ชาวปาเลสไตนจะมีเสรีภาพได้อย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

เกือบทุกสัปดาห์เราจะเห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนของรัฐบาลอิสราเอล ที่ใช้ความรุนแรงสุดขั้วในการถล่มชาวปาเลสไตน์ที่กาซา คาดว่าระหว่างมีนาคม 2018 ถึง มกราคม 2019 อิสราเอลใช้สไนเปอร์และกระสุนจริงฆ่าชาวปาเลสไตน์ที่ประท้วงโดยไร้อาวุธตรงจุดชายแดน จนมีคนเสียชีวิตถึง 250 คน และมีผู้บาดเจ็บเป็นหมื่น นอกจากนี้มีหลักฐานชัดเจนว่าทหารอิสราเอลตั้งเป้าจงใจฆ่า เด็ก คนพิการ และนักข่าวอีกด้วย ในกรณีหนึ่งเด็กอายุ 11 ถูกยิงตายเพราะแค่ตะโกนเรียกร้องเสรีภาพ

merlin_141523254_f75be117-4f2b-4184-bfef-295e89595374-articleLarge

تقرير-مجلس-حقوق-الانسان-التابع-للأمم-المتحدة-حول-مسيرات-العودة-في-قطاع-غزة

56dd29a2c77f4a70b3ef635b1aeba451_18

กาซาถูกอิสราเอลปิดล้อมมา 12 ปี โดยที่ประชาชนปาเลสไตน์ 2 ล้านคนถูกขังไว้ในพื้นที่ที่ขาดแคลนเชื้อเพลิง ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในขณะเดียวกันพวก”ไซออนนิสต์”สุดขั้ว ก็ขยายการยึดพื้นที่ของชาวบ้านปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง โดยที่รัฐบาลอิสราเอลคอยสนับสนุนตลอดเวลา

ล่าสุดรัฐบาลฝ่ายขวาของอิสราเอลประกาศใช้ “กฏหมายแห่งชาติ” ที่ทำให้คนปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง และนายกรัฐมนตรี เนทันยาฮู ประกาศว่า “อิสราเอลคือชาติของชาวยิวเท่านั้น”

Trump-on-Middle-East-730x426

051418_ivanka-1526310465

ทุกอย่างที่อิสราเอลทำ ได้รับการสนับสนุนอย่างชัดเจนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาของดอนัลด์ ทรัมป์ โดยที่ ทรัมป์ ประกาศย้ายสถานทูตสหรัฐไปที่เมืองเยรูซาเลม ในขณะที่สหประชาชาติและชาวโลกมองว่าเยรูซาเลมเป็นเมืองที่ต้องถูกแบ่งเป็นดินแดนของปาเลสไตน์และอิสราเอลคนละครึ่ง การย้ายสถานทูตครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐสนับสนุนการกลืนดินแดนปาเลสไตน์โดยรัฐบาล “ไซออนนิสต์”

สหรัฐและชาติตะวันตกสนับสนุนอิสราเอลเพื่อเป็น “หมาดุเฝ้าพื้นที่ตะวันออกกลาง” โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะคอยปกป้องผลประโยชน์จักรวรรดินิยมตะวันตกในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยน้ำมัน หน้าที่ของอิสราเอลในการรับใช้ตะวันตกคือการทำลายขบวนการชาตินิยมของชาวอาหรับอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่ว่าอิสราเอลหรือชาวยิวมีอำนาจเหนือรัฐบาลตะวันตกแต่อย่างใด

เราต้องเข้าใจว่ารัฐบาลอิสราเอลไม่ใช่ตัวแทนของชาวยิวทั้งหมดในโลก และลัทธิ “ไซออนนิสต์” ซึ่งเป็นลัทธิคลั่งชาติเหยียดเชื้อชาติปาเลสไตน์ ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการเป็นยิว มันเพียงแต่เป็นแนวความคิดหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเราไม่ควรประณามคนยิว แต่ควรประณามรัฐบาลอิสราเอลและพวก”ไซออนนิสต์” แทน

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวโดยพวกนาซีในเยอรมัน ซึ่งทำให้ชาวยิวกว่า 6 ล้านคนถูกเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน แนวคิดคลั่งเชื้อชาติแบบ “ไซออนนิสต์” ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในแวดวงชาวยิวนัก กระแสหลักในหมู่คนยิวยุโรปคือแนวสังคมนิยมและแนวมาร์คซิสต์ ส่วนยิวสาย “ไซออนนิสต์” คือพวกฝ่ายขวาชาตินิยมจัด พวกนี้ต่อต้านการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมาชีพ และมองว่ายิวอยู่กับคนอื่นอย่างสันติไม่ได้เพราะเขาเชื่อว่าเชื้อชาติที่ต่างกันย่อมฆ่ากันหรือขัดแย้งกันเสมอ ดังนั้นเขาเสนอว่าวิธีการปกป้องชาวยิวคือต้องสร้างชาติ “บริสุทธิ์” ของตนเองขึ้นมา สิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่งคือความพ่ายแพ้ของฝ่ายซ้ายและกรรมาชีพในเยอรมัน นำไปสู่ชัยชนะของนาซีในยุค ฮิตเลอร์ และการสังหารชาวยิวถึง 6 ล้านคน เหตุการณ์นี้มีผลในการหนุนกระแสฝ่ายขวา “ไซออนนิสต์” แทนแนวมาร์คซิสต์ จนมีการก่อตั้งประเทศอิสราเอ็ลหลังสงครามโลก ปัญหาสำคัญคือ รัฐอิสราเอ็ลถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ที่มีคนอื่นอาศัยอยู่ คือพื้นที่ที่ชาวปาเลสไตน์และชาวยิวเคยอาศัยร่วมกันอย่างสันติมาเป็นพันๆ ปี ดังนั้นรัฐเชื้อชาติเดียวที่ถูกสร้างขึ้นต้องอาศัยการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ 850,000 คนออกจากบ้านเกิดในเหตุการณ์ “นักบา” ในปี 1948

479
อินติฟาดาห์

เสรีภาพของชาวปาเลสไตน์จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการลุกฮือของคนชั้นล่าง เช่นใน “อินติฟาดาห์” บวกกับการสร้างแนวร่วมการต่อสู้ของคนชั้นล่างและกรรมาชีพในระดับรากหญ้าในพื้นที่ตะวันออกกลาง การปฏิวัติของมวลชนในอียิปต์ใน “อาหรับสปริง” เคยเปิดทางให้มีการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ในกาซาอย่างจริงจัง ก่อนที่กองทัพอียิปต์จะทำลายการปฏิวัติดังกล่าว ตอนนี้ขบวนการปฏิวัติในซูดานและแอลจีเรีย อาจเป็นความหวังใหม่ในการปลุกกระแสเสรีภาพ

palestinian-women-protest-ap-img

ชาวปาเลสไตน์ต้องร่วมสู้กับกรรมาชีพและคนชั้นล่างในตะวันออกกลาง เพราะกรรมาชีพปาเลสไตน์ไม่มีพลังพอ มีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ และคนชั้นล่างในพื้นที่ตะวัยออกกลางมีผลประโยชน์ร่วมกันในการล้มเผด็จการที่กดขี่ตนเองในประเทศต่างๆ

4dadaf89ccd1d5de44290000-750
แกนนำ ฟะตะห์ จับมือกับอิสราเอลและสหรัฐ

อย่างไรก็ตามแกนนำทางการเมืองในปาเลสไตน์ โดยเฉพาะองค์กร “ฟะตะห์” จะหันหลังให้มวลชนชั้นล่างเสมอ และทำแนวร่วมกับชนชั้นปกครองปฏิกิริยาในตะวันออกกลางแทน และทุกครั้งที่มีวิกฤต ชนชั้นปกครองเผด็จการพวกนี้ก็จะหักหลังชาวปาเลสไตน์และไปจับมือกับสหรัฐหรืออิสราเอล ในที่สุด“ฟะตะห์” ก็ไปทำข้อตกลงยอมจำนนต่ออิสราเอล ส่วนองค์กร “ฮะมาส” ที่ดูเหมือนจะต้องการสู้กับอิสราเอลอย่างจริงจัง ก็ใช้แนวเดียวกับ “ฟะตะห์” คือเน้นคุยกับชนชั้นปกครองรอบข้าง แทนที่จะปลุกระดมการปฏิวัติรากหญ้า

763
ฮะมาส

ถ้าจะมีการสร้างสันติภาพและสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยในดินแดนปาเลสไตน์ รัฐอิสราเอลต้องถูกรื้อถอน เพื่อสร้างรัฐใหม่ที่เคารพความหลากหลาย และเปิดโอกาสให้ช่าวปาเลสไตน์กับชาวยิวอาศัยร่วมกันอย่างสงบโดยเป็นพลเมืองที่เท่าเทียมกัน สภาพเช่นนี้เคยมีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองและการแทรกแซงของจักรวรรดินิยมตะวันตก

1146350198

แต่ถ้าจะเกิดขึ้นจริง ต้องมีกระแสการเมืองใหม่ในหมู่ชาวปาเลสไตน์ที่เน้นการต่อสู้จากระดับรากหญ้า และการสมานฉันท์กับการปฏิวัติของมวลชนในประเทศรอบข้าง

SudanAlgeria

เราจะสู้อย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในยุคการโกงการเลือกตั้งโดยเผด็จการทหาร และการสืบทอดอำนาจผ่านการสร้างภาพความเป็น “ประชาธิปไตย” เราจะเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ไม่ยอมสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อต่อสู้กับอิทธิพลของเผด็จการ มีแต่การพึ่งพาศาลลำเอียง และกระบวนการในรัฐสภาเท่านั้น ในรูปธรรมมันเป็นการยอมจำนนต่อแผนของเผด็จการ

โกงเลือกตั้ง

แต่เมื่อนักประชาธิปไตยบางคนเสนอว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะลงถนน” ก็มีพวกหดหู่ยอมจำนนออกมาวิจารณ์ว่าการลงถนนหรือการประท้วงจะนำไปสู่การปราบปรามโดยฝ่ายตรงข้าม ตกลงถ้าเราฟังพวกนี้เราก็ควรกลับบ้านไปมุดหัวและยอมจำนนเท่านั้น

แน่นอนการออกมาค้านเผด็จการเป็นสิ่งที่อาจมีความเสี่ยงอยู่ มันขึ้นอยู่กับวิธีการต่อสู้ ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะสู้อย่างไรต้องมาจากการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่นักกิจกรรมที่อยู่ในประเทศไทย แต่ที่สำคัญคือ การออกมาคัดค้านเผด็จการไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงเสมอ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่แน่นอนคือ การเลือกที่จะไม่สู้จะไม่มีวันสร้างประชาธิปไตยและทำลายเผด็จการ

การสร้างประชาธิปไตยแท้ในไทย ย่อมอาศัยทั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีมวลชนจำนวนมาก และพรรคการเมืองแบบสังคมนิยมของคนชั้นล่าง ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เราคงจะไม่สำเร็จ

พรรคซ้ายหรือพรรคสังคมนิยมของคนชั้นล่างจำเป็นต้องสร้าง เพราะพรรคของนายทุนไม่สนใจสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม

ข้อสรุปจากความล้มเหลวของฝ่ายประชาธิปไตยตอนนี้คือ เราต้องเน้นการนำร่วมกันจากล่างสู่บนที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่การนำของผู้ใหญ่ที่มีผลประโยชน์ที่ต่างกับมวลชน และเราควรดึงขบวนการกรรมาชีพและคนหนุ่มสาวมาร่วมด้วย

เราไม่ควรสู้แบบยึดถนนตั้งหลักเป็นเดือน แต่ควรประท้วงใหญ่สั้นๆ และควรมีการสร้างความเข้มแข็งในการนัดหยุดงาน เพื่อใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือเราต้องชัดเจนว่าเราต้องการเห็นสังคมแบบไหน

ในยุคหลังเสื้อแดงมีคนหนุ่มสาวและคนอื่นจำนวนหนึ่ง ที่กล้าหาญออกมาสู้กับเผด็จการประยุทธ์ แต่บ่อยครั้งพวกเขาหันหลังให้กับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวมวลชน และไปเน้นการสู้แบบปัจเจก และอาศัยการทำข่าวเท่านั้น ผลที่น่าสลดใจคือคนดีๆ ก็ไปติดคุกและปัจเจกคนอื่นโดนกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่อง

เราจำการลุกฮือ ๑๔ ตุลาได้ไหม? มวลชนครึ่งล้านคนออกมาชุมนุมหลังจากที่นักกิจกรรมโดนเผด็จการจับ และในที่สุดเผด็จการก็ถูกล้มไป ถ้าคนไทยเคยทำได้ในอดีต ตอนนี้ก็ยังทำได้ แต่ต้องมีการวางแผนและการจัดตั้ง

FI-fists_0

การเคลื่อนไหวที่จะมีพลัง ไม่สามารถจัดได้ถ้าเราเพียงแต่ประกาศชวนเชิญประชาชนมาร่วมผ่านสื่อมวลชนหรือโซเชียลมีเดีย ถ้าในอนาคตจะมีการจัดให้มีพลังมากขึ้น คือมีคนมาร่วมจำนวนมาก ควรจะมีการจงใจสร้างเครือข่ายและแนวร่วมอย่างจริงจังกับกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆ กัน

ต้องมีการใช้เวลาเพื่อไปคุยกับคนที่มีประวัติในการค้านเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นอดีตคนเสื้อแดง กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันที่หลากหลาย และควรมีการนัดคุยกันหลายรอบ เพื่อร่วมกันตกลงว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันอย่างไร และเมื่อไร นอกจากนี้ตัวแทนของทุกกลุ่มที่ร่วมกันควรจะถือว่าเป็นแกนนำของแนวร่วมใหม่อันนี้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การจัดตั้งแบบประชาธิปไตย”

แน่นอนการทำงานแนวร่วมแบบนี้ต้องมีการประนีประนอมกันในการวางแผนแนวปฏิบัติ แต่นั้นไม่ได้แปลว่าจะมีมุมมองในหลายแง่ของการเมืองที่ต่างกันไม่ได้ จริงๆ แล้วการมีหลากหลายมุมมองทางการเมืองเป็นเรื่องดี เพราะจะนำไปสู่การถกเถียงเรื่องการเมืองภาพกว้าง ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเมืองแบบนี้และช่วยให้ทุกคนมีความคิดที่ชัดเจนมากขึ้น

เราไม่ควรลืมว่าประชาธิปไตยควรจะรวมไปถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิที่จะมีค่าแรงที่เลี้ยงชีพได้ สิทธิของทุกเพศรวมถึงเกย์ ทอม ดี้ กะเทย ฯลฯ สิทธิของชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี สิทธิของแรงงานข้ามชาติ สิทธิในการนับถือศาสนาตามที่ปัจเจกเลือกที่จะนับถือ หรือสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลและการศึกษาคุณภาพดีอย่างถ้วนหน้าฯลฯ

ฝังอยู่ในข้อเสนอของการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของผม คือความสำคัญของการสร้างพรรคของคนชั้นล่าง ซึ่งผมเขียนเรื่องนี้บ่อย หาอ่านได้ที่นี่ http://bit.ly/2nfpcVA

แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยที่เราควรจะมี จะต้องไม่จำกัดไว้ในแวดวงคนที่อยากสร้างพรรคเท่านั้น ต้องกว้างกว่านั้นอีกมาก

การนัดหยุดงานกับพลังในการสร้างเสรีภาพ

ท่ามกลางความมืดมนของเผด็จการที่วางแผนคุมสังคมเราในระยะยาว เราต้องตั้งคำถามว่าพลังไหนในสังคมจะปลดแอกประชาชนและสร้างเสรีภาพ?

การสร้างพลังของขบวนการสหภาพแรงงานในไทย มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างเสรีภาพ สังคมเราจะได้ไม่ต้องวนเวียนอยู่กับเผด็จการ การทำรัฐประหาร  และสภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างต่อเนื่องเหมือนไม่มีจุดจบ นี่คือบทเรียนจากประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก เกาหลีใต้ ลาตินอเมริกา อียิปต์ ซูดาน และแอลจีเรีย

การลงถนนเพื่อประท้วงของมวลชน จะมีพลังมากขึ้นถ้ามีการนัดหยุดงาน การปราบปรามด้วยความรุนแรงของฝ่ายเผด็จการทำได้ยากขึ้นเมื่อเน้นการนัดหยุดงานด้วย

อย่างไรก็ตามขบวนการแรงงานไทยตอนนี้อ่อนแอเกินไป ไร้ประสิทธิภาพในการนำตนเองเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งถูกฝ่ายปฏิกิริยาแทรกแซง และเกือบจะไม่มีการจัดตั้งทางการเมือง บางส่วนของขบวนการมองรัฐบาลทหารว่าเป็น “ผู้อุปถัมภ์” อีกด้วย ที่สำคัญคือควบคู่กับการสร้างพลังของกรรมาชีพ เราไม่สามารถละเว้นการสร้างพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพด้วย ดังนั้นภารกิจสำคัญของเราควรจะเป็นการสร้างพรรคสังคมนิยมของคนหนุ่มสาวมีไฟที่ลงไปทำงานกับขบวนการสหภาพแรงงาน

ทำไมกรรมาชีพมีบทบาทชี้ขาดในการสร้างประชาธิปไตย เสรีภาพ และสังคมนิยม?

ชนชั้นกรรมาชีพตามนิยมของนักมาร์คซิสต์ คือ ทุกคนที่ไร้ปัจจัยการผลิต ดังนั้นลูกจ้างทุกคนที่ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษถือว่าเป็นกรรมาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรโรงงาน พนักงานปกคอขาว คนขับรถเมล์ พนักงานในภาคบริการ พยาบาล หรือครูบาอาจารย์

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ เป็นเพราะชนชั้นกรรมาชีพมีอำนาจซ่อนเร้นอยู่สูง เนื่องจากกรรมาชีพเป็นชนชั้นใหม่ที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้นมาในใจกลางของระบบ เศรษฐกิจทุนนิยมต้องอาศัยการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพทั้งสิ้น นายทุนนายจ้างและเครื่องจักรต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานแทนชนชั้นกรรมาชีพได้ เมื่อกรรมาชีพนัดหยุดงานทั่วประเทศ ทหารและตำรวจปราบยากกว่าการชุมนุมบนท้องถนน

stop dictatorship

สรุปแล้วสิ่งที่เราน่าจะทำตอนนี้คือ

  1. ตั้งวงคุยอย่างจริงจังเพื่อทบทวนแนวการต่อสู้ที่ผ่านมา และถกเถียงแลกเปลี่ยนว่าเราต้องการสังคมแบบไหน โดยใช้ประสบการณ์จากโลกจริงมาเป็นตัวอย่าง
  2. ต้องมีการใช้เวลาเพื่อสร้างเครือข่ายการเคลื่อนไหว และควรมีการนัดคุยกันหลายรอบ เพื่อร่วมกันตกลงว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันอย่างไร และเมื่อไร
  3. ควรเริ่มเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จากเล็กไปใหญ่ โดยเน้นการดึงมวลชนเข้ามาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เน้นการลงถนนเป็นครั้งๆ ไม่ใช่ชุมนุมยืดเยื้อ และควรตั้งเป้าให้มีการหยุดงานด้วย
  4. ควรพยายามสร้างพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพ แทนที่จะตั้งความหวังกับพรรคการเมืองของนายทุน

เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันมันไม่ยากเกินความสามารถของคนธรรมดาด้วย ใครที่บอกว่า “มันยากแต่ฉันจะพยายามทำ” คือคนที่ไม่ต้องการเป็นทาส

โจร500 สืบทอดอำนาจเผด็จการตามคาด แต่ทำไมพรรคฝ่ายประชาธิปไตยงอมืองอเท้าไม่นำการต่อสู้นอกสภา?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในที่สุดผลของการวางไข่พิษโดยเผด็จการประยุทธ์ก็บรรลุผลตามคาด พลเมืองที่รักประชาธิปไตยส่วนใหญ่คงไม่แปลกใจนัก เพราะเราเห็นการออกแบบประชาธิปไตยจอมปลอมโดยคณะโจรมานาน

ยุง

แต่ประเด็นที่พวกเราทุกคนต้องตั้งเป็นคำถามกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยคือ “ทำไมไปเล่นตามกติกาโจรทุกอย่างและไม่เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลล่วงหน้า?”

การร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของเผด็จการ และผลคะแนนเสียงที่ออกมา คือพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะต้านเผด็จการได้เสียงข้างมากและได้จำนวนที่นั่งข้างมาก เป็นโอกาสทองที่จะประกาศต่อมวลชนว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่คัดค้านการสืบทอดอำนาจโดยเผด็จการ และเป็นโอกาสทองที่จะใช้ความชอบธรรมจากผลการเลือกตั้งนี้ เพื่อสร้างขบวนการมวลชนทีเป็น “แนวร่วมเพื่อประชาธิปไตย” นอกรัฐสภา

แต่พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยโยนโอกาสทองอันนี้ทิ้งลงน้ำ

แทนที่จะเริ่มสร้างขบวนการมวลชนเพื่อเป็นพลังในการทำลายเผด็จการ แกนนำของพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย เลือกที่จะเล่นตามเกมส์เผด็จการหมดเลย มีแต่การยอมรับว่าจะเป็นฝ่ายค้านในสภาน้ำเน่า มีแต่การอาศัยกระบวนการอยุติธรรมของศาลเตี้ยใต้ตีนทหาร มีแต่การมองไปสู่การเลือกตั้งท้องถิ่น และการสร้างพรรคต่อไปเพื่อเล่นตามแนวเดิม

เผด็จการในไทยหรือที่อื่นทั่วโลกไม่เคยถูกล้มโดยการเล่นตามกติกาเผด็จการ เผด็จการจะถูกล้มได้ก็ด้วยพลังมวลชนบนท้องถนนและในสถานที่ทำงาน ขบวนการมวลชนเพื่อประชาธิปไตยในไทยควรจะถูกสร้างตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เมื่อมีกระแส “คนอยากเลือกตั้ง” แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ไม่สนใจ

ตอนนี้การเล่นตามเกมส์เผด็จการ และการหมกมุ่นกับกฏหมายโจรและศาลโจร ถึงทางตันแล้ว เพราะเรามีรัฐบาลทหารเถื่อนนำโดยอาชญากรที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสส.

สำหรับนักวิชาการและนักเคลื่อนไหว “สลิ่ม” ที่เคยแหกปากโกหกเรื่อง “เผด็จการรัฐสภา” ในยุคทักษิณ สิ่งที่เรามีวันนี้คือเผด็จการรัฐสภาตัวจริง

สภา
ภาพจาก ILaw

พวกเราคงทราบดีเรื่องที่มาที่ไปของการตั้งรัฐบาลเถื่อนชุดนี้ เริ่มจากการทำรัฐประหารล้มประชาธิปไตยของประยุทธ์ ผ่านการใช้ความรุนแรงกับฝ่ายประชาธิปไตยก่อนและหลังรัฐประหาร ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญเผด็จการ ผ่านการเขียนยุทธศาสตร์แห่งชาติ20ปี ผ่านการเขียนกติกาการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจ ผ่านการใช้ศาลเตี้ยยุบพรรค ผ่านการแต่งตั้งสว.เถื่อนโดยทหาร และขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้กกต.ของทหารเพื่อโยกย้ายจำนวนที่นั่งจากพรรคอนาคตใหม่สู่พรรคเล็กที่ไม่มีใครสนับสนุน ผลก็อย่างที่เราเห็นอยู่

สิ่งเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของทุกคน แต่แกนนำพรรคอนาคตใหม่กับพรรคเพื่อไทย ไม่เคยเสนอว่าจะจัดการกับการโกงการเลือกตั้งแบบนี้อย่างไร มีแต่การสร้างความฝันจอมปลอมว่าแค่การกาช่องในบัตรเลือกตั้งจะนำไปสู่การฆ่าเผด็จการได้ และมีแต่การสร้างความฝันว่ารัฐสภาจะคว่ำรัฐธรรมนูญและกติการทหารได้

ดู https://bit.ly/2Wu8eGH

ประเด็นที่เผชิญหน้าเราทุกคนคือ จะมีการทบทวนแนวยอมจำนนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ หรือจะยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลเถื่อนต่อไป

ในบทความฉบับหน้าจะมีข้อเสนอว่าเราจะสู้เผด็จการอย่างไร

ฆาตกรทหาร ลอยนวลมาตลอด

ใจ อึ๊งภากรณ์

9 ปีหลังการสังหารเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย โดยอนุพงษ์ เผ่าจินดา, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ฆาตกรแก๊งนี้ยังลอยนวล

15 ปีหลังเหตุสังหารประชาชนมาเลย์มุสลิมที่ตากใบ ทหารตำรวจและทักษิณ ชินวัตร ยังลอยนวล

26 ปีหลังการสังหารผู้รักประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕ ฆาตกรทหารยังลอยนวล

43 ปีหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ฆาตกรทหารและตำรวจยังลอยนวล และฆาตกรหลายคนคงตายไปแล้ว

ตั้งแต่กบฏผู้มีบุญในอีสาน ที่เกิดขึ้นเพื่อต้านการกดขี่ที่มาพร้อมกับการสร้างรัฐไทยสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่๕ ชนชั้นปกครองไทยมือเปื้อนเลือดจาก “อาชญากรรมรัฐ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก และไม่มีเคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดที่ถูกลงโทษ วัฒนธรรมการลอยนวลของอาชญากรระดับสูงในสังคมไทยจึงถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะมีการสั่งฆ่าโดยตรง หรือมีการเปิดไฟเขียวให้คนอื่นฆ่า ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องเป็นผู้ที่ถืออำนาจในยุคนั้นๆ ความรับผิดชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความผิดที่มาจากการสั่งการโดยตรงทั้งๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดคนหนึ่งอาจสั่งการไปด้วย ปัญหาที่มักพบคือพิสูจน์คำสั่งโดยตรงยาก แต่ประเด็นคือคนที่มีอำนาจเพราะมีตำแหน่งต้องรับผิดชอบ เพราะผู้บริหารองค์กรหรือประเทศมีอำนาจ และต้องรับผิดชอบต่ออำนาจที่สังคมมอบให้หรือที่เขายึดมาจากสังคมผ่านการทำรัฐประหาร

ในแง่นี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของสหาย สุรชัย, ภูชนะ กับ กาสะลอง

_107009966_44481289_775709012771367_386115618585182208_n

และประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง), สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เราคงต้องสรุปว่าทหารของ คสช. อุ้มฆ่าสามคนนี้

ในกรณีการอุ้มฆ่านักสิทธิมนุษยชน เช่นทนายสมชาย หรือนักเคลื่อนไหวไทยในประเทศลาว เราต้องเข้าใจว่ารัฐบาลเผด็จการทรราชในไทยและทั่วโลก มักจะออกมาโกหกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้เป็นธรรมดา และวิธีการที่พวกนี้ใช้มักจะไม่เหลือหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้เราสืบค้นได้ แต่นั้นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนในการก่ออาชญากรรม

เผด็จการทหารไทยมีประวัติในการเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าคนที่เห็นต่างหรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “โกตี๋” กับ “ดีเจซุนโฮ” ที่อยู่ในประเทศลาว เป็นตัวอย่างที่ดีของการถูกอุ้มฆ่า กองทัพไทยใช้กองกำลังลับ เพื่อฆาตกรรมวิสามัญคนมาเลย์มุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลไทยในปาตานี และใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้กองทัพไทยมีประวัติในการข้ามพรมแดนเข้าไปในประเทศลาวเพื่อไปใช้อาวุธแบบลับๆ ร่วมกับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม มันชวนให้เราคิดว่าการข้ามพรมแดนไปฝั่งลาวของทหารไทยเป็นเรื่องธรรมดา

ชูชีพ
ลุงสนามหลวง
สยาม
สยาม ธีรวุฒิ

นอกจากนี้ในกรณีของ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ (ลุงสนามหวง), สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย และกรณีการส่งตัวคุณประพันธ์ จำเลยคดีสหพันธรัฐไท กลับไทย เราต้องประณามรัฐบาลเวียดนามและมาเลเซีย ที่ไม่มีหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานเลย และร่วมมือกับอาชญกรเผด็จการไทย

ส่วนกรณีวงดนตรีไฟเย็นที่โดนเผด็จการทหารไทยคุกคาม เราต้องคอยติดตามดูแลสถานภาพของเขาตลอด จนกว่าเขาจะได้โอกาสเดินทางไปลี้ภัยในตะวันตก

safe_image

ที่เห็นชัดคือประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง และเราไม่สามารถพึ่งพรรคการเมืองกระแสหลักได้ในขณะนี้ ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน เพื่อขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในสังคมของเรา