ใจ อึ๊งภากรณ์
ขบวนการประชาธิปไตยไทยควรศึกษาและสรุปบทเรียนจากการคุมขัง วัฒนา เมืองสุข เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะการที่ไม่มีการสร้างกระแสมวลชนเพื่อสนับสนุนวัฒนา เป็นจุดอ่อนมหาศาล การปล่อยให้กลุ่ม “พลเมืองโต้กลับ” แค่สี่ห้าคนพร้อมกับผู้สนับสนุนอีกสิบถึงยี่สิบคน เป็นผู้ออกมาประท้วง ถือว่าเป็นความผิดพลาดทางการเมืองของพวกเรา
ลองคิดดูสิ สมมุติว่าอดีต สส. พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. รวมถึงนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย แกนนำขบวนการประชาธิปไตยรากหญ้า และแกนนำขบวนการแรงงานซีกก้าวหน้า ออกมาพร้อมเพรียงกัน ในจุดเดียวกันที่กรุงเทพฯ แล้วรณรงค์ให้ประชาชนไม่รับร่าง “รัฐอธรรมนูญ” เผด็จการ เพื่อเป็นการแสดงความสมานฉันท์กับ วัฒนา และเพื่อช่วยสร้างกระแสคัดค้านเผด็จการ มันจะเกิดอะไรขึ้น?
ในประการแรกมันจะให้กำลังใจกับมวลชนเป็นแสนๆ ที่จะออกมาคัดค้านเผด็จการ
ผมไม่เชื่อเลยว่าทหารจะกล้านำปืนมากราดยิงประชาชนในกรณีแบบนี้ โดยเฉพาะถ้าประกาศว่าจะโยกย้ายกลับบ้านในไม่กี่ชั่วโมง
ถ้าทหารมาจับแกนนำดังกล่าวหมดเลย จับไปขังปรับทัศนะคติเป็นอาทิตย์ ฝ่ายเผด็จการจะเสียการเมืองไปมากมายแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่ใครๆ จับตาดูผู้นำประเทศไทยและการจัดประชามติ แต่ถ้าเขาไม่จับ ก็ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฏหมายเถื่อนของไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือดที่ประสบความสำเร็จ มันจะเป็นการเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยอีกนิด และปูทางไปสู่สิทธิในการรณรงค์ต่อต้าน “รัฐอธรรมนูญ” ผ่านประชามติที่จะจัดขึ้น และแน่นอนกิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบนี้จะมีความชอบธรรมสูง
แล้วใครควรจะรับผิดชอบในเรื่องความผิดพลาดทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการไม่ออกมาสนับสนุน วัฒนา ในครั้งนี้?
แกนนำพรรคเพื่อไทย แกนนำนปช. และทักษิณ คงต้องมีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบตรงนี้ แต่ใครที่หูตาสว่างและผ่านเหตุการณ์วิกฤตการเมืองไทยในรอบสิบปี คงไม่แปลกใจแต่อย่างใดที่ ทักษิณ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ตั้งใจนอนหลับ ไม่ยอมเคลื่อนไหว ตั้งใจแช่แข็งขบวนการ เพื่อรอวันกอบโกยผลประโยชน์เมื่อทหารอนุญาตให้มีการเลือกตั้งจอมปลอมภายใต้ประชาธิปไตยครึ่งใบ
ดังนั้นเราไม่ควรไปหวังหรือผิดหวังอะไรกับพวกนั้น
แล้วใครควรทบทวนตนเองในเรื่องนี้? คำตอบง่ายๆ คือพวกเราเอง
ผมอ่านคำพูดของนักเคลื่อนไหวและนักวิชาการหลายคนที่พยายามแก้ตัวว่าทำไมไม่ควรสนับสนุนวัฒนา และทั้งหมดนั้นฟังไม่ขึ้น
บางคนบ่นว่าวัฒนามีเส้นสาย บางคนบอกว่าใกล้ชิดทักษิณเกินไป บางคนบ่นว่าเวลาคนอย่างวัฒนาโดนทหารจับสื่อมักจะสนใจ แต่เวลาผู้น้อยโดนจับไม่มีใครรู้ มันล้วนแต่เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น และเป็นการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่รู้จักวิธีสร้างแนวร่วมแต่อย่างใด
ก่อนหน้าที่วัฒนาจะโดนทหารคุมขังเพื่อไปปรับทัศนะคติครั้งแรก ผมไม่เคยรู้จักเขาเลย ไม่รู้จักจุดยืนทางการเมือง ไม่รู้จักผลงานในอดีต และไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น แน่นอนเขาคงไม่ใช่นักสังคมนิยมเหมือนผม แต่นั้นไม่มีความสำคัญแต่อย่างใดเลย เพราะไม่ว่า วัฒนา จะมาจากไหนอย่างไร การที่เขาในฐานะอดีต สส. ออกมาวิจารณ์เผด็จการและ “รัฐอธรรมนูญเผด็จการ” โดยดูเหมือนไม่ยอมจำนนต่อทหาร เป็นการแสดงวุฒิภาวะในการนำในครั้งนี้ และเป็นการเปิดโอกาสให้เราร่วมประท้วง ในอนาคตเขาจะยังแสดงวุฒิภาวะในการนำแบบนี้อีกหรือไม่ เราไม่รู้ และมันไม่สำคัญ การต่อสู้มันต้องข้ามพ้นเรื่องตัวบุคคลเสมอ
บางคนเสนอว่าเราไม่ควรไปร่วมลงคะแนนเสียงในประชามติภายใต้ตีนทหารครั้งนี้ ถ้ารณรงค์ให้คนจำนวนมาก เป็นล้านๆ คน งดออกเสียงไม่ไปลงคะแนนมันก็คงดี แต่ถ้าไม่สามารถมั่นใจ 100% ว่าทำได้ เราก็ควรไปลงคะแนนคัดค้าน แต่นั้นก็ไม่เกี่ยวกับว่าเราควรสนับสนุบ วัฒนา หรือไม่
จุดอ่อนของฝ่ายเรา ท่ามกลางการแช่แข็งของการต่อสู้โดยทักษิณ เพื่อไทย และ นปช. คือเราไม่สนใจการจัดตั้งขบวนการมวลชนของเราเองเลย ชื่นชมแต่การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มคนหยิบมือเดียว ในช่วง ๑๔ ตุลา แนวความคิดของพวกเราไม่ได้ชำรุดแบบนี้
การสร้างแนวร่วมที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะแนวร่วมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ต้องอาศัยการมีจุดร่วมในประเด็นเดียวคือสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย มันต้องมีการยอมทำงานเคลื่อนไหวกับคนที่เราไม่เห็นด้วยในหลายๆ เรื่อง แต่ที่สำคัญคือมันควรเป็นแนวร่วมสมัครใจ คือไม่มีเงื่อนไขว่าต้องทำตามใคร ถกเถียงกันได้เสมอ มีเงื่อนไขเดียวที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อถึงเวลาก็ต้องเคลื่อนร่วมกัน แค่นั้นเอง
ถ้าพวกเราในขบวนการประชาธิปไตยไทยไม่สามารถเข้าใจหลักการต่อสู้พื้นฐานแบบนี้ได้ เราจะไปล้มเผด็จการได้อย่างไร?