เข้าใจการเมืองและประวัติศาสตร์พม่า

หนังสือ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อถกเถียงทางการเมือง” เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองในภูมิภาคนี้ แต่จะไม่สำรวจสภาพสังคมการเมืองของแต่ละประเทศอย่างแยกส่วน เหมือนกับหนังสือภาษาไทยอื่นๆ เพราะผู้เขียนมองว่าการเปรียบเทียบประเด็นการเมือง และข้อถกเถียงระหว่างนักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวจากสำนักต่างๆ เป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากหนังสือวิชาการไทย และเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าเราจะสร้างความเข้าใจรอบด้านเกี่ยวกับการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

     ในทุกบท จะมีการตั้งคำถามเพื่อชวนให้ผู้อ่านคิดต่อไป และทั้งๆ ที่ผู้เขียนมีจุดยืนมาร์คซิสต์ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในงานเขียน แต่มีความพยายามที่จะรายงานความคิดเห็นของทุกฝ่ายมา เพื่อประกอบการถกเถียง ไม่ใช่มองข้ามหรือละเลยสำนักคิดที่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ในที่สุดผู้อ่านจะต้องตัดสินใจเองว่าจะมีจุดยืนอย่างไร

     หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นในยุคก่อนทุนนิยมและอาณานิคม หลังจากนั้นก็มีการพิจารณาขบวนการชาตินิยมและขบวนการคอมมิวนิสต์ มีการพิจารณาข้อถกเถียงใหญ่ๆ เกี่ยวกับเชื้อชาติและชนชั้น เกี่ยวกับลัทธิการเมืองที่แข่งกัน เกี่ยวกับรัฐหรือตลาดในนโยบายเศรษฐกิจ และเกี่ยวกับกระบวนการสร้างประชาธิปไตย นอกจากนี้มีการสำรวจการเมืองเพศ และการเมืองภาคประชาชนซึ่งรวมถึงขบวนการแรงงานอีกด้วย

     เล่มนี้เขียนขึ้นในปี ๒๕๕๒ เพื่อเป็นตำราสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทในมหาวิทยาลัย แต่ผู้เขียนพยายามใช้ภาษาและการอธิบายง่ายๆ ดังนั้นมีความหวังว่าผู้ที่ไม่ได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยน่าจะอ่านและเข้าใจได้ดี

บทที่ 1 ทุนนิยมและการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

บทที่ 2   การท้าทายอำนาจตะวันตกด้วยขบวนการชาตินิยม

บทที่ 3 เชื้อชาติและชนชั้นสำคัญขนาดไหน?

บทที่ 4  พรรคคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บทที่ 5 สงครามเวียดนาม

บทที่ 6 ลัทธิการเมืองของชนชั้นปกครอง

บทที่ 7 รัฐหรือตลาด?

บทที่ 8 การเมืองเพศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บทที่ 9 แรงงานกับทุน และขบวนการภาคประชาชน

บทที่ 10 เงื่อนไขและกระบวนการในการสร้างประชาธิปไตย

ใจ อึ๊งภากรณ์

เชิญอ่าน

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ข้อถกเถียงทางการเมือง https://bit.ly/1sH06zu

ไทย-พม่า ข้อแก้ตัวเหลวไหลของคนไทยบางคน

ข้อแก้ตัวว่าไทยมีกษัตริย์ที่คุมเผด็จการ จึงล้มเผด็จการยาก

เวลาเรามองเปรียบเทียบการต่อสู้กับเผด็จทหารระหว่างไทยกับพม่า เราจะพบว่าความเชื่อในนิยายว่ากษัตริย์วชิราลงกรณ์มีอำนาจล้นฟ้าและควบคุมเผด็จการประยุทธ์ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนตาบอด วิเคราะห์อะไรอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นกลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับบางคนที่จะไม่สู้กับเผด็จการไทย และไม่สนใจที่จะคิดถึงวิธีการจัดตั้งมวลชนในการต่อสู้ดังกล่าว

เราจึงได้ยินคนบางคนพูดว่าประชาชนพม่าสามารถสู้กับเผด็จการพม่าได้ง่ายกว่า “เพราะไม่มีกษัตริย์”

คำพูดนี้เหลวไหลที่สุด และดูถูกเพื่อนๆในพม่าอย่างถึงที่สุดด้วย เพราะเผด็จการพม่ามีประวัติในการปราบปรามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในลักษณะที่โหดร้ายยิ่งกว่าของไทย มีการยิงกระสุนใส่มวลชนมือเปล่าจนล้มตายเป็นพันๆ หลายครั้ง และมีการล้างเผ่าพันธุ์ในกรณีชาวโรฮิงญาอีกด้วย

ที่สำคัญคือฝ่ายประชาธิปไตยในพม่ามีการจัดตั้งมวลชนอย่างเป็นระบบ เพื่อต่อสู้ต่อไปหลังจากที่มีการปราบปรามโดยทหาร

เรื่องอำนาจกษัตริย์ไทย เป็นเรื่องเท็จตั้งแต่แรก และที่แย่กว่านั้นมันเป็นนิยายที่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหาร พยายามใช้ในการหลอกและกล่อมเกลาให้คนไทยไม่กล้าสู้อย่างถึงที่สุด เราโชคดีที่บ่อยครั้งมวลชนไทยไม่เชื่อ

แต่ที่สำคัญคือ คนที่เสนอว่ากษัตริย์ไทยมีอำนาจเหนือทหาร ไม่ว่าจะเป็นักวิชาการหรือประชาชนธรรมดา กำลังช่วยทหารในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อความเท็จที่พยุงลัทธิกษัตริย์

และเป็นที่น่าเสียดายที่คนที่หมกมุ่นในเรื่องกษัตริย์และราชวงศ์ เช่นในเพจ “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” มักจะไม่มีข้อเสนอใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม ในการขยายการต่อสู้และเพิ่มอำนาจของการเคลื่อนไหว เพราะเขาดูเหมือนสดวกสบายที่จะแค่ซุบซิบ

สรุปแล้วแนวที่เน้นอำนาจกษัตริย์เป็นแนวที่ “เข้าทาง” เผด็จการทหารไทย

ในโลกแห่งความเป็นจริงความโหดร้ายของเผด็จการทหารไทยและพม่า ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการที่มีหรือไม่มีกษัตริย์

ข้อแตกต่างระหว่างเผด็จการไทยกับพม่าคือเผด็จการไทยใช้กษัตริย์เป็นหนึ่งในข้ออ้างเพื่อปราบฝ่ายตรงข้าม แต่เผด็จการทหารพม่าก็มีข้ออ้างเช่นกัน คือเรื่องความมั่นคงของชาติและศาสนา ซึ่งฝ่ายไทยก็ใช้ด้วย

คนไทยที่ยังไม่ตาสว่างเรื่องนี้ควรจะรีบออกจากกะลา เพื่อร่วมล้มเผด็จการประยุทธ์!!

ข้อแก้ตัวเพื่อไม่ลงมือจัดตั้งกรรมาชีพไทยให้ร่วมและเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับเผด็จการไทย

หลายคนจะบ่นว่ากรรมาชีพไทย “จะเอาตัวรอดไม่ได้อยู่แล้ว จะหวังให้ออกมานัดหยุดงานได้อย่างไร?” หรือบางคนพูดว่า “ขบวนการแรงงานไทยอ่อนแอเกินไป” ที่จะเป็นหัวหอกในการต่อสู้

คำพุดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำแก้ตัวของนักสหภาพแรงงานหรือนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่จะไม่จัดตั้งกรรมาชีพไทยในทางการเมือง ก็เลยสดวกสบายที่จะทำอะไรเดิมๆ เช่นการสอนให้คนงานแค่รู้จักกฏหมายแรงงานและรัฐสวัสดิการ แทนที่จะปลุกระดมทางการเมือง หรือบางคนอาจแค่พึงพอใจที่จะให้ “ผู้แทน” ของสหภาพแรงงานปราศรัยกับม็อบคนหนุ่มสาว โดยไม่สนใจที่จะมีการตั้งวงเพื่อร่วมกันคิดว่าจะสร้างกระแสนัดหยุดงานอย่างไร

ครูพม่า ภาพจาก Myanmar Now

แต่การออกมาต่อสู้ของกรรมาชีพพม่า ท้าทายแนวคิดอนุรักษ์นิยมต่อพลังกรรมาชีพของนักสหภาพแรงงานและนักเคลื่อนไหวไทย

พนักงานรถไฟ

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาในพม่ามีการออกมาประท้วงอย่างเป็นระบบของ พยาบาล หมอ ครู ข้าราชการ เจ้าหน้าทีธนาคารชาติ พนักงานรถไฟ และคนงานเหมืองแร่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการจัดตั้งกรรมาชีพกลุ่มต่างๆ และที่สำคัญคือนักเคลื่อนไหวพม่าเข้าใจเรื่องพลังที่มาจากการนัดหยุดงาน เข้าใจมาตั้งแต่การลุกฮือ 8-8-88 ด้วย

คนงานเหมืองแร่ ภาพจาก irrawaddy

เห็นแล้วน่าปลื้มที่สุด แต่ในขณะเดียวกันละอายใจเพราะที่ไทยไม่มีแนวคิดแบบนี้ และขณะนี้ดูเหมือนคณะราษฏร์ไม่มียุทธศาสตร์ที่จะสร้างกระแสนัดหยุดงาน ทั้งๆ ที่แกนนำจำนวนมากโดนกฏหมาย 112 พร้อมกันนั้นพรรคที่เรียกตัวเองว่า “ก้าวไกล” แต่ก้าวไม่พ้นกรอบเดิมๆ จะยังคงไว้การจำคุกพลเมืองภายใต้ม.112

คนไทยที่ยังไม่ตาสว่างเรื่องกรรมาชีพควรจะรีบออกจากกะลา เพื่อช่วยสร้างกระแสนัดหยุดงานและร่วมล้มเผด็จการประยุทธ์!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

ข้อเสนอสำหรับการต่อสู้ http://bit.ly/2Y37gQ5

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

การต่อสู้เพื่อปลดแอกประชาชนพม่ากับแนวการเมืองของอองซานซูจี

หลังรัฐประหารที่เกิดขึ้นในพม่า เราต้องสมานฉันท์กับประชาชนพม่าในการต้านเผด็จการทหาร

ก่อนที่จะเกิดรัฐประหารรอบล่าสุด ในระบบการเมืองพม่า ซึ่งอาศัยรัฐธรรมนูญที่ทหารร่างเอง กองทัพได้สำรองที่นั่ง 25% ในรัฐสภา ยิ่งกว่านั้นกองทัพสงวนสิทธิ์ที่จะให้นายพลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย กลาโหม และรัฐมนตรีที่ควบคุมพรมแดน กองทัพมีสิทธิ์วีโต้การแก้รัฐธรรมนูญ และในกรณี “วิกฤต” กองทัพสามารถเข้ามาคุมรัฐบาลได้เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น

เราสนับสนุนผู้ที่เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษทางการเมืองทั้งหมด รวมถึง นางอองซานซูจี แต่เราต้องฟันธงว่า นางอองซานซูจี ไม่ใช่ผู้นำที่ประชาชนควรจะไว้ใจในการนำการต่อสู้เพื่อปลดแอกประเทศ

อองซานซูจีคือใคร?

อองซานซูจี คือผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(N.L.D.) ที่คัดค้านรัฐบาลทหารพม่ามาตั้งแต่สมัยการลุกฮือของประชาชนในวันที่ 8 สิงหาคม 1988 หรือที่รู้จักกันว่า “การกบฏ 8-8-88”  เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำขบวนการเอกราชในยุคอาณานิคมอังกฤษที่ชื่อ อองซาน

อองซาน ผู้เป็นพ่อ เป็นคนที่คลุกคลีกับแนวชาตินิยมปะปนกับแนวสังคมนิยม แต่ในหลายเรื่องค่อนข้างจะขัดแย้งกับแนวมาร์คซิสต์ เช่นไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีนัดหยุดงานของกรรมกรในการต่อสู้กับอังกฤษหลังสงครามโลก เน้นแนวชาตินิยมเหนือแนวชนชั้น และสนับสนุนให้มีการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเป็นต้น

เผด็จการทหารพม่าเคยเป็น “สังคมนิยม” จริงหรือ?

ตั้งแต่อดีตนายพล เนวิน ยึดอำนาจในปี 1962 ผู้นำพม่าอ้างว่าปกครองตามแนว “สังคมนิยมแบบพม่า” พรรคของรัฐบาลก็เรียกตัวเองว่า “พรรคนโยบายสังคมนิยมพม่า” (B.S.P.P.) แต่ในความเป็นจริงถ้าเราสำรวจที่มาที่ไปของผู้นำเผด็จการทหารพม่าจะพบว่านายพล เนวิน มาจากซีกขวาของขบวนการชาตินิยมพม่าที่ชื่อขบวนการ Dobama Asiayone “เราพม่า” ซึ่งคนสำคัญของซีกซ้ายของขบวนการนี้คือ อองซาน และ ทะขิ่นโซ (ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลิน-เหมาของพม่า)

ขณะที่นายพล เนวิน อ้างตัวเป็นสังคมนิยมแบบพม่า รัฐบาลทหารพม่าก็ปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์โดยประกาศว่าแนวคิดคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อธรรมะ และศาสนาพุทธ นโยบายหลักๆ ของ “พรรคนโยบายสังคมนิยมพม่า” คือ การปิดประเทศเพื่อพัฒนาชาติผ่านการระดมทุนโดยรัฐ การบังคับรวมชาติและกดขี่กลุ่มเชื้อชาติต่างๆ และการใช้ทหารปกครองประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีเศษของแนวคิดสังคมนิยมดำรงอยู่เลย

เราต้องสรุปว่าในสมัย เนวิน พม่าใช้ระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยมโดยรัฐภายใต้ลัทธิชาตินิยม” ซึ่งลอกแบบมาจากระบบเผด็จการสตาลิน-เหมาในรัสเซียกับจีน

นายพล เนวิน ต้องลงจากอำนาจท่ามกลางการกบฏปี 1988 และหลังจากนั้นเผด็จการทหารพม่าก็พยายามหันมาเปิดประเทศภายใต้แนวทุนนิยมตลาดเสรี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนภายใต้เผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์

แนวทางความคิดของ อองซานซูจี

อองซานซูจี เป็นคนที่ไม่เคยสนใจแนวสังคมนิยม และมักจะเสนอแนวทางแบบ “พุทธ” ทุนนิยมตลาดเสรี และสันติวิธีปัญหาสำคัญของแนวการนำของ ซูจี คือเขาพยายามชักชวนให้กรรมาชีพที่ออกมานัดหยุดงานครั้งยิ่งใหญ่ใน 8-8-88 หรือนักศึกษาที่เป็นหัวหอกสำคัญในการจุดประกายไฟการต่อสู้ในครั้งนั้น สลายตัว เพื่อให้การเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย และบ่อยครั้ง ซูจี จะเสนอว่าฝ่ายประชาธิปไตยต้องประนีประนอมกับกองทัพพม่า

การประท้วงใหญ่ 8-8-88

ในเดือนสิงหาคมปี 1988 ซูจี ออกมาปราศรัยกับมวลชน5แสนคนที่เจดีย์ชเวดากอง และบอกให้มวลชน “ลืม” การที่ทหารพึ่งฆ่าประชาชนเป็นพันๆ พร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชน “รักกองทัพต่อไป” (ดูหนังสือ Freedom From Fear ของ อองซานซูจี)

ประท้วง 8888

ในหลายๆ เรื่อง ซูจี มีความคิดอนุรักษ์นิยมที่เข้าข้างนายทุน (ดูหนังสือ “จดหมายจากพม่า”) เช่นเธอมักจะสนับสนุนกลไกตลาดเสรีและแนวขององค์กร ไอเอ็มเอฟ และมักจะมองปัญหาของพม่าในกรอบแคบๆ ของแนวชาตินิยม ประเด็นหลังนี้เป็นปัญหามาก และขัดแย้งกับการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพแท้ เพราะประเทศ “พม่า” เป็นสิ่งที่อังกฤษสร้างขึ้นมาในยุคล่าอาณานิคม โดยที่ประกอบไปด้วยหลายเชื้อชาติที่ไม่ใช่คนพม่า กลุ่มเชื้อชาติต่างๆ เหล่านี้ เช่นชาว กะเหรี่ยง คะฉิ่น ฉาน  คะเรนนี่ ฯลฯ ไม่พอใจที่จะถูกกดขี่เป็นพลเมืองชั้นสองในระบบรวมศูนย์อำนาจที่ดำรงอยู่ในอดีตและปัจจุบัน แต่ อองซานซูจี ไม่เคยเสนอว่ากลุ่มเชื้อชาติต่างๆ ควรมีสิทธิ์ปกครองตนเองอย่างเสรี เพราะเธอต้องการปกป้องรัฐชาติพม่าในรูปแบบเดิม ในงานเขียนหลายชิ้นเธอจะ “ชม” วัฒนธรรมหลากหลายและงดงามของกลุ่มเชื้อชาติต่างๆ แต่เป็นการชมเหมือนผู้ปกครองชมลูกๆ มากกว่าการให้เกียรติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี

วิธีการต่อสู้ของ ซูจี จะเน้นการสร้างพรรคการเมืองกระแสหลักเพื่อแข่งขันทางการเมืองในรัฐสภา แทนที่จะสนับสนุนการสร้างขบวนการมวลชน เขาตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นจุดรวมศูนย์ของประชาธิปไตยพม่า แทนที่จะเน้นพลังรากหญ้า

และในห้ากว่าปีที่ผ่านมา ซูจี ประนีประนอมกับทหารตลอดเวลา จนเลขาธิการสหประชาชาติ อังตอนียู กูแตรึช พูดว่าเขา “ใกล้ชิดทหารมากเกินไป” ยิ่งกว่านั้นภายในพรรค NLD ซูจี เริ่มใช้มาตรการเผด็จการต่อคนที่เห็นต่างจากเขา ซึ่งสร้างความไม่พอใจไม่น้อย

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี สลดใจและผิดหวังในเรื่องจุดยืนเขาต่อโรฮิงญา เพราะ ซูจี สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวโรฮิงญาโดยกองทัพพม่า และเขาเกลียดชังชาวมุสลิม แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี ต่อโรฮิงญาแต่อย่างใด

พลังแท้ในการปลดแอกประชาชน

ในหมู่ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในประเทศพม่า มีแนวคิดหลักๆ สามแนวที่ใช้ในการต่อสู้คือ

1.แนวของ ซูจี ที่เสนอให้ใช้สันติวิธี ประนีประนอมกับเผด็จการ ลดการต่อสู้บนท้องถนน ลดการนัดหยุดงาน เน้นการค่อยๆ เจรจาในระดับสูงและการกระทำเชิงสัญลักษณ์ของผู้นำเช่นตัว ซูจี เอง นอกจากนี้มีการตั้งความหวังกับการกดดันจากรัฐบาลภายนอกและองค์กรสหประชาชาติ

ปัญหาคือว่ารัฐบาลภายนอก อย่างเช่นรัฐบาลต่างๆ ในอาเซี่ยน  รัฐบาลสหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น หรือในยุโรป ถึงแม้ว่าอาจเอ่ยถึงความสมควรที่จะมีประชาธิปไตยพม่าเป็นบางครั้งบางคราว แต่สิ่งที่เป็นเงื่อนไขหลักในการกำหนดนโยบายต่างประเทศไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์หรือสิทธิเสรีภาพของคนธรรมดา เป็นเรื่องผลประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า

2. แนวจับอาวุธ แนวนี้เป็นแนวที่กลุ่มปลดแอกเชื้อชาติต่างๆ รวมถึงอดีตพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และกลุ่มนักศึกษาจากยุคหลัง 8-8-88 บางกลุ่มเลือกใช้ แต่การต่อสู้แบบนี้ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะกำลังทางทหารของรัฐบาลพม่าเหนือกว่าเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุดกำลังทหารของกลุ่มเชื้อชาติไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลกลางของพม่าได้เพราะอ่อนแอและแตกแยกกันเองเสมอ สงครามกลางเมืองในพม่าจึงยืดเยื้อยาวนานโดยดูเหมือนไม่มีจุดจบ

3. แนวมวลชนในเมือง ในรอบ 60 ปีของเผด็จการทหารพม่า มีเหตุการณ์สำคัญครั้งเดียวเท่านั้นที่เกือบล้มอำนาจทหารได้ นั้นคือการกบฏ 8-8-88 การกบฏครั้งนี้มีรูปแบบคล้ายๆ การต่อสู้ในเมืองทั่วไป อย่างเช่นกรณี ๑๔ ตุลา ในไทย หรือ 1968 ในเมืองปารีสประเทศฝรั่งเศส คือนักศึกษาหนุ่มสาวเป็นหัวหอกในการจุดประกายไฟการต่อสู้กับรัฐบาล แต่ในไม่ช้าประชาชนธรรมดาที่เป็นกรรมาชีพในเมืองก็เปิดศึกออกรบร่วมกับนักศึกษาและให้พลังกับการต่อสู้

หลังจากที่กระแสต้านเผด็จการพม่าเริ่มก่อตัวขึ้น ในเช้าของวันที่ 8-8-88 กลุ่มแรกที่เคลื่อนออกมาคือกรรมกรท่าเรือในเมืองหลวง ตามด้วยกรรมาชีพในสถานที่อื่นๆ รวมถึงข้าราชการ นักศึกษา และพระสงฆ์ วันนั้นเป็นวันแรกของการนัดหยุดงานทั่วไปและการประท้วงในหลายๆ เมืองของพม่า

ระหว่างเดือนสิงหาคม 1988 และการเลือกตั้งในปี 1990 รัฐบาลเผด็จการพม่าไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะคุมสถานการณ์ได้หมด ทั้งๆ ที่มีการใช้อาวุธกับประชาชนธรรมดา เพราะมวลชนในเมืองลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างต่อเนื่อง นี่คือสาเหตุที่ทหารพม่ายอมจำนนและเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง แต่ในขณะที่ฝ่ายเผด็จการอ่อนแอ ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก็อ่อนแอในการนำด้วย กลุ่มนักศึกษาและกรรมาชีพไม่มีการจัดตั้งที่เข้มแข็งทางการเมืองเพียงพอ การนำจึงตกอยู่ในมือของคนภายนอกขบวนการอย่าง อองซานซูจี และเธอก็เรียกร้องเสมอให้มีการสลายม็อบและกลับไปทำงานเพื่อให้กระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยเข้าสู่กรอบแคบๆ ของการเมืองรัฐสภา แนวทางการต่อสู้แบบนี้มีผลในการสลายพลังของมวลชน ซึ่งในที่สุดเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายทหารพม่ารื้อฟื้นอำนาจและกล้ารุกสู้ ดังนั้นหลังการเลือกตั้ง 1990 จึงมีการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ

บทเรียนจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้คือ พลังที่สามารถท้าทายเผด็จการทหารพม่าอยู่ที่มวลชนในเมือง ซึ่งรวมถึงกรรมาชีพด้วย ไม่ได้อยู่ที่ผู้นำที่มีชื่อเสียง การจับอาวุธในป่า หรือการหวังแรงกดดันจากต่างประเทศ ดังนั้นต้องมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและดุเดือดเพื่อโค่นล้มเผด็จการ ไม่ใช่ไปประนีประนอมจนฝ่ายประชาธิปไตยหมดกำลังใจและฝ่ายเผด็จการรวมตัวกันใหม่ได้ ที่สำคัญคือขบวนการต่อสู้ของนักศึกษา กรรมาชีพ และพระสงฆ์ ต้องสามารถนำตนเอง ต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหาและทางออกเอง

ขบวนการกรรมาชีพพม่า ทั้งในพม่าและนอกประเทศในไทย มีพลังซ่อนเร้นมากขึ้นทุกวัน และหลังการก่อรัฐประหารครั้งนี้ มีการนัดหยุดงานในโรงพยาบาลเกือบหนึ่งร้อยแห่ง และมีการออกมาประท้วงของครู นักศึกษา และข้าราชการ นอกจากนี้กรรมกรสิ่งทอในพม่าก็มีพลังเพิ่มขึ้นผ่านการจัดตั้งสหภาพแรงงานอีกด้วย

“ปัญหา” เชื้อชาติในพม่า

การสร้างประชาธิปไตยและเสรีภาพในพม่าย่อมทำไม่ได้ถ้ากลุ่มเชื้อชาติต่างๆ ไม่มีเสรีภาพที่จะกำหนดอนาคตตนเอง ซึ่งรวมไปถึงสิทธิเสรีภาพที่จะปกครองตนเองและแยกประเทศ ถ้าคนส่วนใหญ่ต้องการ

ข้อจำกัดสำคัญในการหาทางออกคือการมองทางออกในกรอบ “รัฐชาติ” ไม่ว่าจะเป็นการมองเพื่อปกป้องชาติพม่า อย่างที่ อองซานซูจี มอง หรือการแสวงหาชาติใหม่อิสระของชาว กะเหรี่ยง คะฉิ่น ฉาน  หรือ คะเรนนี่ เพราะทั้งสองทางออกหนีไม่พ้นการกดขี่คนกลุ่มน้อยและการขูดรีดทางชนชั้นอยู่ดี เช่นถ้าจะสร้างชาติอิสระของฉาน หรือ กะเหรี่ยง จะพบว่าในดินแดนเหล่านั้นมีคนหลากหลายเชื้อชาติดำรงอยู่ และถ้าเกิดสร้างชาติใหม่ได้ ก็ย่อมมีความขัดแย้งทางชนชั้นตามมา ชาวมาร์คซิสต์ต้องเสนอทางออกที่ปฏิเสธกรอบรัฐชาติ และการเน้นความสำคัญของชนชั้นเหนือเชื้อชาติ เราต้องเสนอว่าการปลดแอกมนุษย์ต้องกระทำด้วยการเมืองแบบชนชั้น คือต้องปฏิวัติล้มระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพื่อให้มนุษย์อยู่กันอย่างสงบในรูปแบบชุมชนที่ไร้ชาติ

อ่านเพิ่ม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ข้อถกเถียงทางการเมือง https://bit.ly/1sH06zu

ติดตามสถานการณ์ในพม่าได้ที่ https://www.myanmar-now.org/en 

Twitter: @Myanmar_Now_Eng

ใจ อึ๊งภากรณ์

สมานฉันท์กับประชาชนพม่าในการต้านเผด็จการทหาร

แม้แต่ประชาธิปไตยครึ่งใบของพม่าที่คุมโดยทหาร ก็มากเกินไปสำหรับพวกนายพลเผด็จการ วันนี้จึงมีการทำรัฐประหารหลังจากที่พรรค NLD ของอองซานซูจีชนะเสียงข้างมากในสภา

เราควรเตือนความจำกันว่าในระบบพม่า ซึ่งอาศัยรัฐธรรมนูญที่ทหารร่างเอง กองทัพสำรองที่นั่ง 25% ในรัฐสภา และวุฒิสภาให้ตนเอง ยิ่งกว่านั้นกองทัพได้สงวนสิทธิ์ที่จะให้นายพลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย กลาโหม และรัฐมนตรีที่ควบคุมพรมแดน กองทัพมีสิทธิ์วีโต้การแก้รัฐธรรมนูญ และในกรณี “วิกฤต” กองทัพสามารถเข้ามาคุมรัฐบาลได้เสมอ

แต่นางอองซานซูจีไม่ใช่ผู้นำที่ประชาชนควรจะไว้ใจในการนำการต่อสู้

นางอองซานซูจี มีประวัติในการใช้คำพูดเพื่อสลายการลุกฮือของมวลชน โดยเฉพาะในเหตุการณ์ 8-8-88 ซึ่งเกือบจะล้มเผด็จการทหารได้เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เขาพยายามตลอดที่จะประนีประนอมกับทหาร และในการบริหารบ้านเมืองในห้าปีที่ผ่านมามีจุดยืนไม่ต่างจากทหารเท่าไร

อองซานซูจี กับเพื่อนเผด็จการ

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี สลดใจและผิดหวังในเรื่องจุดยืนเขาต่อโรฮิงญา แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี แต่อย่างใด

การที่ผู้นำขบวนการชาตินิยมพม่าอย่าง อองซาน (บิดาของ อองซานซูจี) พยายามสร้างรัฐรวมศูนย์ที่คนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาว “พม่า” มองว่าตนเองจะถูกควบคุมโดยชาว “พม่า” เป็นปัญหาแต่แรก อองซานไม่ยอมรับว่าประชาชนเชื้อชาติต่างๆ นอกจากชาว “พม่า” และชาวฉาน (ไทใหญ่) มีความเป็นชาติจริง และกองทัพกู้เอกราชของอองซาน ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเด็กและสตรีกะเหรี่ยงกว่า 1,800 คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการเชื้อชาติ คะฉิ่น กะเหรี่ยง คะเรนนี่ มอญ ว้า และอะระกัน ไม่ยอมมาร่วมประชุม ปางโหลง (Panglong) ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ และไม่ไว้ใจผู้นำพม่าอย่าง อองซาน และอูนุ แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าก็ยังไม่มีความอ่อนไหวต่อประเด็นเชื้อชาติเท่าที่ควร

การเน้นศาสนาพุทธแบบสุดขั้วบวกกับการเหยียดหยามคนเชื้อสายอินเดีย นำไปสู่การสร้างกระแสเกลียดชังชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นคนที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวบังคลาเทศ แต่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าพม่ามาตลอด

ในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี เพราะเขามีจุดยืนเกี่ยวกับเชื้อชาติที่เน้นแต่ความเป็นใหญ่ของชาว “พม่า” ไม่ต่างจากจุดยืนของพ่อ ในอดีตในหนังสือของ อองซานซูจี มีการเอ่ยถึงความสามารถของชนชาติอิ่นๆ ในการ “ร้องรำทำเพลง” หรือในการ “เป็นพี่เลี้ยงเด็ก” มากกว่าที่จะเคารพว่าปกครองตนเองได้  และที่สำคัญคือพรรค National League for Democracy (N.L.D.) ของ อองซานซูจี มีนโยบายที่กีดกันคนมุสลิม

จุดยืนล่าสุดของ อองซานซูจี ที่ปล่อยให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา และคำพูดโกหกของเขาว่าพวกโรฮิงญาไม่ใช่พลเมืองของประเทศพม่า หรือคำโกหกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการ “ก่อการร้าย” ของชาวโรฮิงญา แสดงธาตุแท้ของแนวคิด “พม่านิยม” สุดขั้วของ อองซานซูจี จุดยืนแย่ๆ ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขาให้ความสำคัญกับการเอาใจทหารเพื่อขึ้นมามีตำแหน่ง และการเอาใจแม้แต่พระสงฆ์ฟาสซิสต์อย่างวีระธู โดยมีวัตถุประสงค์ในการปลุกทัศนะเหยียดคนมุสลิมเพื่อรักษาฐานเสียงของตนเองในหมู่ชาวพุทธอีกด้วย สรุปแล้วจุดยืนของ อองซานซูจี ไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด และจะไม่นำไปสู่เสรีภาพของพลเมืองประเทศพม่า ไม่ว่าจะชนชาติใด

อ่านเพิ่มเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองพม่า http://bit.ly/1sH06zu

ความหวังในเรื่องประชาธิปไตยพม่าไม่ได้อยู่ที่ประเทศมหาอำนาจซึ่งไม่เคยสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังและไว้ใจไม่ได้

ความหวังของชาวพม่าที่ต้องการปลดแอกตนเองอยู่ที่คนหนุ่มสาวและขบวนการแรงงาน ซึ่งถ้าเริ่มเรียนบทเรียนจากไทย อาจสร้างขบวนการรากหญ้าที่นำตนเองและปลดแอกประเทศได้

ประชาชนไทยและพม่าต้องสมานฉันท์ต้านเผด็จการ!!

ใจ อึ๊งภากรณ์