รู้จักชาวอุยกูร์

ใจ อึ๊งภากรณ์

ชาวอุยกูร์คือกลุ่มชาติพันธุ์สายเติร์กที่ถูกกดขี่ในประเทศจีน ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียงซึ่งคาดว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 15 ล้านคน ซินเจียงอยู่ระหว่างมองโกเลียกับอัฟกานิสถาน และในหลายประเทศของเอเชียกลางจะมีกลุ่มชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ด้วย

ตอนนี้ในมณฑลซินเจียงชาวจีนเชื้อสายฮั่นอพยพเข้าไปอยู่มากขึ้น และถ้านับทหารจีนจำนวนมากที่ประจำอยู่ที่นั้นจะพบว่าคนจีนกลายเป็น 40% ของประชากร แต่ชาวจีนฮันได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จากการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีการกระจุกอยู่ในเมืองทางเหนือของมณฑล ส่วนชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนชนบททางใต้ ดังนั้นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมีรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ และนโยบายชาตินิยมสุดขั้วของรัฐบาลจีน ทำให้มีการกดขี่ชาวอุยกูร์ในด้านวัฒนธรรมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพยายามทำลายศาสนาอิสลามด้วยการทุบทิ้งมัสยิด หรือการห้ามไม่ให้ข้าราชการอุยกูร์ถือศีลอดในเดือมรอมฎอน

พรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงที่เหมาเจ๋อตุงยึดอำนาจรัฐ เป็นพรรคชาตินิยมเป็นหลัก ไม่ใช่พรรคมาร์คซิสต์แบบสังคมนิยม จีนจึงเริ่มต้นด้วยการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนไปเป็นทุนนิยมตลาดเสรี ซึ่งสร้างความเหลื่อมล้ำมหาศาลในหมู่ประชากร

การกดขี่ชาวอุยกูร์ของรัฐบาลจีน กระทำไปโดยใช้ “สงครามต้านการก่อการร้าย” ของสหรัฐหลัง 9/11 เป็นหน้ากากบังหน้า และประเทศตะวันตกไม่เคยวิจารณ์พฤติกรรมของรัฐบาลจีนต่อชาวอุยกูร์ ซึ่งแตกต่างกับกรณีธิเบต ทุกเหตุการณ์ความรุนแรงถูกนิยมว่าเป็นการก่อการร้าย แต่คำอธิบายต่างๆ ของรัฐบาลเผด็จการจีนไว้ใจไม่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลจีนมีบทบาทในการสนับสนุนความแตกแยกระหว่างชาวจีนฮันกับชาวอุยกูร์อีกด้วย มันเลยยากที่จะระบุว่าใครเป็นคนสร้างความรุนแรงในทุกกรณี

เหตุการณ์รุนแรงที่คงจะเกี่ยวข้องกับปัญหาในซินเจียง มีทั้งการจลาจลตีกันระหว่างชาวฮันกับชาวอุยกูร์ การฆ่าประชาชนผู้โดยสาร 29 คนที่สถานีรถไฟคุนหมิงเมื่อปีที่แล้ว และเหตุการอื่นๆ รวมถึงการที่ตำรวจจีนยิงพลเมืองชาวอุยกูร์ตาย 27 คนในปีค.ศ. 2013

แน่นอนคงจะมีกลุ่มนักต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอุยกูร์ ที่หันไปใช้ความรุนแรง เพราะมีความรู้สึกว่ารัฐบาลจีนและรัฐบาลที่อื่นไม่สนใจปัญหาของเขา

เราคงจำได้ว่ารัฐบาลทหารไทยกระตือรือร้นที่จะเลียก้นเอาใจ “พี่ใหญ่” จีน โดยการส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์หลายๆ คนเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งบางคนที่ถูกส่งกลับคาดว่าถูกประหารชีวิตหรือติดคุกเมื่อกลับไป เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจกับชาวอุยกูร์มาก และมีการทำลายสถานกงสุลไทยในตุรกี

ชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่ปัจจุบันเรียกว่าซินเจียง มาประฒาณ 4000 ปี แท้จริงแล้วเขามีเชื้อชาติผสมจากยุโรปและเอชียตะวันออก เพราะเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญ เขาเคยมีอาณาจักรพุทธ เคยมีบางส่วนที่อยู่ในมองโกเลีย และเคยมีคนอุยกูร์ที่นับถือศาสนาอื่นๆ แต่ประมาณปี ค.ศ. 1400 มีการหันมานับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาประมาณปี 1760 จีนก็เข้ามาครอบครองพื้นที่ แต่มีการกบฏหลายๆ ครั้ง ครั้งล่าสุดคือปลายสงครามโลกครั้งที่สองราวๆปี 1944 นอกจากนี้ชาวอุยกูร์เคยร่วมประชุมกับผู้แทนพรรคบอลเชวิคจากรัสเซีย เพื่อวางแผนปฏิวัติสังคมนิยมในปี 1921 แต่หลังการปฏิวัติจีนปี 1949 กองทัพของเหมาเจ๋อตุงก็เข้ามารวบพื้นที่ให้ขึ้นกับจีนอีกครั้ง

การตื่นตัวอีกครั้งของชาวอุยกูร์ เกิดขึ่นเมื่อสหภาพโซเวียดล่มสลายในช่วง 1990 และมีการตั้งรัฐอิสระของชาวอิสลามหลายแห่งในเอเชียกลาง

เราไม่สามารถทราบได้ว่าการวางระเบิดที่กรุงเทพฯเมื่อเดือนที่แล้วเกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์หรือไม่ และรัฐบาลทหารเผด็จการของไทยก็โกหกพอๆ กับรัฐบาลเผด็จการจีน แต่ถ้าในที่สุดมีการพิสูจน์อย่างน่าเชื่อถือว่ามันเกี่ยวโยงกับการที่ไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์ เราคงจะเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหา