ใจ อึ๊งภากรณ์
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีข่าวว่าพวกอันธพาลใส่เครื่องแบบ สมุนของประยุทธ์มือเปื้อนเลือด ไปสั่งห้ามสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) จัดงานคุยสันติภาพที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา โดยที่พวกทหารอ้างว่าหัวข้อ “สันติภาพทำไมต้องเป็นประชาชน” ถือเป็นประเด็นที่ “ค่อนข้างอ่อนไหว” และแน่นอนพวกใส่เครื่องแบบเหล่านี้คงจะไม่พอใจที่นักศึกษาเน้นว่าการแก้ปัญหาในปาตานีต้องเป็นเรื่องของการกำหนดอนาคตตนเองของคนในพื้นที่
ตั้งแต่ไหนแต่ไร ทหารคับแคบหัวทึบ ที่ปัจจุบันปกครองประเทศหลังการปล้นอำนาจจากประชาชน จะไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับการกำหนดอนาคตของตนเองโดยพลเมืองธรรมดา ไม่ว่าจะในปาตานี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรืออุบลราชธานี
แต่ใครที่ติดตามสงครามกลางเมืองในปาตานี และเข้าใจประเด็นสงครามประเภทนี้ที่เกิดขึ้นในส่วนอื่นของโลก จะเข้าใจดีว่ามันมีวิธีเดียวที่จะแก้ไขความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนคนล้มตายเป็นพัน วิธีนั้นคือการเปิดพื้นที่เสรีภาพเพื่อให้พลเมืองในส่วนต่างๆ สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้
ต้นเหตุของสงครามในปาตานีมาจากพฤติกรรมของรัฐไทย ตั้งแต่มีการทำลายปาตานีแล้วมาแบ่งกันครอบครองระหว่างรัฐอังกฤษและรัฐที่กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่จุดนั้นเป็นต้นไป รัฐไทยมักจะใช้ความป่าเถื่อนในการบังคับ กดขี่ และทำลายวัฒนธรรมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวมาเลย์มุสลิม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ปาตานีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
การห้ามใช้ภาษาของตนเอง การบังคับให้เรียนหนังสือตามหลักสูตรไทยกลาง การฆ่าล้างประชาชน ล้วนแต่กดทับความฝันอันมีความชอบธรรมของประชาชน ที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง
สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) มีประวัติในการพยายามเน้นมวลชนเพื่อสร้างสันติภาพ แทนที่จะจับอาวุธสู้กับรัฐไทย แต่เขาไม่เหมือนพวกเอ็นจีโอประเภทที่พูดแต่เรื่องสันติภาพแล้วโทษทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันเหมือนคนปัญญาอ่อน เพราะเวลาคนที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นจับอาวุธสู้กับผู้กดขี่ตนเอง มันเป็นเรื่องที่มีความชอบธรรม ทั้งๆ ที่แนวจับอาวุธจะไม่มีวันนำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างจริงจังในปาตานี ดังนั้นพวก “คนร้าย” ตัวจริงในกรณีปาตานี มีอยู่ฝ่ายเดียว คือเจ้าหน้าที่รัฐไทย
การปิดกั้นเส้นทางที่จะนำไปสู่สันติภาพ อย่างที่พึ่งเกิดขึ้นที่ราชภัฏยะลา จะมีผลอย่างเดียว คือผลิตซ้ำความรุนแรง
ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มด้วยใจ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้เปิดรายงานสถานการณ์การทรมานโดยรัฐไทย ที่กระทำต่อผู้ถูกคุมขังที่ล้วนแต่เป็นชาวมาเลย์มุสลิม มีการเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาอย่างละเอียด รายงานนี้อธิบายถึงการทุบตี ข่มขู่ และทรมาณด้วยวิธีต่างๆ อย่างเป็นระบบ โดยฝ่ายความมั่นคง ซึ่งจำนวนกรณีการทรมาณดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบสามปีที่ผ่านมา
รายละเอียดของรายงานอ่านได้ที่ประชาไท ( http://bit.ly/1Xrdam5 )
ภาพที่เราเห็นจากรายงานดังกล่าว คือการอาละวาดของพวกอันธพาลใส่เครื่องแบบ มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยที่คนที่กระทำความผิดดังกล่าวลอยนวลเสมอ เราคงไม่แปลกใจในเรื่องนี้เพราะทหารโจรที่ฆ่าประชาชนในกรุงเทพฯ ก็ลอยนวลมาตลอดเช่นกัน
หลังจากที่มีการเปิดรายงานเรื่องการทรมานที่ปาตานี อันธพาลใส่เครื่องแบบก็ไปข่มขู่เจ้าหน้าที่องค์กรที่เกี่ยงข้องกับรายงาน นี่หรือจะนำไปสู่การ”ดับไฟใต้”???
บุคลิกภาพของทหารที่ชอบยึดอำนาจ แบบประยุทธ์กับสมุนของเขา คือความคับแคบหัวแข็งในเรื่องการปกครองตนเองของพลเมืองในชุมชนต่างๆ พวกนี้ยึดติดกับมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” เหมือนกับว่าประโยคนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะตกลงมาจากพระเจ้าบนฟ้า แทนที่จะถือว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเขียนขึ้น สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเขียนก็มักเปลี่ยนได้เสมอ แต่การเคารพสิทธิของพลเมืองที่จะกำหนดอนาคตการปกครองของตนเอง ไม่ว่าจะโดยการแยกตัวออกจากรัฐไทย หรือด้วยการมีสิทธิพิเศษภายในพรมแดน เป็นเรื่องที่พวกทหารเหล่านี้ “รับไม่ได้” และเมื่อใครกล้าเสนอว่าตนเองอยากมีสิทธิเสรีภาพในรูปแบบที่ขัดต่อมาตราหนึ่ง ทหารมีคำตอบเดียวคือการใช้ความรุนแรง
ด้วยเหตุนี้ทหารไทยไม่ควรจะมีบทบาทอะไรเลยในการกำหนดนโยบายรัฐ การเจรจาต่างๆ หรือการปฏิบัติการใดๆ ในพื้นที่ปาตานี เพราะนั้นเป็นการปิดกั้นหนทางที่จะสร้างสันติภาพ
[ล่าสุดเชิญอ่านบทความ “ปฏิบัติการทางทหารในโรงพยาบาลเจาะไอร้องเมื่อวาน #บ้าทั้งคู่” ของ สุไฮมี ดูละสะ http://bit.ly/1puN2LB ]
One thought on “ทหารไม่ควรมีบทบาทในปาตานี”
Comments are closed.