ใจ อึ๊งภากรณ์
การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนเริ่มขึ้นในปี 1966 เมื่อ 50 ปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นจากอะไร และเป็นการปฏิวัติจริงหรือ?
ภาพของประเทศจีนในทศวรรษ 1950 และ1960 ที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์พยายามวาด เป็นภาพของประเทศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเกษตรกรรายย่อยที่พึงพอใจกับสังคมใหม่ แต่นั้นก็เป็นภาพจอมปลอมที่มองข้ามความยากจนของเกษตรกร และความลำบากของชีวิตคนธรรมดา ทั้งในเมืองและชนบท
นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อยึดอำนาจได้ คือนโยบายที่คงไว้โครงสร้างเก่าบางส่วน เช่นการคงไว้เจ้าหน้าที่รัฐเก่าของพรรคก๊กมินตั๋ง และการยึดอุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้ถูกก๊กมินตั๋งยึดมาเป็นของรัฐ โดยจ่ายเงินปันผลให้นายทุนเดิม ซึ่งแปลว่าใน “จีนแดง” ยังมีเศรษฐี นโยบายดังกล่าว เป็นแนวที่เราเรียกว่า “แนวทุนนิยมโดยรัฐตามแม่บทสตาลิน” มันทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้บ้าง แต่ถ้าจีนจะพัฒนาให้ทันตะวันตกหรือรัสเซียต้องมีมาตรการอื่น
ในปี 1958 เหมาเจ๋อตุง สามารถผลักดันนโยบาย “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” เพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมจีน ทั้งๆ ที่ เติ้งเสี่ยวผิง และหลิวเซ่าฉี คัดค้าน นโยบายก้าวกระโดดนี้อาศัยการยึดที่ดินจากเกษตรกรรายย่อย และบังคับให้ย้ายไปทำงานในโรงงาน หรือบังคับให้ไปทำนารวม ในสองปีแรกดูเหมือนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 30% แต่ในปี 1960 ความจริงก็ปรากฏออกมา เพราะคุณภาพการผลิตในโรงงานต่างๆ แย่มาก และการบังคับทำนารวม ทำให้เกษตรกรไม่พอใจและผลผลิตลดลง จนมีคนอดอาหารตายหลายล้านคน สรุปแล้วการพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่าน “พลังจิตใจ” ของ เหมาเจ๋อตุง ในการ “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” ไม่สามารถแก้ปัญหาที่มาจากความล้าหลังทางวัตถุของจีน ซึ่งเป็นมรดกจากจักรวรรดินิยมก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะยึดอำนาจ
แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์เขี่ย เหมา ออกไปและหันมาขยายเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ผลแย่กว่าเดิม ในปี 1966 เหมาเจ๋อตุง หลินเปียว และเชียงชิง(ภรรยาเหมา) สามารถยึดอำนาจใหม่ผ่านการประกาศ “ปฏิวัติวัฒนธรรมโดยชนชั้นกรรมาชีพ” แต่การรณรงค์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปฏิวัติ และไม่ได้ทำโดยกรรมาชีพเลย มันเป็นการพยายามกำจัดคู่แข่งของ เหมา ในแกนนำพรรคต่างหาก โดยใช้ข้ออ้างว่าพวกนี้ยังมีความคิดแบบวัฒนธรรมเก่าๆ มีการผลัก เติ้งเสี่ยวผิง และหลิวเซ่าฉี ออกไป และใช้หนุ่มสาวในกอง “การ์ดแดง” เพื่อกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ระดับล่างอย่างโหดร้ายทารุน เช่น ครู นักเขียน นักข่าว และนักแสดง โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีต่อ “ท่านประธานเหมา” แต่ที่น่าสนใจคือ เหมา ออกคำสั่งว่าการ์ดแดงจะต้องไม่ไปยุ่งกับอำนาจกองทัพหรือตำรวจ
ในแง่หนึ่ง เหมา สามารถฉวยโอกาสใช้ความไม่พอใจที่คนหนุ่มสาว กรรมาชีพ และคนระดับล่าง มีต่อพวกข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ที่เริ่มเสพสุขในขณะที่คนอื่นยากลำบาก บางส่วนของกระแสนี้พยายามค้นหาทางที่จะกลับสู่ “สังคมนิยมแท้” และคนเหล่านั้นสามารถส่งต่อมรดกไปสู่กระแส “กำแพงประชาธิปไตย” ในทศวรรษ 1970
เหมา และพรรคพวกปลุกกระแส “การ์ดแดง” ขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สามารถควบคุมมันได้ เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังการ์ดแดงที่เป็นคู่แข่งกัน จน เหมา ต้องสั่งให้กองทัพเข้าไปจัดการปราบปราม ในที่สุดมีการส่งคนหนุ่มสาวจำนวนมากไปลงโทษในชนบทด้วยการทำงานหนัก
ในยุคนั้นฝ่ายซ้ายส่วนหนึ่งทั่วโลก ปลื้มกับการปฏิวัติวัฒนธรรมและหนังสือปกแดงของ เหมาเจ๋อตุง และมีการอ้างประโยคไร้สาระ ที่มาจากความคิดเหมาในหนังสือปกแดง ยังกับว่ามันเป็นคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ ที่แนะแนวการต่อสู้สำหรับนักสังคมนิยม แต่ในความเป็นจริง ในปี 1972 ขณะที่สหรัฐกำลังถล่มเวียดนาม เหมาเจ๋อตุง ก็ต้อนรับประธานาธบดี นิกสัน สู่ประเทศจีน
ในปี 1977 หนึ่งปีหลังจากที่เหมาเสียชีวิต เติ้งเสี่ยวผิง นำกลไกตลาดเข้ามาใช้ในจีนด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง และทุกวันนี้จีนเป็นเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใช้ระบบทุนนิยมกลไกตลาด จีนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยเป็นสังคมนิยมเลย
One thought on “จีน ต้นเหตุของการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ในยุคเหมา”
Comments are closed.