ความขัดแย้งระหว่างการเลือกตั้งกับการรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลง

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

ในยุคที่มีพรรคการเมืองที่พยายามเสนอว่าควรจะมีการรื้อถอนโครงสร้างของเผด็จการทหาร อย่างเช่นพรรคอนาคตใหม่ เราควรจะมาสำรวจความขัดแย้งระหว่างการลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้มีผู้แทนในสภา กับการเคลื่อนไหวรณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะบ่อยครั้งจะมีความพยายามที่จะปฎิเสธว่าความขัดแย้งดังกล่าวมีอยู่จริง

ก่อนอื่นผู้เขียนขอเน้นว่าการมีระบบเลือกตั้งเสรีในระบบประชาธิปไตยเป็นเรื่องดี และเมื่อถึงวันเลือกตั้งการที่จะมีพรรคทางเลือกที่เสนอว่าควรจะขยายพื้นที่ประชาธิปไตยเป็นเรื่องดีและจำเป็นอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเราไม่ควรจะลืมว่าในไทยตอนนี้เผด็จการทหารกำลังออกแบบประชาธิปไตยจอมปลอมเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไปอีก 20 ปี พรรคพวกของประยุทธ์ใช้ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” และรัฐธรรมนูญทหาร เป็นเครื่องมือ ดังนั้นถ้าเราจะลบผลพวงของเผด็จการและกีดกันไม่ให้อำนาจเถื่อนอย่างทหาร เข้ามามีบทบาททางการเมืองอีก เราจะต้องจัดการกับ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” รัฐธรรมนูญทหาร และองค์กรต่างๆที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องโครงสร้างอำนาจที่เผด็จการวางไว้

และเราไม่ควรลืมอีกด้วยว่า ถ้าพรรคใหม่ๆ ได้เสียงข้างมากในสภา และตรงนี้ต้องเน้นคำว่า “ถ้า” การที่จะยกมือเพื่อล้ม “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” และรัฐธรรมนูญทหาร และปลดองค์กรที่งอกจากเผด็จการ มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย

ปัญหาในรูปธรรมของการลงสมัครรับเลือกตั้งภายใต้กติกาของเผด็จการประยุทธ์ หรือแม้แต่กติกาปกติที่มักพบในระบบทุนนิยมตะวันตก คือมันเป็นกระบวนการที่พรรคการเมืองพยายามเสนออะไรที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยอยู่แล้ว โดยที่ไม่มีการท้าทายให้พลเมืองเปลี่ยนความคิดแต่อย่างใด มันเป็นการพยายามเก็บเกี่ยวคะแนนนิยมของประชาชน โดยที่ประชาชนไม่ต้องเคลื่อนไหว แค่ไปกาช่องของพรรคในวันเลือกตั้งก็พอ

มันเป็นอะไรที่มองสภาพความเห็นและค่านิยมของประชาชนในลักษณะหยุดนิ่ง และเป็นความพยายามที่จะตามกระแสนั้นเอง

แน่นอนในยุคนี้ คนไทยจำนวนมากเบื่อหน่ายกับเผด็จการประยุทธ์และต้องการประชาธิปไตย ดังนั้นพรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับเผด็จการ เช่นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอนาคตใหม่ คงจะได้คะแนนเสียงไม่น้อย แต่การ “เบื่อหน่ายกับเผด็จการประยุทธ์และความต้องการประชาธิปไตย” ไม่ได้แปลว่าพลเมืองเหล่านั้นมองโดยอัตโนมัติว่าเราสามารถลบผลพวงของเผด็จการ หรือล้มยุทธศาสตร์แห่งชาติ หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญทหารได้

IMG_3106-1

ประเด็นคือ เราจะทำอย่างไรให้พลเมืองจำนวนมากพร้อมที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม และการสนับสนุนที่พูดถึงจำต้องมีพลังติดมาด้วย เพราะการรื้อถอนโครงสร้างต่างๆ ของเผด็จการจำต้องอาศัยการต่อสู้ทางการเมืองกับอำนาจเผด็จการ และอย่าลืมว่าความคิดกระแสหลัก ที่มากับสื่อมวลชนและความกลัวที่จะท้าทายอำนาจ จะมองว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นเรื่อง “สุดขั้ว” หรือ ไม่เหมาะสม

ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือเราต้องมีขบวนการทางสังคมที่รณรงค์ท้าทายความคิดกระแสหลักในสังคม และทำให้พลเมืองจำนวนมากพร้อมจะมีส่วนร่วมในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง

แต่พรรคการเมืองที่เน้นการลงสมัครรับเลือกตั้งมักจะไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม หรือที่ฝ่ายตรงข้ามจะเรียกว่า “ม็อบ” บ่อยครั้งพรรคเหล่านี้ต้องการให้มีการหยุดการเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ เพื่อรอวันเลือกตั้ง

deepsnews_1522301450_9122

และที่สำคัญพอๆ กันคือ พรรคการเมืองที่เน้นการสมัครรับเลือกตั้งในสภา มักจะไม่กล้าเสนออะไรที่กระแสหลักในสังคมมองว่า “สุดขั้ว” เกินไป ทั้งๆ ที่การลบผลพวงของเผด็จการ หรือแม้แต่การสร้างรัฐสวัสดิการ หรือการเพิ่มรายได้ให้คนทำงานธรรมดา ไม่ได้สุดขั้วแต่อย่างใด เราอาจพูดต่ออีกด้วยว่าการยกเลิกกฏหมายเถื่อน 112 การเสนอให้ไทยมีกฏหมายทำแท้งเสรี การเสนอให้ประชาชนในปาตานีมีเสรีภาพในการปกครองตนเอง หรือแม้แต่การเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐ ก็ไม่ใช่เรื่องสุดขั้วเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นในโลกปัจจุบัน มันแค่ถูกตราว่า “สุดขั้ว” เพราะไทยใต้กะลามันล้าหลังเท่านั้น

พรรคการเมืองที่เน้นการลงสมัครรับเลือกตั้งมักจะกล้าๆ กลัวๆ ในการเสนอสิ่งที่ขัดแย้งกับกระแสหลักหรือผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจต่างๆ และมักจะมีการเสนอว่าต้องหาทางดึงคะแนนเสียงจากคนที่มีแนวคิด “กลางๆ” อันนี้เป็นความจริงไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคแรงงงานอังกฤษภายใต้ เจเรมี คอร์บิน หรือพรรคกรรมชีพ (PT) บราซิลในอดีต

gettyimages-688651088

มันมีวิธีเดียวที่จะจัดการกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างการลงสมัครรับเลือกตั้งกับการเคลื่อนไหวรณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลง นั้นคือคนที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงจะต้องสนับสนุนพรรคที่ก้าวหน้าในช่วงที่มีการเลือกตั้ง และต้องสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ไปเน้นอย่างใดอย่างหนึ่ง

 

ประชาธิปไตย “ภายใต้ท่านผู้นำ” ของ ปูติน ในรัสเซีย

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

ลักษณะการปกครองในรัสเซียภายใต้  วลาดีมีร์ ปูติน ในยุคปัจจุบันมีสององค์ประกอบที่ทำให้ขาดประชาธิปไตยคือ

  1. อำนาจแนวตั้ง และ
  2. การบริหาร “ประชาธิปไตยภายใต้ท่านผู้นำ”

เมื่อสงครามเย็นยุติลงอันเป็นผลจากการล่มสลายของระบบเผด็จการ “ทุนนิยมโดยรัฐ” และก่อนที่ ปูติน จะขึ้นมามีอำนาจ ประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ได้นำกลไกตลาดเสรีแบบสุดขั้วเข้ามาใช้ในรัสเซียในทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้ประชาชนคนธรรมดายากลำบากเป็นอย่างยิ่ง และธุรกิจต่างๆ ที่เคยเป็นของรัฐภายใต้ระบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ในสมัยโซเวียด ก็ถูกแปรรูปไปเป็นบริษัทเอกชน คนที่เข้ามาเป็นเจ้าของใหม่มักจะเป็นคนที่เคยมีอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์ หรือพวกมาเฟียที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ การคอร์รับชั่นจึงกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ และอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่เคยอยู่ในมือของพรรคคอมมิวนิสต์ ถูกโอนไปที่แก๊งต่างๆ ของผู้มีอำนาจที่ใกล้ชิดกับมาเฟีย [ดูเรื่องเผด็จการทุนนิยมโดยรัฐที่นี่ https://bit.ly/2uOffCh และ https://bit.ly/2vbhXCO ]

yeltsin1

ผลสำคัญอันหนึ่งของการนำกลไกตลาดสุดขั้วเข้ามาใช้ คืออำนาจทางการเมืองที่เคยรวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลกลาง ถูกกระจายไปอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้มีอำนาจ และมาเฟีย ซึ่งสร้างปัญหาให้รัฐ ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจหรืออำนาจในเวทีโลก

รัฐบาลของ เยลต์ซิน ไม่เป็นที่ชื่นชมของประชาชน และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เขาลาออกจากตำแหน่งในปี 1999 โดยที่ ปูติน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน

yeltsin-putin

ปูติน ต้องการที่จะดึงอำนาจกลับสู่ส่วนกลาง และยึดธุรกิจใหญ่ๆ เช่นน้ำมัน กลับมาเป็นของรัฐ เพื่อแก้ปัญหาความอ่อนแอของรัสเซีย ดังนั้น ปูติน จำเป็นต้องเปิดศึกกับพวกมีอำนาจทางธุรกิจและมาเฟียบางส่วนที่ขัดขวางนโยบายของเขา แต่ส่วนที่เป็นแนวร่วมกับ ปูติน ก็อยู่ต่อได้

ปูติน สามารถรื้อฟื้นอำนาจเดิมของรัสเซียได้บ้าง วิธีหนึ่งคือการเพิ่มงบประมาณทหาร การแทรกแซงในสงครามซิเรีย เพื่อสนับสนุนเผด็จการโหดของ อัสซาด และการเบ่งอำนาจในยูเครนเพื่อยึดไครเมีย [ดู https://bbc.in/2uWoujc ]

putin2-1

พร้อมๆ กันนั้น ปูติน ได้สร้างระบบกึ่งเผด็จการขึ้นมา มีการยกเลิกการเลือกตั้งท้องถิ่นยกเว้นในเมืองมอสโก ตอนนี้ผู้ปกครองเมืองและจังหวัดต่างๆ เป็นคนที่ ปูติน แต่งตั้งหมดเลย มีการจำกัดสิทธิในการประท้วงอย่างรุนแรง มีการปราบ เอ็นจีโอ และระบบตุลาการถูกควบคุมโดยรัฐบาลและผู้มีอำนาจที่มีเส้น

ตอนนี้อำนาจทางการเมืองในรัสเซียมีลักษณะ “แนวตั้ง” โดยที่ ปูติน นั่งอยู่จุดสูงสุด แต่รอบๆ ปูติน มีกลุ่มผู้มีอำนาจและมาเฟียที่สนับสนุนเขาแต่แย่งชิงผลประโยชน์กันเอง ใจกลางของรัฐบาล ปูติน เต็มไปด้วยการคอร์รับชั่น นอกจากนี้ ปูติน ทำแนวร่วมกับองค์กรศาสนาคริสต์อนุรักษนิยมสุดขั้วอีกด้วย

ส่วนระบบ “ประชาธิปไตยภายใต้ท่านผู้นำ” เป็นการบริหารระบบเพื่อให้ดูคล้ายประชาธิปไตย แต่ในรูปธรรมไร้เสรีภาพ ซึ่งคงใกล้เคียงกับระบบที่เผด็จการประยุทธ์ฝันว่าจะใช้ในไทยด้วย

5aac372092c0691c008b47d8-750-563

ใน “ประชาธิปไตยภายใต้ท่านผู้นำ” ของ ปูติน พรรคของเขาผูกขาดได้เพราะ สื่อมวลชนต่างๆ กีดกันไม่ให้ฝ่ายค้านออกข่าว ในยุค ปูติน มีการโอนสื่อเอกชนมาเป็นของรัฐเกือบหมด และจำนวนนักโทษทางการเมืองก็เพิ่มขึ้น มันอาจมีการเลือกตั้งหลายรอบ แต่เป็นการเลือกตั้งปลอมที่เรารู้ผลล่วงหน้าเสมอ

ในปี 2012 มีคนออกมาประท้วงต่อต้าน ปูติน เป็นหมื่น แต่รัฐบาลปราบหนักและผู้นำฝ่ายค้านถูกจับเข้าคุกหรือไม่ก็ถูกซื้อเพื่อนำมาเป็นพวกของ ปูติน

ฝ่ายซ้ายในรัสเซียมีกลุ่มเล็กๆ พรรคคอมมิวนิสต์เก่าไม่ถือว่าเป็นฝ่ายซ้าย เพราะมีนโยบายขวาจัดชาตินิยม แต่ฝ่ายซ้ายกลุ่มต่างๆ มักโดนปราบจากรัฐบาล มีการเถียงกันระหว่างกลุ่มต่างๆ เรื่อง ยูเครน และ ซิเรีย ว่าควรมีจุดยืนอย่างไรต่อนโยบายของ ปูติน โดยที่บางฝ่ายไม่เข้าใจว่ารัสเซียเป็นอำนาจจักรวรรดินิยม ซึ่งไม่ได้แปลว่าต้องสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามเสมอ เพราะต้องดูผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพเป็นหลัก ฝ่ายซ้ายหลายกลุ่มพยายามทำงานกับขบวนการแรงงานแต่บรรยากาศค่อนข้างจะลำบาก ในขณะเดียวกันฝ่ายขวาฟาสซิสต์ ซึ่งปูตินเคยหนุนเพื่อเป็นเครื่องมือของตน ก็ขยายอิทธิพล

ดอนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำอะไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

หลายคนอาจมองว่า ดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำ “สติเสีย” เพราะมักจะมีการกลับคำเสมอ พร้อมจะโกหกแบบหน้าด้าน และนโยบายของเขาดูเหมือนไม่มีการวางแผนล่วงหน้า จึงขัดแย้งในตัวเอง หรือไร้เหตุผลทางปัญญา แต่คนที่มองแบบนี้ประเมิน ทรัมป์ ต่ำเกินไป

แน่นอน ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐที่เลวร้ายที่สุดคนหนึ่ง เพราะต่อต้านสิทธิสตรี อวดว่าตนเองละเมิดผู้หญิงหลายคน และในขณะนี้กำลังหาทางที่จะยกเลิกสิทธิทำแท้งในสหรัฐผ่านการแต่งตั้งผู้พิพากษาอนุรักษ์นิยมปฏิกิริยาสุดขั้ว ในเรื่องสิทธิมนุษยชน ทรัมป์ เป็นคนที่เหยียดคนที่ไม่ใช่คนผิวขาวชาวอเมริกัน เขาพูดจาดูถูกคนจากประเทศอื่น เช่นชาวเม็กซิโก ว่าเป็นพวก “ขี้ขโมย” ที่นำอาชญากรรมเข้าประเทศ เขาดูถูกคนพื้นเมืองอเมริกัน และคัดค้านคนที่อพยพเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งๆ ที่พ่อแม่ของ ทรัมป์ เองไม่ได้เกิดที่สหรัฐ นอกจากนี้ ทรัมป์ พร้อมจะอุดหนุนทุนใหญ่ของสหรัฐ เช่นทุนพลังงานหรือการเกษตร โดยการปิดหูปิดตาถึงปัญหาโลกร้อนและการที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลายจากมลพิษ และถ้าแค่นี้ไม่พอ ทรัมป์ เป็นคนที่พร้อมจะก่อให้เกิดสงครามทั่วโลก เช่นในตะวันออกกลาง โดยไม่ห่วงใยเพื่อนมนุษย์

ทรัมป์ ชอบอ้างว่าเป็นมิตรของคนทำงานธรรมดาในสหรัฐที่ต้องยากลำบาก แต่ในรูปธรรมนโยบายของเขาหนุนแต่ทุนใหญ่และคนรวยในขณะที่ทำลายความมั่นคงของคนธรรมดา เช่นนโยบายการลดภาษีให้กลุ่มทุน หรือการพยายามทำลายระบบสาธารณสุขสำหรับประชาชน

ในการเดินทางมายุโรปเมื่อเดือนที่แล้ว เราเห็นความพยายามของ ทรัมป์ ที่จะเปิดศึกกับนักการเมืองและพรรคการเมืองกระแสหลักแบบเสรีนิยม โดยเฉพาะ อังเกลา แมร์เคิล ในเยอรมัน และ ทะรีซา เมย์ ในอังกฤษ เป้าหมายของ ทรัมป์ คือการสร้างความปั่นป่วน ทำลายพรรคกระแสหลัก และลดอิทธิพลของ อียู (สหภาพยุโรป)

ทรัมป์ เชื่อว่าองค์กรที่สหรัฐเคยสร้างและสนับสนุนในอดีต เช่น อียู นาโต้ (องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ) และองค์กรการค้าระหว่างประเทศ (WTO) ทำให้สหรัฐเสียเปรียบ เขาไม่พอใจที่ เยอรมัน มีดุลการค้ากับสหรัฐสูง และไม่ยอมเพิ่มงบประมาณทางทหาร โดยที่ ทรัมป์ เชื่อว่าประเทศต่างๆ ใน อียู อาศัย “ร่ม” ทางทหารของสหรัฐ โดยไม่ยอมจ่าย

5aca2cf0dda4c817528b458c

การเปิดศึกทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐกับจีนและอียู มาจากแนวคิดเดียวกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ของกลุ่มทุนสหรัฐ แต่มันเป็นยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างจะเสี่ยง และคุมยาก เพราะประสบการณ์จากอดีต สมัยวิกฤตเศรษฐกิจโลก 1930 ชี้ให้เห็นว่าการปิดกั้นทางการค้าของทุกฝ่ายทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศได้รับผลเสีย และนายทุนสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากการโต้ตอบของจีนและอียูในสมัยนี้ ก็คงไม่พอใจอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นทั้งสหรัฐ อียู และจีน ผูกพันกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องการลงทุนและการถือหุ้นในบริษัทข้ามชาติต่างๆ และตลาดจีนมีความสำคัญกับสหรัฐไม่น้อย ดังนั้นการปิดประเทศโดย ทรัมป์ คงทำไม่ได้

อีกสาเหตุสำคัญที่ ทรัมป์ โจมตีพรรคเสรีนิยมกระแสหลัก ก็เพราะเขามีเป้าหมายร่วมกับพรรคฝ่ายขวากึ่งฟาสซิสต์ในยุโรป ที่จะผลักดันการเมืองโลกไปทางขวา ซึ่งเขามองว่าจะเป็นประโยชน์กับฐานเสียงตนเองในสหรัฐ

ดังนั้นเราเห็น ทรัมป์ พูดจาด่าผู้ลี้ภัยและคนที่อพยพหนีความยากจนมาสู่ยุโรป ในลักษณะที่ไม่ต่างเลยจากพวกฟาสซิสต์ที่อยู่ในรัฐบาล อิตาลี่ ออสเตรีย และฮังการี่ ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็พูดจาสนับสนุนกลุ่มขวาจัดในสหรัฐด้วย อย่างไรก็ตามเราต้องเข้าใจว่า ทรัมป์ ไม่ใช่ ฟาสซิสต์ แต่เพียงแต่ต้องการที่จะส่งเสริมการเมืองฝ่ายขวา

FRANCE-US-POLITICS-FN-PARTY-CONGRESS
สตีฟ แบนนอน กับหัวหน้าพรรคฟาสซิสต์ฝรั่งเศส

ที่น่ากังวลคือ สตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาคนโปรดของ ทรัมป์ ได้ตั้งองค์กรใหม่ขึ้นในยุโรป เพื่อให้ทุนอุดหนุนกลุ่มฟาสซิสต์ต่างๆ ในทุกประเทศของยุโรป

US-POLITICS-TRUMP-STAFF

จะเห็นได้ว่าการมีประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สนับสนุนพวกฟาสซิสต์ในยุโรปและสหรัฐ ในบรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียดเพราะผลของนโยบายรัดเข็มขัดสร้างความไม่พอใจทั่วไปในหมู่ประชาชนจำนวนมาก เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง และเสี่ยงกับการเพิ่มกระแสเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ กับกระแสฟาสซิสต์โดยทั่วไป

การเน้นแนวคิดเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว เป็นวิธีหนึ่งที่ชนชั้นปกครองใช้ในการเบี่ยงเบนประเด็นความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายรัดเข็มขัดที่เริ่มหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายซ้ายและผู้รักความเป็นธรรมในหลายประเทศจะต้องออกมารับมือ วิธีรับมือคือการต่อต้านพวกฟาสซืสต์ และการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อระงับนโยบายรัดเข็มขัด เช่นด้วยการนัดหยุดงานและเรียกร้องค่าจ้างสวัสดิการเพิ่ม เพราะถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายแบบนี้ ยุโรปและสหรัฐจะเข้าสู่ยุคมืด

20180715_135530

[บทความนี้อาศัยข้อมูลจากบทความของ Alex Callinicos ในหนังสือพิมพ์ Socialist Worker]

การเมืองปัจจุบันในอิหร่าน

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

หลายปีหลังจากการปฏิวัติล้มกษัตริย์ชาร์ในปี 1979 และการก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลาม การเมืองภายในประเทศอิหร่านกลายเป็นเรื่องของการแข่งขันระหว่าง “ฝ่ายปฏิรูป” กับ “ฝ่ายอนุรักษ์” ในช่วงนี้ผู้นำประเทศเป็นฝ่าย “ปฏิรูป”

พวกอนุรักษ์เป็นพวกที่อยากจะคงไว้กฏหมายศาสนาและการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ส่วนฝ่ายปฏิรูปเป็นพวกที่อยากจะเปิดกว้างมากขึ้นและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับตะวันตก แต่ทั้งสองฝ่ายไม่อยากเปลี่ยนโครงสร้างของระบบปัจจุบันเท่าไร

ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ รูฮานี ซึ่งมาจากฝ่ายปฏิรูป แต่ภายในระบบการเมืองของอิหร่าน มีอำนาจคู่ขนาน เพราะผู้นำทางศาสนา อาลี คาห์เมนี ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จะเป็นประมุขสูงสุดและมีอำนาจพอๆ กัน ประมุขสูงสุดมักจะเอียงไปทางสายอนุรักษ์

800px-Ali_Khamenei_delivers_Nowruz_message_02

ในอดีตในช่วงการเลือกตั้งปี 2009 มีการออกมาประท้วงชัยชนะของ อะห์มะดีเนจาด นักการเมืองสายอนุรักษ์ เพราะคนจำนวนมากมองว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ดังนั้นคำขวัญสำคัญของการประท้วงครั้งนั้นคือ “คะแนนเสียงฉันหายไปไหน?” ขบวนการประท้วงที่เกิดขึ้นมีฐานในหมู่ชนชั้นกลางเป็นหลักและใช้สัญญลักษณ์สีเขียว

iranwomengreen

เมื่อต้นปีนี้ เกือบสิบปีหลังจากการประท้วงสีเขียว เกิดการประท้วงภายในประเทศอีก คราวนี้เรืองปากท้องมีความสำคัญ ประเด็นปากท้องเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำ และปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่มันพัฒนาไปสู่เรื่องการเมืองอย่างรวดเร็ว

Iran Protest

เมื่อประธานาธิบดี รูฮานี ชนะการเลือกตั้งสมัยที่สองเมื่อปีที่แล้ว คนจำนวนมากหวังว่าการเจรจาและการเซ็นสัญญาระหว่างอิหร่านกับประเทศตะวันตกในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่นำไปสู่การยกเลิกการคว่ำบาตรโดยหลายประเทศ จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่มันไม่ได้เป็นไปตามคาด เบื้องหลังความไม่พอใจครั้งนี้คือการสะสมความเดือดร้อนจากนโยบายเสรีนิยมของรัฐบาลทุกชุดที่สร้างความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบันเราเห็นคนไร้บ้านที่ต้องไปนอนในป่าช้าในขณะที่เศรษฐีสร้างบ้านเหมือนวัง 30%ของเยาวชนตกงาน และ ประชาชน10 ล้านคนอาศัยอยู่ในสลัม

นอกจากนี้นายทุนน้อยในตลาด ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญของชนชั้นปกครองอิหร่าน ก็ออกมาแสดงความไม่พอใจ เพราะเสียผลประโยชน์จากการขยายตัวของพวกห่างใหญ่ๆ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดเช่นกัน

People protest in Tehran

การประท้วงรอบนี้ก้าวหน้ากว่าประท้วงของชั้นกลางในขบวนการสีเขียว เพราะคราวนี้คนจนและชนชั่นกลางระดับล่าง เรียกร้องให้ “เปลี่ยนระบบ” วัยรุ่นตกงานมีบทบาทสูงในการประท้วง ซึ่งทำให้เรานึกถึงการประท้วงที่อียิปต์และที่อื่นในปี 2010 การประท้วงครั้งนี้มีข้อเรียกร้องสุดขั้ว จนแม้แต่นักการเมืองแนวปฏิรูปก็ลังเลใจที่จะสนับสนุน

อย่างไรก็ตามคนงานไม่ค่อยมาร่วมประท้วงครั้งนี้อย่างเป็นระบบ แต่ก่อนหน้านี้มีการนัดหยุดงานจำนวนมาก ซึ่งสามารถสร้างกระแสใน 3ปีที่ผ่านมา เช่นการนัดหยุดงานของครู คนงานโรงเหล็ก และคนขับรถบรรทุก

ในขณะที่รัฐบาลเผชิญหน้ากับปัญหาภายในแบบนี้ ปัญหาต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น เพราะอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลางขยายตัวหลังจากสหรัฐทำลายประเทศอิรัก ดังนั้นอิหร่านจึงสร้างศัตรูในรูปแบบประเทศอิสราเอล ซาอุ และสหรัฐ

สหรัฐกีดกันการขายน้ำมันของอิหร่าน และเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรโดยการฉีกทิ้งข้อตกลงนิวเคลียร์ ทุนอิหร่านกำลังไหลออกนอกประเทศ และสำหรับประชาชนธรรมดายารักษาโรคก็แพงขึ้นมหาศาล

คนรวยที่เป็นนักการเมืองหรือพรรคพวกของนักการเมือง ทั้งสายอนุรักษ์และปฏิรูป ก็แห่กันไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการคอร์รับชั่นก็เพิ่มขึ้น มันสร้างวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองให้กับรัฐ และเพิ่มความขัดแย้งระหว่างพวกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกับนักการเมืองเลือกตั้งอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนกับสายการเมืองทั้งสองซีก ประชาชนรู้สึกผิดหวัง

วิกฤตในลัทธิการเมืองที่เคยอ้างว่าการใช้แนวอิสลามแตกต่างจากทุนนิยม ทำให้มีกระแสที่มองว่าควรแยกศาสนาออกจากการเมืองและรัฐ ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้านศาสนา ประมาณ 50%  ของประชาชนมองว่าสตรีควรมีสิทธิที่จะใส่ฮิญาบหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันผู้หญิงถูกบังคับให้ใส่เวลาออกจากบ้าน

_96128906_72ab3dca-cb35-49e8-a64c-57fd94a6174e

แต่ความก้าวร้าวของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ ทรัมป์ ในการปลุกกระแสสงคราม สร้างปัญหาให้กับคนอิหร่านที่อยากจะสู้กับรัฐ เพราะฝ่ายอนุรักษ์สามารถอ้างได้ว่าทุกคนควรสามัคคีภายใต้ภัยสงครามจักรวรรดินิยม

เราคงต้องติดตามข่าวจากอิหร่านต่อไป….