ทำไมขบวนการแรงงานสหรัฐถึงหลงสนับสนุนพรรคเดโมแครท

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในปี 1932 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ทุนนิยม พวกเอียงซ้ายในสหรัฐมองว่ามีประกายไฟของแสงสว่างเกิดขึ้น เมื่อ ฝรังคลิน ดี โรสเวลท์ จากพรรคเดโมแครท ชนะการเลือกตั้งและขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี

1936rooseveltposterframed

     ในยุคนั้นและในยุคปัจจุบันมีคนจำนวนมากสับสนเกี่ยวกับธาตุแท้ของนโยบาย New Deal หรือ “ข้อตกลงใหม่” ของรัฐบาล โรสเวลท์

RooseveltNewDeal_LG

     ในปลายปี 1932 สถานการณ์ในสหรัฐแย่จนหลายฝ่ายพร้อมจะพิจารณามาตรการใหม่ๆ ไม่ว่าจะแปลกประหลาดแค่ไหน ประธานาธิบดี โรสเวลท์ จึงออกกฏหมาย โดยใช้อำนาจพิเศษในการใช้รัฐควบคุมระบบทุนนิยม มีการหนุนเงินออมในธนาคารเอกชน ควบคุมราคาสินค้า เพิ่มการผลิตโดยใช้รัฐวิสาหกิจ เริ่มโครงการสร้างงานให้คนตกงาน และมาตรการบางอย่างเพื่อสนับสนุนสหภาพแรงงาน เพื่อให้สหภาพต่อรองกับนายจ้างให้ขึ้นค่าจ้างสะดวกมากขึ้น ซึ่งทำให้กำลังซื้อในสังคมเพิ่มขึ้น โดยมีความหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าเทียบกับนโยบายของรัฐบาลก่อนๆ ที่ได้แต่ปราบคนจน มันดูเหมือนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่

แต่ โรสเวลท์ ไม่ใช่นักสังคมนิยม และพรรคของเขาเป็นพรรคนายทุนที่สนับสนุนพวกเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในภาคใต้ที่กีดกันสิทธิของคนผิวดำ ที่สำคัญคือ โรสเวลท์ เชื่อในความสำคัญของ “วินัยทางการคลัง” ตามสูตรของพวกเสรีนิยมกลไกตลาด คือเขาพยายามจำกัดค่าใช้จ่ายและงบประมาณของรัฐให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในระยะแรกดูเหมือนนโยบายของ โรสเวลท์ ใช้ได้ผล มีการเพิ่มระดับการผลิตอย่างรวดเร็ว และจำนวนคนตกงานลดลงจาก 13.7 ล้านในปี 1933 เป็น 12 ล้าน ในปี 1935 แต่ระดับการตกงานก็ยังสูงผิดปกติ ต่อมาในปี 1937 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยที่การผลิตลดลงอย่างรวดเร็วเป็นประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อน 1937 ที่เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นบ้าง และมีมาตรการบางอย่างที่ช่วยสหภาพแรงงาน กระแสการต่อสู้และความมั่นใจของแรงงานในการเผชิญหน้ากับนายจ้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 1934 นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายจากพรรคสังคมนิยมสาย ตรอทสกี และพรรคคอมมิวนิสต์สาย สตาลิน มีบทบาทสำคัญในการนำการต่อสู้ของแรงงานที่ได้ชัยชนะ เช่นในระบบขนส่งของเมือง มินิแอปอลิส ในท่าเรือเมือง แซนแฟรนซิสโก และในโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ที่ โทเลโด

กระแสการต่อสู้ของคนงานนี้นำไปสู่การจัดตั้งสภาแรงงานใหม่ CIO (Congress of Industrial Unions “สภาแรงงานอุตสาหกรรม”) และการต่อสู้เพื่อขยายสมาชิกสหภาพแรงงาน บวกกับการพัฒนาสภาพการจ้างงานทั่วสหรัฐ มีการใช้ยุทธวิธีการยึดโรงงาน เช่นในปี 1936 ในโรงงานยางรถยนต์ ไฟร์สโตน และ กุดเยียร์ และในบริษัทประกอบรถยนต์ยักษ์ใหญ่ GM มีการยึดโรงงานที่เมืองฟลิ้นท์ รัฐมิชิแกน จนคนงาน 150,000 คนร่วมยึดโรงงาน GM ต่อมาหนึ่งเดือนหลังจากนั้น คนงานเกือบ 200,000 คนในสถานประกอบการ 247 แห่ง ยึดโรงงาน และในปี 1937 คนงานห้าแสนคนใช้วิธีการนี้ด้วย สรุปแล้วคนงานเกือบสองล้านคนออกมาต่อสู้ และมีการขยายจำนวนสมาชิกสหภาพจาก 2 ล้านเป็น 7 ล้านคน

Flint-Sit-Down-Strike

     การลุกฮือต่อสู้ของคนงานสหรัฐ มีผลต่อวัฒนธรรมในสังคม เพราะคนจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันต่อสู้และความสมานฉันท์ แทนการแข่งขันกันระหว่างปัจเจก แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรค์สำคัญในการเปลี่ยนสังคมไปอย่างถอนรากถอนโคน คือความคิดทางการเมืองของผู้นำแรงงาน และพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลินของสหรัฐ

ผู้นำแรงงานใน CIO ทุกคนทั้งที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และที่ไม่เป็น มองว่าต้องไว้ใจพรรค เดโมแครท และ โรสเวลท์ เพราะ มองว่าเขา “เป็นเพื่อนคนงาน” แต่ถึงแม้ว่า โรสเวลท์ ยินดีที่จะให้สหภาพแรงงานหาเสียงให้ตนในวันเลือกตั้ง เขาไม่ได้มองว่าเขาต้องตอบแทนบุญคุณแรงงานเลย และพร้อมจะปราบสหภาพถ้าจำเป็น

_73001998_hammersickle

     ก่อนหน้านี้พรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วง “ยุคที่สาม” ของสตาลิน ได้แต่วิจารณ์ โรสเวลท์ ว่าหลอกลวงคนงาน แต่พอมีคำสั่งจากรัสเซียให้เปลี่ยนนโยบายมาสร้างแนวร่วมข้ามชนชั้น ตามกระแสในยุโรปช่วง 1936 พรรคคอมมิวนิสต์สหรัฐกลายเป็นกองเชียร์ของพรรค เดโมแครท ผลคือการต่อสู้ทางชนชั้นในสหรัฐเบาลงในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ และในช่วงที่โลกกำลังขยับเข้าสู่สงครามโลกรอบสอง และการที่พรรคคอมมิวนิสต์เชียร์พรรคนายทุนแบบพรรค เดโมแครท ทำให้แรงงานในสหรัฐหลงตั้งความหวังกับพรรคนี้เป็นเวลานานจนถึงทุกวันนี้

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และในยุคสงครามเย็น พรรคคอมมิวนิสต์ในสหรัฐถูกปราบปรามอย่างหนัก ทั้งโดยการใช้ตำรวจกับนายจ้าง และโดยการปลุกผีคอมมิวนิสต์ซึ่งสร้างกระแสต้านสังคมนิยมในสังคมทั่วไป

ถอดรหัสแถลงการณ์ของรัฐบาลตะวันตกเกี่ยวกับประชามติไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลายคนที่อยากเห็นประชาธิปไตยไทยในไทย แต่มองไม่ออกว่าเราจะต่อสู้เพื่อสิ่งนี้อย่างไร มักจะไปตั้งความหวังว่าจะมี “อัศวินม้าขาว” มากำจัดเผด็จการให้เรา หลายคนตั้งความหวังกับสหประชาชาติ และหลายคนหลอกตนเองว่ารัฐบาลสหภาพยุโรป (อียู) หรือรัฐบาลสหรัฐ จะคอยวิจารณ์และกดดันให้รัฐบาลประยุทธ์เปิดให้มีประชาธิปไตย

แต่ความจริงในโลกไม่เป็นเช่นนั้น พิสูจน์ได้จากการถอดรหัสแถลงการณ์ต่างๆ ของรัฐบาลตะวันตกหลังผลของประชามติ

ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ดังนี้:

“หลังผลประชามติออกมา สหรัฐอเมริกา ในฐานะมิตรเก่าแก่และพันธมิตรของประเทศไทย ขอชักชวนให้รัฐบาลกลับสู่ระบบรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว และในกระบวนการนี้เราขอเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ลิดรอนสิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ”

[ดู http://bit.ly/2aPzqGY ]

ส่วนผู้แทนของอียูออกแถลงการณ์ที่มีใจความดังนี้:

“สหภาพยุโรปมองว่าช่วงก่อนวันลงประชามติ มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานอย่างมาก โดยเฉพาะในการถกเถียงแลกเปลี่ยน และมีการปิดกั้นการรณรงค์ทางการเมือง เรามองว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่การลิดรอนสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ ที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน ต้องถูกยกเลิก เพื่อให้กระบวนการทางการเมืองเปิดกว้าง ตรวจสอบได้ และประกอบไปด้วยการมีส่วนร่วม สหภาพยุโรปเรียกร้องให้ทางการไทยสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยแท้ และการเลือกตั้ง”

[ดู http://bit.ly/2auzDR7 ]

ถ้าเราอ่านดีๆ และคิดแบบลงลึก เราจะเห็นว่าไม่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญเผด็จการแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญนี้จะต่ออายุเผด็จการทหารไปนานพร้อมกับแช่แข็งอิทธิพลของกองทัพในระบบการเมืองไทย

ดังนั้นในรูปธรรมรัฐบาลตะวันตกกำลังขอให้รัฐบาลทหารไทยจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยไม่มีการรื้อถอนรัฐธรรมนูญมีชัย ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลตะวันตกจะยอมรับระบบประชาธิปไตยครึ่งใบของประยุทธ์ถ้าแค่มีการเลือกตั้ง

ยิ่งกว่านั้นแถลงการณ์ของอียูกล่าวต่อไปว่า “พลเมืองทุกฝ่ายควรจะพูดคุยกัน และทำงานร่วมกันอย่างสันติ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเลือกตั้ง” ซึ่งในรูปธรรมหมายความว่ารัฐบาลอียูต้องการให้พวกเราร่วมมือกับสลิ่ม ประชาธิปัตย์ และทหาร ในกระบวนการประชาธิปไตยครึ่งใบ

จริงๆ จุดยืนของรัฐบาลตะวันตกที่มีคำสวยเรื่องประชาธิปไตยเป็นผักชีโรยหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลก รัฐบาลหลักๆ ของประเทศในอียูเป็นรัฐบาลฝ่ายขวาของพรรคนายทุน สหรัฐก็ไม่ต่าง หลายรัฐบาลละเมิดสิทธิพลเมืองภายในประเทศ และทำสงครามในประเทศอื่นเป็นประจำ ดังนั้นเราจะไปหวังอะไรได้กับพวกนี้

สิ่งที่รัฐบาลตะวันตกอยากเห็นในประเทศไทยคือระบบที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ไม่เป็นจริง เขาจะได้มีความชอบธรรมในสายตาพลเมืองภายในประเทศของเขา ในการร่วมมือกับรัฐบาลไทย ทั้งในเรื่องการค้าขายและในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ

ลึกๆ แล้วรัฐบาลตะวันตกสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและรัฐ ในระบบจักรวรรดินิยมทั่วโลก เขาไม่สนใจสิทธิเสรีภาพของเราแต่อย่างใด

ใครที่คิดว่ารัฐบาลตะวันตกจะเป็น “อัศวินม้าขาว” ที่จะช่วยเราให้มีสิทธิเสรีภาพ กำลังหลอกตนเอง

ไม่มีใครคนอื่นที่ไหนที่จะสร้างประชาธิปไตยให้เรา ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติ หรือนักกล้าหาญปัจเจกที่เป็นคนไทย อานาคตของเสรีภาพอยู่ที่มวลชน และเสรีภาพนั้นจะเกิดเร็วขึ้นถ้าท่านมีส่วนร่วมในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยมวลชนเป็นแสน

อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2b9bGhA

ปฏิรูปกองทัพ

ใจ อึ๊งภากรณ์

คนไทยที่รักประชาธิปไตยทุกคนคงอยากจะเห็นการปฏิรูปกองทัพ เพื่อไม่ให้เข้ามาแทรกแซงการเมืองได้อีก เพราะกองทัพไทยเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการพัฒนาประชาธิปไตย มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ยุคเผด็จการ จอมพลป. หรือ จอมพลสฤษดิ์ จนถึงทุกกวันนี้

นอกจากนี้กองทัพไทยเป็นแหล่งคอร์รับชั่นสำคัญในสังคมเรา แน่นอนทหารหน้าด้านที่ก่อรัฐประหาร มักอ้างว่าตนล้มระบบประชาธิปไตยเพื่อปราบคอร์รับชั่นหรือปราบโกง แต่นี่คือคำพูดโกหกตอแหลของพวกโจร นายทหารที่ก่อรัฐประหารมักตั้งตัวเป็นใหญ่ และตั้งเพื่อนฝูงในตำแหน่งสำคัญๆ อีกด้วย นั้นคือจุดเริ่มต้นของการขโมยเงินภาษีประชาชนเข้ากระเป๋าตนเอง ไม่ว่าจะด้วยการรับเงินเดือนจากหลายตำแหน่งในระบบราชการ หรือจากการกินค่านายหน้าในการซิ้ออุปกรณ์หรือการทำสัญญากับบริษัทเอกชน

แม้แต่ในยุคที่ทหารไม่ได้ปกครองประเทศ พวกนายพลก็รับรายได้เกินเงินเดือนประจำตำแหน่ง โดยใช้วิธีต่างๆ เช่นการอ้างสิทธิพิเศษในการรับตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ หรือการเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจของทหาร ไม่ว่าจะเป็นธนาคารทหารไทย หรือธุรกิจอื่นๆ

ในประเทศตุรกี หลังจากรัฐประหารที่พึ่งล้มเหลวไปในเดือนกรกฏาคม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มปฏิรูปกองทัพอย่างถอนรากถอนโคน ผู้เขียนไม่ได้ชื่นชมแง่ความเป็นเผด็จการของรัฐบาลเออร์โดกันแต่อย่างใด แต่มันมีบทเรียนที่น่าสนใจจากการพยายามลดอำนาจเผด็จการของทหารในตุรกี

ในประการแรกรัฐบาลจับนายทหารระดับนายพลที่ทำรัฐประหารมาลงโทษ ประเทศอื่นๆ เช่นอาเจนทีนาและเกาหลีใต้ก็เคยลงโทษนายพลเผด็จการเช่นกัน ในไทยเราควรลงโทษทหารระดับนายพลทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร มีตำแหน่งในรัฐบาลเผด็จการ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการฆ่าประชาชน

ในประการที่สอง ที่ตุรกีมีการกดดันหรือปลดนายพลคนอื่นๆ ที่มีมุมมองไม่รักประชาธิปไตยออกจากตำแหน่ง คาดว่ามีการปลดทหารระดับนายพลออกไป 40% ของทั้งหมด และมีการเร่งเลื่อนตำแหน่งนายทหารหนุ่มๆ ที่รักประชาธิปไตยขึ้นมาแทน นี่คือสิ่งที่ควรทำที่ไทยด้วย

ในประการที่สาม ที่ตุรกีมีการยุบโรงเรียนนายร้อยและสถาบันอื่นๆ ที่มีไว้ฝึกฝนสร้างนายพลในอนาคต เพื่อกวาดล้างแนวคิด “ทหารเป็นใหญ่” ออกจากสถาบันการศึกษาของทหาร และมีการตั้งองค์กรใหม่ด้วยบุคลากรใหม่ ในไทยเราควรยุบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เพื่อเริ่มต้นใหม่

ในประการที่สี่ ที่ตุรกีมีการย้ายบางองค์กรที่เคยอยู่ภายใต้ทหาร มาอยู่ภายใต้กระทรวงมหาไทย เราควรทำแบบนี้ด้วย เช่นองค์กรพัฒนาต่างๆ องค์กรบริหารปัญหาทางการเมืองในสามจังหวัดภาคใต้ หรือองค์กรอื่นๆ ทีทหารควบคุม

ในประการที่ห้า ที่ตุรกี การเลื่อนตำแหน่งนายพลทำโดยพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง และการประชุมเพื่อพิจารณาตำแหน่ง ไม่ได้จัดในค่ายทหารแต่จัดที่ทำเนียบรัฐบาล เราควรตามแบบอย่างนี้ในไทย

นอกจากนี้ในไทย ต้องมีการตัดงบประมาณทหารลงอย่างจริงจัง เพราะมันเป็นแหล่งหากินของทหาร และสิ้นเปลืองเงินภาษีที่ควรจะนำมาพัฒนาระบบสาธารณสุข การศึกษา และฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนธรรมดา สิ่งที่จะปกป้องสังคมจากภัยภายนอกที่ดีที่สุดคือการมีประชาธิปไตยและการมีความเท่าเทียมท่ามกลางฐานะความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ไม่ใช่กองทัพ

ธุรกิจต่างๆ ของทหารควรนำมาเป็นธุรกิจพลเรือน ทหารไม่ควรมีตำแหน่งบริหารในรัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจอื่นๆ เลย

นี่เป็นแค่ข้อเสนอรูปธรรมขั้นตอนแรกที่ผมเสนอให้เกิดขึ้นในไทยหลังจากที่เรากำจัดเผด็จการได้ แต่เราไม่ควรมองข้ามสองเรื่องสำคัญคือ

(1) เราต้องสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชนที่จะกำจัดเผด็จการให้ได้ ในเรื่องนี้เราลืมไม่ได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการผ่านในประชามติ ก็เพราะทักษิณ และ นปช. แช่แข็งขบวนการเสื้อแดงมานาน ขบวนการที่ถูกแช่แข็งย่อมอ่อนตัวลงและไร้ประสิทธิภาพท่ามกลางความหดหู่ขาดความมั่นใจของมวลชน นอกจากนี้เราต้องให้ความสำคัญกับวิธีการจัดตั้งมวลชนด้วย ที่แล้วมานักเคลื่อนไหวส่วนใหญ่หันไปเน้นการต่อสู้แบบปัจเจก

การทำกิจกรรมของปัจเจก เป็นการเอาตนเองมาแทนมวลชน มันคล้ายกับการฝันว่าสามารถนำพลังมวลชนเป็นแสนมาสถิตในร่างกายตนเอง นางอองซานซูจีทำงานแบบนี้ มันจบลงด้วยการทำลายพลังมวลชนและการประนีประนอมกับเผด็จการทหารพม่า เพราะไม่มีพลังอะไรไปต่อรองในที่สุด

ดังนั้นนักเคลื่อนไหวปัจจุบันในไทยจะต้องทบทวนแนวคิดที่มองว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทำได้โดยปัจเจกไม่กี่คนที่สามารถรักษาความขาวสะอาดของตนเอง เพราะการหันหลังกับภาระในการสร้างมวลชน หรือปฏิเสธกระแสมวลชนที่ดำรงอยู่ มันไม่เคยนำไปสู่ชัยชนะในการต่อสู้ทางสังคมเลย เพราะเป็นการละเลยอำนาจและพลังจริงในสังคมที่จะล้มเผด็จการ มันเป็นมุมมองประเภท “นักเคลื่อนไหวอภิสิทธิ์ชน”

ถ้าเราจะสร้างพลังในการต่อรองกับเผด็จการ เราต้องมีการ “จัดตั้ง” มวลชน อย่างที่เสื้อแดง หรือนักศึกษาในปี ๒๕๑๖ เคยทำ

(2) สิ่งที่สองที่เราควรพิจารณาคือ ในอนาคตเราต้องการกองทัพหรือไม่ เพราะการยกเลิกกองทัพ และการสร้างกองกำลังของประชาชนระดับรากหญ้าอาจเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะกับการเมืองประชาธิปไตยที่มีความเท่าเทียมทางสังคม หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า “สังคมนิยม” ยิ่งกว่านั้นเราคงจะต้องพิจารณาว่าเราต้องมีสถาบันกษัตริย์ต่อไปหรือไม่ เพราะสถาบันนี้ถูกใช้เพื่อทำลายประชาธิปไตยไทยบ่อยครั้ง

 

อย่าพึ่งยอมแพ้และหดหู่ เราต้องสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตย

ใจ อึ๊งภากรณ์

มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประชาชนจำนวนมากไปรับร่างรัฐธรรมนูญที่งอกจากกระบอกปืนอันนี้ เพราะมันแปลว่าเราต้องอยู่กับเผด็จการต่อไปอีกนาน ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ และมันช่วยให้ความชอบธรรมกับเผด็จการอีกด้วย

ที่สำคัญคือ เราทราบดีว่า “ประชามติ” ครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้บรรยากาศที่ไร้เสรีภาพโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่ประชามติประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะในรูปธรรมมีการสั่งห้ามวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญในที่สาธารณะ  และมีการจับคุมนักเคลื่อนไหวที่อย่างต่อเนื่อง คณะทหารมีความหวังแต่แรกว่าถ้าขู่ประชาชนและพยายามปิดกั้นการแสดงออกหรือข้อถกเถียงต่างๆ ประชาชนจะขานรับการทำลายประชาธิปไตยที่บรรจุไว้ในเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้

ประชามติครั้งนี้ไร้ความชอบธรรม ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องยอมรับผลแม้แต่นิดเดียว เรามีความชอบธรรมในการต่อต้านและวิจารณ์เผด็จการและรัฐธรรมนูญเผด็จการของมันต่อไป และสิ่งที่น่าทึ่งคือจำนวนคน 10 ล้านคน ที่กล้าออกมาลงคะแนนเสียงต้านเผด็จการในสถานการณ์แบบนี้ คนเหล่านี้ทั้ง 10 ล้านคน คือหน่ออ่อนของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย

เราจะต้องเคลื่อนไหวต่อต้านคณะทหาร และอิทธิพลของเผด็จการต่อไป จนกว่าเราจะได้ประชาธิปไตยคืนมา ยิ่งกว่านั้นเราจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยออกไปให้กว้างกว่าแค่ยุคทักษิณหรือยุครัฐธรรมนูญปี ๔๐ โดยเฉพาะในเรื่องกฏหมาย 112 กฏหมายคอมพิวเตอร์ มาตรา 44 และแง่อื่นๆ ของความเป็นเผด็จการในไทยที่ตกข้างจากอดีต

อย่าลืมว่าประชาชนจำนวนหนึ่งลงคะแนนรับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเบื่อหน่ายกับสภาพสังคมเผด็จการ และต้องการให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ แต่คนกลุ่มนี้เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งจะนำไปสู่เสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญทหารฉบับนี้

เราลืมไม่ได้ด้วยว่าสาเหตุหนึ่งที่ร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการผ่านในประชามติ ก็เพราะทักษิณ และ นปช. แช่แข็งขบวนการเสื้อแดงมานาน ขบวนการที่ถูกแช่แข็งย่อมอ่อนตัวลงและไร้ประสิทธิภาพ

ในประชามติครั้งนี้มีการจำกัดผู้มีสิทธิ์ออกเสียงนอกเขตเลือกตั้งด้วย ซึ่งทำให้คนที่ทำงานในจังหวัดอื่นเสียเปรียบ

นอกจากนี้จากประชาชนผู้มีสิทธิ์ทั่วประเทศ มีคนไปใช้เสียงแค่ 55% เท่านั้น ซึ่งแปลว่าประชาชนที่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญทหารมีแค่ 31% ของประชาชนทั้งหมดของประเทศ

อย่าลืมด้วยว่าในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในหลายจังหวัดคะแนนไม่รับชนะ และที่น่าสนใจคือใน “ปาตานี” ชาวมาเลย์มุสลิมก็ลงคะแนนไม่รับด้วย นี่คือสาเหตุสำคัญที่คนเสื้อแดงและคนที่รักประชาธิปไตยทุกคนทั่วประเทศควรจะสมานฉันท์กับชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี เราต้องเรียนรู้ปัญหาของเขา และควรเข้าใจว่าเรามีศัตรูร่วม ถ้าไม่มีประชาธิปไตย เราจะไม่มีเสรีภาพและความสงบ สมัยที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ชาวมาเลย์มุสลิมต้องใช้ชีวิตภายใต้เผด็จการสยาม

13903326_1263016940383579_3770634799600694759_n

การไม่รับผลประชามติของพวกเรา ไม่เหมือนกรณีสลิ่ม มันต่างโดยสิ้นเชิงกับการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทย หรือพรรคไทยรักไทยเคยชนะในอดีต เพราะการเลือกตั้งที่นำไปสู่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักไทย มันไม่ได้จัดภายใต้เงาเผด็จการ และมันสะท้อนความเห็นของประชาชนอย่างโปร่งใส ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยนี้ไร้ความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง มันร่างโดยสมุนของทหาร มันงอกออกมาจากกระบอกปืน มันเป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน และมันออกแบบเพื่อให้เผด็จการคุมอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ในแง่หนึ่งผลของประชามติก็สะท้อนความเห็นของคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับเผด็จการ หรืออย่างน้อยยอมจำนนต่อเผด็จการ ซึ่งแปลว่าเรามีงานหนักในการรณรงค์เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตย เราต้องยอมรับความจริงตรงนี้ก่อนที่เราจะสู้ต่อไป อย่างไรก็ตามความจริงอีกอันหนึ่งที่เราไม่ควรลืมคือ คนมักเปลี่ยนความคิดได้เสมอ และท่ามกลางการต่อสู้ หรือท่ามกลางวิกฤตคนจะเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว

หน้าที่ของผู้รักประชาธิปไตยทุกคน คือการรณรงค์ต่อไปเพื่อสิทธิเสรีภาพ โดยมองว่าทุกคนที่คัดค้านรัฐธรรมนูญทหารอย่างจริงใจเป็นแนวร่วมของเรา ตรงนี้ขอยกเว้นคนตอแหลอย่างอภิสิทธิ์

เราต้องเอาใจใส่ในวิธีการมากกว่าที่ผ่านมา เราต้องให้ความสำคัญกับการระดมมวลชน จัดตั้งมวลชน และสร้างเครือข่ายเพื่อต่อสู้ร่วมกัน ต้องมีการต่อสายระหว่างคนเสื้อแดง นักศึกษารุ่นใหม่ คนที่เคลื่อนไหวในสหภาพแรงงาน ชาวบ้านที่ออกมาปกป้องสิทธิชุมชน และคนอื่นๆ ที่เกลียดชังเผด็จการ เราไม่ควรและไม่ต้องไปรอให้ “ผู้ใหญ่” ที่ไหนเขาเปิดไฟเขียวให้ เพราะไม่ว่าจะเป็นทักษิณ แกนนำเสื้อแดง หรือพรรคเพื่อไทย เขาคงไม่ออกมาปลุกระดมประชาชน เราต้องร่วมกันทำเอง

คราวนี้เราต้องไม่ไปหลงใหลในนักการเมืองแบบทักษิณ ทักษิณไม่เคยปลุกระดมให้มวลชนออกมาต้านเผด็จการ ดังนั้นเราต้องสร้างความมั่นใจว่าประชาชนทำเองได้ แต่ถ้าเราไม่สร้างองค์กร ไม่สร้างพรรค ไม่สร้างเครือข่ายมวลชน เราจะไม่มีวันนำตนเองอย่างมีพลัง ที่สำคัญคือเราต้องรู้จักสามัคคีกับคนที่อาจเห็นต่างแต่มีจุดร่วมในการเกลียดชังเผด็จการ การเล่นพรรคเล่นพวกเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของเรา เป็นพฤติกรรมของเด็กๆ ที่ต้องเลิก

ถ้าเรามัวแต่เคลื่อนไหวในกลุ่มเล็กๆ ในเชิงสัญลักษณ์ โอกาสที่จะล้มเผด็จการจะยิ่งยืดออกไปนานในอนาคต

อย่าลืมว่าคนไทยเคยล้มเผด็จการมาหลายรอบ และคนไทยจำนวนมากมีวัฒนธรรมที่ชื่นชมประชาธิปไตย แน่นอนเราทุกคนก็เคยพบอุปสรรคในการต่อสู้ ต้องถอยหนึ่งก้าวเพื่อเดินหน้าสองก้าว

อย่าพึ่งยอมแพ้และหดหู่ เราต้องสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตย เผด็จการจงพินาศ ประชาชนจงเจริญ!