คำถามสำหรับ ๖ ตุลา: ทำไม สมศักดิ์ จรัล และใจ ต้องหลี้ภัยนอกประเทศ?

ใจ อึ๊งภากรณ์

เวลาคนพูดว่า “มันมีอะไรที่พูดไม่ได้เกี่ยวกับ ๖ ตุลา” ผมขอเสนอว่าคำถามที่หลายคนไม่กล้าถามหรือตอบคือ “ทำไม สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, จรัล ดิษฐาอภิชัย และ ใจ อึ๊งภากรณ์ ต้องหลี้ภัยทางการเมืองในยุโรป?” เพราะสามคนนี้เกี่ยวข้องทางตรงและทางอ้อมกับเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น

เวลามีการจัดงานรำลึก ๖ ตุลา ในปีนี้ ผมคาดว่าอาจไม่มีใครกล้าถามหรือตอบคำถามนี้

ถ้าจะตอบคำถามนี้ และเรียนบทเรียนจาก ๖ ตุลา ๒๕๑๙ เราต้องมาคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับกษัตริย์ เราต้องคุยกันในเรื่องว่าทำไมทหารและฝ่ายขวาสามารถใช้ข้ออ้างหมิ่นหรือล้มล้างกษัตริย์เพื่อก่ออาชญากรรมต่อประชาชนเสมอ ทั้งในปี ๒๕๑๙ และในยุคหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา เราต้องคุยกันว่าจะยกเลิกกฏหมาย 112 อย่างไร เราต้องคุยกันว่าทำไมเราไม่มีสิทธิ์ถกเถียงทางปัญญาว่าประเทศไทยควรเป็นสาธารณรัฐหรือไม่ เราต้องคุยกันว่าเราจะกำจัดเผด็จการทหารออกจากระบบการเมืองไทยอย่างถาวรได้อย่างไร

ในเช้าตรู่ของวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ กองกำลังของรัฐไทย ซึ่งนำโดยตำรวจตระเวนชายแดน ได้ใช้อาวุธสงครามบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการยิงปืนสกัดรถถังและปืนกลกราดใส่นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมภายในรั้วมหาวิทยาลัย เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นอาชญากรรมของรัฐไทย แต่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐไทยก่อกับประชาชน เพื่อปกป้องอภิสิทธ์และอำนาจของชนชั้นปกครอง

เวลาเราพูดถึง ๖ ตุลา เราต้องพูดในภาพกว้าง คือพูดถึงการเข่นฆ่าเสื้อแดงโดยประยุทธ์และพรรคพวก  พูดถึงการเข่นฆ่าชาวปาตานีในยุคทักษิณ พูดถึงนักโทษ112กับนักโทษการเมืองอื่นๆ พูดถึงผู้หลี้ภัยทางการเมืองที่ต้องไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านทุกวันนี้ และพูดถึงรัฐประหารที่ทำลายประชาธิปไตยซ้ำแล้วซ้ำอีก แน่นอนต้องพูดถึงการกักตัวส่งกลับ โจชัว หว่อง ด้วย ในที่สุดเราอาจจะเข้าใจธาตุแท้ของชนชั้นปกครองไทยได้

ภาพกว้างนี้จะทำให้เราเข้าใจว่าชนชั้นปกครองไทยทั้งชนชั้นมีพฤติกรรมป่าเถื่อน โกงกิน และไม่เคารพประชาชนหรือระบบประชาธิปไตยแต่อย่างใด เขาทนอยู่กับประชาธิปไตยได้บ้างเพื่อลดความขัดแย้งทางชนชั้น แต่พอถึงจุดที่มีการท้าทายอภิสิทธิ์ของเขา เขาจะกลับสู่ระบบเผด็จการ

ดังนั้นผมขอตั้งคำถามกับคนที่จะร่วมในงาน ๖ ตุลาปีนี้ว่า “ท่านไปงานนี้เพื่อเป้าหมายอะไร?” แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมปลื้มมากๆ ที่คนรุ่นใหม่ดูเหมือนมีส่วนสำคัญในการจัดงานปีนี้ ดังนั้นกรุณาอย่าพลาดโอกาสที่จะคุยในเรื่องสำคัญๆ อย่างเป็นรูปธรรม อย่าให้ใครพาไปคุยในเชิงปรัชญาลอยๆ หรือในเชิงศิลปินๆ ที่เต็มไปด้วย “น้ำ”

ในความเห็นผมการพูดคุยถึง ๖ ตุลาควรกระทำภายใต้เป้าหมายที่จะเรียนรู้จุดเด่นจุดอ่อนของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและองค์กรทางการเมืองของคนชั้นล่างในยุคต่างๆ ทั้งนี้เพื่อสร้างขบวนการมวลชนและพรรคการเมืองที่จะล้มชนชั้นปกครองไทยในอนาคต เป้าหมายเพื่อสร้างสังคมใหม่

จริงๆ แล้วมันไม่มี “ปริศนา” ทางการเมืองเกี่ยวกับ ๖ ตุลา เลย เรารู้ว่าใครก่อเหตุ และเรารู้ว่าพวกนี้ หรือลูกหลานทางการเมืองของเขา ยังมีอำนาจอยู่ในสังคมไทย แน่นอนรายละเอียดเกี่ยวกับผู้สูญหายล้มตายหรือบาดเจ็บยังไม่ครบ เช่นประเด็นเรื่องผู้ที่ถูกแขวนคอเป็นต้น

ในเช้าวันที่ ๖ ตุลา ภายนอกรั้วมหาวิทยาลัย กองกำลังอันธพาล ที่มีหน้าตาคล้ายๆ พวกเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ และม็อบสุเทพในยุคนี้ ได้ลากนักศึกษาออกมาทุบตี แขวนคอ และเผาทั้งเป็น พวกนี้คือ “ลูกเสื้อชาวบ้าน” “กระทิงแดง” และ “นวพล”  เขาเคลื่อนไหวภายใต้การคลั่ง ลัทธิล้าหลัง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ลูกเสือชาวบ้านมีผ้าพันคอที่ราชวงศ์ประทานให้ และเป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นโดยตำรวจตระเวนชายแดน “นวพล” หมายถึงกองกำลังของ “เบอร์๙” และกระทิงแดงเป็นนักศึกษาอาชีวะที่ถูกจัดตั้งโดยทหารและฝ่ายขวา หลังเหตุการณ์นองเลือดที่ป่าเถื่อนที่สุดนี้ ในวันเดียวกัน เจ้าฟ้าชายซึ่งเป็น “เตรียมกษัตริย์” ในยุคนี้ ได้ออกมาให้กำลังใจกับลูกเสือชาวบ้านที่ลานพระรูปทรงม้า เมื่อไม่นานมานี้ราชินี ยังมองย้อนหลังด้วยความภูมิใจ และหวังว่าลูกเสือชาวบ้านจะถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกเพื่อปกป้องราชวงศ์ เช่นในกรณีปาตานีเป็นต้น

มีคนไม่น้อยในสังคมไทยที่มองว่าการเข่นฆ่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เป็นผลงานกษัตริย์ภูมิพล การมองแบบนี้เป็นการล้างฟอกความชั่วร้ายของทหารและชนชั้นปกครองไทยโดยทั่วไปออกจากประวัติศาสตร์

จริงอยู่ นายภูมิพลเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมไทย และพร้อมจะปล่อยให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถูกเข่นฆ่าเหมือนผักเหมือนปลา จริงอยู่เขามีส่วนสำคัญในการร่วมมือกับเผด็จการที่ทำให้สังคมไทยล้าหลังและขาดประชาธิปไตยจนถึงทุกวันนี้ จริงอยู่เขามีทัศนะทางการเมืองที่ล้าหลังต่อต้านการลดความเหลื่อมล้ำและเขาเกลียดสังคมนิยม แต่ทั้งหมดนี้ไม่ต่างจากกษัตริย์ทั่วโลก รวมถึงในยุโรปตะวันตกด้วย

เราควรเข้าใจว่านายภูมิพลเป็นคนน่าสมเพช เขาอาสาด้วยความเต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของทหาร เขาพร้อมจะให้ทหารแสวงหาความชอบธรรมในการทำชั่วโดยอ้างชื่อเขา แต่เขาสั่งทหารไม่ได้ เพราะเขาไม่มีอำนาจหรือความกล้าหาญพอที่จะเป็นผู้นำ

เวลาพล.ท.อภิรัชต์  คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ พูดว่า “ขอตั้งปณิธานเทิดทูนสถาบันฯ ด้วยชีวิต” เขากำลังอ้างถึงลัทธิสุดขั้วที่ให้ความชอบธรรมกับเผด็จการ เขากำลังพูดว่าเขาพร้อมจะใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือของกองทัพต่อไป

คนส่วนใหญ่ในแวดวงชนชั้นปกครองไทยในยุค ๖ ตุลา ซึ่งรวมถึงทหาร ข้าราชการชั้นสูง นักการเมืองฝ่ายขวา และนักธุรกิจ เห็นว่า “จำเป็น” ที่จะต้องใช้ความรุนแรงและการปฏิบัตินอกกรอบของระบบประชาธิปไตยในการสกัดกั้นขบวนการ “สังคมนิยม” ดังนั้นเกือบทุกส่วนของชนชั้นนำเห็นชอบกับการใช้ความรุนแรงในวันนั้น

การนำ ถนอม กลับมาบวชที่วัดบวรนิเวศน์ เป็นแผนของฝ่ายอำมาตย์เพื่อก่อเรื่องทำรัฐประหาร และเพื่อใช้ความรุนแรงปราบปรามนักศึกษาและฝ่ายสังคมนิยมในไทย เราต้องเข้าใจว่านักศึกษาหรือประชาชนที่สนใจการเมืองและต้องการประชาธิปไตยในยุคนั้น เป็นฝ่ายซ้ายสังคมนิยมกันส่วนใหญ่ ในสายตาของพวกเราสมัยนั้นเผด็จการอำมาตย์ผูกกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างคนจนกับคนรวย จึงมีความพยายามที่จะสู้เพื่อประชาธิปไตยและสังคมนิยมพร้อมๆ กัน

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในยุคนี้ ก็แยกออกไม่ได้จากการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางสังคมการเมือง และเศรษฐกิจเช่นกัน สังคมนิยมกับประชาธิปไตยคือสิ่งเดียวกัน

สังคมนิยมที่ผมพูดถึงนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกับเผด็จการ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ของพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลิน-เหมาที่เราเคยเห็นในรัสเซีย จีน หรือประเทศอื่นๆ แต่สังคมนิยมเป็นระบบที่ตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่อย่างจริงจัง เรามั่นใจได้ว่าระบบนี้คือทางออกสำหรับสังคมโลก เพราะระบบทุนนิยมปัจจุบันตกอยู่ในสภาพวิกฤตเรื้อรังที่เต็มไปด้วยการก่อสงคราม และการเพิ่มความยากจนสำหรับส่วนคนใหญ่นับเป็นล้านๆ ท่ามกลางความเจริญของระบบการผลิตที่ระบายสินค้าออกไปไม่ได้

ภาพของอาชญากรรมรัฐไทย ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นภาพที่สะท้อนว่าชนชั้นปกครองไทยพร้อมจะเข่นฆ่าประชาชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์และอภิสิทธิ์ของตนเสมอ เวลามีกลุ่มคนเสนอให้มีการปฏิรูปการเมืองหรือพัฒนาสวัสดิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าจะช่วง ก่อน ๖ ตุลา หรือช่วงก่อน ๑๙ กันยา ๒๕๓๙ อำมาตย์ก็จะก่อรัฐประหารเพื่อยับยั้งความก้าวหน้าของสังคม จะมีสื่อคอยบิดเบือนความจริง และจะมีความพยายามที่จะปิดปากผู้รักประชาธิปไตยและผู้ที่เป็นนักสังคมนิยม และถึงแม้ว่าอำมาตย์จะสามัคคีกันในการปราบประชาชน แต่ภายหลังเขาก็หันมาแย่งกระดูกผลประโยชน์กันเหมือนหมาป่า

แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อแก้สภาพแบบนี้ในสังคมเรา?