จะรออะไรอีก? เมื่อนักศึกษานำทาง คนทำงานควรตาม ลงถนนร่วมกัน!!

ในเมื่อนักศึกษาจากหลายๆ สถาบันทั่วประเทศออกมาแสดงพลังประท้วงการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นการทำลายประชาธิปไตยอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ คนทำงาน นักสหภาพแรงงาน อดีตเสื้อแดง และประชาชนทั่วไปที่รักประชาธิปไตย….ควรวางแผนลงถนนร่วมกับคนหนุ่มสาวที่นำทางให้เราแล้ว

58525-728x546

49579356928_c4b624afdb_k

49583284531_afa9faa7f5_b

49588263307_6852e3839b_b

87050886_3965432330137236_6425129018772684800_o

49585215417_1dd10602a5_h

49587901378_37c8a8b6b4_b

ภาพจากประชาไท

การต่อสู้ในรัฐสภาหรือการหวังพึ่งกฏหมายถึงทางตันแล้ว

ใจ อึ๊งภากรณ์

สำหรับนักเคลื่อนไหวก้าวหน้า การตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่โดยศาลเตี้ยไทยที่รับใช้เผด็จการ ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แต่สำหรับเพื่อนพลเมืองที่รักประชาธิปไตยจำนวนมาก ที่เคยมีความหวังกับการสู้ภายในระบบ มันน่าจะพิสูจน์ว่าความหวังที่จะปฏิรูประบบการเมืองไทยผ่านโครงสร้างทางการ เช่นรัฐสภา มันถึงทางตันโดยสิ้นเชิง

เผด็จการรัฐสภาของแก๊งประยุทธ์กับพรรคพวก มันงอกมาจากการทำรัฐประหารด้วยกระบอกปืน มันไม่เคยเป็นประชาธิปไตย และกติกาต่างๆ ที่เผด็จการมันร่างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบเลือกตั้งเทียม การคำนวณจำนวนสส. การแต่งตั้งวุฒิสภา การแต่งตั้งศาลเตี้ย การใช้กฏหมายปิดปากเสรีภาพ หรือการให้อำนาจต่างๆ กับทหารเพื่อสืบทอดอำนาจไปอีกนาน ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์ที่จะฟอกเผด็จการให้ดูเหมือนมีความชอบธรรม

แต่เผด็จการประยุทธ์ไม่เคยมีความชอบธรรมตั้งแต่ต้น ดังนั้นการที่ใครจะไป “เคารพ” คำตัดสินของศาล หรือ “เคารพ” กฏหมายของเผด็จการ ก็เหมือนไปกราบไหว้หมาขี้เรื้อน

944902_1252013448161903_1049020342358851826_n

ทั้งๆ ที่ผมไม่เห็นด้วย ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่รักประชาธิปไตยจำนวณมากที่เคยอยากเห็นการปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตยที่อาศัยการใช้รัฐสภาหรือกฏหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้นอกสภาหรือบนท้องถนน แต่มันหมดข้อแก้ตัวแล้วที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

ในแง่หนึ่ง การที่พรรคอนาคตใหม่และฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังไม่พร้อมจะลงถนน ได้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งและระบบรัฐสภาภายใต้กติกาเผด็จการ แต่จบแบบนี้ มันพิสูจน์อย่างชัดเจนว่ามันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสู้ด้วยขบวนการเคลื่อนไหวนอกรัฐสภาที่พร้อมจะฝืนกฏหมายเผด็จการ มันจึงให้ความชอบธรรมสูงสุดกับการต่อสู้แบบนี้

ในขณะที่กระแสความไม่พอใจของประชาชนจำนวณมากมันกำลังมาแรง นักเคลื่อนไหว ทั้งภายในพรรคอนาคตใหม่และนอกระบบพรรค จะต้องใช้โอกาสนี้ในการสร้างขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ และแกนนำพรรคอนาคตใหม่เคยเรียกให้พลเมืองออกมาประท้วงครั้งหนึ่งแล้ว และได้ผล ถ้าเขาไม่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนประท้วงหลังจากที่พรรคถูกยุบครั้งนี้ ต้องถือว่าเขาก่ออาชญากรรมกับความฝันที่จะมีระบบประชาธิปไตยในไทย

4190D50EC0C44B17B899CBDA14848B21

ถ้าไม่มีการปลุกระดมให้คนออกมาต่อสู้ ทั้งบนท้องถนน ในมหาวิทยาลัย หรือในสถานที่ทำงาน กระแสความไม่พอใจจะลดลงและในที่สุดหายไปท่ามกลางความหดหู่ และมันจะเป็นการยอมจำนนโดยสิ้นเชิง

คิดดูครับ มันทำรัฐประหาร มันสืบทอดอำนาจ มันโกงระบบเลือกตั้ง มันเป็นรัฐบาลต่อหลังเลือกตั้ง และมันยังรุกไปยุบพรรคฝ่ายค้านอีก เราจะยังก้มหัวอีกหรือ?

ไม่ว่าแกนนำพรรคอนาคตใหม่จะออกมาปลุกระดมการต่อสู้ และสร้างขบวนการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่หรือไม่ นักต่อสู้คนธรรมดา ทั้งในและนอกพรรค จะต้องไม่รอคอยให้คนใหญ่คนโตทำอะไรให้ เราต้องสร้างเครือข่ายรากหญ้าของขบวนการประชาธิปไตยที่นำตนเองได้ เพื่อผลักดันการต่อสู้ไปข้างหน้าไม่ว่าแกนนำนักการเมืองจะทำอะไร และในกรณีที่นักการเมืองออกมาสู้ เครือข่ายรากหญ้านี้จะต้องเข้มแข็งและทำตัวเป็นพลังที่จะประกันไม่ให้มีการหักหลังประชาชนด้วยการประนีประนอมกับเผด็จการด้วย

FI-fists_0

ทหารคลั่งที่โคราชสะท้อนสังคมป่วยภายใต้เผด็จการทหาร

ใจ อึ๊งภากรณ์

เหตุการณ์น่าสลดใจที่ทหารคลั่งฆ่าประชาชนไป 30 ศพที่โคราช สะท้อนสังคมไทยที่ป่วยภายใต้เผด็จการทหาร

dFQROr7oWzulq5FZYjcKI40nk1L2FIGhSvJVTYMEvyXfQnGXspwvgknsx13i4oG1OGF

นอกจากสภาพจิตใจของนายทหารคนนั้น ซึ่งสำคัญ แต่อธิบายไม่ได้ทั้งหมด เราควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวกับสังคมไทยที่นำไปสู่เหตุการณ์นี้

ขณะนี้สังคมเราถูกปกครองโดยทหารเผด็จการที่ใช้อาวุธเพื่อยึดอำนาจและเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งเพื่อขยายเวลาปกครองต่อไปในระบบเผด็จการรัฐสภา สถานการณ์แบบนี้สร้างวัฒนธรรมที่มองว่าการที่ทหารใช้กำลังในการคุมระบบการเมืองเป็นเรื่องปกติ แต่ทหารไม่ได้คุมแค่การเมืองในระดับเบื้องบน มันเข้ามาแทรกแซงสังคมในระดับรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง ในหลายกรณีทหารเข้ามาคุมสังคมแทนตำรวจ ทหารไปเยี่ยมนักประชาธิปไตยถึงบ้านเพื่อข่มขู่และจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ในสังคมเราปัจจุบันแค่การแต่งชุดทหารและถือปืนกลายเป็นสิ่งที่ให้ “ความชอบธรรม” กับพฤติกรรมเยี่ยงโจร

dead in temple

เราทราบดีว่าในหลายปีที่ผ่านมา ทหารคลั่งภายใต้คำสั่งของผู้บังคับบัญชา ได้กราดยิงประชาชนผู้ไร้อาวุธที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยหลายครั้ง กรณีเสื้อแดงในปี ๒๕๕๓ กรณี พฤษภา ๓๕ กรณี ๖ ตุลา และ ๑๔ ตุลา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน และทหารมีประวัติในการสังหารวิสามัญชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี และฆ่าผู้เห็นต่างที่ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน

Thai army soldier stands guard over handcuffed detainees during an operation to evict anti-government "red shirt" protesters from their encampment in Bangkok

ภายในกองทัพเองมีการสร้างวัฒนธรรมความรุนแรงด้วยการซ้อมเด็กๆ ทหารเกณฑ์ จนตายไปหลายราย

เหตุการณ์เหล่านี้สร้าง “วัฒนธรรมอาชญากรลอยนวล” สำหรับกองทัพ และประยุทธ์ก็เป็นตัวดี เพราะมีส่วนในการสังหารเสื้อแดง

วัฒนธรรมอาชญากรลอยนวลในกองทัพ ทำให้ทหารเดินไปเดินมาในสังคมเหมือนมาเฟียที่ไม่กลัวใคร

B6FtNKtgSqRqbnNsU1cE4HgGWYX7hIdjDDpKzDTHjYTktg9zIsS1QmTYpedg1OnUSMcYn

วัฒนธรรมความรุนแรงต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า ถูกผลิตซ้ำตั้งแต่เด็ก ในงานวันเด็กทหารมักจะนำอาวุธสงครามออกมาให้เด็ก “เล่น” อาวุธที่ทหารคลั่งใช้ฆ่าประชาชนที่โคราชคงเป็น “ของเล่น” ที่ทหารออกมาโชว์ให้เด็กดู วัฒนธรรมนี้ทำให้เด็กผู้ชายบางคนอยากเป็นทหาร เพื่อจะได้มีโอกาสเดินกร่างทำตัวเป็นใหญ่ในสังคม มันไม่ใช่เรื่องของการเป็นวีรชนที่ปกป้องประเทศ เพราะทหารไทยไม่เคยปกป้องประเทศ และไม่ใช่วีรชน ทหารไทยทำตัวเป็นโจรมาเฟียข่มขู่และฆ่าประชาชนมากกว่า

และการเป็นมาเฟียก็หมายความว่ากองทัพเข้ามามีผลประโยขน์ทางธุรกิจมากมาย นายทหารคลั่งที่โคราชอาจโกรธแค้นเพราะโดนผู้บังคับบัญชาโกงในธุรกิจ

ปัจจัยสุดท้ายที่คงมีผลกับเหตุการณ์น่าสลดใจที่โคราช เป็นเรื่องของการขาดความยุติธรรมและความมั่นคงในชีวิตสำหรับคนธรรมดาที่ยากจน อันนี้เป็นสาเหตุที่คนธรรมดาอาจมองว่าในเมื่อพึ่งความยุติธรรมจากรัฐไม่ได้ ก็ต้องไป “จัดการ” ปัญหาเองด้วยท่าทีแบบโจร ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสังคมโลกที่ประชาชนครอบครองปืนในระดับสูง

ด้วยเหตุนี้ เวลาเราพิจารณาเหตุการณ์ที่โคราช ผู้ที่ต้องรับผิดชอบรายใหญ่คือแก๊งทหารที่ครองเมืองทุกวันนี้ และตัวสำคัญที่สุดที่ต้องรับผิดชอบคือประยุทธ์ จันทร์โอชา

bloody prayut

 

ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในบริบทสังคมไทยประโยคนี้เป็นประโยคที่ขัดแย้งในตัวเอง เพราะทหารและพวกอภิสิทธิ์ชนกับนายทุนใช้สถาบันกษัตริย์ในการเบี่ยงเบนประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศตะวันตกการมีสถาบันกษัตริย์มีไว้เพื่อเน้น “ธรรมชาติ” ของระบบชนชั้นที่กดทับประชาชน แต่การต่อสู้เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยโดยชนชั้นกรรมาชีพทำให้ชนชั้นปกครองในตะวันตกไม่สามารถทำให้กษัตริย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใช้เป็นข้ออ้างในการทำลายประชาธิปไตยเหมือนในไทย

สถาบันกษัตริย์ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้นสำหรับพลเมืองส่วนใหญ่ในไทยหรือในโลก ตรงกันข้ามมันเป็นปรสิตใหญ่ที่ใช้ทรัพยากรของประเทศเพื่อการเสพสุขของบุคคลที่ไม่เคยทำงาน ยิ่งกว่านั้นในไทยมันเป็นเครื่องมือราคาแพงเพื่อข่มพลเมืองให้เกรงกลัวการต่อต้านเผด็จการ อภิสิทธิ์ชน หรือนายทุน เพราะกลุ่มคนที่ปกครองเราโดยไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งที่แท้จริง เช่นรัฐบาลปัจจุบัน หรือนายทุน มักจะต้องเกาะติดกับสถาบันกษัตริย์เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเองในการใช้อำนาจ

2019-05-04T072632Z-948315276-RC1EE0951570-RTRMADP-3-THAILAND-KING-CORONATION

ที่ตลกร้ายคือการสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ผ่านสายเลือด ทำให้ไทยมีประมุขปัญญาอ่อนโหดร้ายอย่างวชิราลงกรณ์ และชนชั้นปกครองเรามักชักชวนให้เรากราบไหว้ตัวปัญญาอ่อนนี้ในขณะที่พวกเขาเองเอบดูถูกสมเพศวชิราลงกรณ์ลับหลังเรา

จริงๆ แล้วราชวงศ์อังกฤษและในยุโรปก็มีตัวเหี้ยๆ พอๆ กับของไทย โดยเฉพาะสามีและลูกชายของราชินีอังกฤษ แต่สังคมด่าเขาได้

ใครๆ รู้ว่าวชิราลงกรณ์เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะมีบทบาทอะไรในลักษณะการเป็นประมุข การเชิดชูส่งเสริมวชิราลงกรณ์ว่าเป็น “อัจฉริยะมนุษย์” อย่างที่ชนชั้นนำเคยทำในกรณีนายภูมิพล ทำไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตามชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหารคลั่งเจ้าที่เป็นฝ่ายขวาตกขอบ กำลังพยายามทำให้ความจงรักภักดีต่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องมือบังคับให้เราก้มหัวให้ทหารเผด็จการ เหมือนที่เขาใช้ลัทธิชาตินิยมและมักกล่าวหาคนที่รักประชาธิปไตยว่าเป็นพวก “ชังชาติ” การพยายามทำลายพรรคอนาคตใหม่เป็นตัวอย่างที่ดี

สถาบันกษัตริย์ไม่ใช่สิ่งเดียวกับบุคคลที่เป็นกษัตริย์ แต่ในเวลาเดียวกันมันผูกพันกันอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้อาจสร้างปัญญาให้กับทหารคลั่งเจ้าขวาตกขอบ เพราะเนื่องจากเขากลัวการล้มอำนาจทหารโดยประชาชน เขากำลังพยายามส่งเสริมฐานะของสถาบันกษัตริย์ในลักษณะของสถาบัน ในขณะที่เขาอยากให้เราลืมความเลวทรามของวชิราลงกรณ์ มันมีความขัดแย้งในตัว

img_20200127_184610_1-696x511

49449713792_049f54baa7_b

ความพยายามใช้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องมือบังคับให้เราก้มหัวให้ทหารเผด็จการ เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการพยายามลบประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ด้วยการรื้อถอนอนุสาวรีย์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ๒๔๗๕

วิธีที่จะสู้กับแนวทางของพวกทหารคลั่งเจ้าขวาตกขอบ และทหารเผด็จการทั่วไป คือการปกป้องรักษาประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ในไทยรวมถึง ๒๔๗๕ และการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เรื่องอนุสาวรีย์อาจเป็นเรื่องรอง ถ้าเรารักษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายเราได้ แต่เราก็ต้องพยายามต่อต้านการรื้อทิ้งอนุสาวรีย์อย่างหลักสี่หรือหมุดคณะราษฎร

การรักษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายเราทำได้ด้วยประสิทธิภาพ ถ้าเราสร้างพรรคการเมืองของคนชั้นล่างและกรรมาชีพที่เน้นการศึกษาทางการเมือง อย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยเคยทำ เพราะถ้าแค่รักษาประวัติศาสตร์ในแวดวงมหาวิทยาลัยมันจะไม่แพรากระจายสู่คนธรรมดา

Against Dictatorship

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องคือการสร้างขบวนการมวลชนเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยและไล่ทหารออกจากระบบการเมือง ต้องให้ความสำคัญกับกรรมาชีพมากกว่าชนชั้นกลาง และถึงแม้ว่าในสังคมเปิดกว้างคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแสดงจุดยืนสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐได้ แต่เราควรพูดถึงเรื่องนี้ในวงเล็กๆ เสมอ และที่สำคัญคือต้องรณรงค์ต่อต้านการใช้กฏหมาย112 หรือต่อต้านการพยายามใช้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องวัด “ความเป็นไทย” นอกจากนี้เราไม่ควรรีบไปแสดงความจงรักภักดีต่อระบบกษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เราต้องพยายามรักษาจุดยืนประชาธิปไตยในสถานการณ์ลำบาก

เราต้องพยายามพูดในที่สาธารณะว่าระบอบประชาธิปไตยมีหลานรูปแบบที่มีความชอบธรรม และทหาร ศาล หรือรัฐบาลปัจจุบัน ไม่มีความชอบธรรมในการผูกขาดว่าเราควรใช้ระบอบไหน