โจทย์ที่ “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ตั้งกับสังคมและตัวเอง

ใจ อึ๊งภากรณ์

การเคลื่อนไหวด้วยความกล้าหาญของนักศึกษาและคนหนุ่มสาวใน “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” และ “กลุ่มดาวดิน” เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยิ่ง และเป็นการปกป้องเจตนารมณ์ของขบวนการประชาธิปไตยท่ามกลางยุคมืดแห่งเผด็จการ

11659226_912475245476486_7949400743049647958_n

ในการเคลื่อนไหวล่าสุดมีการเรียกร้องต่อพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยว่า “เราเข้าใจดีว่าท่านอาจจะยังไม่มีความพร้อมที่จะออกมาต่อสู้อย่างเปิดเผย เราเข้าใจดีว่าท่านอาจมีความกลัวอยู่ภายในจิตใจ เราทั้งหลายต่างก็มี แต่ท่านจะเพิกเฉยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะการที่พวกท่านเพิกเฉยต่ออำนาจที่มิชอบของรัฐบาลเผด็จการก็เท่ากับท่านได้ให้ความชอบธรรมแก่พวกมันไปโดยปริยาย การต่อสู้ของพวกเราในวันนี้จะไม่มีความหมาย หากพวกท่านยังคงเพิกเฉยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น พวกท่านอาจจะไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนใดๆ ในเวลานี้ แต่เราต่างก็รู้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นตลอดไป จงอย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านจนทุกอย่างสายเกิน จนอาจไม่เหลือใครที่พร้อมจะต่อสู้ได้อีก”

นี่คือโจทย์สำคัญสำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกคน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง นักสหภาพแรงงาน และกลุ่มอื่นๆ ที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ

บทเรียนสำคัญต้องมาจากการลุกฮือของประชาชนในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เพราะการลุกฮือครั้งนั้นมาจากการที่นักเคลื่อนไหวถูกเผด็จการทหารจับคุม ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่คนหนุ่มสาว นักศึกษา คนทำงาน และประชาชนทั่วไป จนนำไปสู่การโค่นเผด็จการ ความไม่พอใจกับเผด็จการครั้งนั้นผสมกับความไม่พอใจที่สะสมมานานในเรื่องปัญหาปากท้อง เช่นค่าแรงที่ต่ำเกินไป และความอึดอัดกับสภาพสังคมที่แช่แข็งภายใต้วิถีชีวิตอนุรักษ์นิยมที่กดทับคนรุ่นใหม่

มันแปลว่าเราต้องเข้าใจสองประเด็นสำคัญคือ

  1. การลุกฮือที่เกิดขึ้นในช่วง ๑๔ ตุลา เกิดขึ้นได้เพราะผู้ที่ออกมาเป็นแสนท่ามกลางกรุงเทพฯ มีองค์กรและเครือข่ายที่มีชีวิตชีวาและมวลชนจริง โดยเฉพาะองค์กรนิสิตนักศึกษา และองค์กรแรงงาน และในสังคมทั่วไปเริ่มมีการจัดตั้งใหม่ทางความคิดภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ (ทั้งๆ ที่ พคท. ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา)

ประเด็นนี้แปลว่าถ้าเราจะร่วมกันสร้างกระแสการลุกฮือล้มเผด็จการแบบ ๑๔ ตุลา ซึ่งเป็นภาระจำเป็นและเร่งด่วนในปัจจุบัน แค่การเรียกร้องให้ประชาชนออกมามันไม่พอ แค่การเขียนบทความนี้ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ก็ไม่พอเช่นกัน ขบวนการประชาธิปไตยต้องขยายมวลชน ขยายองค์กร และขยายเครือข่าย ถ้าไม่ทำเช่นนั้น การต้านเผด็จการประยุทธ์จะเป็นแค่สัญญลักษณ์ และการต่อสู้เชิงสัญญลักษณ์จะไร้พลังตราบใดที่ไม่นำเป็นสู่การจุดไฟการเคลื่อนไหวของมวลชนจำนวนมาก

เมื่อพวกนายทหารเผด็จการมือเปื้อนเลือดที่ครองอำนาจเถื่อนอยู่ในปัจจุบัน เช่นประยุทธ์หรืออุดมเดช ลั่นออกมาว่า “นักศึกษาที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันมีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง” เรารู้ว่ามันโกหกเป็นสันดาน แต่ในขณะเดียวกันเราอดหวังว่าเป็นจริงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเราต้องเตือนตัวเองว่าน่าเสียดายที่ไม่เป็นจริง

11000042_10204022511474294_596474156593617300_n

  1. การเคลื่อนไหวแบบแยกส่วนประเด็นปัญหาเดียว ซึ่งเป็นจุดที่สร้างความอ่อนแอกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในไทยมานาน จะไม่นำไปสู่การล้มเผด็จการแต่อย่างใด ในหมู่องค์กรเอ็นจีโอไทยและคนที่เคยเรียกตนเองว่า “ภาคประชาชน” หรือ “ภาคประชาสังคม” คงจะมีคนจำนวนมากที่ไม่อยากล้มเผด็จการ บางส่วนต้อนรับรัฐประหารด้วยซ้ำ แต่มันต้องมีการก้าวข้ามการเคลื่อนไหวประเด็นเดียวสักที กลุ่ม “ดาวดิน” เข้าใจตรงนี้ จึงเคลื่อนไหวในเรื่องประชาธิปไตยและปัญหาชาวบ้านพร้อมกัน แต่องค์กรอย่าง “คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย” ซึ่งเคลื่อนไหวเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ไม่ต่อต้านเผด็จการประยุทธ์อย่างชัดเจน เป็นตัวอย่างของปัญหาที่ยังสร้างอุปสรรค์ให้กับการสร้างประชาธิปไตย

โจทย์ที่ “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ตั้งกับเราทุกคน และตัวเขาเอง คือเราจะทำอย่างไรเพื่อสร้างองค์กรและเครือข่ายมวลชนที่มีพลังเพื่อล้มเผด็จการปัจจุบัน คนหนุ่มสาวเขาเริ่มแล้ว พวกเราจะเข้ามาเสริมไหม?

ประกาศของคณะราษฎร์  2475

 

ราษฎรทั้งหลาย

เมื่อกษัตริย์ได้ครองราชสมบัติสืบต่อพระเชษฐานั้น  ในชั้นต้นราษฎรได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้  คงจะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น  แต่การหาเป็นไปตามความหวังที่คิดไม่  กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายตามเดิม  ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณงามความรู้ ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ  ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร  ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริตมีการรับสินบนในการก่อสร้าง  ซื้อของใช้ในราชการหากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน  ผลาญเงินทองของประเทศ  ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร  ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม  ดังที่จะเห็นได้ในการตกต่ำในการเศรษฐกิจและความฝืดเคืองทำมาหากิน  ซึ่งราษฎรได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว  รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้  การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์นี้  มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎร  ตามที่รัฐบาลอื่นๆ  ได้กระทำกัน  รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส  (ซึ่งเรียกว่า  ไพร่บ้าง  ข้าบ้าง)  เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่นึกว่าเป็นมนุษย์  เพราะฉะนั้นแทนที่จะช่วยราษฎร  กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร  จะเห็นได้ว่าภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น  กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ส่วนตัวปีหนึ่งจำนวนหลายล้าน  ส่วนราษฎรสิ  กว่าจะหาได้แต่ละเล็กแต่ละน้อย  เลือดตาแทบกระเด็น  ถึงคราวเสียภาษีราชการหรือภาษีส่วนตัว  ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา  แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข  ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้  นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน  ซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นราชบัลลังก์เสียแล้ว

รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎรมีเป็นต้นว่า  จะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้  แต่ครั้นคอยๆ  ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่  มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้เจ้าได้กินว่าราษฎรมีเสียงทางการเมืองไม่ได้  เพราะราษฎรยังโง่  ถ้าราษฎรโง่  เจ้าก็โง่  เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน  ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นไม่ใช่เพราะโง่  เป็นเพราะขาดการศึกษา  ที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่  เพราะเกรงว่าราษฎรได้มีการศึกษา  ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้  และคงจะไม่ยอมให้ทำนาบนหลังตน

ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศเรานี้เป็นของราษฎรไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง  บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้กู้ให้ประเทศมีอิสรภาพพ้นมาจากข้าศึก  พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบ  และกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน  เงินเหล่านี้เอามาจากไหน  ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั่นเอง  บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง  ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนาเพราะทำไม่ได้ผล  รัฐบาลไม่บำรุง  รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด  นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนไม่มีงานทำ   จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม  เหล่านี้เป็นผลของรัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย  บีบคั้นข้าราชการผู้น้อย  นายสิบและเสมียน  เมื่อให้ออกจากงานแล้วไม่ให้เบี้ยบำนาญ  ความจริงควรเอาเงินที่กวาดรวบรวมไว้มาจัดบ้านเมืองให้มีงานทำ  จึงสมควรที่สนองคุณราษฎร  ซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน  แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่  คงสูบเลือดกันเรื่อยไป  เงินมีเหลือเท่าไรก็เอาฝากต่างประเทศคอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรมปล่อยให้ราษฎรอดอยาก  การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย

เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ  ทหาร  และพลเรือนที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว  จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎร์  และได้ยึดอำนาจของรัฐบาลของกษัตริย์ไว้แล้ว  คณะราษฎร์เห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา  จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ  ความคิดดีกว่าความคิดเดียว   ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น  คณะราษฎร์ไม่มีประสงค์ทำการชิงราชสมบัติ  ฉะนั้นจึงขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป  แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน  จะทำอะไรโดยลำพังมิได้  นอกจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร    คณะราษฎร์ได้แจ้งความเห็นนี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว  เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ  ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูก ลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ  และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย  กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญ  ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา

ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่า  ราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด  ทุกๆ  คนจะมีงานทำเพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ    เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคน  ตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว  ประเทศจะต้องเฟื่องฟูเป็นแม่นมั่น  การปกครองซึ่งคณะราษฎร์จะพึงกระทำก็คือ  จำต้องวางโครงการโดยอาศัยหลักวิชา  ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด   เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว  เป็นหลักใหญ่ๆ  ที่คณะราษฎร์ได้วางไว้มีอยู่ว่า

1.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย  เช่น  เอกราชทางการเมือง  การศาล  ในทางเศรษฐกิจ  ฯลฯ  ของประเทศไว้ให้มั่นคง

  1. จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
  2. ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ  ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
  3. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่)
  4. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ  เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก  5  ประการดังกล่าวข้างต้น
  5. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

ราษฎรทั้งหลาย  จงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎร์ให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วฟ้าดินนี้ให้สำเร็จ  คณะราษฎร์ขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมาย  พึงตั้งอยู่ในความสงบและตั้งหน้าหากิน  อย่าทำการใดๆ  อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร์นี้  เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร  บุตรหลาน  เหลน  ของราษฎรเอง  ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมสมบูรณ์  ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย  ทุกคนจะมีงานทำไม่ต้องอดตาย  ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน  และมีเสรีภาพพ้นจากความเป็นไพร่  เป็นข้า  เป็นทาสพวกเจ้า  หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร  สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนา  คือ  ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐที่เรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริย์” นั้น  ก็พึงจะบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า

คณะราษฎร์

                                                                         ๒๔  มิถุนายน  ๒๔๗๕

2475peg

 

ชนชั้นปกครองอังกฤษบิดเบือนสัญญา “แมคนา คาร์ตา” ปกปิดการปฏิวัติ และการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน

 

ใจ อึ๊งภากรณ์

ชนชั้นปกครองอังกฤษกำลังบิดเบือนประวัติศาสตร์เนื่องในวันครบ 800 ปี สัญญา “แมคนา คาร์ตา” (ปี1215) ทั้งนี้เพื่อปกปิดความสำคัญของการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ของไพร่ในปี 1381 การปฏิวัติอังกฤษที่ตัดหัวกษัตริย์ในปี 1640 และการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยถ้วนหน้าของขบวนการแรงงาน Chartists ระหว่าง 1838-1858

การปกปิดและการบิดเบือนประวัติศาสตร์แบบนี้ ก็ไม่ต่างจากการที่ชนชั้นปกครองไทยพยายามปกปิดความสำคัญของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ แล้วโกหกว่ารัชกาลที่ ๗ เป็น “บิดาแห่งประชาธิปไตย” หรือการที่รัฐบาลเผด็จการพยายามปกปิดอาชญากรรมรัฐไทย ยุค ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือการเข่นฆ่าเสื้อแดง

รัชกาลที่ ๗ พบ ฮิตเลอร์
รัชกาลที่ ๗ พบ ฮิตเลอร์

2475peg

     ในขณะที่รัฐบาลฝ่ายขวาพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษกำลังส่งเสริมการฉลองครบรอบ 800 ปี ของ “แมคนา คาร์ตา” รัฐบาลของ เดวิด แคมมารอน ชุดนี้พยายามที่จะยกเลิก “กฏหมายสิทธิมนุษยชน” ที่ออกมาในปี 1998 และพยายามจะถอนตัวออกจาก “สัญญาสิทธิมนุษยชนของยุโรป” พร้อมกันนั้นมีการประกาศว่าจะลดสิทธิเสรีภาพของสหภาพแรงงานอีกด้วย ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีผู้นำตอแหล

สัญญา “แมคนา คาร์ตา” เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างกษัตริย์จอห์นกับขุนนางอังกฤษ ซึ่งพยายามลดอำนาจกษัตริย์เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ขุนนางและสถาบันศาสนา แต่ 85% ของประชาชนอังกฤษตอนนั้นเป็นไพร่ที่ไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพอะไรทั้งสิ้น

อังกฤษในช่วงนั้นเป็นสังคมที่อยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ความสำคัญของเมืองและการค้าขายเริ่มทำให้พวกขุนนางที่มีฐานอำนาจและเศรษฐกิจจากการคุมไพร่ในชนบท เริ่มกังวลว่ากษัตริย์กำลังรวบอำนาจ

แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีเสรีภาพมากขึ้นคือการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ของไพร่อังกฤษในปี 1381 มีการยกกองทัพไพร่ไปที่ลอนดอน ยึดปราสาทกลางเมือง และจับรัฐมนตรีคลังและหัวหน้าศาสนาคริสต์ในอังกฤษมาประหารชีวิต เพราะสองคนนี้เป็นตัวการสำคัญในการเก็บภาษีจากไพร่ บริบทสำคัญที่ต้องพิจารณาประกอบกับการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ที่ทำให้คนธรรมดามีพลังต่อรองมากขึ้น คือการแพร่ระบาดของกาฬโรคในปี 1348 ซึ่งมีผลทำให้ประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศล้มตาย เหตุการณ์นี้ทำให้แรงงานขาดแคลนและมีอำนาจต่อรองสูง ในที่สุดการกบฏของไพร่ถูกปราบสลาย แต่ชนชั้นปกครองอังกฤษจำต้องยกเลิกระบบไพร่เพราะเกรงกลัวการกบฏในอนาคต

กบฏไพร่อังกฤษ
กบฏไพร่อังกฤษ

ต่อมาในปี 1640 อำนาจของนายทุนในเมืองเริ่มแสดงตัวเมื่อมีการกบฏต่อกษัตริย์ ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติทุนนิยมของอังกฤษ กษัตริย์ชาร์ลส์ถูกจับและประหารชีวิต และอังกฤษก็กลายเป็นสาธารณรัฐชั่วคราว หลังจากนั้นทั้งๆ ที่มีการนำระบบกษัตริย์กลับมาอีกครั้ง แต่ระบบฟิวเดิลถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงและตั้งแต่นั้นมากษัตริย์ไม่มีอำนาจจริง เพราะต้องพึ่งพานายทุนและทำตามสิ่งที่นายทุนต้องการ

กษัตริย์ชาร์ส์โดนประหารชีวิตในการปฏิวัติอังกฤษ
กษัตริย์ชาร์ส์โดนประหารชีวิตในการปฏิวัติอังกฤษ

การที่นายทุนอังกฤษมีอำนาจเหนือกษัตริย์ ไม่ได้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิเสรีภาพแต่อย่างใด สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยอังกฤษได้มาจากการต่อสู้ของขบวนการแรงงานเป็นหลัก โดยเฉพาะขบวนการ “ชาร์ทิสต์” ระหว่าง 1833-1858 รวมถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและการตั้งพรรคแรงงานอีกด้วย

ขบวนการชาร์ทิสต์
ขบวนการชาร์ทิสต์

ถ้าจะเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในอังกฤษและไทย เราสามารถสรุปได้ว่าสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยมาจากการลุกฮือปฏิวัติของคนชั้นล่าง ไม่ได้มาจากการยกอะไรให้ประชาชนจากเบื้องบน และไม่ได้มาจากการเจรจาระหว่างผู้มีอำนาจกับกษัตริย์อีกด้วย และที่สำคัญคือชนชั้นปกครองของเราทั่วโลก มักจะพยายามปกปิดประวัติศาสตร์การต่อสู้และการปฏิวัติของประชาชน นี่คือสาเหตุที่เราต้องศึกษาความจริงเกี่ยวกับการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และแนวคิดของอาจารย์ปรีดี และต้องให้ความสำคัญกับพลังของกรรมาชีพก้าวหน้าในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

รัฐบาลเผด็จการทหารคลั่งกลไกตลาดเสรี กดค่าจ้างขั้นต่ำ “รัฐประหารเพื่อคนรวย”รอบสอง

 

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังรัฐประหารรอบแรกในปี ๒๕๔๙ ผมเขียนหนังสือภาษาอังกฤษชื่อ “รัฐประหารเพื่อคนรวย” โดยอธิบายว่ารัฐบาลทหารในครั้งนั้นขยันผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมกลไกตลาด  พร้อมกันนั้นมีการอ้างความชอบธรรมจากลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงของนายภูมิพลอีกด้วย มันเป็นความพยายามที่จะหมุนนาฬิกากลับจากยุคทักษิณในหลายๆ แง่

รัฐมนตรีคลังในสมัยนั้นคือ ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งพยายามตัดงบประมาณสาธารณสุข กดค่าแรงขั้นต่ำ และนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ในขณะเดียวกันมีการเพิ่มงบประมาณทหารมหาศาล

หลังรัฐประหารรอบสองของประยุทธ์มือเปื้อนเลือด ก็มีการใช้นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดเช่นกัน โดย ปรีดิยาธร เทวกุล เข้ามาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ รัฐบาลเผด็จการชุดนี้เริ่มเสนอว่าประชาชนจะต้อง “ร่วมจ่าย” ในการรักษาพยาบาล มีการกดค่าแรงโดยยกเลิกนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ และนำระบบ “ค่าแรงลอยตัว” ที่กำหนดโดยนายทุนและข้าราชการในแต่ละจังหวัดเข้ามาแทน นอกจากนี้มีการผลักดันให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบเพิ่มขึ้น

จะเห็นว่านโยบายของรัฐบาลทหารหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา และนโยบายเผด็จการประยุทธ์ ล้วนแต่ใช้แนวเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว นโยบายนี้คัดค้านการใช้รัฐและงบประมาณรัฐในการพัฒนาสภาพชีวิตของคนจน โดยที่พวกนี้ด่าอย่างไร้สาระว่าเป็นนโยบาย “ประชานิยม” ไม่ว่าจะเป็นนโยบายสาธารณสุขถ้วนหน้า การจำนำข้าว หรือกองทุนหมู่บ้าน และมีการต่อต้านการกู้เงินของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย นอกจากทหารแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ชื่นชมกลไกตลาดเสรีสุดขั้วเช่นกัน

ในรัฐธรรมนูญทหารปี ๒๕๕๐ และร่างรัฐธรรมนูญล่าสุด มีการส่งเสริมลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงแบบบ้าคลั่งจนน่ารำคาญ แต่ในรูปธรรมมันไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจจริง เพราะไม่มีมาตรการเศรษฐกิจอะไรที่จับต้องได้ และเศรษฐีคนรวยทั้งหลายที่เป็นผู้ส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ทหาร หรือข้าราชการชั้นสูง ไม่เคยรู้จักพอเอง เราจึงต้องสรุปว่ามันเป็นลัทธิการเมืองมากกว่าอะไรอื่น มันคัดค้านการกระจายรายได้ และแช่แข็งความเหลื่อมล้ำโดยเรียกร้องให้คนจนปรับตัวกับความยากจน ซึ่งที่น่าสนใจคือมันเป็นลัทธิที่เข้ากับแนวเสรีนิยมกลไกตลาดได้ดีเพราะมองว่ารัฐควร “ปล่อยวาง” ไม่ช่วยพลเมืองและไม่แก้ความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงมีคุณสมบัติพิเศษคือ อ้างว่ามาจากปากกษัตริย์ภูมิพล ดังนั้น “ต้องเป็นมหาความคิดของเทวดา” และเราวิจารณ์ไม่ได้ เพราะถ้าวิจารณ์จะโดน 112 อย่างที่ผมเคยโดนหลังจากที่เขียนหนังสือ “รัฐประหารเพื่อคนรวย” ที่วิจารณ์รัฐประหาร ๑๙ กันยา

ส่วนนโยบายของไทยรักไทยเป็นนโยบาย “คู่ขนาน” ที่ใช้รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าตามแนวเคนส์ (Keynes) กระตุ้นในระดับหมู่บ้านและชุมชนภายในประเทศ พร้อมกันนั้นมีการใช้แนวกลไกตลาดเสรีในเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายของไทยรักไทยนี้ออกแบบเพื่อแก้ปัญหาที่มาจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี ๒๕๔๐ และประสบความสำเร็จผ่านการ “นำคนจนมาเป็นผู้ร่วมพัฒนา” แต่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองของนายทุนเป็นหลัก

บทเรียนสำคัญจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งรอบที่แล้วคือ การที่ไทยอาศัยค่าแรงในระดับต่ำ เพื่อผลิตสินค้าส่งออก หมดประสิทธิภาพไปนานแล้ว เพราะแข่งกับประเทศอื่นที่ค่าแรงต่ำกว่าไม่ได้ นี่คือสาเหตุที่สินค้าส่งออกของไทยตกต่ำ และมันเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไทยขาดแคลนแรงงานและมีการต่อสู้เพื่อเพิ่มค่าแรงพร้อมๆ กัน นอกจากนี้เมื่อเกิดวิกฤตปี ๒๕๔๐ กำลังซื้อภายในประเทศไม่เพียงพอที่จะพยุงเศรษฐกิจและทดแทนการส่งออกได้ เพราะโดยรวมค่าแรงของคนไทยยังต่ำเกินไป รัฐบาลไทยรักไทยเข้าใจตรงนี้และพยายามพัฒนาระดับเทคโนโลจีและรายได้ของประชาชนด้วยนโยบาย “คู่ขนาน”

แต่เราต้องเน้นและเข้าใจว่าไทยรักไทยไม่ใช่รัฐบาลสังคมนิยมหรือแม้แต่รัฐบาลของคนจนหรือกรรมาชีพคนทำงาน สิ่งที่เขาทำเขาทำไปเพื่อประโยชน์กลุ่มทุน แต่มันเอื้อประโยชน์ให้คนจนไปด้วย

นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ทั้งสายเสรีนิยมกลไกตลาด และแนวเคนส์ ไม่กล้ายอมรับว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้นมาจากข้อบกพร่องในตัวมันเองของกลไกตลาดระบบทุนนิยม โดยเฉพาะแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไร ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจฟองสบู่เพราะนายทุนไม่ยอมลงทุนในการผลิตจริง และหันไปปั่นหุ้นหรือเล่นการพนันกับอสังหาริมทรัพย์ ในระยะยาวแม้แต่แนวเคนส์ที่อาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในตัวของระบบทุนนิยมได้ ซึ่งเห็นชัดจากกรณีญีปุ่นและจีนทุกวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักไม่กล้าศึกษาทฤษฏีเศรษฐศาสตร์การเมืองของฝ่ายซ้าย ที่อธิบายวิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยมมาตั้งแต่สมัย คาร์ล มาร์คซ์

พอถึงวิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบล่าสุด ที่เริ่มเมื่อ 7 ปีก่อน การนำเข้าสินค้าของชาติตะวันตก และการนำเข้าสินค้าของจีน เริ่มตกต่ำลง ซึ่งมีผลกระทบกับการส่งออกของไทย มันไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อย่างที่พรรคพวกของประยุทธ์อ้าง

ข้อมูลเศรษฐกิจจากประเทศ “เริ่มพัฒนา” หลายๆ ประเทศ ฉายภาพว่าการส่งออกและการนำเข้า หรือการค้าขายระหว่างประเทศนั้นเอง ตกต่ำลงในรอบปีที่ผ่านมา และมันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับระดับค่าแรง (ดูภาพ)

การค้าตกต่ำในหลายประเทศ (ภาพจาก Financial Times)
การค้าตกต่ำในหลายประเทศ (ภาพจาก Financial Times)

ยิ่งกว่านั้น 300 บาทต่อวันไม่เคยเพียงพอสำหรับการมีชีวิตที่ดีของคนทำงาน แต่พวกเศรษฐีคนรวยและนายพลที่มีรายได้และทรัพย์สินมหาศาลชอบสอนเราว่าค่าแรงเรา “สูงเกินไป” ถ้าจะกดค่าแรงตอนนี้เพื่อแข่งกับประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า ก็เท่ากับการลากเศรษฐกิจไทยกลับไปเป็นประเทศด้อยพัฒนาขั้นต่ำนั้นเอง

การกดค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลทหารชุดนี้จะไม่แก้ปัญหาการส่งออกของไทย จะไม่ช่วยเพิ่มการลงทุน จะไม่พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทำงาน และจะไม่กระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเพื่อทดแทนการส่งออกที่ลดลง แต่มันจะช่วยกลุ่มทุนไทยล้าหลังที่ไม่ยอมลงทุนเพื่อพัฒนาการผลิต ส่วนกลุ่มทุนจากต่างประเทศที่ใช้เทคโนโลจีสูง เช่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ มักจ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว

การมีค่าแรงสูงและคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ได้ทำให้การส่งออกหรือการลงทุนลดลง เพราะประเทศที่เจริญที่มีค่าแรงสูงและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าไทย จะได้รับการลงทุนจากกลุ่มทุนใหญ่มากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา และการค้าระหว่างประเทศพัฒนากันเองก็อยู่ในระดับสูงกว่าด้วย ประเด็นคือรัฐบาลและนายทุนไทยพร้อมจะพัฒนาคุณภาพการผลิตหรือไม่ และการพัฒนาถ้าเกิดขึ้นจริง จะเป็นประโยชน์ต่อพลเมืองส่วนใหญ่ หรือแค่เป็นประโยชน์กับคนรวย

ที่แย่ที่สุดคือ “ปากหมาประยุทธ์” ออกมาโกหกปลุกระดมให้กรรมาชีพแตกแยกกันระหว่างคนงานไทยกับแรงงานเพื่อนบ้าน โดยการพูดว่าค่าแรง 300 บาทให้ประโยชน์กับแรงงานจากเพื่อนบ้านเท่านั้น

เราต้องคัดค้านการเหยียดเชื้อชาติของเผด็จการแบบนี้ และกลุ่มแรงงานต่างๆ ควรสมานฉันท์สามัคคีกันข้ามเชื้อชาติ เพื่อต่อสู้ให้ขึ้นค่าแรงและสร้างสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย

เด็กแว้น-สก๊อยไม่ใช่อาชญากร พวกราชวงศ์ปิดถนนได้ แล้วทำไมวัยรุ่นปิดถนนไม่ได้?

ใจ อึ๊งภากรณ์ และนุ่มนวล ยัพราช

ภาพของทหารและตำรวจปราบการแข่งรถมอร์เตอร์ไซค์ของเด็กแว้น โดยให้ถอดเสื้อนอนคว่ำบนถนน ทำให้นึกถึงภาพความป่าเถื่อนของทหารตำรวจในเหตุการณ์ ๖ตุลา พฤษภา๓๕ และตากใบ๔๗ มันเป็นภาพที่สะท้อนความป่าเถื่อนของผู้มีอำนาจในสังคมไทย และการที่เขาภูมิใจในการฉลองอำนาจป่าเถื่อนของตนเองในที่สาธารณะ

ภาพจาก นสพ ไทยรัฐ
ภาพจาก นสพ ไทยรัฐ
๖ ตุลา
๖ ตุลา
ตากใบ
ตากใบ

ท่าทีของชนชั้นปกครองไทยและกองกำลังของรัฐต่อเด็กแว้น-สก๊อย พิสูจน์ว่าเขารับมือกับเยาวชนไม่เป็น พวกมีอำนาจตามการเปลี่ยนแปลงในสังคมไม่ทัน และมัวแต่คลั่งระเบียบวินัยอนุรักษ์นิยมที่ตัวเองไม่เคยปฏิบัติ

เด็กแว้น-สก๊อยอาจไม่ใช่อาชญากร แต่เขาก็ไม่ใช่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วย อย่างไรก็ตามทั้งๆ ที่การปิดถนนตอนกลางคืนเพื่อแข่งรถอาจอันตรายสำหรับเขาเอง อาจสร้างความรำคาญชั่วคราวกับชาวบ้าน เด็กแว้น-สก๊อยบางกลุ่มอาจมี “ผู้นำ” เป็นลูกตำรวจอันธพาลอีกด้วย แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรมอันยิ่งใหญ่ของสังคมไทย

พวกราชวงศ์ปิดถนนเพื่อให้ตนเองเดินทางฝ่ารถของไพร่อย่างสะดวกสบาย เขาทำตอนกลางวันขณะที่พลเมืองต้องไปทำงาน ส่งลูกไปโรงเรียน ไปธุระ หรือเดินทางกลับบ้าน นอกจากจะเปลืองเงินภาษีประชาชนด้วยปฏิบัติการของตำรวจแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับพลเมืองจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเทียบกับการกระทำของเด็กแว้น-สก๊อย มันแย่กว่าหลายเท่า แต่แน่นอนพวกเราต้องจ่ายภาษีให้ปรสิตราชวงศ์เสพสุข และเรายังถูกบังคับให้หมอบคลานต่อพวกนี้อีก ยิ่งกว่านั้นใครวิจารณ์ก็ติดคุกด้วยกฏหมายเถื่อน 112

ทุกวันนี้อาชญากรใหญ่ประยุทธ์ ผู้มีส่วนสำคัญในการฆ่าประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ใช้อำนาจในการปล้นประชาธิปไตยและแต่งตั้งตัวเองเป็นใหญ่ คนแบบนี้ควรติดคุก แต่สังคมล้าหลังของไทยภายใต้อำนาจอำมาตย์ปล่อยให้อาชญากรรัฐลอยนวลเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์๖ตุลา พฤษภา๓๕ ตากใบ๔๗ หรือการเข่นฆ่าเสื้อแดง

เราจมอยู่ในสังคมสองมาตรฐานของกะลาแลนด์มานานเกินไป

พวกสลิ่มที่เชียร์ทหารโจรที่ฆ่าคนและยึดอำนาจ ก็เชียร์การปราบเด็กแว้น-สก๊อย สลิ่มบางตัวพูดด้วยถ้อยคำหยาบคายว่าอยากส่งพวกนี้ไปถูกกองกำลังปาตานีฆ่าทิ้ง พวกจิตแพทย์ล้าหลังมักจะออกมาด่าเด็กแว้น-สก๊อย ว่าเป็นพวกเด็กที่ “ล้มเหลว” ในการเรียนหนังสือ และ “เสพติด” ความสนุก หลายคนเอาปัญหายาเสพติดและปัญหาทางเพศมาโยนใส่อีก

แต่พวกที่เสพติดอะไรจริงๆ ในสังคมไทย คือชนชั้นปกครองและทหารตำรวจที่เสพติดการใช้ความรุนแรงต่างหาก พวกที่ “ล้มเหลว” ในชีวิต คือพวกที่แพ้การเลือกตั้งและครองใจประชาชนไม่ได้

เด็กแว้น-สก๊อย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับ “ช่าง-พาณิชย์” เขาไม่ได้ล้มเหลวอะไร แต่ขาดโอกาสที่ชนชั้นกลางมีต่างหาก ประสบการณ์ของวัยรุ่นไทยในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยกฏระเบียบที่ไร้สาระและเหตุผล และประสบการณ์ของพลเมืองทั่วไปที่พบว่าในสังคมไทยไม่มีพื้นที่เสรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย การแต่งกายหรือวิถีชีวิต ทำให้เราไม่แปลกใจที่เด็กแว้น-สก๊อยพยายามแสวงหาอัตลักษณ์ และความสนุก หรือทำตัวประชดสังคม

ล่าสุดกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนประกาศว่าจะบังคับให้เด็กแว้น-สก๊อยที่ถูกทหารและตำรวจจับ ต้องเข้าไปเปลี่ยนทัศนนะคติ โดยวิธีการ “ช็อค เทอราพี” มุ่งให้เยาวชนตระหนักและได้ทบทวนถึงความผิดพลาดของตน มีการบังคับคุยกับนักจิตวิทยาล้าหลัง อบรมเรื่องวินัยโดยทหารมือเปื้อนเลือด และบังคับฟังคำสั่งสอนของพระ ในความเป็นจริงคนที่ควรจะจับมาปรับตัวให้สำนึกผิดตามแนว “ช็อค เทอราพี” คือทหารโจรที่ปล้นประชาธิปไตยของประชาชนต่างหาก

ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดปลีกย่อย อีกแง่มุมหนึ่งก็ว่าได้ ของวิกฤตการเมืองและวิกฤตสังคมภายในประเทศไทยทุกวันนี้ ซึ่งพวกอนุรักษ์นิยมเป็นผู้ก่อขึ้นมาแต่แรก อันเนื่องมาจากความพยายามที่จะแช่แข็งสังคมทรามที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ