ใจ อึ๊งภากรณ์
คนไทยที่รักประชาธิปไตยรู้อยู่ในใจอยู่แล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เสรีและเป็นธรรม เพราะใครๆ ก็ทราบถึงมาตรการต่างๆ ของเผด็จการที่จะสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญทหาร แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20ปี การแต่งตั้งสว. 250คน หรือความลำเอียงของ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ
แต่คนไทยที่รักประชาธิปไตยจำนวนมากอยากฝันถึงเรื่องดีๆ จึงปล่อยให้ตนเองแอบหวังว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้ง และยุคแห่งเผด็จการจะสิ้นลง ตรงนี้เข้าใจได้
แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองความจริงที่ทุกคนรู้ในใจอยู่แล้ว คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการลบผลพวงของเผด็จการมันยังไม่จบ มันพึ่งเริ่มในรูปแบบใหม่เท่านั้นเอง และการกาบัตรเลือกตั้งไม่สามารถฆ่าเผด็จการได้ง่ายๆ
มันมีหลายคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของ กกต. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยุติประกาศคะแนนโดยไม่มีเหตุผลในเช้าวันที่25มีนาคม การที่คะแนนไม่ตรงกับจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ปัญหาบัตรจากนิวซีแลนด์ เรื่อง “บัตรเสีย” 2 ล้านเสียง และการที่ตัวเลขที่กกต.เดิมอ้างว่าเป็นการนับคะแนน 100% มีข้อผิดพลาดมากมาย เรารู้ด้วยว่า คสช. โกงการเลือกตั้งด้วยหลายวิธีที่อ้างกฏหมายที่มันเขียนเอง การยุบพรรคไทยรักษาชาติเป็นตัวอย่างสำคัญที่กระทบต่อคะแนนเสียง
ปัญหาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจคงจะเกิดจากสองสาเหตุหลักคือ ความไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงของ กกต. และการจงใจโกงการเลือกตั้งโดย คสช.
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสที่ประชาชนสามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับเผด็จการประยุทธ์ได้ และผลคะแนนทั่วประเทศคงสะท้อนความจริงในระดับหนึ่ง เพราะไม่ว่าคะแนนเสียงทั่วประเทศจะเปลี่ยนหรือ “เขย่ง” แค่ไหน ภาพรวมก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก คือฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนมากกว่าฝ่ายเผด็จการ
จำนวนคะแนนทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ในแง่ที่ประยุทธ์เสนอเพื่อให้ความชอบธรรมกับการตั้งรัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐ
จำนวนคะแนนทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับมีความสำคัญในการประเมินเสียงประชาชนที่ต่อต้านเผด็จการ แล้วเทียบกับเสียงที่สนับสนุนเผด็จการ เราจำเป็นต้องไม่ลืมว่ากติกาการเลือกตั้งภายใต้ คสช. ทำให้พรรคการเมืองแตกเป็นหลายพรรคย่อย ดังนั้นการดูแค่คะแนนของพรรคเดียวจะไม่สะท้อนภาพจริง
จากการประกาศผลทั้งหมด100%โดยกกต. ในวันที่28มีนาคม จะเห็นว่าในหมู่พรรคการเมืองที่ประกาศล่วงหน้าก่อนวันเลือกตั้งว่าต้องการลบผลพวงของเผด็จการ คือพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ และเพื่อชาติ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนทั้งหมด 15.9 ล้านเสียง หรือ 41.5% ของผู้มาใช้สิทธิ์
พรรคพลังประชารัฐของประยุทธ์ได้ 8.4 ล้านเสียง และถ้าบวกกับเสียงของพรรคภูมิใจไทย 3.7 ล้าน และพรรครวมพลังประชาชาติ 0.4 ล้าน จะเห็นว่าพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะสนับสนุนเผด็จการได้แค่ 12.5 ล้านเสียง หรือ 32.6% เท่านั้น เราไม่สามารถนับเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ 4 ล้านเสียงรวมเข้าไปตรงนี้ได้เพราะผู้นำพรรคประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่สนับสนุนให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี
พูดง่ายๆ ฝ่ายเผด็จการแพ้เสียงข้างมากอย่างชัดเจน
พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนไปมากมาย ตกจาก 11.4 ล้านเสียงในปี ๒๕๕๔ เหลือแค่ 4 ล้าน สาเหตุคงจะเป็นเพราะสลิ่มเสื้อเหลืองเทคะแนนที่เคยให้ประชาธิปัตย์ไปสู่พรรคเผด็จการโดยตรง พวกนั้นคงอยากสนับสนุนเผด็จการตัวจริงแทนที่จะเลือกทางอ้อม การด่ากันเองภายในพรรคประชาธิปัตย์หลังเลือกตั้งสะท้อนสิ่งนี้
ถ้าพิจารณาว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๔ 1.1 เท่า เนื่องจากประชากรที่อายุเกิน 18 ปีเพิ่มขึ้น จะเห็นว่าคะแนนทั้งหมดของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคทหารปีนี้ คล้ายคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ในปี ๒๕๕๔
สัดส่วนผู้มาใช้สิทธิ์ในปีนี้ คือ 74.7% ของผู้มีสิทธิ์ 51.2 ล้าน สัดส่วนพอๆกับการเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ ที่ 75% ของผู้มีสิทธิ์ 46.9 ล้าน ไปใช้สิทธิ์
ผลคะแนนทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่าการแบ่งขั้วระหว่าง “เหลืองกับแดง” หรือ “เผด็จการกับประชาธิปไตย” ยังคงดำรงอยู่หลังจากการครองอำนาจเผด็จการมาหลายปี ไม่มีการแก้วิกฤตแต่อย่างใด
พรรคเพื่อไทยได้คะแนนน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ลงสมัครในทุกเขตเพื่อไม่ให้แข่งกับพรรคไทยรักษาชาติ และพอไทยรักษาชาติถูกยุบ คนที่เคยอยากจะลงให้พรรคนี้คงวุ่นวายพอสมควร มันอาจช่วยอธิบายได้บ้างว่าทำไมพรรคภูมิใจไทยเพิ่มคะแนนจาก 1.3 ล้านในปี ๕๔ เป็น 3.7 ล้านในปีนี้
คำพูดของกษัตริย์วชิราลงกรณ์เรื่องการ “เลือกคนดี” คงไม่มีผลอะไรทั้งสิ้นกับคนที่อยากเลือกฝ่ายเผด็จการหรือคนที่อยากเลือกฝ่ายประชาธิปไตย เพราะไม่ค่อยมีความหมาย และตีความยังไงก็ได้แล้วแต่ว่าอยู่ฝ่ายใด
ในแง่ของการกำหนดจำนวนสส.ในสภา จำนวนสส.บัญชีรายชื่อยังไม่แน่นอนและคงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ้าง เพราะสูตรในการคำนวณมันซับซ้อน ทั้งนี้เพื่อกีดกันพรรคใหญ่ของทักษิณเป็นหลัก แต่ถ้าดูจำนวน สส. เขต พรรคเพื่อไทยได้มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ และพรรคที่ประกาศต้านทหารทั้งหมด ได้มากกว่าพรรคที่ประกาศก่อนวันเลือกตั้งว่าจะสนับสนุนประยุทธ์
พูดง่ายๆ เผด็จการประยุทธ์แพ้ทั้งเสียงประชาชน และที่นั่งเขตในสภา
การที่เพื่อไทยนำทีมพรรคฝ่ายประชาธิปไตย 6 พรรคประกาศว่าจะตั้งรัฐบาล ถือว่ามีความชอบธรรม ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการเพื่อไทยระบุว่า ถ้ารวมพรรคเศรษฐกิจใหม่ของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แล้ว คาดว่าจะมีที่นั่งถึง 256 เสียง แต่ตัวเลขที่นั่งนี้เปลี่ยนได้ และมีหลายคนตั้งคำถามว่าไว้ใจ มิ่งขวัญ ได้แค่ไหน
การที่กกต.เสนอว่าจะรายงานผลอย่างเป็นทางการในเดือนพฤภาคม เป็นเรื่องตลกร้าย แต่ที่ชัดเจนคือเป็นโอกาสทองที่จะโกงการเลือกตั้งผ่านการแจกใบเหลือง ใบส้มหรือใบแดง
วิกฤตประชาธิปไตยไทยคงแก้ไม่ได้ถ้าเราเคารพกติกาที่ไร้ความชอบธรรมของเผด็จการ ไม่ว่าฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายประชาธิปไตยสามารถตั้งรัฐบาลได้ ทักษิณพูดถูกว่าไม่ว่าฝ่ายไหนเข้ามาก็ล้วนแต่ขาดเสถียรภาพ แต่สิ่งที่ทักษิณไม่พูดและไม่เคยพูดก็คือเรื่องความสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน
ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไทย เราจะค้นพบว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มาจากกระแสมวลชนที่ล้มเผด็จการทหารในปี ๒๕๓๕ และหลังจากนั้นเราก็มีรัฐบาลที่เสนอการปฏิรูปสังคมในทางที่ดีบ้าง เช่นการเริ่มต้นระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่หลังจากนั้นมวลชนฝ่ายเหลืองก็ขึ้นมาคัดค้านประชาธิปไตยและเรียกให้ทหารเข้ามาแทรกแซงการเมืองในปี ๒๕๔๙ แต่กระแสมวลชนเสื้อแดงบังคับให้ต้องมีการเลือกตั้งอีกที่เพื่อไทยชนะในปี ๒๕๕๔ ต่อมารัฐประหารของประยุทธ์เกิดขึ้นได้เพราะยิ่งลักษณ์กับทักษิณแช่แข็งขบวนการเสื้อแดงจนหมดสภาพ และไปหาทางประนีประนอมในรัฐสภา ซึ่งไม่สำเร็จ
จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนเป็นเรื่องชี้ขาดในการเมืองเสมอ ถ้าเราไม่หันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชนอย่างจริงจัง เผด็จการจะสามารถสืบทอดอำนาจไปได้อีกนาน และความสิ้นหวังของประชาชนจะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้คนยอมรับสภาพเช่นนี้