กับ “อิสลามซุนนี” เพื่อความง่ายในการปกครอง

ศาสนาอิสลามไม่ได้นำไปสู่ความสามัคคีหรือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่อย่างใด สงครามระหว่างอิหร่าน กับ อิรัก เป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดในตะวันออกกลางในทศวรรษ 1980 เป็นสงครามระหว่างคนมุสลิม และได้รับการหนุนหลังจากประเทศมุสลิมอย่าง ซาอุ และซุดาน และสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ในความเป็นจริง คนจำนวนมากที่หันไปใช้ธงอิสลามในการต่อสู้ เป็นคนที่ผิดหวังกับขบวนการฝ่ายซ้ายที่เคยมีอิทธิพลในอดีต และตอนนี้เขาถูกกดขี่รังแกจากจักรวรรดินิยมในระบบทุนนิยมโลก อียิปต์ ตูนีเซีย อัลจีเรีย ตูรกี ลิเบีย อิรัก ซิเรียและอิหร่าน เป็นตัวอย่างที่ดี ชาวมุสลิมมาเลย์ในปาตานีก็เช่นกัน มันไม่ใช่ว่าอิสลามเป็นธงนำการต่อสู้หรือแนวคิดหลักมาตลอด

คนรุ่นใหม่ในยุโรปจำนวนมาก ที่เติบโตในครอบครัวมุสลิม กำลังหันไปยึดศาสนาเพื่อเป็นอัตลักษณ์ท่ามกลางการเหยียดสีผิว แต่รุ่นพ่อแม่ของเขาไม่ได้เน้นศาสนาแบบนี้ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่คงอยู่มานานแม้แต่นิดเดียว

คำสอนในคัมภีร์กุรอาน มักถูกตีความเพื่อเข้าข้างตนเองโดยคนที่ต้องการลุกขึ้นสู้ เพราะมีประโยคที่กล่าวถึงความเป็นธรรมและการกำจัดการกดขี่ แต่พอกลุ่มอิสลามเริ่มได้อำนาจทางการเมือง เราจะพบว่าอุดมการณ์เรื่องความเท่าเทียมมักเริ่มจางหายไป และนักการเมืองมุสลิมพร้อมจะประนีประนอมและร่วมมือกับตะวันตกและกลุ่มทุนเสมอ ประเทศ ตูรกี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

และเนื่องจาก คัมภีร์ศาสนา ทุกศาสนา จะถูกตีความได้หลายด้านเสมอ ก็จะมีคนที่ปฏิบัติตามแนวอิสลามในลักษณะก้าวหน้าเสรี และคนที่ปฏิบัติตามแนวอิสลามในลักษณะล้าหลังเช่นการกดขี่สตรีเป็นต้น เราเหมารวมไม่ได้ ถ้าเราเหมารวมแบบนั้น เราอาจมองว่าคนไทยทุกคนเป็นสลิ่ม ที่ทนกับการวิจารณ์กษัตริย์ไม่ได้ หรือยอมมอบคลานต่อกษัตริย์และเผด็จการก็ได้ แต่มันจะไม่จริง

สรุปแล้วแนวคิดทางศาสนา หรือทางการเมือง ไม่เคยแช่แข็งหยุดนิ่งท่ามกลางโลกที่เปลียนแปลงตลอดเวลา คนที่มองว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะไม่เข้าใจสังคมอิสลามหรือสังคมอื่นๆ และคนที่ท่องสูตร “ความขัดแย้งทางอารยธรรม” เพียงแต่เป็นคนที่บิดเบือนโลกจริง

ฝรั่งเศส “ดินแดนแห่งเสรีภาพ” จริงหรือ?

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังจากเหตุการณ์ฆ่านักวาดการ์ตูนที่วารสาร ชาลี เฮบโด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และการเดินขบวนประท้วงความรุนแรงดังกล่าวที่มีประชาชนออกมาหลายล้านคน คนไทยจำนวนหนึ่งตื่นเต้นและหลงเชื่อว่าฝรั่งเศสเป็น “ดินแดนแห่งเสรีภาพ” ที่มีการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก บางคนพยายามอธิบายว่านี่คือผลพวงของการปฏิวัติฝรั่งเศสและแนวคิดสาธารณะรัฐที่เกิดในยุค 1789

แต่คนที่เชื่อแบบนี้ตาบอดถึงลักษณะแท้ของสังคมฝรั่งเศส

ในยุคล่าอาณานิคมที่เป็นยุคแห่ง “ทุนนิยม” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส และหลังจากที่มีการก่อตั้งสาธารณะรัฐที่ไม่อิงศาสนา ประเทศฝรั่งเศสเข้าไปยึดครองดินแดนในทวีปอัฟริกาและเอเชียด้วยความป่าเถื่อน ในภูมิภาคของเรา ฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง ลาว เขมร และเวียดนาม และใช้พวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์เพื่อก่อสงครามอีกด้วย ชาวเวียดนาม ลาว และเขมร ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสบังคับใช้แรงงานเหมือนไพร่ในไทย และฝรั่งเศสก็เป็นประเทศที่ริเริ่มสงครามเวียดนาม เพื่อสกัดกั้นเสรีภาพของชาวเวียดนาม

ใน อัลจีเรีย ฝรั่งเศสยึดครองสังคมมุสลิมนี้ด้วยความป่าเถื่อนเช่นกัน และมีการปราบขบวนการกู้ชาติอัลจีเรียด้วยความโหดร้ายทารุน ในปี 1961 เมื่อชาวอัลจีเรียในกรุงปารีสต้องการเดินขบวนเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส ตำรวจฝรั่งเศสก็ปราบอย่างหนัก มีการฆ่าชาวอัลจีเรียโยนลงแม่น้ำเซนกว่า 200 ศพ และจนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครถูกลงโทษ และไม่มีการขอโทษอย่างเป็นทางการจากรัฐเลย

ที่น่าสังเกตคือ มือปืนที่ไปฆ่านักวาดการ์ตูน ชาลี เฮบโด เป็นคนที่เกิดในฝรั่งเศส แต่เป็นคนเชื้อสายอัลจีเรีย เขาเริ่มทนไม่ได้เมื่อเห็นพฤติกรรมป่าเถื่อนของสหรัฐที่ทรมานนักโทษจากตะวันออกกลางในสงครามอิรัก

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชนชั้นปกครองฝรั่งเศสส่วนใหญ่สนับสนุนฮิตเลอร์กับพวกนาซี ในขณะที่ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ มีการจัดตั้งเพื่อต่อต้านนาซีและฮิตเลอร์ เมื่อเยอรมันเข้ามายึดครองฝรั่งเศส เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจำนวนไม่น้อยมีบทบาทในการส่งชาวยิวจากฝรั่งเศสไปตายในค่ายของนาซี

ในอดีต ในปี 1894 มีเรื่องอื้อฉาว เพราะชนชั้นปกครองฝรั่งเศสยัดข้อหาเท็จใส่นายทหารชื่อ “เดรฟัส” เพราะเป็นคนยิว

ในสมัยนี้ฝรั่งเศสยังทำตัวเป็นจักรวรรดินิยม โดยใช้กองกำลังแทรกแซงในหลายประเทศของอัฟริกาและตะวันออกกลาง ล่าสุดเมื่อปี 2013 ทหารฝรั่งเศสไปเปิดศึกกับกองกำลังมุสลิมทางเหนือของประเทศมาลี และสงครามนี้ยังไม่สิ้นสุด นอกจากมาลีแล้ว ฝรั่งเศสก็แทรกแซงทางทหารในลิเบียและซิเรียอีกด้วย

ภายในสังคมฝรั่งเศสทุกวันนี้ กระแสกเหยียดสีผิวและเชื้อชาติมาแรง พรรคการเมืองที่กำลังนำในโพล์ คือพรรค “แนวร่วมชาติ” FN ซึ่งเป็นพรรคนาซี นโยบายของพรรคเหยียดทั้งชาวยิว คนมุสลิม และคนสีผิวอื่นๆ

ก่อนหน้านี้รัฐบาลฝรั่งเศสออกกฏระเบียบห้ามไม่ให้นักศึกษามุสลิมในโรงเรียนสวมผ้าฮิญาบ โดยอ้างถึงรัฐธรรมนูญที่ไม่อิงศาสนา และในมหาวิทยาลัยชั้นนำ “ซอร์บอน” มีนักศึกษาถูกไล่ออกจากห้องเลคเชอร์ เพราะสวมผ้าฮิญาบ แต่ในขณะเดียวกันไม่มีการห้ามไม่ให้นักเรียนห้อยไม้กางเขนเป็นสร้อยคอ และบางโรงเรียนอนุญาตให้แม่ชีคริสเตียนเข้ามาได้

ในปี 2010 รัฐบาลฝรั่งเศสออกกฏหมายห้ามสตรีมุสลิมสวมผ้าคลุมหน้าบูร์กาหรือ niqab ในที่สาธารณะ และหลายคนก็โดนตำรวจจับ ผ้าคลุมหน้าบูร์กาหรือ niqab ต่างจาก ฮิญาบ เพราะปิดหน้าไม่ใช่แค่คลุมผม

French police and gendarmes check identity cards of women wearing full-face veils, or niqab, as they arrived to demonstrate after calls on the internet by Islamic groups to protest over an anti-Islam video, in Lille

เมื่อปีที่แล้วมีโรงเรียนทางเหนือของฝรั่งเศสที่ไม่ยอมให้นักเรียนกินเนื้อสัตว์ชนิดอื่น เมื่อมีหมูในเมนูประจำวัน เจ้าหน้าที่อธิบายว่าถ้าเด็กไม่อยากกินหมูก็ต้องกินผัก และในเมืองหนึ่ง ผู้ว่าฯไม่ยอมให้ชาวโรมา (ยิปซี) ฝังศพเด็กเล็กที่พึ่งเสียชีวิต

ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของสังคมฝรั่งเศสที่เราควรทราบไว้ เมื่อเราพิจารณาเหตุการณ์ฆ่านักวาดการ์ตูนที่วารสาร ชาลี เฮบโด และการเดินขบวนที่เกิดขึ้นภายหลัง ปัญหาใหญ่อันหนึ่งคือฝ่ายซ้ายฝรั่งเศสไม่เข้าใจบทบาทของศาสนาอิสลามในการเป็นความเชื่อของผู้ที่ถูกกดขี่ มาร์คซ์ เคยเขียนว่า “ศาสนาคือหัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ” นักสังคมนิยมมาร์คซิสต์อย่างเราจะคัดค้านศาสนาในลักษณะความเชื่อ แต่เราจะปกป้องสิทธิในการนับถือศาสนา และสิทธิของคนที่ถูกกดขี่ทุกคน เราไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้าย แต่เราจะเข้าใจว่าต้นเหตุมันมาจากจักรวรรดินิยมและการก่อสงครามของรัฐบาลตะวันตก

ตอแหล “ฟิตเนส”

ใจ อึ๊งภากรณ์

คลิปวิดีโองานเซ็กส์ในฟิตเนส ที่กำลังแชร์กันไปทั่ว เปิดโปงความตอแหลของเผด็จการทหารในอีกแง่หนึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐประกาศว่าจะมีการสอบสวน

ในความเป็นจริงนายทหาร นักธุรกิจ และข้าราชการชั้นสูง ในวัยกลาง มักจะซื้อเพศสัมพันธ์จากสตรีอ่อนวัยที่ยากจนกว่าตนเองเป็นประจำ ในงานเลี้ยงทหารก็มักจะมีสาวเปลือยที่มาแสดงร่างตนเองท่ามกลางชายใส่เครื่องแบบ

เจ้าฟ้าชายไทยก็ขึ้นชื่อมานานในการนำภาพเปลือยของแฟนตนเองไปโชว์ให้ชาวโลกดู

ลึกๆ แล้วสิ่งที่เผด็จการทหารและชนชั้นปกครองไทย “รับไม่ได้” ไม่ใช่พฤติกรรมที่ไม่เคารพสตรีแบบนี้ หรือพฤติกรรมที่มองว่าคนธรรมดาถูกซื้อเพื่อมาทำอะไรก็ได้ นั้นไม่ใช่ปัญหาถ้าไม่ประกาศออกมา และมันเป็นทัศนะของคนชั้นสูงไทยมาตลอด สิ่งที่เขารับไม่ได้คือการเปิดเรื่องนี้ออกมาในที่สาธารณะ เพราะเผด็จการมือเปื้อนเลือดของไอ้ยุทธ์มันกำลังขยันสร้างภาพเท็จว่ามันเต็มไปด้วยศีลธรรมและความดี

เราก็ทราบดีว่าเผด็จการทหารชุดนี้ตรงข้ามกับความดีงาม นอกจากการไม่เคารพสตรีแล้ว พวกมันมองว่าการเข่นฆ่าเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตย “ไม่ผิด” เขามองว่าการจ่ายเงินเดือนสูงๆ จากหลายๆ ตำแหน่งให้ตนเอง “ไม่เป็นการคอร์รับชั่น” เขามองว่าการปล้นอำนาจอธิปไตยและเสรีภาพจากประชาชนผ่านรัฐประหาร “ไม่ผิด”และพวกมันมองว่าการโกหกในทุกเรื่องเป็น “เรื่องดี”

แต่ถ้ากลับมาเรื่องงานเซ้กส์ในฟิตเนส จะมีบางคนสงสัยว่า “มันผิดตรงไหน”? สำหรับชาวสังคมนิยม การที่ชายรวยอายุวัยกลาง ซื้อเซ็กส์จากสาวๆ อายุน้อย เป็นเรื่องน่ารังเกียจและไม่เป็นการเคารพสตรี

ถ้ามันมีงานเซ้กส์ที่ทุกฝ่ายยินยอมเพราะชอบหรือรักกัน และไม่มีการซื้อขายร่าง เรื่องแบบนี้จะไม่ผิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้ใหญ่แต่ละคนจะอายุเท่าไร และไม่ว่าแต่ละคนจะเป็นเพศไหนด้วย แต่ถ้าเป็นงานแบบนั้นพวกถือศีลธรรมจอมปลอมก็จะออกมาด่าว่าเป็นการ “มั่วเซ็กส์” และคำด่าจะพุ่งไปที่ผู้หญิงเป็นหลัก เพราะในไทยมีผู้หญิงดี กับผู้หญิงขายบริการ… ประเทศเราตอแหลและสองมาตรฐานมานาน

แกะเปลือก “ว่าด้วยทุน”

ใจ อึ๊งภากรณ์

หนังสือ “ว่าด้วยทุน” ของ คาร์ล มาร์คซ์ ถือว่าเป็นงานที่วิวัฒนาการตลอดชีวิตของมาร์คซ์ มันไม่เคยเป็นผลงานสำเร็จรูป เพราะ มาร์คซ์ ไม่เคยหยุดวิเคราะห์และเรียนรู้ และเขาเป็นคนที่จบอะไรไม่เป็น ปิดเล่มไม่ได้ เพราะมักจะสนใจประเด็นปลีกย่อยไปเรื่อยๆ และปรับปรุงงานเก่าอย่างต่อเนื่อง ลักษณะแบบนี้ของ มาร์คซ์ สร้างความเครียดให้กับ เองเกิลส์ เพื่อนรักและผู้ร่วมงานของเขาเป็นอย่างมาก เพราะเองเกิลส์รับหน้าที่ตีพิมพ์ผลงานของ มาร์คซ์

ในปัจจุบันมีการรวบรวมผลงานของ มาร์คซ์ และ เองเกิลส์ ในโครงการ MEGA2 ซึ่งทำให้ผู้ศึกษาสามารถเห็นการวิวัฒนาการของงานเป็นขั้นตอน ดังนั้นคนที่เคยชอบอ้างว่างานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง เช่น Grundrisse เป็น “จุดยืนแท้” ของ มาร์คซ์ เป็นผู้ที่ไม่เข้าใจวิธีการทำงานของ มาร์คซ์

มาร์คซ์ มองว่าทุนนิยมเป็น “ความสัมพันธ์” ระหว่างมนุษย์ในชนชั้นต่างๆ ที่มีความแปลกแยกห่างเหินสองชนิดพร้อมกันคือ (1) ความแปลกแยกระหว่างกรรมาชีพผู้ทำงาน กับระบบการผลิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายทุน และ(2) ความแปลกแยกระหว่างนายทุนแต่ละคนหรือหน่วยงาน ที่แข่งขันกันในตลาด

มาร์คซ์ ศึกษาระบบทุนนิยมเพื่อหาทางล้มทำลายมัน เป้าหมายหลักของมาร์คซ์ก็เพื่อให้กรรมาชีพสามารถสร้างสังคมนิยมได้ ดังนั้น “ว่าด้วยทุน” เป็นงานที่ผสมทฤษฏีกับการปฏิบัติเสมอ

 

อิทธิพลของ เฮเกิล และ ริคาร์โด

เฮเกิล และ ริคาร์โด เป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับ มาร์คซ์ ในการเขียน “ว่าด้วยทุน” มากพอสมควร

เฮเกิล เป็นนักปรัชญาเยอรมันที่มาก่อน มาร์คซ์ ในงาน “วิทยาศาสตร์ของตรรกะ” เฮเกิล เสนอว่าถ้าจะเข้าใจอะไร เราต้องเริ่มที่ระดับ“นามธรรม”  แล้วพัฒนาไปสู่ระดับ “รูปธรรม” โดยการนำรายละเอียดรูปธรรมมาปรับความเข้าใจของเราในนามธรรมที่เป็นจุดเริ่มต้น

ตัวอย่างของวิธีคิดแบบนี้คือการเริ่มต้นเข้าใจว่า ระบบการผลิตทุนนิยม เงิน สินค้า หรือตลาด เป็นเพียงการสรุปยอดสิ่งที่เราเห็นในลักษณะนามธรรมเท่านั้น มันเป็นเปลือกภายนอก แต่ถ้าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เราต้องมองลึกลงไปเพื่อเห็นการขูดรีดแรงงาน และมูลค่าที่มาจากการทำงาน ซึ่งเป็นรูปธรรมที่ฝังลึกและถูกซ่อนไว้

ตรรกะของ เฮเกิล เป็นแนวคิดแบบจิตนิยม คือเน้นกิจกรรมทางความคิดเป็นหลัก แต่ มาร์คซ์ นำความคิดวัตถุนิยม ที่เน้นอะไรๆ บนโลกที่จับต้องได้และสอดคล้องกับโลกจริง มาใช้กับตรรกะ เฮเกิล

ตรรกะของ เฮเกิล มีการเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ซึ่งช่วยให้ มาร์คซ์ เข้าใจว่า “ความสัมพันธ์” ในระบบทุนนิยม ที่มีความแปลแยกห่างเหินสองชนิดที่กล่าวถึงไปแล้ว มีลำดับความสำคัญ คือความแปลกแยกระหว่างกรรมาชีพผู้ทำงาน กับระบบการผลิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายทุน เป็นเรื่องหลักที่อธิบายทุนนิยม แต่เราต้องพิจารณาความแปลกแยกระหว่างนายทุนแต่ละคน ที่แข่งขันกันในตลาด เพื่อเข้าใจภาพทั้งหมดของทุนนิยม

ริคาร์โด ไม่ได้ใช้ตรรกะของเฮเกิล และนี่คือจุดอ่อนของ ริคาร์โด คือเขาเป็นผู้พัฒนา “ทฤษฏีมูลค่าแรงงาน” ที่อธิบายว่ามูลค่าของสินค้ามาจากการทำงานของกรรมาชีพ แต่ ริคาร์โด เข้าใจผิดว่าสิ่งที่เราเห็นกับตาในระบบทุนนิยมคือรูปธรรมความจริง นอกจากนี้ ริคาร์โด มองว่าทุนนิยมเป็นระบบที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีระบบอื่นได้ โดยที่ ริคาร์โด มองว่าความแปลกแยกระหว่างกรรมาชีพผู้ทำงาน กับระบบการผลิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายทุน “เป็นเรื่องปกติ” แทนที่จะมองว่าเป็นแค่รูปแบบหนึ่งของเศรษฐกิจที่ผิดเพี้ยน

ริคาร์โด เสนอว่าการแข่งขันในตลาดทำให้ “ราคา” สินค้าถูกปรับให้เท่ากับ “มูลค่า” (ปริมาณแรงงาน) และเขาไม่เข้าใจว่า “มูลค่าส่วนเกิน” ที่ถูกขโมยไปจากแรงงาน ถูกแบ่งระหว่าง นายทุน นายธนาคาร และเจ้าของที่ดิน ในสังคมทั้งหมด ดังนั้น “มูลค่าส่วนเกิน” ไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับ “กำไร” ซึ่งเป็นส่วนของมูลค่าส่วนเกินที่ตกอยู่ในมือนายทุนคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง เท่านั้น

มาร์คซ์ มองภาพรวมในลักษณะนามธรรมของทุนนิยม แล้วสรุปว่าการแข่งขันในตลาดระหว่างนายทุนจำนวนมาก ในสาขาการผลิตที่แตกต่างกัน นำไปสู่ “อัตรากำไรทั่วไป” ของระบบ และเป็นสิ่งที่กำหนด “ราคาการผลิต” ทั่วไป

ดังนั้นการแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้าชนิดต่างๆ ที่ใช้แรงงานชนิดต่างๆ ในการผลิต เกิดขึ้นภายใต้การแลกเปลี่ยนระหว่าง “ปริมาณแรงงานนามธรรม” ในสินค้าแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน ที่กำหนดจากภาพรวมของการผลิตและการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด พูดง่ายๆ คือ “ปริมาณแรงงานนามธรรม” เป็นหน่วยสมมุติของสังคมที่กำหนดการแลกเปลี่ยน แต่มันวัดเป็นหน่วยเงินตราไม่ได้

ส่วน “อุปสงค์-อุปทาน” แค่ปรับราคาสินค้าขึ้นหรือลง มากกว่าหรือน้อยกว่า “ปริมาณแรงงานนามธรรม” ในลักษณะชั่วคราวเท่านั้น “อุปสงค์-อุปทาน” ไม่ได้กำหนดมูลค่าหรือราคาอย่างที่ อดัม สมิท เคยคิด

สรุปแล้ว “มูลค่า” ของสินค้า เป็นคุณสมบัติทางสังคมเท่านั้น เป็นการสรุปยอดการทำงานของมนุษย์ในรูปแบบที่แตกต่างกันทั่วสังคมจนออกมาในลักษณะ “นามธรรม” มูลค่าเป็นสิ่งที่วัดเป็นหน่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่พรรคพวกของ ริคาร์โด พยายามวัดมันด้วยคณิตศาสตร์ มูลค่าเกิดขึ้นท่ามกลางกลไกตลาดของคนทั้งสังคม และอธิบายราคาแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้าชนิดต่างๆ ได้เท่านั้น

เราจะเห็นว่าสำหรับ มาร์คซ์ การเข้าใจมูลค่าและการแลกเปลี่ยน ทำไม่ได้ ถ้าเราแค่พิจารณาการผลิตชนิดหนึ่งในสังคมของประเทศหนึ่ง มันต้องดูนามธรรมของภาพรวมก่อน

“มูลค่า” ถูกกำหนดจากการทำงานและการแลกเปลี่ยน และอาศัยเงื่อนไขของ (1) ความแปลกแยกระหว่างกรรมาชีพผู้ทำงาน กับระบบการผลิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายทุน และ (2) ความแปลกแยกระหว่างนายทุนแต่ละคนหรือหน่วยงาน ที่แข่งขันกันในตลาด เสมอ

 

แรงงาน

สำหรับมาร์คซ์ “ปริมาณแรงงานนามธรรม” ในระบบทุนนิยม คือเนื้อในของ “มูลค่า” และที่สำคัญคือ แรงงานปัจจุบัน (“แรงงานที่มีชีวิต”) คือแหล่งกำเนิดมูลค่าใหม่เสมอ พูดง่ายๆ ถ้ากรรมาชีพไม่ทำงานให้นายทุน ก็ไม่เกิดมูลค่า มูลค่าไม่ได้เกิดจากนายทุนหรือเครื่องจักร

แต่นักวิชาการในปัจจุบันหลายคน หันหลังให้กับความจริงอันนี้ ตัวอย่างเช่น เดวิท ฮาร์วี่ ที่มองว่าระบบทุนนิยมยึดมูลค่ามากจากการปล้นทรัพยากรจากชุมชนนอกทุนนิยมได้ หรือ ไมเคิล ฮาร์ท กับ อันโทนีโอ เนกรี่ สองนักอนาธิปไตย ที่มองว่าระบบทุนนิยมยึดมูลค่ามากจากการปล้นทรัพยากรจากชุมชนนอกทุนนิยม หรือมูลค่าอาจมาจากแค่การใช้ความคิดหรือการสื่อสาร โดยไม่ต้องมีการผลิตจริง ซลาฟอยจ์ ซีเซค ก็เหมือนกัน พวกนี้ปฏิเสธทฤษฏีมูลค่าแรงงาน และสรุปว่ากรรมาชีพหมดความสำคัญลงในทุนนิยมสมัยใหม่ จนกรรมาชีพไร้พลังในการล้มระบบ ซึ่งไม่ตรงกับความจริงแต่อย่างใด ดูได้จากการต่อสู้ทางชนชั้นที่เกิดขึ้นตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพยายามตัดค่าแรงหรือสวัสดิการเพื่อเพิ่มกำไร หรือการนัดหยุดงานของกรรมาชีพเพื่อพัฒนาสภาพชีวิต ถ้ากรรมาชีพไม่มีความสำคัญอีกต่อไปรัฐบาลทุกรัฐบาลก็ไม่ต้องสนใจควบคุมแรงงานด้วยกฏหมายต่างๆ ที่ทำอยู่ตลอด

ในเรื่องความคิดทางปัญญาหรือการสื่อสาร มาร์คซ์ไม่เคยแบ่งแยกการทำงานที่ใช้มือหรือแรงกล้ามเนื้อ กับการทำงานที่ใช้สมองและเทคโนโลจี เพราะการทำงานสองรูปแบบนี้เกิดขึ้นด้วยกันควบคู่กันไปเสมอ บ่อยครั้งในคนคนเดียวกันด้วย

 

วิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยม

มาร์คซ์ค่อยๆ พัฒนาทฤษฏีวิกฤตทุนนิยมของเขาเป็นตอนๆ จนถึงจุดที่อธิบายได้ดีที่สุด เขาเริ่มที่“นามธรรม”  ของวิกฤตทุนนิยมที่เห็นกับตาเป็นประจำ แล้วพัฒนาสูงขึ้นตาม 6 ขั้นตอนผ่านการพิจารณาปัจจัยรูปธรรมต่างๆ ดังนี้

  1. วิกฤตเกิดจากการเร่งสะสมทุน ผ่านการแข่งขันในตลาดระหว่างกลุ่มทุน จนมีการผลิตล้นเกินความสามารถในการซื้อของประชาชน
  2. มีวัฏจักรทางธุรกิจ ที่ขยายและหดตัวตลอดเวลา พอมีการเพิ่มเครื่องจักรซึ่งเป็นแรงงานอดีตหรือที่เรียกว่า “ทุนคงที่” ก็มีการลดจำนวนคนงานลง และขยายคนงานสำรองที่รอเข้างาน หรือทำงานไม่เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลให้กดค่าแรงคนที่มีงานทำ แต่ในการพูดถึงเรื่องนี้ มาร์คซ์ เน้นลักษณะวัฏจักรธุรกิจของทุนนิยมเป็นหลัก ไม่ได้เสนอว่าการกดค่าแรงและลดกำลังซื้อของประชาชนเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดวิกฤต
  3. การหมุนเวียนของทุนหลายรอบ ระหว่างต้นทุน ผ่านการจ้างคนงาน และการใช้เครื่องจักร ไปสู่การผลิตสินค้าที่ต้องนำไปขาย จะทำให้การผลิตมีลักษณะเป็นวัฏจักรซึ่งมีช่วงห่างระหว่างการลงทุนและการได้ต้นทุนกลับมา
  4. ภาคการผลิตต่างๆ จะเชื่อมโยงกันทั่วโลก และมีการถ่ายเททุนจากส่วนที่กำไรต่ำไปสู่ส่วนที่กำไรสูงกว่าตลอด ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถแยกส่วนการผลิตภาคหนึ่งออกจากภาพรวมของระบบได้
  5. แนวโน้มของการลดลงของ “อัตรากำไร” (กำไรต่อหน่วยเงินต้นทุนที่ลงทุนหน่วยหนึ่ง) เป็นสิ่งที่ทั้ง อดัม สมิท และเดวิด ริคาร์โด สังเกตมาก่อนหน้านี้

แต่ สมิท เข้าใจผิดว่าการลดลงของอัตรากำไรเป็นสถานการณ์ประจำเมื่อมีการสะสมทุนมากเกินไป ส่วน ริคาร์โด อาศัยแนวคิดของ ทอมมัส มัลทัส ที่เข้าใจผิดว่าแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไรมาจากการที่ระบบการผลิตย่อมมีประสิทธิภาพต่ำลงตามเวลา ซึ่งเป็น “สภาพธรรมชาติ”

มาร์คซ์ อธิบายว่าแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไรมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่างหาก คือเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในเครื่องจักร (ทุนคงที่) ซึ่งไม่ได้สร้างกำไร เมื่อเทียบกับทุนจ้างงาน ซึ่งสร้างกำไร

พูดง่ายๆ การแข่งขันกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือ การแข่งกันเพื่อเพิ่ม “พลังการผลิต” ไปขัดแย้งกับ “ความสัมพันธ์ทางการผลิต” คือการจ้างงานโดยนายทุนเพื่อขูดรีดแรงงาน เพราะนายทุนถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนในสิ่งที่ไม่สร้างกำไร (เครื่องจักร) นั้นเอง

นอกจากนี้ มาร์คซ์ มองว่าวิกฤตทุนนิยมเป็นสภาพชั่วคราวที่เกิดเป็นประจำ ไม่ใช่สภาพถาวร เพราะนายทุนสามารถหาทางแก้ไขปัญหาบนสันหลังกรรมาชีพได้ โดยการกดค่าแรง เอาชนะคู่แข่ง หรือแม้แต่การทำสงคราม อย่างไรก็ตามสำหรับ มาร์คซ์ วิกฤตทุนนิยมอาจสร้างโอกาสสำหรับกรรมาชีพในการลุกฮือปฏิวัติล้มระบบทุนนิยมได้

  1. การที่ระบบการผลิตผูกไว้อย่างแน่นกับระบบธนาคารไฟแนนส์ ซึ่งเป็นแหล่งออมทุนที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ทันที เพื่อไปให้กู้กับนายทุนส่วนอื่นๆ ทำให้วิกฤตซับซ้อนมากขึ้น และมีลักษณะบูมกับดิ่งลงเป็นรอบๆ หรือช่วยให้เกิดฟองสบู่

ในการอธิบายวิกฤตทุนนิยม มาร์คซ์ จัดลำดับความสำคัญของ 6 ปัจจัยเกี่ยวกับวิกฤตที่กล่าวถึงไปแล้ว ตามวิธีคิดของ เฮเกิล คือ

(1)การผลิตล้นเกิน กับ(4)การแลกเปลี่ยนระหว่างภาคการผลิตต่างๆ เป็นปัจจัยที่เอื้อกับการเกิดวิกฤตเท่านั้น

(2)วัฏจักรธุรกิจและค่าแรงที่ขึ้นลง และ(3)ช่วงเวลาในการหมุนเวียนของทุน เป็นปัจจัยที่จำเป็นต้องมีถ้าจะเกิดวิกฤต

แต่ต้นเหตุของวิกฤตอยู่ที่ (5)แนวโน้มการลดลงของอัตรากำไร กับ(6)การทีระบบการผลิตผูกกับระบบไฟแนนส์

ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปคร่าวๆ ถึงวิธีการของ มาร์คซ์ ในการศึกษาและเขียนเรื่องทุนนิยมในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” ซึ่งผมยกมาจากหนังสือ “Deciphering Capital. Marx’s Capital and its destiny” โดย Alex Callinicos (2014) Bookmarks. ซึ่งถ้าใครอยากอ่านรายละเอียดควรไปดูต้นฉบับภาษาอังกฤษ

ถ้าใครอยากอ่านเพิ่มขอแนะนำ “ว่าด้วยทุนของ คาร์ล มาร์คซ์ ฉบับย่อ ภาษาง่าย”  http://bit.ly/129xlhF

เสรีภาพในการแสดงออกเป็นเรื่องชนชั้น

ใจ อึ๊งภากรณ์

คนจำนวนมากคงจะสลดใจที่มีการเข่นฆ่านักหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสที่วารสาร Charlie Hebdo และเขาถูกต้องที่จะสลดใจตรงนี้

แต่คนไทยไม่ควรหลงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง “เสรีภาพในการแสดงออก” เพราะเสรีภาพในการแสดงออกมีขอบเขต ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เป็นการให้ความชอบธรรมกับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ของคนไทยที่ต้องการวิจารณ์เผด็จการหรือสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด

คนส่วนใหญ่คงมองว่าไม่มีใครที่ควรมีเสรีภาพที่จะส่งเสริมการข่มขืนสตรี การทำร้ายหรือละเมิดเด็ก หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ดังนั้นเราต้องดูว่าการแสดงออกดังกล่าวมีผลในการขยายเสรีภาพ หรือมีผลตรงข้าม

การที่คนไทยจะวิจารณ์กษัตริย์หรือเผด็จการทหาร เป็นการขยายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยแน่นอน และในที่สุดก็เป็นสิ่งที่ตรงกับผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ด้วย ดังนั้นการต่อต้านกฏหมายป่าเถื่อน 112 เป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและส่งเสริมเสรีภาพ

แต่การวาดการ์ตูนล้อศาสนาอิสลาม ในสังคมยุโรป เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันกับกระแสเหยียดคนผิวดำและชาวอิสลามซึ่งเป็นคนส่วนน้อยที่ถูกกดขี่ในยุโรป มันไปกับกระแสการทำสงครามของจักรวรรดินิยมตะวันตกในตะวันออกกลาง แต่ยิ่งกว่านั้นมันไปด้วยกันกับพวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์ ที่กำลังฉวยโอกาสหาแพะรับบาปในยุโรปท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง ผมพูดอย่างนี้ทั้งๆ ที่ผมไม่มีศาสนา และไม่เห็นด้วยกับศาสนา

การอ้าง “สิทธิเสรีภาพจอมปลอม” ในการดูถูกศาสนาอิสลามและการเหยียดสีผิว นำไปสู่การถือหางให้ชนชั้นปกครองตะวันตกและคนที่อยากแบ่งแยกชนชั้นกรรมาชีพในเรื่องเชื้อชาติ มันทำให้ฝ่ายชนชั้นปกครองที่กดขี่เรา ยิ่งเข้มแข็งมากขึ้น มันเป็นสิ่งที่ล้าหลังปฏิกิริยา และส่งเสริมเผด็จการ มันเป็นการแบ่งแยกเพื่อปกครอง

ดังนั้นการพูดถึงเสรีภาพในการแสดงออกในลักษณะนามธรรม ที่ไม่พิจารณาบริบททางสังคมในแง่การกดขี่ทางชนชั้น เป็นแค่การพูดที่ไม่มีน้ำหนัก ไม่ติดดิน และไม่พิจารณาความจริง

ในโลกจริง เสรีภาพในการแสดงออก มาจากการต่อสู้ของมวลชนกับเผด็จการเบื้องบนเสมอ มันเป็นเรื่องชนชั้นเสมอ

มีบางคนพูดถึง “ความรุนแรงของมุสลิม” ผมขอถามหน่อยว่าคนที่ออกมาให้กำลังใจกับวารสาร Charlie Hebdo มีสักกี่คนที่ออกมาประท้วงเมื่อเครื่องบินไร้คนขับ drone ของสหรัฐและอังกฤษฆ่าพลเรือนในงานแต่งงานที่อัฟกานิสถาน อิรัก และปากีสถาน? หรือชีวิตของคนผิวคล้ำๆ โดยเฉพาะคนมุสลิม มีค่าน้อยกว่า?

ดังนั้นเวลาพูดถึงความรุนแรงกรุณาดูภาพรวม ใครฆ่าคนมากกว่ากัน? รัฐบาลตะวันตก หรือชาวมุสลิม? หรือทหารไทย?

และการต่อสู้ของคนที่ถูกกดขี่ทุกวัน มันจะเทียบกับการใช้ความรุนแรงของชนชั้นปกครองที่กดขี่เราไม่ให้มีเสรีภาพได้อย่างไร

แต่ในขณะเดียวกัน การฆ่านักหนังสือพิมพ์ในฝรั่งเศส มันไม่ได้ทำให้ผู้ถูกกดขี่ได้รับการปลดแอกเลย ตรงกันข้าม มันเปิดโอกาสให้ฝ่ายขวาฟาสซิสต์ พวกเหี้ยของสังคม ที่เหยียดสีผิว ได้โอกาสแทน

เส้นทางสู่เสรีภาพต้องยึดการเคลื่อนไหวมวลชนเป็นหลัก ไม่ใช่หาทางลัดที่กลายเป็นทางตันภายใต้การฆ่าคน

ความโง่เขลาในกะลาแลนด์

ใจ อึ๊งภากรณ์

ภาพคนไทยคนนี้ ที่ใส่เสื้อติดสัญญลักษณ์ของพวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์-นาซี ซึ่งเกลียดชังคนสีผิวอื่น สามารถสรุปความน่าสมเพชของสังคมไทยได้ดี เพราะพวก “พลังผิวขาว” ที่เป็นนาซี จะมองคนไทยว่าเป็น “ไอ้ชิ๊งค์” หรือ “ไอ้เจ็กตาตี๋” ที่ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว ในหลายประเทศที่กำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ พวกฝ่ายขวาก็จะหาแพะรับบาป และไปโทษคนหน้าตา “ตี๋ๆ” แบบไทย เพื่อเบี่ยงเบนความโกรธแค้นของประชาชนต่อสภาพเศรษฐกิจ ทั่วยุโรป รวมถึงอังกฤษ ก็มีพรรคแบบนี้เกิดขึ้นมา

แต่คนไทยจำนวนมากที่เติบโตภายใต้กะลามะพร้าวแห่งลัทธิคลั่งชาติ จะไม่รู้เรื่องเลย มีแต่จะกราบไหว้ผู้ใหญ่ ยืนเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติ ในขณะที่ชนชั้นปกครองไทยทำรัฐประหาร ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ จับคนเข้าคุก และดูถูกประชาชนธรรมดาว่า “ไม่มีวุฒิภาวะ” ที่จะมีสิทธิ์มีเสียงหรือเลือกรัฐบาล

ยิ่งกว่านั้น ในทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พวกชนชั้นปกครองไทยเสพสุข “ทำนาบนหลังพลเมืองส่วนใหญ่” และมีวิถีชีวิตพอๆ กับเศรษฐีจากประเทศร่ำรวย มันก็จะออกมาพูดว่า “การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสร้างปัญหา” “การนำภาษีประชาชนมาพยุงชาวไร่ชาวสวนเป็นสิ่งที่ผิด” หรือ “การมีระบบสาธารณสุขฟรีเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร” แต่มันก็ยังพยายามหลอกให้เราภูมิใจในประเทศชาติที่มันคุมและเป็นเจ้าของเบ็ดเสร็จ

ในกะลาแลนด์ ประชาชนถูกสอนให้รักชาติ ภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งๆ ที่ไทยยังเป็นทาส มันเป็นกระบวนการ “ทำตัวเองเป็นทาส” ภายใต้การกล่อมเกลาในเรื่องชาตินิยมจากชนชั้นปกครอง คนไทยในภาพที่ใส่เสื้อ “พลังผิวขาว” ถือว่าทำตัวเองเป็นทาสอย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคนจำนวนมากจะชื่นชมเวลาทีมฟุตบอล์ไทยชนะการแข่งขัน ทั้งๆ ที่หลายคนไม่สนใจฝีมือหรือเทคนิคในการเตะบอล์เลย

ดังนั้น ในมุมกลับกับลัทธิคลั่งชาติ มีคนรักประชาธิปไตยหลายคนที่ไปแอบชื่นชมราชินีอังกฤษเพราะที่อังกฤษไม่มี 112 ทั้งๆ ที่ราชวงศ์อังกฤษร่ำรวยมหาศาล จ่ายค่าจ้างกับคนรับใช้ต่ำ และเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองที่กดขี่ประชาชนอังกฤษ

เราลืมประเด็นชนชั้น เรามองแต่ประโนชาติ เพราะฝ่ายซ้ายไทยอ่อนแอหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และแม้แต่ในยุค พคท. พรรคก็ยังชูแนวชาตินิยมอีกด้วย

ผลคือคนไทยจำนวนมากไม่รู้จักสมานฉันท์สามัคคีกับคนชนชั้นเดียวกันในประเทศอื่น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการที่คนไทยจำนวนมากใช้คำไม่สุภาพเวลาเอ่ยถึงคนเชื้อชาติหรือสีผิวที่ต่างออกไป ลักษณะภาษาที่คนไทยจำนวนมากใช้ จะไม่ต่างจากภาษาที่พวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์-นาซี ที่ภูมิใจใน “พลังผิวขาว” ใช้ ตัวอย่างที่ดีคือการใช้คำว่า “แขก” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” “ไอ้ลาว” ฯลฯ ที่คนจำนวนมากใช้โดยไม่คิดอะไรเลย เพราะในกะลาแลนด์ชนชั้นปกครองพยายามส่งเสริมให้เราไม่คิด

อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ คนไทยจำนวนหนึ่งไม่สนใจเรื่องที่มีสาระอะไรเลยที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ดังนั้นเราจะเห็นคนใส่เสื้อฮิตเลอร์และพูดชมฮิตเลอร์โดยไม่รู้เรื่องเลย ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์เป็นคนที่มองว่าเชื้อชาติตะวันออกแบบไทยๆ ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว และฮิตเลอร์เป็นจอมเผด็จการยิ่งกว่าไอ้ยุทธิ์มือเปื้อนเลือดที่แต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าในไทยเสียอีก

แต่ทั้งหมดที่ผมพูดถึงนี้ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของคนไทย มันมาจาการอยู่ใต้กะลามากกว่า ในสหรัฐอเมริกา คนจำนวนมากก็ไม่รู้เรื่องสิ่งที่เกิดในประเทศอื่นเช่นกัน และตำรวจสหรัฐขึ้นชื่อว่าเกลียดชังคนผิวดำและพร้อมจะฆ่าคนผิวดำโดยรู้ว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษ

กะลาที่ครอบหัวคนในสังคมเรา หรือในสังคมอื่น มันไม่ใช่กะลาถาวร มันยกออกได้ และในอดีตกะลาไทยก็ถูกเปิดออกมามากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ที่สำคัญคือ แนวคิดที่จะปลดแอกคนจากการ “ทำตัวเองเป็นทาส” เป็นแนวคิดฝ่ายซ้ายสังคมนิยมที่เน้นเรื่องชนชั้นมากกว่าชาติ นี่คือสาเหตุที่เราต้องรื้อฟื้นแนวสังคมนิยมและสร้างพรรคฝ่ายซ้ายในไทย