การปฏิวัติคิวบา

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และในยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกามีประเทศบริวารในลาตินอเมริกา คาริเบี้ยน และเอเชีย รวมถึงไทย ประเทศเหล่านี้ปกครองโดยเผด็จการคอร์รับชั่น บ่อยครั้งกลุ่มชั้นนำประกอบไปด้วยนายทหาร เจ้าที่ดินรายใหญ่ และนักเลงทางการเมือง พวกนี้ไม่มีฐานเสียงสนับสนุนจากประชาชนเลย และพร้อมจะปราบปรามฝ่ายตรงข้ามเสมอ ความเปราะบางและความอ่อนแอของชนชั้นนำประเทศเหล่านี้ หมายความว่าเขาต้องพึ่งพาอำนาจของสหรัฐและซีไอเอ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันทำให้การกบฏเกิดขึ้นง่าย และอาจสำเร็จถ้าสหรัฐไม่แทรกแซง

ในปี 1959 เกาะคิวบาในทะเล คาริเบี้ยน ปกครองโดยเผด็จการ บาทิสตา ในสมัยนั้นคิวบาเป็นศูนย์กลางของพวกมาเฟียในทวีปอเมริกา และขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งบริการทางเพศ  รัฐบาลโกงกินของ บาทิสตา ไม่มีความสามารถในการพัฒนาประเทศเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรมในสายตาคนส่วนใหญ่ และแม้แต่ในสายตาสหรัฐเอง

121012161842-30-castro-1012-super-169

ก่อนหน้านี้ในปี 1956 กองกำลังทหารปลดแอกชาติของ คัสโตร กับ เช กุวารา ขึ้นบกที่เกาะคิวบา แต่โดนปราบจนเหลือแค่ 20 คนที่ซ่อนตัวในป่าเขา ต่อมาในปี 1958 มีการเพิ่มจำนวนนักสู้เป็น 200 และในวันปีใหม่ปี 1959 สามารถยกทัพมายึดเมือง ฮาวานา ได้ สาเหตุที่กองกำลังเล็กๆ นี้ได้รับชัยชนะก็เพราะเกือบจะไม่มีใครเหลืออยู่ในคิวบาที่สนับสนุนรัฐบาล

che

สภาพเศรษฐกิจของคิวบาหลังจากการยึดอำนาจของ คัสโตร กับ เช กุวารา อยู่ในสภาพย่ำแย่ และรัฐบาลไม่สามารถเอาใจทุกฝ่ายในสังคมได้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเกือบทุกชนชั้นสนับสนุนรัฐบาลใหม่ หนึ่งปีกว่าหลังการยึดอำนาจ บริษัทน้ำมันสหรัฐไม่ยอมกลั่นน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียให้คิวบา คัสโตร จึงยึดบริษัทน้ำมันมาเป็นของรัฐ สหรัฐโต้ตอบด้วยการเลิกสัญญาซื้อน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของคิวบาที่สหรัฐเคยซื้อแบบผูกขาด รัฐบาล คัสโตร เลยยึดโรงงานน้ำตาล โรงไฟฟ้า และบริษัทโทรศัพท์มาเป็นของรัฐและหันมาผูกมิตรและพึ่งพารัสเซียแทน

การปฏิวัติคิวบาเป็นการปฏิวัติชาตินิยมล้วนๆ คัสโตร ต้องการกำจัดอิทธิพลของสหรัฐออกจากคิวบา และต้องการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้พึ่งพาน้ำตาลอย่างเดียว ในช่วงแรก คัสโตร ไม่ได้เอ่ยถึง “สังคมนิยม” แต่อย่างใด แต่เนื่องจากกลุ่มของเขาขาดมวลชน และมีการนำบริษัทเอกชนมาเป็นของรัฐ เขาเลยไปยึดพรรคคอมมิวนิสต์และมวลชนของพรรค และเริ่มประกาศว่า “ทำการปฏิวัติสังคมนิยม” ท่าทีนี้มีประโยชน์ในการผูกมิตรกับรัสเซียด้วย อย่างไรก็ตามเผด็จการคิวบา ไม่เคยเป็นสังคมนิยมมาร์คซิสต์ เพราะไม่มีเสรีภาพและประชาธิปไตยสำหรับชนชั้นกรรมาชีพและเกษตรกรเลย กรรมาชีพไม่ได้มีส่วนในการยึดอำนาจแต่อย่างใด คิวบาใช้ระบบเศรษฐกิจ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ไม่ต่างจากรัสเซียหรือจีน ซึ่งในการพยายามครองใจประชาชนต้องมีการจัดระบบการศึกษาและสาธารณสุขให้พลเมืองทุกคน ระบบสาธารณสุขคิวบาพัฒนาไปไกลจนดีกว่าของสหรัฐอีก และมีการส่งแพทย์ไปช่วยประเทศยากจนในหลายแห่งของโลก แต่ในเรื่องอื่นๆ เช่นเสรีภาพในการนัดหยุดงาน เสรีภาพทางวัฒนธรรม และเสรีภาพทางเพศโดยเฉพาะสำหรับคนรักเพศเดียวกัน คิวบาเป็นเผด็จการแนวสตาลินของพรรคคอมมิวนิสต์ที่กดขี่ประชาชน

ความหวังของ คัสโตร ที่จะสร้างความอิสระทางการเมืองและเศรษฐกิจให้คิวบา ไม่เคยประสบความสำเร็จ เพราะหลังจากที่หันหลังให้สหรัฐ คิวบาต้องไปพึ่งพารัสเซียแทน

ในเมษายน 1961 ประธานาธิบดี เคนนาดี สั่งให้องค์กร ซีไอเอ จัดการบุกคิวบา ที่ “อ่าวหมู” พร้อมส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปทำลายสนามบินต่างๆ แต่ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะประชาชนคิวบาออกมาต่อสู้ปกป้องรัฐบาล หลังจากนั้น สองพี่น้อง เคนนาดี้ ก็ยังพยายามทำลาย คัสโตร ต่อ แต่ไม่เคยสำเร็จ

ต่อมาในปี 1962 รัสเซียพยายามนำจรวดติดหัวนิวเคลียร์มาประจำบนเกาะ เพื่อเลงไปที่เมืองต่างๆ ของสหรัฐ เพราะสหรัฐก็มีจรวดนิวเคลียร์ในยุโรปที่เลงไปที่เมืองของรัสเซีย แต่ประธานาธิบดี เคนนาดี ไม่ยอมและพร้อมจะกดปุ่มเริ่มสงครามโลกครั้งที่สาม ในที่สุด ครุสชอฟ ยอมจำนน แต่มติของเขาเกือบไม่ผ่านการประชุมคณะกรรมการการเมืองของรัสเซีย ทั้งๆ ที่ผู้นำคิวบาผิดหวังกับการยอมจำนนของรัสเซีย เพราะเขาหวังว่าการมีจรวดนิวเคลียร์จะนำไปสู่การมีอำนาจต่อรองกับสหรัฐ และการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาพึ่งพารัสเซีย

ch-po-rewolucji

ในระยะแรกๆ หลัง “วิกฤตจรวดคิวบา” คนอย่าง เช กุวารา พยายามเสนอแนวทาง “สมานฉันท์ปฏิวัติสากล” ใน คองโก และ โบลิเวีย เพื่อให้คิวบาไม่ต้องพึ่งพาใครอีก แต่ เช กุวารา พยายามใช้รูปแบบการปฏิวัติของคิวบาในที่อื่นที่ขาดสถานการณ์พิเศษของคิวบา ในคิวบารัฐบาลเดิมหมดความชอบธรรมในสายตาทุกฝ่าย และ คัสโตร กับกุวารา ไม่ต้องอาศัยพลังมวลชน แต่ที่ คองโก และโบลิเวีย มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในที่สุดการต่อสู้ของ เช กุวารา จบลงด้วยความพ่ายแพ้และความตายในโบลิเวีย

หลังจากที่ระบบโซเวียตสิ้นสุดลงหลังสงครามเย็น คิวบาไม่สามารถพึ่งพารัสเซียได้อีก และต้องหันมาใช้ระบบทุนนิยมตลาดเสรีภายใต้เผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์

การเสียชีวิตของ ฟิเดล คัสโตร วันนี้อาจเปิดทางให้ชาวคิวบาหันมาทบทวนศึกษาแนวสังคมนิยมมาร์คซิสต์ ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับแนวเผด็จการสตาลิน

จักรวรรดินิยมกับความขัดแย้งในทะเลจีนใต้

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกวันนี้เราเห็นความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ระหว่างจีน สหรัฐ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยล่าสุด ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮก ตัดสินว่าจีนไม่มีสิทธิ์เหนือหมู่เกาะและปะการังในทะเลจีนใต้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนปัดคำตัดสินนี้ทิ้ง และเดินหน้าต่อไปที่จะอ้างสิทธิเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้

จีนพยายามเพิ่มความน่าเชื่อถือของการอ้างสิทธิ์นี้ โดยการสร้างเกาะประดิษฐ์ขึ้นมาบนปะการังเพื่อเป็นฐานทัพให้ทหารจีน

ถ้าเราจะเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่นี้ เราต้องศึกษาสิ่งที่นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่สมัยเลนินเรียกว่า “จักรวรรดินิยม”

อเล็กซ์ คาลินิคอส นักมาร์คซิสต์ชาวอังกฤษ อธิบายว่าจักรวรรดินิยมไม่ใช่การกระทำของประเทศมหาอำนาจประเทศเดียว แต่จักรวรรดินิยมเป็น “ระบบ” การแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆ ที่มีอำนาจแตกต่างกัน การทีระบบทุนนิยมมีลักษณะการพัฒนาต่างระดับเสมอ ทำให้ศูนย์กลางของอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับอำนาจทางทหาร และอำนาจในเชิงจักรวรรดินิยม มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่เรื่องคงที่แต่อย่างใด

ในอดีต อันโตนิโอ เนกรี กับ ไมเคิล ฮาร์ท เคยเสนอในหนังสือ Empire ว่ายุคการแข่งขันระหว่างจักรวรรดินิยมสิ้นสุดลงหลังสงครามเย็น เนกรี เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนสหภาพยุโรป (อียู) เพราะเชื่อว่าจะลดความขัดแย้งได้ แต่การก่อตั้งสหภาพยุโรปเป็นโครงการที่สหรัฐผลักดันแต่แรกเพื่อให้มีกลุ่มก้อนรัฐในยุโรปตะวันตกที่จะคานรัสเซีย ทุกวันนี้สหรัฐตกใจและเสียใจที่ประชาชนอังกฤษลงคะแนนเพื่อออกจากอียู การมีอียูไม่ได้ลดสงครามในโลกแต่อย่างใดเพราะอียูมีบทบาทในการทำสงครามในตะวันออกกลาง ในอัฟริกา ในยูเครน และในอดีตยูโกสลาเวีย และนอกจากนี้สหรัฐพยายามใช้อียูในการเพิ่มอิทธิพลของตนเองในโลกอีกด้วย

ถ้าจะเข้าใจสถานการณ์ในทะเลจีนตอนใต้ เราจะเห็นว่ารากฐานความขัดแย้งมาจากการที่ทุนนิยมจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนจีนกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก และแซงหน้าญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันสหรัฐ ซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกทางทหารและเศรษฐกิจ เริ่มถอยหลังและประสบปัญหาทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจ

สหรัฐแพ้สงครามในอิรักกับอัฟกานิสถาน เพราะไม่สามารถครอบครองและรักษาอิทธิพลระยะยาวในทั้งสองประเทศ อหร่าน อดีตศัตรูของสหรัฐ มีการเพิ่มอิทธิพลในพื้นที่ และในหลายประเทศของตะวันออกกลางมีสงครามต่อเนื่องขณะที่องค์กรอย่าง “ไอซิล” ก็เพิ่มบทบาท

เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 อย่างหนัก และการขยายตัวของเศรษฐกิจตอนนี้ล้าช้า ญี่ปุ่นยิ่งมีปัญหาหนักกว่าสหรัฐอีก

ในอดีตสหรัฐจะพยายามคุมอิทธิพลในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีน ด้วยกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ชนชั้นปกครองจีนมองว่าจีนต้องสร้างกองทัพเรือและฐานทัพในทะเลจีน เพื่อปกป้องเส้นทางการค้าขายทางทะเลที่มีความสำคัญกับจีน การขยายตัวทางทหารของจีนในทะเลจีนจึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับสหรัฐและหลายประเทศรอบข้าง มีการสร้างแนวร่วมทางการทูตและทหารใหม่ขึ้นมา จีนจับมือกับรัสเซียอีกครั้ง สหรัฐจับมือกับเวียดนามและขยายบทบาททางทหารในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ มันเป็นสถานการณ์ที่อันตรายเพราะถ้าเกิดการปะทะกันระหว่างสองประเทศใด ประเทศอื่นๆ จะถูกลากเข้ามาในความขัดแย้ง และในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา รวมถึงเศรษฐกิจจีน การแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐพยายามลดบทบาทลงในตะวันออกกลาง เพื่อไปเน้นเอเชียตะวันออก แต่ความเข้มแข็งของไอซิลสร้างอุปสรรคสำหรับโครงการนี้ สหรัฐยังต้องทุ่มเทกำลังทหารในตะวันออกกลางต่อไประดับหนึ่ง

ตะวันออกกลางเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญก็จริง แต่ในปัจจุบันสหรัฐพึ่งตนเองในน้ำมันได้แล้ว เนื่องจากใช้วิธีใหม่ๆ ในการสกัดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่ในสหรัฐเอง

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง เคยเกิดจากการที่ศูนย์กลางอำนาจจักรวรรดินยมในโลกเปลี่ยนไปและ เยอรมันกับญี่ปุ่นขึ้นมาท้าทายอำนาจเก่า มันเป็นสถานการณ์ที่ไร้เสถียรภาพ มันมีลักษณะคล้ายสถานการณ์ในเอเชียตะวันออกทุกวันนี้ในหลายแง่

การที่ โดนัลด์ ทรัมพ์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คงจะไม่เปลี่ยนนโยบายสหรัฐในเอเชียตะวันออกเท่าไร เพียงแต่ว่า ทรัมพ์ อยากให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วมจ่ายค่าการรักษากองทัพสหรัฐในพื้นที่เท่านั้น

ตราบใดที่มีระบบทุนนิยม เราจะมีภัยสงครามที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างรัฐที่จับมือกับกลุ่มทุน อเล็กซ์ คาลินิคอส อธิบายว่าเราไม่สามารถเลือกข้างได้ในการแข่งขันดังกล่าว อย่าหลงคิดว่ามันเป็นความขัดแย้งทางลัทธิหรืออุดมการณ์ทางการเมือง อย่างที่ผู้นำพยายามโกหกเราเสมอ เขาโกหกแบบนี้เพื่อชักชวนให้เราสนับสนุนเขาในการทำสงครามเท่านั้น ในความจริงมันเป็นแค่การแข่งขันกันเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน

การเมืองระหว่างประเทศในโลก ทั้งในปัจจุบันและในอดีต เป็นแค่ “โต๊ะกินข้าวของหมาป่า” เท่านั้น ดังนั้นเราต้องต้านสงครามและระบบขูดรีด และต้องทำแนวร่วมสากลกับประชาชนชั้นล่างทั่วโลก

[อ่านเพิ่มเรื่องการซื้อเรือดำน้ำของเผด็จการไทย http://bit.ly/2ajjUB5  และปัญหาเศรษฐกิจจีน http://bit.ly/2aEARbG ]

60ปี หลังการปฏิวัติที่ฮังการี่ 1956

stalin

ในปี 1953 สตาลิน ผู้นำเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซียถึงแก่กรรม และการตายของผู้นำเผด็จการอย่าง สตาลิน มักนำไปสู่การทบทวนครั้งยิ่งใหญ่ของชนชั้นปกครอง ในรัสเซียสาเหตุสำคัญมาจากการที่ชนชั้นปกครองทราบดีว่าในสังคมทั่วไป มีความไม่พอใจสะสมอยู่ ซึ่งอาจระเบิดออกมาได้ นอกจากนี้ในแวดวงชนชั้นปกครองมีความเกรงกลัวว่า ใครสักคนหนึ่งจะชิงตำแหน่งและขึ้นมาเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จใหม่แทน สตาลิน อันนี้คือสาเหตุที่หัวหน้าตำรวจลับของ สตาลิน โดนประหารชีวิตหลังการประชุมแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1956 ในการประชุมครั้งที่ 20 ของพรรค เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ครุสชอฟ ตัดสินใจเปิดโปงความชั่วร้ายหลายอย่างของ สตาลิน เพื่อเพิ่มอิทธิพลและความั่นคงของตนเอง และคำปราศรัยครั้งนี้ มีผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก

arg-r-3_zps16df6e48

ในฮังการี่สถานการณ์ไปไกลจนถึงขั้นปฏิวัติ คนงานและนักศึกษาจำนวนมากเริ่มเดินขบวน และทำลายรูปปั้นสตาลินในเมืองบูดาเพช มีการพยายามยึดสถานีวิทยุ ซึ่งทำให้เกิดการปะทะกับตำรวจติดอาวุธ คนงานจำนวนมากยึดปืนจากสมาคมเล่นปืนในโรงงาน และชักชวนให้ทหารเกณฑ์เปลี่ยนข้าง ในไม่ช้าเมืองต่างๆ ของฮังการี่อยู่ในมือของ “คณะกรรมการโรงงาน” และ “คณะกรรมการปฏิวัติ” ปิเตอร์ ฟไรเอร์ นักข่าวจากหนังสือพิมพ์พรรคคอมมิวนิสต์อังกฤษ ที่ไปสังเกตการณ์ รายงานว่า “สภาพไม่ต่างจากรัสเซียสมัยปฏิวัติ 1917 เพราะมีสภาคนงานที่เลือกตั้งจากสถานที่ทำงานทั่วประเทศ”

hungary-56

tumblr_nle1hdpuvw1upkgb8o1_400

szetlott_harckocsi_a_moricz_zsigmond_korteren

แต่การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการท้าทายอำนาจเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลินโดยชนชั้นกรรมาชีพ มันพิสูจน์ว่าการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ตามที่ชาวมาร์คซิสต์เข้าใจแต่อย่างใด

รัฐบาลฮังการี่รีบแต่งตั้งผู้นำสายปฏิรูปชื่อ เนกี เพื่อพยายามแก้ปัญหา แต่รัสเซียส่งกองทัพพร้อมรถถังเข้ามาปราบการกบฏ มีการสู้รบกันอย่างหนัก โดยที่รัฐบาลแท้ของฮังการีกลายเป็น “คณะกรรมการกลางกรรมาชีพเมืองบูดาเพช” แต่ในที่สุดกองทัพรัสเซียได้ชัยชนะและประหารชีวิตแกนนำกรรมาชีพ 350 คน

russiantanks_budapest

ฝ่ายรัสเซียบอกว่าคนงานฮังการี่ที่ลุกฮือเป็นเพียง “สายลับ” ของตะวันตก และรัฐบาลตะวันตกโกหกว่าคนงานฮังการี่ต้องการ “ทุนนิยมประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ในความเป็นจริง แกนนำคนงานฮังการี่ ใน “คณะกรรมการกลางกรรมาชีพเมืองบูดาเพช” ต้องการสังคมนิยมแท้ ที่ปราศจากเผด็จการแบบสตาลิน และมีการออกแถลงการณ์ต่อต้านการคืนอำนาจให้นายทุน เจ้าของที่ดิน และนายธนาคาร

การปฏิวัติฮังการี่ ซึ่งเป็นการปฏิวัติของคนงานเพื่อสังคมนิยมแท้ เปิดโปงลักษณะจริงของเผด็จการสตาลิน และเปิดโปงการโกหกของฝ่ายตะวันตกที่พยายามเสนอว่า การต่อสู้ของคนงานเพื่อสังคมนิยม “ย่อมนำไปสู่เผด็จการสตาลิน” และทั้งสองฝ่ายในสงครามเย็นพยายามปกปิดประวัติศาสตร์ฉากนี้  ในฮังการี่ การพูดถึงการปฏิวัติในแง่ดีกลายเป็นเรื่องผิดกฏหมายจนถึงปี 1989

ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก

ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่ โดนัลด์ ทรัมพ์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นจุดต่ำสุดของการเมืองและสังคมของประเทศนั้น คนที่ไปลงคะแนนให้ ทรัมพ์ ถ้าไม่ใช่พวกล้าหลังขวาตกขอบ ก็เป็นคนที่ต้องการระบายความโกรธต่อระบบการเมืองและสังคม โดยไม่คิดอะไรไปไกลกว่านั้น ปรากฏการณ์ของผู้ที่สนับสนุน ทรัมพ์ แบบนี้ แสดงให้เห็นว่าความไม่พอใจต่อชนชั้นปกครองและระบบกระแสหลัก ที่มีอยู่ทั่วโลก อาจออกมาในรูปแบบการเมืองฝ่ายขวาสุดขั้ว หรือออกมาในรูปแบบการเมืองฝ่ายซ้ายก็ได้ กระแสซ้ายคือคนที่เคยสนับสนุน เบอร์นี แซนเดอร์ส น่าเสียดายจังที่ แซนเดอร์ส พาคนไปถึงทางตันของการสนับสนุน คลินตัน โดยไม่สร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแต่อย่างใด

trump_0

แต่เราไม่ควรหลงคิดว่า ฮิลลารี คลินตัน เป็นคนก้าวหน้า และสาเหตุสำคัญที่เขาแพ้การเลือกตั้งก็เพราะคนจำนวนมากไม่ตื่นเต้นและปลิ้มในตัวเขา เพราะ คลินตัน คือนักการเมืองกระแสหลักและตัวแทนของกลุ่มทุนใหญ่

โดนัลด์ ทรัมพ์ เป็นนักการเมืองเหยียดสีผิวอย่างชัดเจน และเขาเคยพูดว่าคนเม็กซิโคเป็นพวก “ก่ออาชญากรรมทางเพศ” แต่จุดยืนของ ฮิลลารี คลินตัน ต่อเรื่องคนที่อพยพเข้าไปในสหรัฐ เพื่อพัฒนาชีวิตหรือหนีความรุนแรงในบ้านเกิด คล้ายกับ โดนัลด์ ทรัมพ์ ตรงที่ทั้งสองอยากเห็นสหรัฐเพิ่มการสร้างรั้วและกำแพงตรงชายแดนกับเม็กซิโค และอยากเห็นการเพิ่มมาตรการปราบปรามผู้ข้ามพรมแดนด้วย ผลคือผู้อพยพจะต้องเสี่ยงภัยมากขึ้น และในปีนี้คาดว่าร้อยกว่าคนต้องเสียชีวิตไปในอาริโซนาขณะที่พยายามเข้าสหรัฐ

ฮิลลารี คลินตัน เป็น ผู้แทนของทุนใหญ่สหรัฐโดยตรง เขาสัญญาว่าจะลดมาตรการที่ควบคุมบริษัทไฟแนแนส์ที่ถูกนำมาใช้หลังวิกฤตปั่นหุ้นปี 2008 ซึ่งอันนี้เป็นวิธีการเพิ่มกำไรให้กลุ่มทุน ดังนั้นสำหรับกรรมาชีพสหรัฐที่ถูกยึดบ้านหลังวิกฤต คลินตันพิสูจน์ว่าเขาอยู่เคียงข้างกับนายทุนใหญ่และหันหลังให้คนธรรมดา ในช่วงหาเสียงทุกครั้งที่โพล์แสดงว่าคะแนน คลินตัน นำทรัมพ์ ตลาดหุ้นจะพุ่งขึ้นด้วยความชื่นใจ

โดนัลด์ ทรัมพ์ เป็นนักการเมืองที่พยายามเอาใจคนจนหรือกรรมาชีพ แต่ ทรัมพ์ เคยพูดว่าค่าแรงของคนงานสหรัฐ “สูงเกินไป”

ความคิดสุดขั้วของทรัมพ์ทำให้นายทุนใหญ่จำนวนมากกลัวชัยชนะของเขา และนักการเมืองกระแสหลักในพรรครีพับลิกันเอง ก็หันหลังให้เขาด้วย สาเหตุที่นายทุนใหญ่ไม่ชอบ ทรัมพ์ ก็เพราะเขาพูดว่าจะปิดประเทศและกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ ความจริงจะเป็นอย่างไรในรูปธรรมเราต้องรอดูในอนาคต แต่ที่ชัดเจนคือพรรครีพับลิกันแตกแยกอย่างรุนแรงและสิ่งนี้จะสร้างปัญหาให้ทรัมพ์

ในเรื่องระบบสาธารณสุข หลังจากกฏหมายใหม่ของ ประธานาธิบดีโอบาม่า จำนวนพลเมืองสหรัฐที่ไม่มีประกันสุขภาพลดลงเหลือ 8.6% ของประชากรทั้งหมด แต่ก็ยังแย่อยู่ เพราะพลเมือง 25 ล้านคนยังไม่สามารถเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้เลย นับว่าแย่กว่าประเทศไทยอีก อย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมพ์ ต้องการหมุนนาฬิกากลับโดยยกเลิกนโยบายของ โอบาม่า ไปเลย ซึ่งจะทำให้พลเมืองสหรัฐที่ขาดการประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นสองเท่าตัว สหรัฐเป็นประเทศพัฒนาประเทศเดียวในโลก ที่ทอดทิ้งประชาชนในเรื่องหลักประกันสุขภาพ สาเหตุหนึ่งคือสหรัฐไม่มีพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพ

ในเรื่องสิทธิทำแท้งเสรี โดนัลด์ ทรัมพ์ คัดค้านเต็มที่ แต่นักการเมืองที่ ฮิลลารี คลินตัน เลือกมาเป็นผู้ลงสมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีกับตนเอง เป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับสิทธิทำแท้งเช่นกัน แต่แน่นอนพฤติกรรมลวนลามสตรีของ โดนัลด์ ทรัมพ์ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาดูถูกผู้หญิงอย่างรุนแรง และแถมยังภูมิใจในพฤติกรรมเลวทรามของตน เป็นสิ่งที่น่าเกลียดอย่างยิ่ง มันเหลือเชื่อที่คนแบบนี้จะมาเป็นผู้นำของประเทศได้

ในเรื่องนโยบายต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโอบาม่า เป็นผู้นำร่องในการเข่นฆ่าพลเรือนในตะวันออกกลางและในปากีสถานด้วยเครื่องบินไร้นักบิน (Drone) นอกจากนี้ โอบาม่า ผิดสัญญาว่าจะปิดคุกทหารกวานทานาโมเบย์ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง และเขาผิดสัญญาว่าจะยุติสงครามในอัฟกานิสถาน แต่อย่าไปหวังเลยว่า ทรัมพ์ จะเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ เพราะเขาเป็นคนก้าวร้าวที่ต้องการเพิ่มอำนาจและความยิ่งใหญ่ของสหรัฐ

ทรัมพ์ เป็นคนที่เกลียดชังคนมุสลิมอย่างเปิดเผย และเกลียดชังคนผิวดำด้วย แต่ในเรื่องการที่ตำรวจสหรัฐเข่นฆ่าคนผิวดำที่ไม่ได้ทำความผิดอย่างต่อเนื่อง คลินตัน ก็เคยหันหลังให้การเคลื่อนไหวของขบวนการ “ชีวิตคนผิวดำมีค่า” (Black Lives Matter) อย่างไรก็ตามที่ชัดเจนก็คือ ชีวิตของคนมีสีผิวในสหรัฐจะแย่ลงภายใต้รัฐบาลของทรัมพ์แน่นอน

สรุปแล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นการเลือกระหว่างนักการเมืองระยำล้าหลังสองคนที่ประชาชนจำนวนมากไม่ต้องการและไม่ไว้ใจ แน่นอน ทรัมพ์ มันน่ารังเกียจในทุกเรื่อง แต่ คลินตัน เป็นพวกคลั่งสงครามจักรวรรดินิยมทั่วโลกและเป็นผู้แทนของกลุ่มทุนใหญ่ การเลือกตั้งที่น่าสมเพชครั้งนี้ไม่สามารถแก้วิกฤตทางสังคมในสหรัฐได้เลย

3828

ctu_strike_2012_09_11_2-950x570

ถ้าใครอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ต้องมีการสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่นการต่อต้านท่อน้ำมันที่ดาโคต้า หรือการนัดหยุดงานของครูหรือคนงานในระบบคมนาคม และต้องมีความพยายามที่จะดึงอดีตผู้สนับสนุน เบอร์นี แซนเดอร์ส เข้ามาร่วมในการต่อสู้ของรากหญ้า สหรัฐควรจะมีพรรคการเมืองของกรรมาชีพ ที่เข้าข้างคนทำงานและคนจน และที่มีนโยบายก้าวหน้าในเรื่องสิทธิทางเพศหรือสีผิว และพรรคนี้ต้องมีนโยบายเพื่อปกป้องโลกจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมอีกด้วย สังคมสหรัฐจะพัฒนาได้ก็ต่อเมื่อมีการปะทะกับระบบทุนนิยม

ปาตานี:พวกเอ็นจีโอและกรรมการสิทธิ์เลือกข้างสนับสนุนรัฐเผด็จการ

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้ในปาตานี มีเหตุการณ์วางระเบิดที่ตลาดโต้รุ่ง และลอบยิงที่ศูนย์การศึกษา

ใครควรจะรับผิดชอบ? ใครควรจะถูกประณาม? และในสงครามระหว่างฝ่ายนักรบปาตานีกับรัฐเผด็จการไทย เราควรเลือกข้างไหน?

สำหรับพวกที่อ้างตัวเป็นประชาสังคมและเอ็นจีโอ มันชัดเจนมาก พวกนี้เลือกจะประณามคนที่กบฏต่อรัฐไทย และเลือกที่จะชมและเข้าข้างรัฐเผด็จการไทยที่กดขี่ประชาชน มีการเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐเร่งจับกุมผู้ก่อการให้เร็วที่สุดและขอให้รัฐรักษาความปลอดภัยอีกด้วย นอกจากนี้มีการเรียกร้องให้ฝ่ายกบฏยุติการใช้ความรุนแรง

img

แต่ไม่มีการเรียกร้องให้กองกำลังของรัฐยุติความรุนแรงต่อชาวบ้าน หรือยุติการกดขี่ชาวมาเลย์มุสลิม ไม่มีการเรียกร้องให้รัฐเผด็จการไทยเลิกยึดพื้นที่ปาตานีดุจเมืองขึ้น หรือให้มีการจับกุมลงโทษทหาร ตำรวจ และผู้บังคับบัญชาต่างๆ ที่มีส่วนในการฆ่าประชาชนแต่อย่างใด

กรณีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ก็ไม่ต่างออกไป เพราะมีการประณามผู้ที่กบฏต่อรัฐไทย และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐเผด็จการไทยอย่างเต็มที่ อย่าลืมว่าองค์กรนี้ไม่เคยประณามการเข่นฆ่าเสื้อแดง หรือประณามการใช้กฏหมายเถื่อน 112

สรุปแล้วทั้งเอ็นจีโอ คนที่อ้างตัวเป็นประชาสังคม และคนที่อ้างตัวเป็นกรรมการสิทธิ์ ล้วนแต่คล้อยตามรัฐบาลเผด็จการและใช้สองมาตรฐานในเรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งนั้น

นักเขียนคนดังของอินเดียชื่อ อารุณดาธิ รอย เคยเขียนว่าคนที่จะประณามการใช้ความรุนแรงของผู้ที่ถูกกดขี่ จะต้องพิสูจน์อย่างชัดเจนก่อนว่ารัฐเปิดโอกาสให้คนที่เห็นต่าง หรือคนที่ต้องการมีอิสรภาพ สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเสรี และหาทางบรรลุเป้าหมายของเขาด้วยวิธีการสันติ

แต่รัฐไทยไม่เคยเคารพสิทธิของพลเมือง ไม่ว่าจะในปาตานี หรือกรุงเทพฯ

คนปาตานีไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งพรรคการเมืองที่ประกาศอย่างชัดเจน ว่ามีเป้าหมายทางการเมืองเพื่อให้ปาตานีอิสระจากรัฐไทย คนปาตานีไม่มีสิทธิ์ที่จะลงคะแนนให้พรรคการเมืองแบบนี้ และประชาชนทั่วไทยไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่เคารพ “ชาติ ศาสนา และกษัตริย์” ของชนชั้นปกครองไทย นอกจากนี้รัฐธรรมนูญไทยระบุตลอดว่าประเทศไทยแบ่งแยกไม่ได้ แล้วคนที่ถูกกดขี่มีโอกาสจะไปเคลื่อนไหวอย่างสันติมากน้อยเพียงไร?

10511093_945236505558179_2265417403833671613_n

%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%83%e0%b8%9a-2

ที่ตากใบเมื่อ 12 ปีก่อนหน้านี้ เมื่อชาวบ้านที่ปราศจากอาวุธชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อนชาวบ้านที่ถูกจับในข้อหายกอาวุธที่รัฐแจกให้กองกำลังกบฏ ทหารและตำรวจไทยใช้ความรุนแรงจนชาวบ้านบริสุทธิ์ตายไปเกือบหนึ่งร้อยคน เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่กองกำลังรัฐไทยฆ่าชาวบ้านปาตานี แต่จนถึงทุกวันนี้ไม่เคยมีใครถูกลงโทษ

เหตุการณ์สำคัญที่เป็นรากฐานความรุนแรงของรัฐไทย

๒๔๓๓  รัฐบาลของรัชกาลที่ ๕ เข้ามายึดครองส่วนหนึ่งของปัตตานี แบ่งกับอังกฤษ ซึ่งเป็นกระบวนการในการสร้างชาติไทยสมัยใหม่เป็นครั้งแรก มีข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับกรุงเทพฯในปี ๒๕๔๒ (1909)

๒๔๖๔  รัฐบาลมีนโยบายบังคับให้ชาวมาเลย์มุสลิมเปลี่ยนเป็น “ไทย” ผ่านระบบการศึกษา และมีการบังคับเก็บภาษี

๒๔๖๖  การกบฏ Belukar Semak บังคับให้รัชกาลที่ ๖ ทบทวนนโยบายการปกครอง และประนีประนอมกับวัฒนธรรมพื้นเมืองของชาวปัตตานี

๒๔๘๑  เผด็จการทหารของจอมพล ป. พิบูล สงคราม ใช้นโยบายชาตินิยมไทยสุดขั้วเพื่อกดขี่ประชาชนภาคใต้

๒๔๘๙  นายกรัฐมนตรี ปรีดี พนมยงค์ ส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นเมือง และยอมรับหลักการณ์ของเขตปกครองพิเศษในปี ๒๔๙๐ แต่ถูกรัฐประหารโดยกลุ่มทหาของจอมพลป.ฯ เลยพ้นจากอำนาจ ฮัจญีสุหลง ผู้นำปัตตานีคนหนึ่ง เสนอในช่วงนี้ว่าควรมีเขตปกครองตนเองพิเศษภายในรัฐชาติไทย แต่รัฐไทยไม่ฟัง

๒๔๙๑  ฮัจญีสุหลง ถูกจับคุมโดยรัฐบาลไทย และในเดือนเมษายนตำรวจไทยก่อเหตุนองเลือด ฆ่าชาวบ้านที่ บ.ตุซงญอ อ.ระแงะ จ. นราธิวาส

๒๔๙๗  ฮัจญีสุหลงถูกฆ่าตายโดยคำสั่งของ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ผู้ร่วมคณะเผด็จการกับจอมพลป.ฯ

๒๕๐๓-๒๕๑๓ เริ่มต้นในสมัยรัฐบาลเผด็จการของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีการขนชาวบ้าน “ไทย” พุทธจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงมาในเขตปาตานี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดครองพื้นที่ และมีการห้ามใช้ภาษายะวีในโรงเรียนรัฐและสถานที่ราชการ

สรุปแล้วทางการไทยมีประวัติอันยาวนานในการกดขี่ การฆ่าวิสามัญ และการทรมานผู้ที่โดนจับกุม และในปัจจุบันเมื่อมีองค์กรสิทธิ์แท้จริงพยายามเปิดโปงเรื่องนี้ก็มีการปราบองค์กรดังกล่าว

12461738351246174435l

เราควรเข้าใจอีกด้วยว่าสถานที่ศึกษาของรัฐไทยในปาตานี เป็นเครื่องมือสำคัญในการกดขี่ชาวมาเลย์มุสลิม ดังนั้นเราจะไปแปลกใจได้อย่างไรที่ครูของรัฐไทยกลายเป็นเป้า แม้แต่พระสงฆ์พุทธในพื้นที่นี้ก็ผูกพันกับทหารจนพูดไม่ได้ว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่อิสระจากแนวการเมืองของรัฐ

091208_mccargo

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราจะต้องชี้ให้ชัดเจนว่าความรุนแรงทุกชนิดที่เกิดในปาตานีมาจากการกระทำของรัฐไทย รัฐไทยต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และรัฐไทยต้องถูกประณาม

เราต้องเรียกร้องให้ทหารเลิกยึดครองปาตานี เราต้องเรียกร้องให้รัฐเลิกแจกอาวุธให้อาสาสมัครในหมู่บ้าน เราต้องเรียกร้องให้ภาษายะวีเป็นภาษาทางการควบคู่กับภาษาไทย

ความรุนแรงของผู้ที่ต่อสู้กับการกดขี่และความอยุติธรรม เทียบไม่ได้กับความรุนแรงของผู้กดขี่ และเราจะต้องสนับสนุนอิสรภาพของชาวปาตานี

12744275_1720991521448066_4919859868376036493_n

แต่ถึงแม้ว่าผู้เขียนเห็นใจและเข้าใจคนที่เลือกแนวทางจับอาวุธ เพื่อสู้กับการกดขี่ของรัฐไทย แต่ยุทธศาสตร์นี้มีจุดอ่อนด้อยมหาศาล เพราะเป็นการปิดพื้นที่เคลื่อนไหวสำหรับขบวนการที่ไม่อยากจับอาวุธ และเป็นการปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวทางสู่สังคมใหม่โดยประชาชนจำนวนมาก การปิดพื้นที่ดังกล่าวมาจากสภาพสงครามที่เกิดขึ้น

ยิ่งกว่านั้นยุทธวิธีการใช้กองกำลังกระจายที่ดูเหมือนไม่มีศูนย์กลาง เพื่อให้ทหารและรัฐไทยต้องสู้กับ “ผี” มีข้อเสียทางการเมืองมากมาย เพราะในสภาพที่มีการยิงกันและวางระเบิด แต่ไม่มีใครออกมาโฆษณารับผิดชอบ เป็นโอกาสทองสำหรับวิธีรบแบบสกปรกของรัฐไทย เราทราบดีว่ารัฐไทยใช้หน่วยงานสังหารวิสามัญตลอดเวลา และใช้โจรหรือทหารนอกเครื่องแบบเพื่อฆ่าหรือข่มขู่ประชาชน  แต่เมื่อฝ่ายกองกำลังกบฏต่อรัฐไทยไม่ยอมประกาศอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รัฐ และเมื่อไม่มีการออกมารับผิดชอบต่อปฏิบัติการของกองกำลังแต่ละครั้งอย่างชัดเจน ฝ่ายรัฐไทยสามารถสร้างภาพว่า “โจรไม่ทราบฝ่าย” ไปเที่ยวฆ่าชาวบ้านอิสลามและพุทธโดยไม่เลือกหน้า วิธีการปิดลับและรบแบบ “ผี” นี้ ทำให้ประชาชนทุกฝ่ายสับสนและเกรงกลัว มันไม่ช่วยในการสร้างมวลชน หรือในการเรียกร้องให้ประชาชนภาคอื่นๆ เข้ามาสมานฉันท์แต่อย่างใด มันมีบทเรียนเรื่องนี้จากการสู้รบของ “ไออาร์เอ” ในไอร์แลนด์ หรือของขบวนการอิสรภาพในอาเจห์กับทีมอร์

ขบวนการต้านรัฐไทยใน ปาตานี ควรสร้างพรรคมวลชนที่ทำงานอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องจดทะเบียน ทั้งนี้เพื่อสร้างฐานในหมู่ประชาชนในพื้นที่อย่างชัดเจน และเสนอนโยบายการเมือง เศรษฐกิจและสังคม สำหรับประชาชนทุกเชื้อชาติหรือศาสนา และเพื่อเรียกร้องให้มีการลงประชามติเรื่องการปกครอง คือควรมีการเสนอประชามติว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเขตปกครองพิเศษ หรือต้องการแยกรัฐออกไปเลย หรือต้องการอยู่ต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

patdemo3

     พรรคมวลชนแบบนี้สามารถรณรงค์ขอความสมานฉันท์จากประชาชนในภาคอื่นๆ ได้อีกด้วย และสามารถทำแนวร่วมกับกลุ่มที่ถูกกดขี่หรือด้อยโอกาสกลุ่มอื่นๆ ตัวอย่างที่ดีคือพรรคการเมืองถูกกฏหมายของฝ่ายจับอาวุธในไอร์แลนด์ อาเจห์ หรือในแข้วนบาสค์ระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือในทุกกรณีที่มีสงครามกลางเมืองเพื่อแบ่งแยกดินแดน ฝ่ายจับอาวุธกับฝ่ายทหารของรัฐไม่สามารถเอาชนะกันได้ และการแก้ปัญหาในที่สุดย่อมอยู่ที่กระบวนการทางการเมืองที่โปร่งใสเสมอ