ต้นกำเนิดทัศนะแย่ๆ ของ อองซานซูจี ต่อชาวโรฮิงญา

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในรอบหกสิบปีที่ผ่านมา เผด็จการทหารพม่ากดขี่พลเมืองทั้งในเรื่องประชาธิปไตยและในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางเชื้อชาติพร้อมๆกัน และทุกวันนี้ แม้ว่ามีการเลือกตั้งจอมปลอมและ อองซานซูจี ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศภายใต้อำนาจทหาร สถานการณ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ล่าสุดรัฐบาลพม่าได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา โดยที่ อองซานซูจี แก้ตัวแทนผู้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี จะสลดใจและผิดหวัง แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี แต่อย่างใด

ดินแดนที่เรียกว่าพม่า มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติมาตั้งแต่สมัยที่อังกฤษเข้ามาล่าอณานิคม นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ชื่อ Martin Smith  อธิบายว่าปัญหาทางเชื้อชาติในพม่า รุนแรงขึ้นเมื่อมีการพยายามรวมศูนย์รัฐชาติในยุคหลังเอกราช ในสภาพดั้งเดิมชุมชนต่างๆ มีลักษณะกระจัดกระจายและหลากหลายทางเชื้อชาติ แม้แต่ในยุคท้ายของการปกครองของอังกฤษก็ยังไม่มีการรวมศูนย์อำนาจในพม่าตอนเหนืออย่างสมบูรณ์ และแน่นอนอังกฤษใช้ระบบ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง” ซึ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติต่างๆ อีกด้วย

เมื่อคนงานท่าเรือพม่านัดหยุดงาน อังกฤษนำคนงานเชื้อสายอินเดียเข้ามาทำงานแทน ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างอันหนึ่งของพวกนักชาตินิยมพม่า ในการเหยียดคนเชื้อสายอินเดีย นอกจากนี้ขบวนการชาตินิยมพม่ามักเหมารวมคนเชื้อสายอินเดียว่าเป็นพวกปล่อยกู้หน้าเลือด ทั้งๆ ที่ชาวพม่าจำนวนไม่น้อยก็ปล่อยกู้และเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูงเช่นกัน

สถิติเกี่ยวกับสถานภาพเชื้อชาติต่างๆ ในพม่าไม่ชัดเจน  แต่ที่สำคัญคือในครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศ มีผู้คนอาศัยอยู่ที่ไม่ใช่เชื้อชาติ “พม่า” ซึ่งอาจมีจำนวน 35-50% ของประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศพม่ามีชาติพันธุ์ที่หลากหลายมานาน ไม่ได้แปลว่ามีความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดย “ธรรมชาติ” เพราะมีประวัติอันยาวนานของการดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ยิ่งกว่านั้น Smith มองว่าวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ละเชื้อชาติไม่ได้ถูกอนุรักษ์แช่แข็งอยู่กับที่ แต่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการปรับตัวระหว่างเชื้อชาติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นผ่านการค้าขายและการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย

การที่ผู้นำขบวนการชาตินิยมพม่าอย่าง อองซาน (บิดาของ อองซานซูจี) พยายามสร้างรัฐรวมศูนย์ที่คนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาว “พม่า” มองว่าตนเองจะถูกควบคุมโดยชาว “พม่า” เป็นปัญหาแต่แรก อองซานไม่ยอมรับว่าประชาชนเชื้อชาติต่างๆ นอกจากชาว “พม่า” และชาวฉาน (ไทใหญ่) มีความเป็นชาติจริง และกองทัพกู้เอกราชของอองซาน ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเด็กและสตรีกะเหรี่ยงกว่า 1,800 คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการเชื้อชาติ คะฉิ่น กะเหรี่ยง คะเรนนี่ มอญ ว้า และอะระกัน ไม่ยอมมาร่วมประชุม ปางโหลง (Panglong) ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ และไม่ไว้ใจผู้นำพม่าอย่าง อองซาน และอูนุ แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าก็ยังไม่มีความอ่อนไหวต่อประเด็นเชื้อชาติเท่าที่ควร

อูนุ ซึ่งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากที่ อองซาน ถูกยิงตาย มีนโยบายระหว่างปี ค.ศ. 1954-1956 ที่จะส่งเสริมศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติ และประกาศว่าพม่าใช้การปกครองที่อิง “พุทธสังคมนิยม” ซึ่งนโยบายดังกล่าวสร้างความแตกแยกและความไม่พอใจในหมู่ชนชาติอื่นๆ ที่ ไม่นับถือพุทธ  ยิ่งกว่านั้นเมื่อนายพลเนวินทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐในปี ค.ศ. 1962 มีการใช้กำลังในการบังคับรวมศูนย์ประเทศมากขึ้น เพราะกองทัพพม่าไม่ยอมพิจารณาสิทธิใดๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ในการปกครองตนเองเลย

การเน้นศาสนาพุทธแบบสุดขั้วบวกกับการเหยียดหยามคนเชื้อสายอินเดีย นำไปสู่การสร้างกระแสเกลียดชังชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นคนที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวบังคลาเทศ แต่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าพม่ามาตลอด

ในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี เพราะเขามีจุดยืนเกี่ยวกับเชื้อชาติที่เน้นแต่ความเป็นใหญ่ของชาว “พม่า” ไม่ต่างจากจุดยืนของพ่อ ในอดีตในหนังสือของ อองซานซูจี มีการเอ่ยถึงความสามารถของชนชาติอิ่นๆ ในการ “ร้องรำทำเพลง” หรือในการ “เป็นพี่เลี้ยงเด็ก” มากกว่าที่จะเคารพว่าปกครองตนเองได้  และที่สำคัญคือพรรค National League for Democracy (N.L.D.) ของ อองซานซูจี มีนโยบายที่กีดกันคนมุสลิม

จุดยืนล่าสุดของ อองซานซูจี ที่ปล่อยให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิง และคำพูดโกหกของเขาว่าพวกโรฮิงญาไม่ใช่พลเมืองของประเทศพม่า หรือคำโกหกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการ “ก่อการร้าย” ของชาวโรฮิงญา แสดงธาตุแท้ของแนวคิด “พม่านิยม” สุดขั้วของ อองซานซูจี จุดยืนแย่ๆ ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขาให้ความสำคัญกับการเอาใจทหารเพื่อขึ้นมามีตำแหน่ง และการเอาใจแม้แต่พระสงฆ์ฟาสซิสต์อย่างวีระธู โดยมีวัตถุประสงค์ในการปลุกทัศนะเหยียดคนมุสลิมเพื่อรักษาฐานเสียงของตนเองในหมู่ชาวพุทธอีกด้วย สรุปแล้วจุดยืนของ อองซานซูจี ไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด และจะไม่นำไปสู่เสรีภาพของพลเมืองประเทศพม่า ไม่ว่าจะชนชาติใด

[ อ่านเพิ่ม http://bit.ly/1sH06zu

และอ่านประกอบเรื่องทัศนะสังคมไทยต่อผู้ลี้ภัย http://bit.ly/1TUGqhz ]

สถาบันกษัตริย์จะมีความสำคัญน้อยลงในรัชกาลใหม่

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทั้งๆ ที่งานศพของนายภูมิพลเป็นงานใหญ่โตมโหฬารที่เปลืองทรัพยากรของชาติมากมาย แต่หลังจากนี้สถาบันกษัตริย์อาจจะมีความสำคัญน้อยลงสำหรับชนชั้นปกครองไทยและกองทัพ

นายภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไร้ความกล้าหาญ บทบาทหน้าที่แท้ของนายภูมิพล คือในการให้ความชอบธรรมกับทุกอย่างที่ชนชั้นปกครองไทยทำ โดยเฉพาะทหาร และนายภูมิพลเต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของทหารที่คอยทำรัฐประหาร กีดกันประชาธิปไตย และถ่วงความเจริญทางเศรษฐกิจของประชาชน นอกจากนี้นายภูมิพลสามารถสะสมทรัพย์สินมหาศาลจากการทำงานของประชาชน จนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทยและกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ในขณะเดียวกันนายภูมิพลก็เสนอว่า “ราษฎร” ควรพึงพอใจในความยากจนของตนเอง ผ่านลัทธิ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ให้ความชอบธรรมกับลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว ลัทธินี้เป็นลัทธิโปรดของเผด็จการทหารและพรรคประชาธิปัตย์

แต่นายวชิราลงกรณ์แตกต่างจากพ่อ เขามีพฤติกรรมผิดเพี้ยนซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ รวมถึงพวกทหารและพวก “รักเจ้า” ไม่สามารถเคารพเขาได้ นอกจากนี้เขาไม่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม เพราะอยากจะเสพสุขอย่างเดียว ลักษณะแบบนี้ทำให้เขาอ่อนแอทางอำนาจยิ่งกว่าพ่ออีก และสร้างปัญหาสำหรับทหารในการใช้ตัวเขาเพื่อให้ความชอบธรรมกับเผด็จการหรือสิ่งอื่นๆ ที่ทหารทำ

ดังนั้นเผด็จการทหารกำลังแสวงหาสิ่งที่จะเข้ามาใช้งานได้แทนบทบาทเดิมของกษัตริย์ สิ่งนี้คือ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ”

“ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” เป็นแผนเพื่อต่ออายุอิทธิพลของเผด็จการทหารออกไปในอนาคตอันไกล มันมีการร่างขึ้นเพื่อเป็น “หลักการศักดิ์สิทธิ์” ที่ไม่มีใครค้านได้ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” นี้มีสถานภาพเหนือกฏหมายทุกฉบับและสถาบันสาธารณะทุกแห่ง ประยุทธ์กับพรรคพวกได้แต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ โดยที่ศาลเตี้ยรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการเลือกตั้ง จะช่วยในการบริหารและปรามคนที่คิดต่าง

“ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ถูกสร้างขึ้นภายใต้ข้ออ้างเท็จว่ามันจะปฏิรูปการเมือง สร้างความสามัคคีปรองดอง และป้องกันไม่ให้มีความวุ่นวาย นอกจากนี้มันเป็นหลักประกันว่า “คนดี” ที่รักและเคารพเผด็จการ จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง

แน่นอนพวกชนชั้นปกครองไทยจะยังคงใช้ลัทธิล้าหลัง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ต่อไป และจะใช้กฏหมาย 112 กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทหารทำ แต่ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” จะมีความสำคัญมากขึ้นจนอาจเทียบเท่าฐานะและความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ภูมิพลในอดีต

เราไม่ควรแปลกใจที่บทบาทของกษัตริย์เปลี่ยนไป เพราะมันไม่เคยเป็นสิ่งที่แช่แข็งหยุดนิ่ง ในสมัยก่อน ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ การให้ความชอบธรรมกับเผด็จการทหาร จะมาจากการปลุกผีคอมมิวนิสต์ และการอ้างถึงความสำคัญของลัทธิ “ชาติ ศาสนา กษัตริย์” กษัตริย์ภูมิพลในยุคนั้นเป็นสัญญลักษณ์ของการต่อต้านคอมมิวนิสต์มากกว่าสิ่งอื่น และเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในลัทธิทหาร การปั้นนายภูมิพลขึ้นมาเป็นผู้อัจฉริยะในทุกด้าน และอาการคลั่งกษัตริย์และเชิดชูเขาเป็นเทวดา พึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่คอมมิวนิสต์หมดสภาพ ในยุคนั้นนายภูมิพลกลายเป็นอะไรที่สำคัญกว่าชาติหรือศาสนาสำหรับความชอบธรรมของชนชั้นปกครอง

นอกจากนี้การใช้กฏหมาย 112 ในลักษณะที่ไม่ได้ปกป้องตัวกษัตริย์โดยตรง ก็เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา โดยที่ทหารใช้ 112 กับคนที่วิจารณ์หรือต่อต้านรัฐประหาร และล่าสุดเราก็เห็นข่าวที่ ส.ศิวรักษ์ โดนคดี 112 เพราะเสนอว่ายุทธหัตถีของพระนเรศวรอาจไม่เคยเกิดขึ้นจริง ในกรณีนี้  ส.ศิวรักษ์ กำลังท้าทายลัทธิชาตินิยมไทยสุดขั้ว ที่ถูกสร้างขึ้นมาผ่านนิยายเรื่องกษัตริย์ในอดีต และลัทธิชาตินิยมแบบนี้ก็มีความสำคัญกับทหารพอสมควร

และทุกวันนี้มีการขยายกฏหมายเผด็จการแบบ112ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญอีกด้วย คือถ้าใครวิจารณ์ก็มีสิทธิ์ติดคุก บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ควบคู่กับยุทธศาสตร์แห่งชาติ และศาลนี้เคยร่วมมือกับทหารในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศอินโดนีเซีย เราจะเห็นอะไรที่คล้ายๆ หลัก “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ของประยุทธ์ นั้นคือลัทธิปัญจศีลา (Pancasila) ลัทธินี้จัดตั้งขึ้นมาเป็นลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของชาติ โดยประธานาธิบดีซุการ์โน ต่อมามีการใช้อย่างเคร่งครัดโดยเผด็จการของนายพลซุฮาร์โต ผู้นำอินโดนีเซียที่ใช้ลัทธิปัญจศีลา มักจะเอ่ยถึงยุคความวุ่นวายหลังอินโดนีเซียได้เอกราช และในรูปธรรมปัญจศีลาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ปราบปรามฝ่ายซ้าย กลุ่มศาสนาที่รัฐไม่เห็นด้วย ผู้ที่ต้องการแยกประเทศเพื่ออิสรภาพ และ ถูกใช้เพื่อลดสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยภายใต้อำนาจเผด็จการอีกด้วย [อ่านเพิ่มบทที่ 6 เรื่องปัญจศีลา http://bit.ly/1sH06zu ]

ในกรณีไทย พวกชนชั้นปกครองฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะสร้างความชอบธรรมกับตนเอง ด้วยการเอ่ยถึง “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” เหมือนกับว่ามันเป็นกฏหมายศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าบนฟ้าประทานให้ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่เอกสารที่พวกทหารเขียนขึ้นเอง

พูดง่ายๆ ทหารจะพยายามให้ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” เป็น “กษัตริย์” รูปแบบใหม่ ส่วนกษัตริย์วชิราลงกรณ์ก็จะเสพสุขที่เยอรมันต่อไปและทหารคงหวังว่าเขาจะอยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่สร้างข่าวอื้อฉาวบ่อยเกินไป

เผด็จการจะสำเร็จหรือไม่ในความพยายามเกี่ยวกับ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ”  ขึ้นอยู่กับว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่ยอมรับแนวของเผด็จการหรือไม่ และถ้าเราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจะต้องรณรงค์และสร้างขบวนการที่สามารถต่อต้านแนวคิดแบบนี้ของทหารอย่างจริงจัง

บทความยาวเรื่องนี้ภาษาอังกฤษ http://bit.ly/2xGDiSu 

ทำไมพวกนายพลเผด็จการไม่ละอายใจที่จะพูดขยะ?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตลอดเวลาที่เผด็จการทหารชุดนี้ครองอำนาจ พวกนายพลในคณะเผด็จการชอบออกมาพูดขยะเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นประยุทธ์หรือประวิตร ดูเหมือนจะแข่งกันหาคำพูดขยะมาเสนอต่อประชาชนตลอด เช่นการอ้างว่าเขาปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มีการเลือกตั้ง หรือการประกาศว่าตนเป็นนักประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ยึดอำนาจผ่านการทำรัฐประหาร

คำถามคือพวกโจรใส่เครื่องแบบเหล่านี้ ทำไมหน้าด้านไม่ละอายใจที่จะพูดแบบนี้ในเวทีสาธารณะ คำตอบที่อยากจะให้คือ “เพราะมันโง่” แต่นั้นคงไม่จริง มันคงมีสาเหตุอื่นอยู่เบื้องหลัง

ในแง่สำคัญพวกเผด็จการป่าเถื่อนเหล่านี้มันก้าวร้าวและหยิ่ง ความหยิ่งของอันธพาลสามัญย่อมมาจากการถืออาวุธ เผด็จการทหารก็ไม่ต่างออกไป เวลาถือปืนจะพูดขยะอะไรก็ได้ เพราะไม่ค่อยมีคนกล้าเถียงหรือวิจารณ์ และในกรณีที่มีใครกล้าเถียงก็จะจับไป “ปรับทัศนคติ” ในค่ายทหาร หรือยัดข้อหา 112

ในอีกแง่หนึ่ง คณะเผด็จการ ไม่จำเป็นต้องถูกประชาชนตรวจสอบผ่านระบบเลือกตั้ง มันเลยคิดจะพูดอะไรก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ แต่นักการเมืองที่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งจะต้องคำนึงถึงความเห็นของประชาชนต่อสิ่งที่ตนเองพูดหรือกระทำเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะในการเลือกนักการเมือง

ในแง่ที่สาม พวกคณะเผด็จการอาจคิดว่าพลเมืองไทยโง่ และพร้อมจะเชื่อขยะทุกรูปแบบที่ออกมาจากปากทหาร แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่คนไม่สนใจคำพูดของพวกนี้เท่าไร และมองว่าโกหกหรือไร้สาระ

แต่นอกจากนี้ มันอาจมีอีกเหตุผลหนึ่งที่คณะเผด็จการชอบพูดว่ามันเป็นนักประชาธิปไตย เพราะตอนนี้มันกำลังออกแบบระบบประชาธิปไตยจอมปลอมแบบพม่า คือจะมีการเลือกตั้งเป็นพิธีกรรม เพื่อดูดี ภายในกรอบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพโดย “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ที่มันร่างเอง และ “คณะกกรมการยุทธ์ศาสตร์แห่งชาติ” ที่มันใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสืบทอดอำนาจ ตรงนี้เป้าหมายของการพูดถึงประชาธิปไตยบ่อยๆ คือการสร้างภาพลวงตา เพื่อให้คนไทยบางส่วน โดยเฉพาะคนชั้นกลาง หลอกตัวเองว่าในอนาคตไทยจะเป็นประชาธิปไตยของ “คนดี”

พวกทหารอาจคำนวณว่าภาพลวงตานี้อาจเพียงพอที่จะเป็นข้อแก้ตัวสำหรับรัฐบาลตะวันตก รัฐบาลตะวันตกต้องการเหลือเกินที่จะยอมรับว่าไทย “กลับสู่ประชาธิปไตยแล้ว” ทั้งๆ ที่ใครๆ คงมองออกว่ามันไม่ใช่ การแสวงหาข้อแก้ตัวเพื่อให้รัฐบาลตะวันตกกลับมาคบผู้นำไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับรัฐบาลเหล่านั้น เพราะจริงๆ แล้วการพูดว่าไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการของไทย บ่อยครั้งเป็นคำพูดนามธรรมเพื่อให้ดูดีในสายตาพลเมืองตะวันตก

ในความเป็นจริง เราเห็นว่ารัฐบาลอังกฤษพร้อมจะเชิญคนอย่างประวิตร ไปเที่ยวงานขายอาวุธที่ลอนดอน ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับนายพลหน้าหมูคนนี้ ที่จะคบค้าสมาคมกับทรราชจากทั่วโลกที่ไปเที่ยวงานเดียวกัน แล้วในที่สุดทหารไทยก็จะได้อาวุธเพิ่มและบริษัทตะวันตกจะได้กำไร

ส่วนรัฐบาลสหรัฐ ก็ผูกมิตรกับประยุทธ์มือเปื้อนเลือดและพร้อมจะขายอาวุธให้ นอกจากนีั้มีการฝึกทหารร่วมกับกองทัพไทยอีกด้วย

ในแวดวงการทูตต่างๆ ของรัฐบาลทั่วโลก อุดมการณ์ประชาธิปไตยมักจะไม่มีความสำคัญ ที่สำคัญคือการแข่งกันระหว่างมหาอำนาจ เช่นการแข่งกันระหว่างจีนกับสหรัฐเพื่อมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย และการหาโอกาสที่จะค้าขายสร้างกำไรให้กลุ่มทุนของประเทศตนเองก็เป็นเรื่องสำคัญ นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลตะวันตกขายอาวุธให้ทรราชทั่วโลกโดยไม่เลือกหน้า

เราหนีไม่พ้นข้อสรุปว่า ถ้าเราจะกำจัดอิทธิพลและมรดกของเผด็จการ เพื่อสร้างประชาธิปไตยแท้ คนไทยจะต้องรวมตัวกันปลดแอกตนเอง จะไม่มีใครทำให้ และนอกจากนี้เราหวังอะไรไม่ได้เลยจากพรรคพวกของทักษิณอีกด้วย เพราะเขาแช่แข็งทำลายการต่อสู้มาหลายปีแล้ว

จาก คาทาโลเนีย ถึงปาตานี

ใจ อึ๊งภากรณ์

การต่อสู้ของชาวคาทาโลเนีย[1]เพื่อแยกตัวออกจากรัฐสเปน และก่อตั้งสาธารณรัฐอิสระ เป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพพื้นฐานของพลเมืองในการกำหนดอนาคตตนเอง และเราทุกคนที่รักเสรีภาพประชาธิปไตยควรจะสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข ในลักษณะเดียวกันเราควรสนับสนุนชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานีที่ต้องการเสรีภาพจากรัฐไทย

การปราบปรามชาวคาทาโลเนียที่เพียงแต่ต้องการจะไปลงประชามติ โดยรัฐสเปนที่ใช้ตำรวจปราบจลาจลระดับชาติ และกองกำลัง Guardia Civil นำไปสู่การกระทำอันความป่าเถื่อนของฝ่ายรัฐสเปน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการนัดหยุดงานทั่วไปเพื่อเป็นการประท้วง และก่อนหน้านั้นกรรมาชีพดับเพลิงและกรรมาชีพท่าเรือมีบทบาทในการพยายามปกป้องประชาชนจากความป่าเถื่อนของตำรวจ

ข้ออ้างของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมของสเปนคือ รัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ภายใต้อิทธิพลของนายพลฟรังโกซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการฟาสซิสต์ เขียนไว้ว่าประเทศสเปนจะแบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งไม่ต่างเลยจากรัฐธรรมนูญไทย เพราะไทยมีมาตราแบบนี้มาตั้งแต่เผด็จการฝ่ายขวาของไทยขึ้นมามีอำนาจ อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๗๕ ที่ร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของ อ. ปรีดี ไม่มีมาตราดังกล่าวเลย และ อ. ปรีดี เคยสนับสนุนการปกครองตนเองของชาวปาตานีอีกด้วย ดังนั้นการต่อสู้ของชาวคาทาโลเนีย มีประเด็นที่อาจทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเราควรสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของชาวปาตานีที่จะกำหนดอนาคตตนเอง

กษัตริย์ราชวงอื้อฉาวของสเปนได้ออกมาด่าชาวคาทาโลเนียอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งไม่ต่างจากราชินีไทยที่เคยพูดว่าอยากจับปืนสู้กับขบวนการต้านรัฐไทยในกรณีปาตานี

ถ้าเราจะเข้าใจเหตุการณ์ในคาทาโลเนียในขณะนี้เราต้อง ศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติสเปน

ในปี 1936 นายพล ฟรังโก พยายามทำรัฐประหารฟาสซิสต์เพื่อล้มรัฐบาล “สาธารณรัฐ” ของสเปนที่มาจากการเลือกตั้ง  ซึ่งรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแนวร่วมระหว่างพรรคนายทุนและพรรคฝ่ายซ้าย แต่ชนชั้นกรรมาชีพ พรรคฝ่ายซ้าย และองค์กรอนาธิปไตยสเปน ลุกฮือจับอาวุธจากกองทัพเพื่อต่อสู้กับฟรังโกและพวกฟาสซิสต์ การต่อสู้ในขั้นตอนแรกมีรูปแบบการยึดเมือง ยึดสถานที่ทำงาน และยึดที่ดินในชนบท มันเป็นการพยายามปฏิวัติล้มระบบทุนนิยมพร้อมๆ กับการต่อสู้กับทหารเผด็จการ

นักเขียนชื่อ จอร์ช ออร์เวล ในหนังสือ “แด่คาทาโลเนีย” อธิบายจากประสบการณ์โดยตรงในคาทาโลเนียว่า “มันเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นเมืองที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นใหญ่ ทุกตึด ทุกสถานที่ทำงาน ถูกกรรมาชีพยึดแล้วเปลี่ยนเป็นสหกรณ์การผลิต แม้แต่คนขัดรองเท้าข้างถนนยังมีสหกรณ์ คนเสริฟอาหาร และคนขายของตามร้านค้า ที่เคยก้มหัวให้ลูกค้าหรือคนรวย จะยืนตรงและกล้ามองหน้าทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีการเลิกใช้ภาษาของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่ รถยนต์ส่วนตัวไม่มีเหลือ กลายเป็นของส่วนรวมหมด และคนชั้นกลางและคนรวยหายไปจากเมือง ทุกคนมีความหวังในอนาคตอันสดใสที่มีการปลดแอกมนุษย์… มนุษย์กำลังพยายามทำตัวเป็นมนุษย์ที่แท้จริง”

ท่ามกลางกระแสการปฏิวัตินี้ มีสถานการณ์ “อำนาจคู่ขนาน” เกิดขึ้น ในเมือง บาซาโลนา อย่างที่เคยเกิดในรัซเสียเมื่อต้นปี 1917 คือมีรัฐบาล “พรรคสาธารณรัฐ” ที่เป็น “อำนาจทางการ” แต่อำนาจจริงอยู่ในมือของสหภาพแรงงาน องค์กรอนาธิปไตย (CNT) และพรรคฝ่ายซ้าย “สามัคคีแรงงานมาร์คซิสต์” (POUM) ที่เป็นฝ่ายปฏิวัติ ปัญหาคือองค์กรการเมืองสององค์กรหลักของกรรมาชีพคาทาโลเนีย ไม่ยอมตั้งสภาคนงาน เพื่อรวมศูนย์อำนาจกรรมาชีพ และล้มระบบเก่าเพื่อสร้างรัฐใหม่ พวกอนาธิปไตยมีอิทธิพลมากที่สุด และเขาไม่เห็นด้วยกับการรวมศูนย์อำนาจหรือการสร้างรัฐใหม่

ฝ่ายฟาสซิสต์ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันศาสนาคริสต์นิกายแคทอลลิค และได้รับการสนับสนุนด้วยอาวุธ กับเครื่องบินทิ้งระเบิด จากรัฐบาลนาซีในเยอรมันและรัฐบาลพรรคฟาสซิสต์ในอิตาลี่ แต่ประเทศ “ประชาธิปไตย” ตะวันตก อย่างอังกฤษและแม้แต่ฝรั่งเศส ประกาศว่าจะ “เป็นกลาง” อย่างไรก็ตาม มวลชนฝ่ายซ้ายจากยุโรปและทวีปอเมริกาจำนวนมาก เข้าไปเป็นอาสาสมัครในการสู้รบกับฟาสซิสต์ที่สเปน

ในไม่ช้า สตาลิน มีคำสั่งให้พรรคคอมมิวนิสต์สเปน ช่วยยับยั้งการปฏิวัติ และเปลี่ยนการต่อสู้จากการปฏิวัติไปเป็นสงครามทางทหารแบบกระแสหลักกับฝ่ายฟาสซิสต์ “เพื่อประชาธิปไตย” ทั้งนี้เพราะ สตาลิน ต้องการรักษามิตรภาพกับอังกฤษและฝรั่งเศส มีการใช้กองกำลังของรัฐบาล “พรรคสาธารณรัฐ” ในการปราบพวกอนาธิปไตย (CNT) และพรรค “สามัคคีแรงงานมาร์คซิสต์” (POUM) ในเมือง บาซาโลนา

สรุปแล้วการจำกัดการต่อสู้ และการยับยั้งการปฏิวัติ ที่พรรคคอมมิวนิสต์สเปนกระทำ ตามคำสั่งของสตาลิน จบลงด้วยความพ่ายแพ้และโศกนาฏกรรม เพราะเผด็จการฟาสซิสต์ของฟรังโกสามารถครองอำนาจในสเปนถึง 40 ปี

ในขณะที่รัฐบาลฟาสซิสต์ครองอำนาจ มีการกดขี่ประชาชนอย่างหนัก โดยกองกำลังหลักของฟาสซิสต์คือตำรวจ Guardia Civil และคนพื้นเมืองในภูมิภาค คาทาโลเนีย กับ บาส์ค ที่มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ถูกห้ามไม่ให้ใช้ภาษาพื้นเมือง

จริงๆ แล้วรัฐสเปนไม่เคยเป็นรัฐเอกภาพ เพราะในหลายพื้นที่มีพลเมืองที่มีภาษาและประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสร้างรัฐรวมศูนย์ย่อมอาศัยการบังคับด้วยความรุนแรงเสมอ

ล่าสุดกระแสเรียกร้องเสรีภาพของชาวคาทาโลเนียระเบิดขึ้นเมื่อรัฐบาลกลางไม่ยอมปฏิรูปการปกครองเพื่อเพิ่มออำนาจให้กับรัฐบาลท้องถิ่นของ คาทาโลเนีย ผลคือพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและพรรคที่สนับสนุนการแยกประเทศก็ชนะการเลือกตั้งในพื้นที่นี้ รัฐบาลท้องถิ่นของ คาทาโลเนีย พยายามจะนำนโยบายก้าวหน้าหลายอย่างมาใช้ เช่นกฎหมายห้ามการไล่คนจนออกจากบ้านเมื่อไม่สามารถจ่ายค่าเช่า ห้ามตัดไฟบ้านคนจนที่ติดหนี้ กฏหมายเก็บภาษีจากการผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อส่งเสริมพลังงานทางเลือก กฏหมายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมของสตรีในสถานที่ทำงาน และห้ามการลวนลามทางเพศ หรือกฏหมายห้ามการสู้กระทิง แต่ศาลรัฐธรรมนูญสเปนออกมาล้มทุกกฏหมาย

พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญสเปนก็ไม่ต่างจากศาลรัฐธรรมนูญไทย

ในประเด็นเรื่อง คาทาโลเนีย กับ ปาตานี ส่วนที่คล้ายกันคือรัฐบาลกลางใช้อำนาจและความรุนแรงในการรวมประเทศ และในการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความชอบธรรมกับการรวมประเทศ โดยไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของคนพื้นเมือง และมีการกดขี่ภาษาและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง มันหมายความว่าเราจะต้องสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของชาวมเลย์มุสลิมในปาตานีที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง รวมถึงการแยกประเทศด้วย ในขณะเดียวกันพลเมืองทุกคนในปาตานี ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด ควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะอาศัยอยู่ในรัฐแบบไหนในอนาคต

สิ่งที่เกิดขึ้นในคาทาโลเนียอาจเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับชาวปาตานีด้วย เพราะในกรณีคาทาโลเนียมีการอาศัยพลังมวลชน รวมถึงพลังกรรมาชีพ ในการต่อสู้ แทนที่จะเน้นกองกำลังติดอาวุธ และการใช้พลังมวลชนดังกล่าวที่คาทาโลเนียมีความเข้มแข็งมาก

[1] คนพื้นเมืองออกเสียงว่า “กาตาลูญญา”

สุธาชัยที่ผมรู้จักเป็นนักสังคมนิยม

ใจ อึ๊งภากรณ์

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เป็นนักสังคมนิยมปฏิวัติจนถึงวันตาย นี่คือจุดเด่นของเขาที่ผมปลิ้มที่สุด แน่นอนมนุษย์ทุกคนมีหลายด้าน และสุธาชัยก็คงไม่ต่างออกไป

นอกจากนักสังคมนิยมแล้วเขาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นเสื้อแดง เป็นนักประวัติศาสตร์ และเป็นคนชอบใส่รองเท้าแตะ เขาคงเป็นอะไรอีกมากมายที่ผมไม่รู้ เพราะเขาคงเป็นมนุษย์เต็มตัวที่มีความหลากหลายรอบด้าน

แต่ในขณะนี้ผมและสหายหลายคงกำลังกังวลว่าความเป็นนักสังคมนิยมปฏิวัติของสุธาชัยกำลังถูกลืมโดยคนที่ต้องการบิดเบือนจุดยืนของเขา บางคนกระทำไปแบบนี้เพื่อให้ความชอบธรรมกับการเปลี่ยนจุดยืนของตนเอง ในขณะที่สุธาชัยจริงๆ แล้วไม่ได้เปลี่ยนจุดยืน

เลนิน ในย่อหน้าแรกของหนังสือ “รัฐกับการปฏิวัติ” เคยเขียนว่า “ในเวลาที่บรรดานักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่มีชีวิตอยู่ ชนชั้นปกครองและพรรคพวกพากันจองล้างจองผลาญพวกเขามิรู้หยุดหย่อน ต้อนรับคำสอนของพวกเขาด้วยความมุ่งร้ายอย่างป่าเถื่อน และความจงเกลียดจงชังอย่างเข้ากระดูกดำ พร้อมกับรณรงค์ใส่ร้ายป้ายสีอย่างไร้หิริโอตัปปะ ทว่าพอพวกเขาตายไปกลับบังเกิดความพยายามที่จะเนรมิตพวกเขาให้เป็นรูปเคารพที่ไร้พิษสง สวมคราบนักบุญให้กับพวกเขา ขณะเดียวกันก็กลับบั่นทอนสารัตถะแห่งคำสอนปฏิวัติ ทำให้คมปฏิวัติแห่งคำสอนบิ่นทื่อ”

ขณะนี้อาจมีคนที่มีพฤติกรรมต่อสุธาชัย อย่างที่เลนินเคยบรรยาย

ผมรู้จักสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ก่อนที่ผมจะกลับไปสอนหนังสือที่ไทย เพราะผมอ่านหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทยเล่มหนึ่งของเขา ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้ว และผมไม่ได้เอาติดตัวผมไปตอนที่ต้องย้ายบ้านจากไทยกระทันหันเมื่อแปดปีก่อน แต่เมื่อเขาติดต่อกับผมที่อังกฤษตอนนั้น ผมตื่นเต้นที่จะพบเขา และชวนมาที่บ้านที่ออคซ์ฟอร์ด เพื่อมาคุยกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจเกี่ยวกับสุธาชัยตอนเขามาเยี่ยมผมเป็นครังแรกคือเขาใส่รองเท้าแตะและมีความเรียบง่ายเป็นกันเอง การใส่รองเท้าแตะในอังกฤษเป็นเรื่องน่าแปลกใจด้วยเพราะอากาศมันหนาว ตอนนั้นเขาเล่าให้ผมฟังว่าเขามาเรียนหรือวิจัยที่อังกฤษและโปรตุเกส และตอนอยู่อังกฤษเขาสมัครเป็นสมาชิก “พรรคสังคมนิยมกรรมาชีพ” (Socialist Workers Party) ที่อังกฤษ ซึ่งเป็นพรรคมาร์คซิสต์สายตรอทสกี้ และผมก็เป็นสมาชิกพรรคนี้มาตั้งแต่ปี 1977 หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ด้วย เพราะตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาที่อังกฤษ ทุกวันนี้ผมก็เป็นสมาชิกพรรคนี้ และพอมาเมืองไทยและมาสอนที่จุฬาฯ ผมก็มีส่วนในการก่อตั้ง “กลุ่มประชาธิปไตยแรงงาน” และ “เลี้ยวซ้าย”

สหายยิ้มกับสหายวิภา

สิ่งที่น่าปลื้มเกี่ยวกับสุธาชัยคือ เขาเป็นนักสากลนิยม อยู่ประเทศไหนก็เข้ากับพวกสังคมนิยมที่นั้น ทั้งๆ ที่สุธาชัยเป็นนักสังคมนิยมแบบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสายเหมาเจ๋อตุง ซึ่งไม่น่าจะเข้ากับสังคมนิยมสายตรอทสกี้ได้ แต่เขามองว่าควรจะสามัคคีฝ่ายซ้ายไปก่อน

เมื่อผมย้ายมาสอนที่รัฐศาสตร์จุฬาฯ ผมได้รู้จักสุธาชัยมากขึ้น เพราะเขาสอนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และที่รู้จักกันดีคือผ่านการทำงานร่วมกันในการชำระประวัติศาสตร์เหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙ สุธาชัยกับผมมีอุดมการณ์ร่วมในเรื่องนี้ เพราะเราทั้งสองเป็นนักสังคมนิยม และเราชัดเจนว่าชนชั้นปกครองไทยก่ออาชญากรรมรัฐ ๖ ตุลา เพื่อพยายามกำจัดแนวสังคมนิยมออกจากสังคมไทย แต่ในเรื่องรายละเอียดว่าสังคมนิยมหมายความว่าอะไร สุธาชัยก็คงเส้นคงวาปกป้องแนวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รวมถึงแนวเหมาเจ๋อตุง ในขณะที่ผมชัดเจนว่าเป็นแนวตรอทสกี้ หนังสือที่เราผลิตร่วมกันชื่อ “อาชญากรรมรัฐในวิกฤติการเปลี่ยนแปลง” โดยคณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  เขียนโดย ใจ อึ๊งภากรณ์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และคณะ (๒๕๔๔)

แนวทางการเมืองของตรอทสกี้จะเน้นพลังชนชั้นกรรมาชีพที่ควรจะเป็นหัวหอกในการต่อสู้ และจะต่อต้านความเป็นเผด็จการของสตาลินอีกด้วย ส่วนแนวทางการเมืองของ พคท. จะเห็นด้วยกับสตาลิน และเน้นกองกำลังติดอาวุธของชาวนา [อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2vbhXCO ]

ในช่วงวิกฤตการเมืองไทยหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา ผมกับสุธาชัย และประชาชนนับล้านก็อยู่ฝ่ายเดียวกันอีก คืออยู่ฝ่ายเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย และผมก็ไปฟังเขาพูด และร่วมพูดกับเขาในเวทีเดียวกันหลายครั้ง นั้นเป็นอีกจุดร่วมที่เรามี แต่ในเรื่องของท่าทีต่อทักษิณ ผมกับเขาอาจต่างกันบ้าง เพราะผมไม่เคยสนับสนุนทักษิณ และไม่เคยสนับสนุนพันธมิตร ในช่วงหลังรัฐประหารสุธาชัยสนับสนุนทักษิณแต่ไม่ได้สนับสนุนทักษิณโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะก่อนหน้านั้นเขาเคยขึ้นเวทีพันธมิตรก่อนที่จะถอนตัวออก เนื่องจากเขาชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องให้ใช้มาตรา ๗

แต่ในเรื่องการต้านเผด็จการทหารสุธาชัยชัดเจนมาก

หลังถูกทหารของประยุทธ์เรียกเข้าค่ายเพื่อพยายาม “ปรับทัศนคติ” หรือข่มขู่แบบสามัญนั้นเอง สุธาชัยเขียนว่า “ผมก็ยืนยันว่า ผมไม่ได้ต้านรัฐประหารเฉพาะครั้งนี้ การรัฐประหารตั้งแต่ 6 ตุลา 2519 เป็นต้นมา ผมไม่เคยเห็นเลยว่าจะแก้อะไรได้ มีแต่จะยิ่งขยายปัญหามากขึ้นทุกครั้ง ปัญหาบ้านเมืองคลี่คลายด้วยประชาธิปไตยทั้งนั้น”

ผมไม่สามารถอ้างว่าผมรู้จักเขาเป็นส่วนตัวดีกว่าคนอื่นได้ จริงๆ ผมไม่ใช่เพื่อนสนิทของเขา แต่ผมสามารถพูดได้ว่าสุธาชัยเป็นคนมารยาทงดงาม อาจดีกว่าผมด้วย และเขาเป็นคนไม่ถือตัว น่ารัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่สำคัญที่สุดคือเขามีอุดมการณ์เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ คือมีอุดมการณ์สังคมนิยม และต่อต้านเผด็จการทหาร

เราเสียสหายคนน่ารักของเราไปอีกคนหนึ่งแล้ว คนรุ่นใหม่คงต้องต่อสู้ต่อไปเพื่อรักษาอุดมการณ์สังคมนิยม ประชาธิปไตย และความเท่าเทียม