สามปีรัฐประหารของไอ้ยุทธ์ อย่าให้มันทำให้เราชินกับเผด็จการจนเรากลายเป็นซอมบี้

ใจ อึ๊งภากรณ์

สามปีหลังรัฐประหารของไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือด เราสามารถสรุปได้ว่าคณะเผด็จการทหารชุดนี้นำพาสังคมการเมืองไทยถอยหลังไปสามสิบกว่าปี

แทนที่เราจะเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วม โดยการขยายสิทธิเสรีภาพต่างๆ และทางเลือกทางการเมืองให้หลากหลายขึ้น เช่นเปิดให้มีพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของกรรมาชีพ หรือพรรคการเมืองที่ให้ความสนใจกับสิทธิทางเพศ สิทธิของชนกลุ่มน้อย สิทธิของแรงงานข้ามชาติ หรือเรื่องการสร้างสันติภาพในปาตานี แทนที่เราจะมีโอกาสพัฒนาสังคมให้เป็นรัฐสวัสดิการและลดความเหลื่อมล้ำ แทนที่เราจะเดินหน้ายกเลิกกฏหมาย 112 เพื่อสร้างความโปร่งใส แทนที่เราจะลดอิทธิพลของทหารในระบบการเมือง เราต้องถูกบังคับให้ย้อนกลับไปสู่สังคมอนุรักษ์นิยมที่ไม่มีพื้นที่สำหรับพลเมือง และเราต้องเดินถอยหลังไปสู่ระบบประชาธิปไตยจอมปลอมภายใต้อำนาจของทหารและอภิสิทธิ์ชน

ทั้งหมดนี้คือผลงานของทหาร ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม และชนชั้นกลาง “สลิ่ม” พวกนี้อ้าง “ชาติ ศาสนากษัตริย์” เพื่อดูถูกกดขี่พลเมืองส่วนใหญ่ เขาอ้างว่าคนส่วนใหญ่ไม่พร้อมจะมีประชาธิปไตย ทั้งๆที่พลเมืองไทยธรรมดาจำนวนมากออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วถูกทหารเข่นฆ่าอย่างเลือดเย็น ไม่ว่าจะในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือในการต่อสู้ของขบวนการเสื้อแดง

การทำลายประชาธิปไตย การขังคุกนักต่อสู้คนดีๆ การข่มขู่ผู้เรียกร้องเสรีภาพจนหลายคนต้องเงียบหายไปหรือออกจากประเทศ การกอบโกยผลประโยชน์ของทหารในการคอร์รับชั่น การเพิ่มงบประมาณในเรื่องสิ้นเปลืองเช่นการซื้ออาวุธ หรือการทุ่มเทเงินประชาชนในตำแหน่งหรือพิธีกรรมสำหรับคนชั้นสูงที่รวยเกินไปอยู่แล้ว และการทำลายสวัสดิการในระบบสาธารณสุขและการศึกษาของพวกเผด็จการ ภายใต้ลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาดแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ทั้งหมดนี้คือผลพวงของรัฐประหาร

แต่ตอนนี้เราเผชิญหน้ากับภัยร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง คือการถูกบังคับหรือกล่อมเกลาให้ชินกับสภาพเผด็จการ และการเลิกฝันนถึงสังคมใหม่ พูดง่ายๆ คือ ตอนนี้เราต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับการแปรตัวของคนจำนวนมากไปเป็น “ซอมบี้” ทางการเมืองและสังคม

ส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์การเป็นซอมบี้ มาจากการปราบปรามข่มขู่ของเผด็จการ แต่อีกส่วนที่สำคัญพอๆ กัน อาจเป็นสาเหตุหลักก็อาจว่าได้ คือการเมืองและยุทธศาสตร์ของฝ่ายเราเอง

ในประการแรกพรรคพวกของทักษิณในพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. สามารถแช่แข็งการต่อสู้ของเสื้อแดงจนขบวนการที่เคยยิ่งใหญ่เข้มแข็ง อ่อนตัวลงและหมดสภาพในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง มันคือการหักหลังความฝันของพลเมืองหลายล้านคนที่จะเห็นเสรีภาพและสังคมใหม่ และพวกเราปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่เราไม่ควรแปลกใจเท่าไร เพราะทักษิณและพรรคพวกก็ไม่ได้เป็นคนก้าวหน้าที่อยากเห็นประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เขาอาจมีความคิดทันสมัยในการแก้ปัญหาหลายอย่าง แต่เขายังต้องการปกป้องระบบชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในสังคม

ในประการที่สอง นักต่อสู้ที่หลุดพ้นแนวคิดของทักษิณ ไปหันหลังให้กับการสร้างขบวนการมวลชน หรือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และหันหลังให้กับการจัดตั้งทางการเมือง เช่นการสร้างพรรคการเมืองของคนชั้นล่างอีกด้วย เขามองว่าการออกมาแสดงจุดยืนของปัจเจกไม่กี่คน ในเชิงสัญลักษณ์ จะนำมาซึ่งประชาธิปไตยและเสรีภาพ แต่คนที่กล้าสู้แบบนี้ก็โดนปราบง่าย ทุกวันนี้บางคนติดคุก ส่วนคนที่นั่งอยู่บ้านเชียร์การกระทำของวีรชนดังกล่าว ก็ไร้อำนาจที่จะปกป้องเขาและเปลี่ยนสังคม นี่คือโศกนาฎกรรมของการต่อสู้ในยุคเผด็จการไอ้ยุทธ์

พร้อมกับโศกนาฏกรรมดังกล่าว เชื้อโรคที่ทำให้คนเป็นซอมบี้ ก็ปรากฏตัวในสังคม คนที่ควรจะรู้ดีกว่านี้เริ่มเรียกผู้นำเผด็จการชั่วว่า “ลุง” หรือ บิ๊ก” นำหน้าชื่อเล่นของมัน เหมือนกับว่าพวกนี้เป็นผู้ใหญ่ใจดีหรือคนที่เราควรเคารพ บางกลุ่มเริ่มออกมาเรียกร้องให้เผด็จการแก้ปัญหาต่างๆ ให้ เหมือนกับว่ามันเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรม ท่ามกลางความหดหู่หลายคนหยุดการเคลื่อนไหวทางปัญญาโดยสิ้นเชิง และหมดความหวังไปเลย หรือตั้งความหวังไว้กับการปฏิรูปการเมืองจอมปลอม และมันยากที่จะฟื้นตัวจากสภาพเช่นนี้

สภาพซอมบี้มันรักษาได้ ยังไม่สายเกินไป แต่เราต้องทำงานจัดตั้งทางความคิดแบบใต้ดิน เพื่อร่วมกันศึกษาแลกเปลี่ยนเรื่องปัญหาการเมืองและสังคม และเพื่อขยายเครือข่ายประชาธิปไตย เตรียมพร้อมที่จะปรากฏตัวในสังคมเปิดเมื่อโอกาสเหมาะสม และเพื่อเดินหน้าโค่นเผด็จการในอนาคต