สุภา ศิริมานนท์ นักสังคมนิยมรุ่นก่อน

ใจ อึ๊งภากรณ์

เวลากล่าวถึงแนวสังคมนิยมหรือมาร์คซิสต์ในไทย หลายคนอาจคิดถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) แต่นักสังคมนิยมมาร์คซิสต์ที่ไม่สังกัดสายสตาลิน-เหมา หรือ พคท. ก็มี ตัวอย่างที่ดีคือ สุภา ศิริมานนท์

บุคคลคนหนึ่งที่มีอิทธิพลกับ สุภา ศิริมานนท์ คือ เจ. เอฟ. ฮัตเจสสัน นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายซ้ายจากอังกฤษที่อาจารย์ปรีดีเชิญมาสอน ลัทธิมาร์คซ์กับลัทธิเศรษฐศาสตร์การเมือง ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในการพูดถึงแนวมาร์คซิสต์ ฮัตเจสสัน วิจารณ์แนวเผด็จการของสตาลิน

แนวคิดสังคมนิยมมาร์คซิสต์ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ทางชนชั้นในยุโรป คาร์ล มาร์คซ์ และเฟรเดอริค เองเกิลส์ เริ่มต้นโดยมีจุดยืนเป็นนักประชาธิปไตยสุดขั้ว แต่ประสบการณ์การต่อสู้สอนเขาว่าประชาธิปไตยแท้ในระบบทุนนิยมมีไม่ได้เนื่องจาก “อำนาจเงียบในการขูดรีดของระบบทุน” นักมาร์คซิสต์ทั้งหลายที่เดินตามแนวและวิธีคิดแบบมาร์คซิสต์ จึงสรุปกันว่าจำเป็นที่จะต้องปฏิวัติล้มระบบเผด็จการทางชนชั้นของทุนนิยม แต่นั้นไม่ได้หมายความว่ามีการแปรเปลี่ยนความคิดไปเป็นเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่ง ความต้องการเสรีภาพเต็มตัวในทุกแง่ของชีวิตมนุษย์เป็นหัวใจของแนวมาร์คซิสต์เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องของความสัมพันธ์กับการทำงานและการผลิต ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์โดยทั่วไป ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ หรือเรื่องความสร้างสรรค์ของมนุษย์ในด้านศีลปะวัฒนธรรม แม้แต่ในเรื่องการสร้างพรรคปฏิวัติ แนวมาร์คซิสต์แบบ เลนิน หรือ ตรอทสกี มองเสมอว่าต้องเต็มไปด้วยเสรีภาพในการถกเถียงภายในกรอบการจัดตั้ง

ในเรื่องเพศ เองเกิลส์ เขียนไว้ใน “กำเนิดครอบครัวฯ” ว่า “แนวโน้มเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศจะเป็นไปในทิศทางใดถ้าเรามีสังคมใหม่ที่เราร่วมกำหนด? สิ่งใดที่จะถูกยกเลิกหลังจากที่ได้มีการล้มล้างระบบทุนนิยมไป?  อะไรใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามา?  คำถามเหล่านี้จะถูกตอบโดยคนอีกรุ่นหนึ่งที่เติบโตขึ้นจากวิถีการผลิตแบบใหม่  ชายรุ่นใหม่ที่ไม่เคยรู้จักการซื้อขายหญิงด้วยเงินตราหรือตำแหน่งยศศักดิ์  และอำนาจทางสังคม   หญิงรุ่นใหม่ที่รู้จักการมอบกายให้กับชายโดยมีเงื่อนไขเดียวเท่านั้นคือ  “ความรัก”    ยิ่งกว่านั้นเธอจะไม่รู้จักความกลัวว่า ถ้าไม่ยอมกระทำตามความต้องการของชายที่ตนรักจะมีผลร้ายที่ต้องเผชิญทางด้านเศรษฐกิจ  และเมื่อคนเหล่านี้ได้เติบโตขึ้นเต็มโลกใบใหม่  เขาจะไม่สนใจว่าคนยุคอดีตจะมองพฤติกรรมของเขาเช่นไร  พวกเขาจะกำหนดประเพณีการปฏิบัติ  ค่านิยมต่าง ๆ ของสังคมใหม่ขึ้นมาให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่รับใช้มนุษย์อย่างแท้จริง”

ในการเลือกแนวทางสังคมนิยมมาร์คซิสต์สำหรับยุคนี้ ถ้าเราศึกษาภาพรวมของสังคมนิยมในลักษณะที่ สุภา ศิริมานนท์ เคยศึกษา เราจะพบว่าเราไม่ต้องจำกัดทางเลือกของเราระหว่างเผด็จการเงียบของนายทุนในระบบประชาธิปไตยทุนนิยม หรือเผด็จการสตาลิน-เหมาในระบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เราสามารถรื้อฟื้นความเข้าใจในแนวเสรีของลัทธิมาร์คซ์ดั้งเดิมได้

คนก้าวหน้าในไทยคงรู้จักคำขวัญ “รู้เขารู้เรา” ดี แต่ในการรบกับระบบทุนนิยมด้วยระบบคิดแบบลัทธิมาร์คซ์ ปรากฏว่าฝ่ายซ้ายภายใต้ พคท. ไม่เข้าใจระบบทุนนิยม และไม่รู้จักลัทธิมาร์คซ์ ประสบการณ์ส่วนใหญ่ของคนรุ่นเดือนตุลาที่ผ่านการต่อสู้ในเมืองระหว่าง ๑๔ ตุลา ๑๖ ถึง ๖ ตุลา ๑๙ แล้วเข้าป่าร่วมกับ พคท. คือการที่พรรคไม่ได้เน้นหนักการศึกษาลัทธิมาร์คซ์อย่างจริงจัง

นักมาร์คซิสต์ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการวิเคราะห์ปรับปรุงทฤษฏีเสมอ ลัทธิ “ปฏิบัติการนิยม” ซึ่งเป็นข้ออ้างของนักกิจกรรมทั้งหลายในยุค เอ็นจีโอ เพื่อหลีกเลี่ยงการศึกษาและการอ่านหนังสือ เป็นลัทธิของคนตาบอด     สุพจน์ ด่านตระกูล เคยบอกผู้เขียนว่า กุหลาบ สายประดิษฐ์ “เสียดาย” การที่นายผีไปเข้าพรรค เพราะหลังจากเข้า พคท. ไปแล้ว ปัญญาชนหรือศีลปินจะเสียความคิดแบอิสระ และบ่อยครั้ง “คนไม่รู้กลายเป็นผู้คุมคนรู้” ในส่วนนี้ สุภา ศิริมานนท์ กับสุภัทร สุคนธาภิรมย์ มองเหมือนกันว่า พคท. ไม่เข้าใจลัทธิมาร์คซ์อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ประวุฒิ ศรีมันตะ ซึ่งเคยเป็นสมาชิก พคท. ที่ชื่นชมแนวของพรรค บอกผมว่า พคท. ไว้ใจปัญญาชนหลายคน แต่เขายอมรับว่าพรรค ยังขาดผู้ปฏิบัติงานที่รอบรู้และ มักทำงานกับปัญญาชนอย่าง สุภา ศิริมานนท์ หรือสมัคร บุราวาส ไม่ค่อยได้

การทำงานของคนอย่างอย่าง สุภา ศิริมานนท์ มีลักษณะน่ายกย่องตรงที่พยายามค้นคว้างานประเภทต้นฉบับจากต่างประเทศ และมีการอ้างอิงงานเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาลัทธิมาร์คซ์ สุภา เป็นปัญญาชนไทยคนแรกที่ศึกษา “ว่าด้วยทุน” ของมาร์คซ์อย่างจริงจัง และเป็นคนที่นำหนังสือแนวมาร์คซ์ไปแนะนำให้คนอื่นอ่านด้วย

spd_20110625150411_b

หนังสือ “แคปิตะลิสม์” (ทุนนิยม) ของ สุภา ศิริมานนท์ เริ่มต้นในการวิเคราะห์หัวใจของระบบทุนนิยมโดยเสนอว่า “ทางแห่งความสมานฉันท์ไม่มีอยู่ในระบบแคปิตะลิสม์ ชนชั้นทั้งสอง (กรรมาชีพ-นายทุน) มีสภาพเสมือนอยู่ฝ่ายละขั้วโลก ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริงก็อยู่ร่วมกันในสถานะปัจจุบันนี้เอง”  แต่ พคท. คงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้เพราะเรียกร้องให้กรรมกร ชาวนา และนักศึกษา สามัคคีกับนายทุนน้อยและนายทุนใหญ่เพื่อกู้ชาติ

ในการวิเคราะห์ระบบทุนนิยมของ สุภา ศิริมานนท์ มีข้อสังเกตอันหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น สุภา ฟันธงว่าการคอร์รัปชั่น การปฏิบัติแบบคดโกง และการใช้อภิสิทธิ์  ล้วนแต่เป็นธรรมชาติของระบบทุนนิยมที่แสวงหากำไรสูงสุด ไม่ใช่ว่าการคอร์รัปชั่นเป็นของแปลกปลอมที่ทำให้ทุนนิยมเพี้ยนไป ซึ่งข้อสังเกตดังกล่าวตรงกับโลกจริงเมื่อพิจารณากรณีการโกงบัญชีในบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ในไทยพวกที่ต้อนรับรัฐประหารทหาร ก็หลงคิดว่าทหาร ซึ่งมีประวัติโกงกินมานานในระบบทุนนิยม จะเข้ามากำจัดการคอรรับชั่นได้

ในเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยม สุภา มีคำอธิบายที่ดีกว่าการโทษการคอร์รับชั่น เพราะ สุภา เชื่อเหมือน คาร์ล มาร์คซ์ ว่าวิกฤตมาจากแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไรในระบบที่มาจากการลงทุนในเครื่องจักรมากขึ้นทุกที ในขณะที่การลงทุนจ้างงานขยายตัวช้ากว่าหรือไม่ขยายเลย สุภา เตือนให้เราระวังการรีบสรุปว่าความพินาศของระบบเงินตราหรือราคาหุ้นเป็นอาการที่แท้จริงของวิกฤต เพราะในการเข้าใจธาตุแท้ของวิกฤตเราต้องไปดูฐานะของอุตสาหกรรมมากกว่า อันนี้เป็นบทสรุปสำคัญสำหรับยุคนี้ในเมื่อใครๆ ชอบพูดถึง “วิกฤตระบบการเงิน” แทนที่จะพูดถึงวิกฤตทุนนิยมโลก นอกจากนี้ในการพิจารณาบทบาทของนายทุนเอกชนและกลไกตลาดในการ “แก้” ปัญหาวิกฤต สุภาเสนอว่ามาตราการต่างๆ ของนายทุน เช่นการเลิกจ้างหรือประหยัดค่าใช้จ่ายยิ่งทำให้วิกฤตร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งก็ตรงกับข้อวิจารณ์ที่หลายคนมีต่อนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลต่างๆ

ในขณะที่เราสามารถเรียนรู้จาก สุภา เราไม่ควรมองข้ามปัญหาบางอย่างในการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยมของเขา เพราะมีข้อบกพร่องอยู่เนื่องจาก สุภา ไม่สามารถเข้าใจธาตุแท้ของระบบเศรษฐกิจการเมืองในรัสเซียตั้งแต่สมัยสตาลินเป็นต้นมา สุภา หลงเชื่อว่าระบบโซเวียตเป็นระบบสังคมนิยมที่มีการวางแผนที่ไม่นำไปสู่วิกฤต ถ้า สุภา มีชีวิตอยู่หลังช่วงวิกฤตของระบบโซเวียตปี 1989 ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของระบบนี้ทั่วโลก เขาคงต้องมานั่งทบทวนแนวคิดในส่วนนี้

สุภา ค้านพวกนักวิชาการที่อ้างอยู่เรื่อยว่าแนวมาร์คซิสต์ใช้ไม่ได้ในโลกสมัยนี้ โดยการอธิบายว่าแนวมาร์คซิสต์มองสองด้านตลอด และมองในลักษณะที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเสมอ ดังนั้นระบบการวิเคราะห์แบบมาร์คซิสต์สามารถปรับตัวให้ทันสมัยตลอดเวลา

ในการพิจารณาข้อดีของปัญญาชนที่ไม่สังกัด พคท. อย่าง  สุภา ศิริมานนท์  ทั้งในด้านความคิดที่ไม่เป็นกลไก หรือการศึกษาลัทธิมาร์คซ์อย่างจริงจัง เราต้องมองด้านกลับถึงจุดอ่อนด้วย เพราะเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างมีพลังร่วมกับมวลชน และมีอุปสรรคในการถ่ายทอดแนวความคิดอย่างสม่ำเสมอ เพราะไม่มีองค์กรจัดตั้งหรือพรรค ส่วน พคท. ได้เปรียบมหาศาลในการเสนอแนวเนื่องจากมีการจัดตั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้เสนอแนวมาร์คซิสต์

อย่างไรก็ตามเราไม่ควรมองว่า สุภา ศิริมานนท์ ไม่มีส่วนในภาคปฏิบัติของการต่อสู้เลยเพราะ ประวุฒิ ศรีมันตะ เคยอธิบายกับผมว่า “คุณสุภาทำให้คอมมิวนิสต์หลายคนอย่างผมไม่ทุกข์ยากเกินไป” เพราะมีการช่วยหางานให้ทำในบริษัทประกันภัยอาคเนย์

อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2g8nWkX

ทหารไทย กาฝากของสังคม

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถึงแม้ว่าคนจำนวนหนึ่งในสังคมไทยเชื่อว่าจุดศูนย์กลางอำนาจอำมาตย์อยู่ที่กษัตริย์ ราชวงศ์หรือองค์มนตรี แต่ในความเป็นจริงอำนาจแท้ที่อยู่เบื้องหลังกษัตริย์คือกองทัพ กองทัพไทยแทรกแซงการเมืองและสังคมมาตั้งแต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เพราะคณะราษฎร์อาศัยอำนาจทหารในการทำการปฏิวัติ แทนที่จะเน้นการสร้างพรรคมวลชน

อย่างไรก็ตามเราควรเข้าใจว่าอำนาจทหารเป็นอำนาจจำกัด

ในหลายยุคหลายสมัยอำนาจกองทัพถูกจำกัดและลดลงเพราะการลุกฮือและการเคลื่อนไหวของประชาชนในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม กรณี ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ และพฤษภา ๒๕๓๕ เป็นตัวอย่างที่ดี ดังนั้นเราควรเข้าใจว่ากองทัพเป็นกลุ่มอำนาจหนึ่งในชนชั้นปกครอง กลุ่มอื่นๆ ประกอบไปด้วย นายทุนใหญ่ นักการเมือง และข้าราชการชั้นสูง แต่สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับกองทัพ ถ้าเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในชนชั้นปกครองคือ กองทัพจะผูกขาดการใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธ ซึ่งความรุนแรงนี้ใช้ในรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาล และใช้เพื่อฆ่าประชาชนมือเปล่า อย่างต่อเนื่อง

วัตถุประสงค์หลักของการมีกองทัพสำหรับชนชั้นปกครองไทยคือ เป็นเครื่องมือในการควบคุมและปราบปรามประชาชนภายในประเทศ วัตถุประสงค์รองคือเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวยให้พวกนายพล กองทัพไทยขาดประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการทำสงครามระหว่างประเทศ สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นทหารไทยจะเป็น “รั้วพุ” ที่ป้องกันประเทศไม่ได้ ในอดีตกองทัพไทยต้องยอมแพ้ต่อญี่ปุ่น และมหาอำนาจอื่นๆ มาตลอด กองทัพไทยต่างจากกองทัพของเวียดนาม ลาว หรืออินโดนีเซีย ที่เคยได้รับชัยชนะในการปลดแอกประเทศ ดังนั้นกองทัพไทยมีรถถังไว้เพื่อข่มขู่กดขี่ประชาชนและเพื่อทำรัฐประหารเท่านั้น

มันมีสองกรณีที่กองทัพไทยทำสงครามอย่างจริงจัง คือสงครามภายในประเทศกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และสงครามปัจจุบันที่ยังไม่สิ้นสุดในปาตานี ในทั้งสองกรณีนี้กองทัพไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเกิดจากการกดขี่และการที่ไม่มีความยุติธรรมในสังคม และทุกครั้งพฤติกรรมป่าเถื่อนของทหารไทย ยิ่งทำให้การกบฏเข้มแข็งมากขึ้น บทเรียนสำคัญจากสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์คือ ต้องใช้การเมืองแก้ปัญหา ไม่ใช่การทหาร ในกรณีปาตานีก็เช่นกัน

กองทัพไทยอาจมีอำนาจก็จริง แต่อำนาจนั้นถูกจำกัดจากเงื่อนไขสามประการคือ (1) อำนาจของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (2) อำนาจของกลุ่มอื่นๆ ในหมู่ชนชั้นปกครองที่มีอำนาจเงินและอำนาจการเมือง และ (3) การที่กองทัพแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกที่แข่งขันกันเสมอ นอกจากนี้การที่กองทัพต้องอ้างความชอบธรรมจาก “ลัทธิกษัตริย์” ก็เป็นจุดอ่อนด้วย เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่มีความชอบธรรมของตนเองเลย โดยเฉพาะในเรื่องประชาธิปไตย

แม้แต่ในยุคเผด็จการ สฤษดิ์ ถนอม ประภาส ทหารไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะต้องอาศัยการร่วมมือของ ผู้เชี่ยวชาญ และนายทุน และต้องฟังเสียงของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม อย่าลืมว่าในยุคแรกๆ แม้แต่ สฤษดิ์ ยังต้องพึ่งพาขบวนการนักศึกษาและคนของพรรคคอมมิวนิสต์ในหนังสือพิมพ์ของเขาเพื่อทำรัฐประหารจนสำเร็จ ในกรณีรัฐประหาร ๑๙ กันยา ทหารคงทำรัฐประหารไม่ได้ถ้าพันธมิตรฯ นักวิชาการ และเอ็นจีโอ ไม่โบกมือเรียกทหารให้เข้ามาแทรกแซงการเมือง

การแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกของทหารในกองทัพ เป็นการแย่งชิงผลประโยชน์กัน ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับความคิดทางการเมือง ก๊กต่างๆ ของทหารมักจะเชื่อมกับทหารเกษียณ นายทุน และนักการเมือง

ถ้าดูประวัติศาสตร์ระยะยาว วัฒนธรรมของกองทัพไทยคือวัฒนธรรมในการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง ตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดคือ ผบทบ. ซึ่งต้องผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อให้นายพลต่างๆ มีโอกาสเข้าถึงรางอาหารในคอกเลี้ยงหมู ส่วนใหญ่ทหารคนใดคนหนึ่งไม่สามารถผูกขาดการกินและการเข้าถึงอำนาจและความร่ำรวยได้ และถ้ามีทหารกลุ่มหนึ่งที่พยายามผูกขาดผลประโยชน์ อย่างที่กำลังเกิดในยุคนี้ ก็จะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในกลุ่มทหารที่เข้าไม่ถึงผลประโยชน์

ความร่ำรวย “ผิดปกติ” เกินรายได้ธรรมดาของพวกนายพล รวมถึงผู้นำเผด็จการของประเทศในปัจจุบัน เป็นการโกงกินที่ชัดเจน มันมาจากกิจกรรมของกองทัพในสื่อและรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้มีรายได้มหาศาลจากการคอร์รับชั่น รับเงินใต้โต๊ะเวลาซื้ออาวุธ การค้ายาเสพติด การค้าไม้เถื่อน และการลักลอกขนสินค้าข้ามพรมแดน ทั้งหมดนี้เป็นแรงจูงใจให้ทหารรักษาอิทธิพลทางการเมือง เพื่อปกป้องกิจกรรมต่างๆ ของทหาร ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการป้องกันประเทศ

แต่การใช้ความรุนแรงอย่างเดียวสร้างอำนาจในการปกครองไม่ได้ ต้องมีการครองใจประชาชนควบคู่กันไป ลัทธิที่ครองใจประชาชนไทยในยุคสมัยใหม่มากที่สุดคือ “ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม” แต่ทหารอ้างความชอบธรรมจากแนวคิดนี้ไม่ได้เลย เพราะทหารทำลายประชาธิปไตยและความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทหารจึงต้องใช้ “ลัทธิกษัตริย์” โดยอ้างว่าทหารรับใช้กษัตริย์ แถมยังมีกฎหมายหมิ่นเดชานุภาพฯไว้ข่มขู่คนที่คัดค้านทหารอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงทหารไม่ได้รับใช้ใครนอกจากตนเอง

“ชาติ ศาสนา กษัตริย์” คือลัทธิของชนชั้นปกครอง แต่ตั้งแต่ยุคเผด็จการ สฤษดิ์ ทหารพยายามลดบทบาททางการเมืองของศาสนาพุทธ  ดังนั้นทหารใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือไม่ค่อยได้ ส่วนเรื่อง “ชาติ” เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับ “กษัตริย์” ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ เพราะ “ความเป็นชาติ” มีลักษณะส่วนรวมมากกว่าไปเน้นตัวบุคคลของกษัตริย์ ผู้ที่เน้นลัทธิชาตินิยมในอดีต มักเป็นพวกที่ไม่เอากษัตริย์ด้วย เช่น คณะราษฎร์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นี่คือสาเหตุที่ลัทธิกษัตริย์เป็นลัทธิที่เหมาะกับทหารมากที่สุดจนถึงทุกวันนี้

ถ้าเราจะมีประชาธิปไตยแท้ เราต้องตัดบทบาททหารออกจากสังคมและเศรษฐกิจ ต้องตัดงบประมาณทหาร ต้องปลดนายพลเผด็จการออกให้หมด ต้องนำนายพลฆาตกรมาลงโทษ และต้องยกเลิกหรือไม่ก็เปลี่ยนโครงสร้างกองทัพอย่างถอนรากถอนโคน นอกจากนี้เราต้องยกเลิกสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้มีระบบสาธารณรัฐ แต่อย่าไปหวังว่าผู้ใหญ่ที่ไหนเขาจะทำให้เรา เพราะส่วนใหญ่พวกนี้เคยชินกับการร่วมมือกับกองทัพมานาน พลังหลักในการสร้างประชาธิปไตยต้องมาจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และเราต้องขยายอิทธิพลของขบวนการประชาธิปไตยไปสู่ขบวนการสหภาพแรงงาน ขบวนการนักศึกษา และเข้าไปสู่ทหารเกณฑ์ระดับล่างที่เป็นพี่น้องลูกหลานแท้ของประชาชนอีกด้วย

ทหารไทยคือกาฝากของสังคม ในหมู่คนจนหรือชาวไร่ชาวนา มันมีวิธีเดียวที่จะจัดการกับกาฝาก นั้นคือการตัดมันออกไปให้แห้งตาย

โรคเรื้อรังแห่งการมองประเด็นปัญหาเดียวแบบแยกส่วน

ใจ อึ๊งภากรณ์

การมองประเด็นปัญหาเดียวแบบแยกส่วน โดยสนใจแต่สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และละเลยภาพรวม เป็นโรคเรื้อรังของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” ในสังคมไทยมานาน มันนำไปสู่การไม่เข้าใจต้นเหตุของปัญหาและวิธีการที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาดังกล่าวด้วย ต้องถือว่าเป็นแนวคิดที่นำไปสู่ความ “ปัญญาอ่อนทางการเมือง”[1]

วิธีคิดแบบนี้มีผลทำให้ เอ็นจีโอ และหลายองค์กรณ์ที่ใกล้ชิดกับเอ็นจีโอ ไม่เข้าใจว่าการสนับสนุนหรืออย่างน้อยการยอมรับรัฐประหาร นำไปสู่การเพิ่มปัญหาโดยรวมในสังคม

ตัวอย่างอันหนึ่งคือจุดยืนของบางกลุ่มที่เคยออกมาต่อต้านร่าง “รัฐธรรมนูญ” ของทหารโจร โดยเน้นแต่ปัญหาที่เชื่อว่าใกล้ตัวเองเท่านั้น

ในวันกรรมาชีพสากลปีที่แล้ว องค์กรที่เรียกตัวเองว่า “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ออกมาเสนอ 8 เหตุผลที่กรรมาชีพควรคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ โดยเน้นแต่เรื่องปากท้องสำหรับกรรมาชีพ และที่แย่กว่านั้นคือไม่ได้เสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปากท้องทั้งหมดด้วย มันเป็นการบิดเบือนความจริงในภาพรวม ดูถูกกรรมาชีพ ว่าโง่เขลาไม่สนใจปัญหาภาพกว้างในสังคม และเป็นการมองว่ากรรมาชีพไม่มีวุฒิภาวะที่จะเข้าใจการเมืองภาพกว้างได้

ในวันแรงงานสากล “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ควรจะเสนอเหตุผลในการไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยผสมเรื่องปากท้องและปัญหาโดยรวมสำหรับพลเมืองทุกคนในสังคม เช่นควรจะเน้นเรื่องการต่ออายุยืดเวลาของเผด็จการ การทำลายอำนาจประชาชนในการเลือกรัฐบาล การที่เผด็จการคัดค้านการใช้งบประมาณเพื่อประโยชน์คนจน แล้วหลังจากนั้นควรลงมาพูดรายละเอียดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ สิทธิในการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน และการทำลายระบบบัตรทองกับการศึกษาฟรี นอกกจากนี้ควรพูดถึงผลกระทบของร่างรัฐธรรมนูญต่อศาสนา และเรื่องอื่นๆ อีกด้วย เช่นปัญหาที่ทหารก่อขึ้นมาในปาตานี เพราะการเสนอแบบนั้นเป็นการเสนอที่จะนำไปสู่การพัฒนาความเข้าใจทางการเมือง โดยการโยงภาพกว้างกับรายละเอียดประเด็นปัญหาปากท้อง

Untitled

ในขบวนการกรรมาชีพไทย มีหลายกลุ่มที่เข้าใจประเด็นปัญหาภาพรวมของสังคม และพยายามให้การศึกษาทางการเมืองกับเพื่อนๆ กรรมาชีพในเรื่องการเมืองภาพกว้าง กลุ่มเหล่านี้คัดค้านเผด็จการมานาน และมีส่วนร่วมในขบวนการประชาธิปไตย

แต่แถลงการณ์ของ “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ละเลยกลุ่มแรงงานที่ก้าวหน้ามากเกินไป เพื่อวางตัวเสมอกับจุดยืนของพวกที่ล้าหลัง เช่นพวกนักสหภาพแรงงานที่จงใจไม่สนใจการเมือง โดยใช้สูตร “ปัญหาประเด็นเดียว” เดิมๆ เก่าๆ ที่ล้มเหลวจากคนที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” มันไม่นำไปสู่การขยับความคิด พูดง่ายๆ ในเรื่องนี้เขาควรจะเรียกตัวเองว่า “ขบวนการประชาธิปไตยเก่า” มันเป็นสูตรที่ เอ็นจีโอ ใช้มานาน คือมองว่าคนจนเป็นเหยื่อ และไปเน้นทำงานกับเหยื่อ แทนที่จะมองว่าคนจนปลดแอกตนเองได้และเน้นทำงานกับคนที่พร้อมจะสู้

ตัวอย่างอื่นๆ ของโรคเรื้อรังแห่งการมองประเด็นปัญหาเดียวแบบแยกส่วน เห็นได้จากแถลงการณ์ต่างๆ ของ คนที่สนใจปัญหาสุขภาพ ที่พูดถึงแต่การตัดสิทธิในการใช้บัตรทองแต่ไม่กล่าวถึงปัญหาการทำลายประชาธิปไตย หรือคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือผังเมือง ที่เอ่ยถึงปัญหาของตนเอง แต่ละเลยภาพกว้างของการที่เผด็จการครองเมือง

building_0224

ในแวดวงวิชาการก็มีแนวคิดคล้ายๆ กัน ดูได้จากการสัมมนาหรือการเขียนบทความ ที่แยกส่วนอ้างว่าพูดหรือเขียนจากมุมมองนักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ หรือนักกฏหมาย แต่การแยกแบบนี้เป็นแนวคิด “อวิชชา”

การนำแต่ละประเด็นมาเรียงเข้าด้วยกัน เหมือนบัญชีหางว่าว ก็ยังไม่พอ และไม่ได้แก้ไขปัญหา เพราะต้องมีการอธิบายว่าแต่ละปัญหาเกี่ยวข้องกันอย่างไร และเกี่ยวข้องกับภาพกว้างของระบบเศรษฐศาสตร์การเมืองและสังคมอย่างไรอีกด้วย

ปัญหาเรื่องนี้ผมและสหายฝ่ายซ้ายอื่นๆ ในไทย พยายามแก้ไขโดยการถกเถียงกับ เอ็นจีโอ โดยเฉพาะในงานสมัชชาสังคมไทยที่จัดที่ธรรมศาสตร์ในปี ๒๕๔๙ แต่ เอ็นจีโอ ส่วนใหญ่ไม่สนใจ ต้องการพูดคุยแต่ในประเด็นเดียวของตนเองต่อไป สาเหตุหนึ่งก็เพราะองค์กรเหล่านั้นเน้นการขอทุนภายใต้ปัญหาประเด็นเดียว

ต้นกำเนิดของแนวคิดแบบมองประเด็นปัญหาเดียวแบบแยกส่วน มาจากยุครุ่งเรืองของ เอ็นจีโอ และวิธีคิด “อนาธิปไตย” กับ “หลังสมัยใหม่” หรือ “โพสธโมเดิน” ซึ่งเกิดขึ้นหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แนวสตาลินทั่วโลก เพราะนักเคลื่อนไหวหันหลังให้กับทฤษฏีที่พยายามอธิบายปัญหาภาพรวมของสังคม ที่เขาเรียกว่า “มหาวาทกรรม” พวกนี้หันหลังให้กับความพยายามที่จะล้มรัฐเผด็จการอีกด้วย และเขาเปลี่ยนไปเป็นนักเคลื่อนไหวประเด็นเดียวที่รับทุนมาเคลื่อนไหว และพร้อมจะล็อบบี้หรือเข้าไปคุยกับผู้มีอำนาจ ไม่ว่าผู้มีอำนาจนั้นจะดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้งหรือจากการทำรัฐประหาร ไม่สนใจแนวการเมืองของผู้มีอำนาจด้วย มันเป็นการปฏิเสธการเมืองและทฤษฏีการเมืองทั้งหมดไปเลย และมันเป็นแนวการทำงานที่อ่อนแอ

สรุปแล้วมันเป็นแนวคิดที่เชิดชูความโง่เขลาปัญญาอ่อนทางการเมือง เพราะจงใจไม่สนใจที่จะเข้าใจทฤษฏีการเมืองเลย แต่ที่สำคัญพอๆ กันคือ มันทำให้เราสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่จะล้มเผด็จการยากขึ้น

ผลที่เห็นชัดในรอบสิบปีที่ผ่านมาคือ เอ็นจีโอ ส่วนใหญ่ไปจับมือกับพวกเสื้อเหลือง คือกลุ่มคนที่ล้าหลังที่สุดในสังคมและพวกที่ต้องการปกป้องอภิสิทธิ์ของคนรวย เพื่อไล่ทักษิณ หลายกลุ่มสนับสนุนการทำรัฐประหารและยังมีบางกลุ่มที่สนับสนุนม็อบสุเทพอีกด้วย

ล่าสุดเอ็นจีโอบางส่วนก็ไปจับมือกับจอมเผด็จการประยุทธ์ เพื่อจัดกิจกรรมเรื่อง “ประชาสังคม และประชาธิปไตย” ฟังแล้วไม่รู้จะหัวเราะห์หรือร้องไห้

แกนนำนักเคลื่อนไหวแรงงานล้าหลัง จากสหภาพแรงงานรถไฟ ก็เคยไปจับมือกับทหารเผด็จการ แต่ตอนนี้โดนกัดจากทหารโดยนโยบายแปรรูปรถไฟให้เป็นเอกชน เอ็นจีโอหลายกลุ่มก็ผิดหวังอกหักในเรื่องการปฏิรูปการเมืองของทหารด้วย แต่ถ้าเขาสนใจศึกษาการเมืองมาแต่แรก เขาจะไม่อกหักแบบนี้

นักมาร์คซิสต์ใช้แนวคิด “วิภาษวิธี” ที่เริ่มจากจุดยืนที่มองว่า “ความจริงในโลกเข้าใจได้ต่อเมื่อเราดูภาพรวม” คือดูภาพรวมในมิติต่างๆ ของสังคม ภาพรวมในมิติสากลทั่วโลก และภาพรวมในเชิงประวัติศาสตร์อีกด้วย

และสำหรับนักมาร์คซิสต์ การสร้างพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพ ที่รวมคนหนุ่มสาวและนักศึกษาเข้าไปด้วย มีความสำคัญเพราะเป็นการรวมตัวกันของคนที่มีความคิดก้าวหน้าที่สุดในสังคม เพื่อชักชวนให้มวลชนเริ่มมองภาพรวมของปัญหาที่มาจากระบบทุนนิยมและสังคมชนชั้น พูดง่ายๆ พรรคมีหน้าที่ในการสร้างสะพานระหว่างจิตสำนึกแบบ “ปากท้อง” ไปสู่จิตสำนึกในเรื่องภาพรวมทางชนชั้น นั้นคือการเมือง “ใหม่” ในโลกปัจจุบันที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าเราจะแก้ไขโรคเรื้อรังแห่งการมองประเด็นปัญหาเดียวแบบแยกส่วน และเดินหน้าเพื่อล้มเผด็จการ เราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างพรรคการเมือง และการพัฒนาทฤษฏีทางการเมืองที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา

[1] อ่านเพิ่มเรื่องนี้ที่ http://bit.ly/24tv63k หรือในหนังสือ “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในไทย” http://bit.ly/1SGzRiw (อาจต้องเข้าสู่ระบบผ่านเฟสบุ๊คของท่าน)

อ่านเพิ่มเรื่องขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม http://bit.ly/2cvlmCk

ทหารประกาศต่อสังคมว่าการละเมิดสตรีของวชิราลงกรณ์เป็นเรื่องน่าชื่นชม

ใจ อึ๊งภากรณ์

นายวชิราลงกรณ์ เสี่ยผู้ละเมิดสตรีและเสพสุขบนหลังเรา กำลังขึ้นมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์คนใหม่

แต่ตั้งแต่เล็ก วชิราลงกรณ์ เป็นคนที่เรียนไม่เก่ง หรืออาจไม่สนใจเรียนก็ได้ ถ้าจะเป็นประมุขก็ควรสนใจบ้านเมืองและสนใจเรียนและศึกษาเรื่องปัญหาบ้านเมือง ควรสามารถพูดคุยด้วยสติปัญญา กับคนที่มีตำแหน่งทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ แต่ วชิราลงกรณ์ ทำไม่ได้ ไม่เชื่อก็ไปถามคนในวงการทูตก็ได้

ประมุขควรจะเป็นคนที่มีมารยาทระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในกิจกรรมทางการ แต่ วชิราลงกรณ์ เคยสร้างปัญหาทางการทูตกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเพราะไม่พอใจในเรื่องส่วนตัว เกี่ยวกับผู้หญิง เขานำเครื่องบินที่ตนเองขับไปปิดกั้นเครื่องบินของนายกญี่ปุ่นที่ดอนเมือง และในงานเลี้ยงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งก็ปล่อยให้หมาฟูฟูของตนเองวิ่งไปมาบนโต๊ะอาหาร ปล่อยให้หมาดมและเลียอาหารในจานของแขกผู้รับเชิญที่มีเกียรติ์ ทั้งไทยและต่างประเทศ โดยที่ไม่มองว่าเป็นการกระทำที่ผิดแต่อย่างใด เขาเป็นคนก้าวร้าว และเอาแต่ใจตนเอง

1w993qhighc0-bild

แต่ประเด็นสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ถ้า วชิราลงกรณ์ ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ มันจะเป็นการตบหน้าสตรีไทย 35 ล้านคน ไม่ว่าสตรีที่ไร้จิตสำนึกจะรู้ตัวหรือไม่

การที่ วชิราลงกรณ์ หลงรักหรือหลงใคร่ผู้หญิงหลายคน ไม่ควรเป็นเรื่องผิด และควรเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเขาไม่ใช้เงินเราไปเสพสุขส่วนตัว และถ้าเขาไม่ประพฤติตัวแย่ๆ และข่มขู่สตรี

ถ้าเขาอยากถ่ายรูปแฟนเปลือยกายเพื่อเก็บไว้ดูเอง ก็ไม่น่าจะผิดและน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างสองคนอีก แต่ในความเป็นจริงเขาจงใจเผยแพร่ให้ทุกคนดูเพื่ออ้างตัวเป็นใหญ่และกดขี่ผู้หญิง และพอเขาเลิกกับผู้หญิงคนไหน เขาก็มีพฤติกรรมเลวทรามต่อเธอเสมอ โดยใช้เงินและตำแหน่งสาธารณะ ในการข่มขู่

ประเด็นที่เราควรพิจารณาคือ วชิราลงกรณ์ ในฐานะ “ประมุข” เป็นคนที่ไม่เคยเคารพใคร โดยเฉพาะผู้หญิง แล้วเราจะให้เขาเป็นประมุขของชาวไทยและเคารพเขาไปทำไม

วชิราลงกรณ์ เคยนั่งดื่มไวน์และกินข้าวริมสระน้ำกับอดีตเมีย ตรงนั้นไม่แปลก แต่ที่แปลกคือเมียเขาแก้ผ้าหมด ในขณะที่ วชิราลงกรณ์ สวมเสื้อผ้า และที่ยิ่งแปลกและน่ากังวลคือคนรับใช้ผู้ชายแต่งชุดราชการ และมีคนอื่นถ่ายรูปทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง แค่นั้นไม่พอ มีการให้แฟนตนเองเปลือยกายคลานกับพื้นเพื่อรับขนมจากมือนายวชิราลงกรณ์ เหมือนเอาอาหารให้หมากิน ภาพนี้ ซึ่งปวงชนชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากได้แลเห็นไปแล้ว เป็นภาพที่สะท้อนการไม่เคารพเพศสตรีของ วชิราลงกรณ์ และประกอบกับการปล่อยภาพเปลือยกายของสตรีคนอื่นๆ ที่วชิราลงกรณ์คบ เราต้องถือว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศผ่านการมีเงินและอำนาจ

สรุปแล้วการที่เผด็จการทหารแต่งตั้ง วชิราลงกรณ์ เป็นกษัตริย์ ก็เท่ากับประกาศต่อสังคมว่าการละเมิดทางเพศเป็นเรื่องน่าชื่นชม ซึ่งไม่แปลก เพราะคนอย่างไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือดก็ละเมิดสิทธิเสรีภาพของชาวไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมจะใช้กำลังในการเข่นฆ่าคนรักประชาธิปไตย โดยเฉพาะในปี๒๕๕๓

เวลาท่านเห็นภาพริมสระน้ำ หรือภาพเปลือยกายของเหล่าแฟน หรือ “หม่อม” ของ วชิราลงกรณ์ โปรดอย่าด่าผู้หญิง โปรดเข้าใจว่าใครมีอำนาจตรงนั้น โปรดให้อภัยสตรีน้อยๆ ผู้ตัดสินใจผิด โปรดอย่าไปว่าคนที่โชว์ร่างเปลือยอันงาม เพราะนั้นก็ไม่ใช่อาชญากรรม

อย่าลืมว่าผู้เป็นแม่ เอ็นดูและยกโทษให้ลูกชายตนเองเสมอ ซึ่งไม่แปลก เพราะราชินนีไทยเป็นคนหัวรุนแรงสุดขั้ว และโง่เขลาด้วย อย่าลืมว่าเขาและลูกสาว ก็ขยันสนับสนุนพวกอันธพาลที่ก่อความรุนแรงและทำลายประชาธิปไตย อย่าลืมอีกว่าผู้เป็นพ่อ นายภูมิพล ไม่เคยยอมออกมาตักเตือนลูกชายตนเองอย่างจริงจัง สรุปแล้วมันเป็นครอบครัวชำรุดราคาแพง เหมือนราชวงศ์ทั่วโลก สมควรถูกปลดออกจากตำแหน่ง

วชิราลงกรณ์หลงตนเองจนแต่งตั้งหมาของตนให้เป็นนายพลเหนือพลเมืองธรรมดา และเมื่อหมาแสนน่าเกลียดของเขาตาย เขาสั่งให้มีงานศพที่แพงกว่างานศพที่คนธรรมดาจะมีได้

ขอฟันธงเลยว่าใครเคารพรักนายวชิราลงกรณ์คงต้องแสนจะไร้ปัญญาและขาดศักดิ์ศรีในตนเองโดยสิ้นเชิง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเหมาะสมหรือความเขลาของนายวชิราลงกรณ์ ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการขึ้นมาเป็นกษัตริย์เลย เพราะอย่างที่ ทอมมัส เพน นักปฏิวัติอเมริกาสมัยสงครามกับอังกฤษ เคยเขียนไว้ในหนังสือ สิทธิของมนุษย์ “การเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ย่อมอาศัยฝีมือ แต่การเป็นกษัตริย์แค่อาศัยการมีร่างก็พอ” การมี วชิราลงกรณ์ เป็นกษัตริย์ก็จะเปิดโอกาสให้ทหารเผด็จการใช้งานต่อไปเหมือนที่เคยใช้พ่อของเขา

o

ภาพข้างบนเป็นส่วนหนึ่งของละครน้ำเน่าที่เผด็จการและชนชั้นปกครองไทยสร้างมาอย่างต่อเนื่อง คือสร้างนิยายว่ากษัตริย์อยู่เหนือทุกคนแม้แต่นายพล เสร็จแล้วทหารก็ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยอ้างกษัตริย์ที่ไร้ปัญญา ใครตั้งคำถามหรือคัดค้านทหารก็กลายเป็นคนล้มเจ้าและถูกปราบโดยปริยาย

ในสังคมไทย ประชาชนถูกบังคับให้ยืนเคารพประมุข ถูกบังคับให้หมอบคลาน ถูกบังคับให้ใช้ภาษาพิเศษ ถูกบังคับให้เสียภาษีเพื่ออุดหนุนวิถีชีวิตอันร่ำรวยของประมุขและครอบครัว ทุกคนถูกบังคับให้เดือดร้อนเพราะมีการปิดถนนให้เขาเดินทางอย่างสะดวกสบาย

มันน่าสมเพชเหลือเกินที่ทักษิณพยายามกล่อมให้คนเสื้อแดงชื่นชม วชิราลงกรณ์ โดยสร้างนิยายหลอกประชาชนว่า วชิราลงกรณ์ “สนับสนุนประชาธิปไตย” เพราะในความเป็นจริง วชิราลงกรณ์ ไม่สนใจอะไรเลยที่เกี่ยวกับสังคมไทย สนใจแต่ผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ วชิราลงกรณ์ ไม่ควรเป็นประมุข ไม่ควรมีอำนาจ และไม่ควรมีอิทธิพลในสังคมไทยเลย เราควรยึดทรัพย์สินมหาศาลของเขามาใช้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่

วชิราลงกรณ์ และคนอื่นๆ ทุกคนในตระกูลจักรี ไม่สมควรจะเสพสุขทำนาบนหลังเราต่อไป ประเทศไทยควรเป็นสาธารณรัฐ แต่อุปสรรค์หลักในการสร้างความเจริญก้าวหน้าในสังคมไทยคือกองทัพ ที่ปกป้องและใช้ระบบกษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ของนายพลเผด็จการเท่านั้น ดังนั้นเราต้องเคลื่อนไหวเพื่อล้มเผด็จการทหารให้ได้ และสักวันเราจะมีเสรีภาพที่แท้จริง