ใจ อึ๊งภากรณ์
ในบริบทสังคมไทยประโยคนี้เป็นประโยคที่ขัดแย้งในตัวเอง เพราะทหารและพวกอภิสิทธิ์ชนกับนายทุนใช้สถาบันกษัตริย์ในการเบี่ยงเบนประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศตะวันตกการมีสถาบันกษัตริย์มีไว้เพื่อเน้น “ธรรมชาติ” ของระบบชนชั้นที่กดทับประชาชน แต่การต่อสู้เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยโดยชนชั้นกรรมาชีพทำให้ชนชั้นปกครองในตะวันตกไม่สามารถทำให้กษัตริย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใช้เป็นข้ออ้างในการทำลายประชาธิปไตยเหมือนในไทย
สถาบันกษัตริย์ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้นสำหรับพลเมืองส่วนใหญ่ในไทยหรือในโลก ตรงกันข้ามมันเป็นปรสิตใหญ่ที่ใช้ทรัพยากรของประเทศเพื่อการเสพสุขของบุคคลที่ไม่เคยทำงาน ยิ่งกว่านั้นในไทยมันเป็นเครื่องมือราคาแพงเพื่อข่มพลเมืองให้เกรงกลัวการต่อต้านเผด็จการ อภิสิทธิ์ชน หรือนายทุน เพราะกลุ่มคนที่ปกครองเราโดยไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งที่แท้จริง เช่นรัฐบาลปัจจุบัน หรือนายทุน มักจะต้องเกาะติดกับสถาบันกษัตริย์เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเองในการใช้อำนาจ

ที่ตลกร้ายคือการสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ผ่านสายเลือด ทำให้ไทยมีประมุขปัญญาอ่อนโหดร้ายอย่างวชิราลงกรณ์ และชนชั้นปกครองเรามักชักชวนให้เรากราบไหว้ตัวปัญญาอ่อนนี้ในขณะที่พวกเขาเองเอบดูถูกสมเพศวชิราลงกรณ์ลับหลังเรา
จริงๆ แล้วราชวงศ์อังกฤษและในยุโรปก็มีตัวเหี้ยๆ พอๆ กับของไทย โดยเฉพาะสามีและลูกชายของราชินีอังกฤษ แต่สังคมด่าเขาได้
ใครๆ รู้ว่าวชิราลงกรณ์เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะมีบทบาทอะไรในลักษณะการเป็นประมุข การเชิดชูส่งเสริมวชิราลงกรณ์ว่าเป็น “อัจฉริยะมนุษย์” อย่างที่ชนชั้นนำเคยทำในกรณีนายภูมิพล ทำไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหารคลั่งเจ้าที่เป็นฝ่ายขวาตกขอบ กำลังพยายามทำให้ความจงรักภักดีต่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องมือบังคับให้เราก้มหัวให้ทหารเผด็จการ เหมือนที่เขาใช้ลัทธิชาตินิยมและมักกล่าวหาคนที่รักประชาธิปไตยว่าเป็นพวก “ชังชาติ” การพยายามทำลายพรรคอนาคตใหม่เป็นตัวอย่างที่ดี
สถาบันกษัตริย์ไม่ใช่สิ่งเดียวกับบุคคลที่เป็นกษัตริย์ แต่ในเวลาเดียวกันมันผูกพันกันอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้อาจสร้างปัญญาให้กับทหารคลั่งเจ้าขวาตกขอบ เพราะเนื่องจากเขากลัวการล้มอำนาจทหารโดยประชาชน เขากำลังพยายามส่งเสริมฐานะของสถาบันกษัตริย์ในลักษณะของสถาบัน ในขณะที่เขาอยากให้เราลืมความเลวทรามของวชิราลงกรณ์ มันมีความขัดแย้งในตัว


ความพยายามใช้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องมือบังคับให้เราก้มหัวให้ทหารเผด็จการ เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการพยายามลบประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ด้วยการรื้อถอนอนุสาวรีย์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ๒๔๗๕
วิธีที่จะสู้กับแนวทางของพวกทหารคลั่งเจ้าขวาตกขอบ และทหารเผด็จการทั่วไป คือการปกป้องรักษาประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ในไทยรวมถึง ๒๔๗๕ และการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เรื่องอนุสาวรีย์อาจเป็นเรื่องรอง ถ้าเรารักษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายเราได้ แต่เราก็ต้องพยายามต่อต้านการรื้อทิ้งอนุสาวรีย์อย่างหลักสี่หรือหมุดคณะราษฎร
การรักษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายเราทำได้ด้วยประสิทธิภาพ ถ้าเราสร้างพรรคการเมืองของคนชั้นล่างและกรรมาชีพที่เน้นการศึกษาทางการเมือง อย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยเคยทำ เพราะถ้าแค่รักษาประวัติศาสตร์ในแวดวงมหาวิทยาลัยมันจะไม่แพรากระจายสู่คนธรรมดา

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องคือการสร้างขบวนการมวลชนเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยและไล่ทหารออกจากระบบการเมือง ต้องให้ความสำคัญกับกรรมาชีพมากกว่าชนชั้นกลาง และถึงแม้ว่าในสังคมเปิดกว้างคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแสดงจุดยืนสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐได้ แต่เราควรพูดถึงเรื่องนี้ในวงเล็กๆ เสมอ และที่สำคัญคือต้องรณรงค์ต่อต้านการใช้กฏหมาย112 หรือต่อต้านการพยายามใช้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องวัด “ความเป็นไทย” นอกจากนี้เราไม่ควรรีบไปแสดงความจงรักภักดีต่อระบบกษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เราต้องพยายามรักษาจุดยืนประชาธิปไตยในสถานการณ์ลำบาก
เราต้องพยายามพูดในที่สาธารณะว่าระบอบประชาธิปไตยมีหลานรูปแบบที่มีความชอบธรรม และทหาร ศาล หรือรัฐบาลปัจจุบัน ไม่มีความชอบธรรมในการผูกขาดว่าเราควรใช้ระบอบไหน