ปัญหาของการปลีกตัวออกเพื่อสร้างสหภาพแรงงานแดง

เลนิน เคยเขียนว่า “พวก *คอมมิวนิสต์ซ้าย* เวลามองสหภาพแรงงาน มักจะตะโกนเรียกหามวลชน! มวลชน! แล้วไม่ยอมทำงานในสหภาพแรงงาน ปฏิเสธด้วยข้ออ้างว่ามันล้วนแต่ปฏิกิริยา(เหลือง) เสร็จแล้วก็ไปประดิษฐ์สหภาพแรงงานกรรมาชีพแบบใหม่ที่ขาวสะอาด ที่ไม่เปรอะเปื้อนกับแนวคิดเสรีนิยมของนายทุน และไม่คับแคบ ซึ่งพวกเขามองว่าองค์กรดังกล่าวจะกลายเป็นองค์กรกว้างใหญ่ โดยมีเงื่อนไขเดียวในการเข้าเป็นสมาชิก คือต้องสนับสนุนระบบโซเวียด!

ความโง่เขลาที่ทำลายการปฏิวัติมากกว่านี้คงไม่มี…. ถ้าเราทำงานแบบนั้น เราจะปล่อยให้ฝ่ายขวาผูกขาดอิทธิพลเหนือมวลชนในสหภาพแรงงาน… เพราะภาระของชาวคอมมินิสต์คือการโน้มน้าวคนที่ยังไม่ได้พัฒนาทางความคิด ให้หันมามีจิตสำนึกก้าวหน้า เราต้องทำงานในองค์กรที่มีคนล้าหลังแบบนั้น ไม่ใช่ไปสร้างรั้วเพื่อแยกตัวออกจากเขาด้วยวาจา *ซ้าย* นามธรรมแบบเด็กๆ

เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้นำแรงงานอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย จะขอบคุณพวก *คอมมิวนิสต์ซ้าย* ที่ถอนตัวออกและไม่ยอมทำงานภายในสหภาพแรงงาน *เหลือง* และแน่นอนพวกผู้นำสหภาพเหล่านั้นจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในการเขี่ยเราออกไปจากสหภาพแรงงานต่างๆ แต่เราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่ในสหภาพแรงงาน เพื่อปลุกระดมแนวความคิดฝ่ายซ้าย”

[จากโรคไร้เดียงสา “ฝ่ายซ้าย” ในขบวนการคอมมิวนิสต์ โดย วี.ไอ. เลนิน หัวข้อ “นักปฏิวัติควรทำงานในสหภาพแรงานปฏิกิริยาหรือไม่?”]

*สหภาพคนทำงาน* ไม่สามารถสร้างสหภาพแรงงานจริงที่ต่อสู้กับนายจ้างในสถานที่ทำงานได้ เพราะคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกต้องมีจุดยืนทางการเมืองฝ่ายซ้าย ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสถานที่ทำงานแต่ละแห่งไม่ได้มีความคิดแบบนั้น มันจะอ่อนแอกว่าสหภาพแรงงานธรรมดา นอกจากนี้องค์กรนี้ไม่สามารถปลุกระดมกรรมาชีพในสถานที่ทำงานที่มีสหภาพแรงงานอยู่แล้ว เพราะจะชวนให้คนออกจากสหภาพแรงงานเดิม ซึ่งจะไม่สำเร็จและจะสร้างความแตกแยก องค์กรสหภาพคนทำงานไม่ใช่เครื่องมือที่สามารถใช้ในการปลุกระดมความคิดฝ่ายซ้ายในสหภาพแรงงานอื่นได้

มาร์คซ์เข้าใจว่าคนที่มีอำนาจในการควบคุมระบบทุนนิยม ชนชั้นปกครอง มักหาวิธีหลอกลวงกรรมาชีพให้ยอมรับสภาพชีวิตและระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าในหมู่กรรมาชีพมีคนสามกลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นกรรมาชีพที่ยอมรับสภาพของสังคมทุนนิยมโดยไม่คิดจะต่อต้านเลย กลุ่มที่สองเป็นกรรมาชีพที่ไม่พอใจ มีจิตสำนึกทางชนชั้น และพร้อมจะสู้กับระบบทุนนิยม สองกลุ่มแรกนี้เป็นคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในกลุ่มที่สามที่แกว่งไปแกว่งมาระหว่างสองกลุ่มแรก ดังนั้นสำหรับมาร์คซ์ภาระของนักสังคมนิยมคือการหาทางดึงคนส่วนใหญ่มาอยู่ข้างกลุ่มคนที่มีจิตสำนึกทางชนชั้นและพร้อมจะสู้ ซึ่งถ้าเราจะทำเราต้องมีพรรคสังคมนิยมมาร์คซิสต์

ดังนั้นต้องมีการสร้างพรรคสังคมนิยมปฏิวัติจากกลุ่มคนที่ก้าวหน้าที่สุดเพื่อให้พรรคสามารถปลุกระดมการต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ และแน่นอนพรรคต้องมีโครงสร้างประชาธิปไตยภายในที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นพรรคเผด็จการเหมือนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต หรือพรรคแนวสตาลินอื่นๆ ทั่วโลก

บางคนอาจมองว่าเขาควรทำงานกับคนก้าวหน้าเท่านั้นเพราะ “คุยกันรู้เรื่อง” แต่ปัญหาคือจะโดดเดี่ยวตัวเองและเพื่อนจากมวลชนคนส่วนใหญ่ และกลุ่มคนที่ก้าวหน้าจะไม่ขยายตัวในเมื่อแค่คุยกับคนที่มีความคิดเหมือนกัน

นักต่อสู้ที่เป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมปฏิวัติและเข้าใจแนวมาร์คซิสต์ จะให้ความสำคัญกับการปลุกระดมทั้งคนส่วนน้อยที่ก้าวหน้าที่สุด และมวลชนคนส่วนใหญ่ที่บางครั้งพร้อมจะรับฟังข้อเสนอก้าวหน้า ถ้าไม่มีพรรค เราไม่สามารถดึงมวลชนส่วนใหญ่มาอยู่ฝั่งที่ก้าวหน้าที่สุดได้ และเราไม่สามารถจัดตั้งนักปลุกระดมใหม่ๆ ของพรรคจากคนที่ก้าวหน้าได้

ใจอึ๊งภากรณ์

ชนชั้นปกครองทั่วโลกที่ไม่ยอมแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อน

ในไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการประชุมนานาชาติ COP26 ที่เมือง Glasgow ประเทศสก็อตแลนด์ แต่เราจะไปคาดหวังอะไรไม่ได้เลยจากการประชุมของผู้แทนชนชั้นปกครองโลกในระบบทุนนิยม เพราะผู้ที่มีอำนาจทั้งหลาย รวมถึงรัฐบาลเผด็จการไทย เน้นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่และชนชั้นตนเองเหนือความอยู่ดีกินดีของพลเมืองโลก นี่คือสาเหตุที่มวลชนในประเทศอังกฤษจะออกมาประท้วงเป็นจำนวนมาก รอบๆ ห้องประชุมCOP26 และที่ลอนดอน

ชื่อของการประชุมสหประชาชาติ COP26 บ่งบอกถึงความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของการประชุมดังกล่าว เพราะประชุมกันมา 26 ครั้งแต่ไม่แก้ปัญหาโลกร้อนเลย ซึ่งเราเห็นชัดในรูปแบบไฟไหม้ป่า น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก

องค์กร IPCC ซึ่งเป็นคณะกรรมการระหว่างประเทศระดับโลก ได้ประกาศว่าปีนี้วิกฤตโลกร้อนถึงขั้นสูงสุด “ไฟแดง” เพราะในปี 2020 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2)ในบรรยากาศโลกสูงถึง 417 ppm (ppm CO2 คือหน่วย ต่อหนึ่งล้านหน่วยของบรรยากาศ) ซึ่งในประวัติศาสตร์โลกครั้งสุดท้ายที่สูงถึงขนาดนี้คือเมื่อ 3 ล้านปีมาก่อน

ปัญหาโลกร้อนเกิดจากการสะสมก๊าซในบรรยากาศโลกประเภทที่ปิดบังไม่ให้แสงอาทิตย์ถูกสะท้อนกลับออกจากโลกได้ (ก๊าซเรือนกระจก) ความร้อนจึงสะสมมากขึ้น ก๊าซหลักที่เป็นปัญหาคือคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2) แต่มีก๊าซอื่นๆ ด้วยที่สร้างปัญหา นักวิทยาศาสตร์คาดว่าก่อนที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในโลก ปริมาณ CO2 ในบรรยากาศมีประมาณ 280 ppm

ทั้งๆ ที่มีการประชุม COP มาเรื่อยๆ และทั้งๆ ที่รัฐบาลต่างๆ สัญญาแบบลมๆ แล้งๆ ว่าจะลดการผลิตก๊าซCO2 ทุกปี แต่ทุกปีการผลิตก๊าซนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกพวกรัฐบาลและกลุ่มทุนพยายามปฏิเสธปัญหาทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ต่อมาก็มีการแย่งกันโทษประเทศอื่นๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของตน และล่าสุดก็มีการโกหกกันว่าจะใช้กลไกตลาดเสรีกับเทคโนโลจีใหม่ในการแก้ปัญหา ซึ่งทำไม่ได้

การที่โลกร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายและระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น จนท่วมเกาะและพื้นที่ที่อยู่ต่ำ ทำให้ระบบภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าใจหาย ซึ่งจะมีผลกระทบกับระบบเกษตรและวิถีชีวิตของคนที่ยากจนที่สุดในโลก รวมถึงไทยด้วย คาดว่าถ้าไม่มีการแก้ปัญหาจะมีผู้ลี้ภัยภูมิอากาศหลายล้านคน

พวกกลุ่มทุนและรัฐบาลในโลกทุนนิยมโกหกว่าสามารถแก้ปัญหาด้วยการซื้อขาย “สิทธิ์” ที่จะผลิต CO2 หรือ “แลก” การปลูกต้นไม้กับ “สิทธิ์” ที่จะผลิต CO2  บางกลุ่มก็โกหกว่าจะใช้เทคโนโลจีเพื่อดูดCO2 ออกจากบรรยากาศ ซึ่งเทคโนโลจีแบบนั้นที่จะมีผลจริงในระดับโลกยังไม่มี นอกจากนี้มีการพูดว่าจะประกาศเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ จะ “ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นสูญ” ซึ่งเป็นการโกหกเพื่อให้สามารถผลิตCO2 ต่อไป โดยอ้างว่าไปคานกับมาตรการอื่นที่ไม่มีประสิทธิภาพจริง การโกหกทุกคำ พูดไปเพื่อชะลอการลดใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนอันเป็นที่มาของกำไรมหาศาลของกลุ่มทุน

ในรอบหลายปีที่ผ่านมามีการประท้วงใหญ่ในประเทศต่างๆ ในเรื่องปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว คนจำนวนมากในปัจจุบันเริ่มหูตาสว่างมากขึ้น และเข้าใจว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับความยุติธรรมทางสังคมและผลประโยชน์ชนชั้น เพราะต้นสาเหตุของปัญหามาจากการกอบโกยกำไรโดยกลุ่มทุน และการที่รัฐบาลต่างๆ ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเหล่านี้ การแก้ปัญหาโลกร้อนคงจะมีผลกระทบกับกำไรกลุ่มทุนแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ถ่านหิน หรือการประกอบรถยนต์

ดังนั้นเราไม่สามารถแยกการเคลื่อนไหวเรื่องโลกร้อนออกจากการต่อสู้ทางชนชั้นได้ และยิ่งกว่านั้น ชนชั้นกรรมาชีพในประเทศต่างๆ มีพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถกดดันให้มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังได้ผ่านการนัดหยุดงานและยึดสถานที่ทำงาน

บางคนมักพูดว่า “เราทุกคน” ทำให้โลกร้อน ยังกับว่า “เรา” มีอำนาจในระบบทุนนิยมที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน การพูดแบบนี้เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น โยนให้พลเมืองยากจนรับผิดชอบแทนนายทุน เขาเสนอว่า “เรา” จึงต้องลดการใช้พลังงานในลักษณะส่วนตัว ในขณะที่นายทุนกอบโกยกำไรต่อไปได้ มันเป็นแนวคิดล้าหลังที่ใช้แก้ปัญหาโลกร้อนไม่ได้ เพราะไม่แตะระบบอุตสาหกรรมใหญ่ และโครงสร้างระบบคมนาคมเลย

ในไทยการที่ทหารหัวโบราณหน้าโง่มีอำนาจในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หมายความว่าประเทศไทยกำลังสวนทางกับประเทศอื่นๆ หลายประเทศทั่วโลก ที่มีนโยบายพลังงานที่ก้าวหน้ากว่า เพราะใครๆ ที่มีสติปัญญายอมรับมานานแล้วว่า การเผาเชื้อเพลิงคอร์บอน โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน

ในเรื่องโลกร้อน ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ) และรัฐบาล ไม่เคยออกมาพูดอะไรที่มีสาระเลย ดังนั้นมันเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่รักประชาธิปไตยที่จะต้องพูดให้ดังที่สุด

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแสงแดด รัฐบาลไหนที่ก้าวหน้าและต้องการพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลจีของสังคม น่าจะเร่งรีบจัดโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติ เพื่อพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดทั่วประเทศ และเริ่มทยอยปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ประเทศจีนและสเปนตอนนี้กำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลจีเพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดอย่างน่าทึ่ง และค่าผลิตไฟจากแสงแดดในไทยจะลดลงอย่างต่อเนื่องถ้ามีโครงการขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ไฟฟ้าจากแสงแดดสามารถใช้แทนก๊าซในบ้านเรือนได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นค่าผลิตไฟฟ้าในระบบทุนนิยมปัจจุบัน ไม่เคยคำนึงถึง “ราคา” ที่ต้องจ่ายเมื่อมนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทำให้โลกร้อนขึ้น ประเด็นนี้นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่สมัย คาร์ล มาร์คซ์ เข้าใจดี

อย่างไรก็ตามพวกหัวทึบถือปืนที่กำลังคุมกะลาแลนด์ในยุคนี้ เลือกจะไม่สนใจการพัฒนาเทคโนโลจีในสังคม แถมยังแอบรักพลังงานนิวเคลียร์อีกด้วย พลังงานนิวเคลียร์นอกจากจะแพง ทำลายสิ่งแวดล้อม และอันตรายอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังเป็นเส้นทางที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย นี่คือสาเหตุที่พวกทหารชอบมัน

กองทัพของประเทศต่างๆ มีส่วนสำคัญในการผลิตก๊าซ คาร์บอนไดออคไซท์ จากการใช้รถถัง เครื่องบิน และเรือรบ องค์กรที่ผลิต CO2 มากที่สุดในโลกคือกองทัพสหรัฐ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องกำจัดทหารออกจากสังคมไทย และลดงบประมาณทหารอย่างถอนรากถอนโคน

ในความเป็นจริงเราสามารถลดการผลิต CO2 และก๊าซเรือนกระจกได้อย่างจริงจัง ด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม คือ

  1. หยุดใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน คือ ก๊าซ ฟืน กับ ถ่านหิน ในการผลิตไฟฟ้าและหันมาใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์กับลมแทน
  2. พัฒนาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถไฟกับรถเมล์ ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงแดดกับลม และยกเลิกการใช้รถยนต์ส่วนตัว และลดการใช้เครื่องบิน
  3. ยกเลิกระบบเกษตรแบบอุตสาหกรรม
  4. สร้างงานจำนวนมาก ที่ช่วยลดการผลิตก๊าซเรือนกระจก ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าแบบใหม่ ด้วยการลดความร้อนหรือความเย็นของตึกต่างๆ และด้วยการสร้างรถไฟไฟฟ้าความเร็วสูงกับรถเมล์ไฟฟ้า แต่เราไว้ใจบริษัทเอกชนไม่ได้ ต้องเป็นกิจกรรมของภาครัฐภายใต้การควบคุมของประชาชน
  5. ใช้งบประมาณรัฐในการเปลี่ยนระบบพลังงานในครัวเรือนและในการส่งเสริมการขนส่งมวลชน โดยตัดงบประมาณทหารและคนชั้นสูง และเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย

แต่ทั้งหมดนี้ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและรัฐบาลต่างๆ ในระบบทุนนิยม ซึ่งแสดงให้เห็นเหตุผลว่าทำไมการประชุม COP ล้มเหลวทุกครั้งโดยสิ้นเชิง

ข้อสรุปสำคัญคือการแก้ปัญหาโลกร้อนแก้ไม่ได้ภายใต้ระบบทุนนิยม และแก้ไม่ได้ภายใต้เผด็จการทหาร ดังนั้นต้องมีการล้มระบบเพื่อปกป้องโลกและคนรุ่นต่อไป

จะเห็นว่าเราต้องปฏิวัติสังคมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องรอให้มีกระแสปฏิวัติก่อนที่จะทำอะไรได้ ในช่วงนี้เราต้องรณรงค์ ผ่านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและพรรคการเมืองก้าวหน้า เพื่อให้มีการเลิกผลิต CO2 และเลิกใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนทุกชนิด ต้องมีการใช้พลังงานทางเลือก และส่งเสริมการขนส่งมวลชน และต้องมีการประหยัดพลังงาน แต่อย่าไปหวังว่าตามลำพังผู้นำไทยหรือผู้นำโลกจะทำในสิ่งเหล่านี้เลย

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

สิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F

อนาธิปไตยกับมาร์คซิสต์ต่างกันอย่างไร?

สำหรับคนที่ต้องการล้มระบบปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ปฏิรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ ผ่านรัฐสภา มีสองทางเลือกที่แตกต่างกันคือ แนวอนาธิปไตย กับแนวมาร์คซิสต์

คนหนุ่มสาวอาจมองว่าแนวอนาธิปไตย ที่เสนอการต่อสู้แบบไม่มีผู้นำ ไม่มีพรรค และปฏิเสธการสร้างรัฐใหม่ เป็นแนวที่ควรจะเลือก เพราะเขามีประสบการณ์ของแกนนำที่เป็นเผด็จการหรืออย่างน้อยไม่ได้หารือกับรากหญ้า เขาอาจมีประสบการณ์ของพรรคกระแสหลักที่ไม่ยอมนำการต่อสู้ และพยายามห้ามคนที่เสนออะไรก้าวหน้าไม่ให้พูด และเขาอาจมองไปที่จีน ที่อ้างว่าเป็นประเทศที่มีรัฐกรรมาชีพ แต่แท้จริงเป็นเผด็จการทุนนิยมภายใต้อำนาจพรรคแนวสตาลินเป็นต้น นอกจากนี้คนที่ปลื้มแนวอนาธิปไตยอาจเบื่อกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ ที่มาจากสังคมอนุรักษ์นิยมด้วย ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ

เราอาจเห็นใจคนที่คิดแบบนี้บนพื้นฐานสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่เราไม่เห็นด้วยในแนวทาง เพราะเป็นการวิเคราะห์สังคมแบบตื้นเขิน

สำหรับนักมาร์คซิสต์เรามีจุดยืนที่แตกต่างกับพวกอนาธิปไตยในเรื่องใหญ่ๆ 4 เรื่องคือ วิธีการพัฒนาและนำการต่อสู้ บทบาทผู้นำ บทบาทพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ และบทบาทของรัฐ

มาร์คซ์ต่างจากพวกผู้นำแนวอนาธิปไตยในยุคของเขา ตรงที่มาร์คซ์มองว่าทุนนิยมมีลักษณะก้าวหน้าในบางเรื่องคือสามารถพัฒนาระบบการผลิตได้ จนประชาชนส่วนใหญ่ไม่ควรจะต้องอดอยาก แต่ทุนนิยมไม่สามารถจะระบายความก้าวหน้านี้ไปสู่พลเมืองส่วนใหญ่ได้ เพราะเน้นการแสวงหากำไรเป็นหลัก อย่างไรก็ตามทุนนิยมเป็นระบบที่รวมผู้ผลิต กรรมาชีพนั้นเอง เข้าสู่ศูนย์กลางของการผลิต จึงให้พลังซ้อนเร้นกับกรรมาชีพ

มาร์คซ์เข้าใจว่าคนที่มีอำนาจในการควบคุมระบบทุนนิยม ชนชั้นปกครอง มักหาวิธีหลอกลวงกรรมาชีพให้ยอมรับสภาพชีวิตและระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าในหมู่กรรมาชีพมีคนสามกลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นกรรมาชีพที่ยอมรับสภาพของสังคมทุนนิยมโดยไม่คิดจะต่อต้านเลย กลุ่มที่สองเป็นกรรมาชีพที่ไม่พอใจ มีจิตสำนึกทางชนชั้น และพร้อมจะสู้กับระบบทุนนิยม สองกลุ่มแรกนี้เป็นคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในกลุ่มที่สามที่แกว่งไปแกว่งมาระหว่างสองกลุ่มแรก ดังนั้นสำหรับมาร์คซ์ภาระของนักสังคมนิยมคือการหาทางดึงคนส่วนใหญ่มาอยู่ข้างกลุ่มคนที่มีจิตสำนึกทางชนชั้นและพร้อมจะสู้ นี่คือความหมายของ “การนำ”

“การนำ” แบบมาร์คซิสต์ ไม่ใช่การสั่งของผู้ใหญ่ในขบวนการ แต่เป็นการพยายามช่วงชิงมวลชนโดยกรรมาชีพที่ก้าวหน้าที่สุด ซึ่งแน่นอนไม่ใช่คนคนเดียวหรือกลุ่ม “ผู้ใหญ่” และในเวลาที่แตกต่างกันการนำอาจมาจากคนที่แตกต่างกันด้วย แต่บ่อยครั้งพวกอนาธิปไตยจะมองว่าการนำคือการสร้างอภิสิทธิ์ชน เราจึงเห็นขบวนการคนหนุ่มสาวในไทยที่ “ปฏิเสธการมีผู้นำ”

เราเข้าใจดีว่าขบวนการของคนหนุ่มสาวต้องการหลีกเลี่ยงการนำแบบเผด็จการของ “ผู้ใหญ่” ที่สั่งจากเบื้องบนลงมา

ในขณะเดียวกันการปฏิเสธ “การนำ” และโครงสร้างของขบวนการก็มีปัญหา

ในกรณีฮ่องกง ปี 2019 ไม่มีการพึ่งนักการเมือง และไม่มีการเน้นแกนนำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะพูดกันว่าไม่มีแกนนำแต่ในรูปธรรม ท่ามกลางการเคลื่อนไหว ก็มีคนนำอยู่ดี ปัญหาคือไม่มีโครงสร้างที่จะเลือกผู้นำ ตรวจสอบแกนนำ หรือเลือกแนวทางด้วยกระบวนการประชาธิปไตย บางครั้งมีการถกเถียงกันในโซเชยลมีเดีย แต่ไม่มีการสรุปและไม่สามารถมีการลงคะแนนเสียงเพื่อกำหนดอะไรได้

ในไทย ขบวนการที่ปฏิเสธการนำ ก็มีผู้นำอยู่ดีเพราะในทุกขบวนการต้องมีการกำหนดทิศทางการต่อสู้และประสานการต่อสู้ ซึ่งผู้นำย่อมเป็นคนกำหนด การปฏิเสธโครงสร้างประชาธิปไตยในขบวนการเคลื่อนไหวในไทยและฮ่องกง แปลว่าแกนนำในรูปธรรมที่มีอยู่ ไม่สามารถดึงมวลชนเข้ามาช่วยกำหนดแนวทางได้ การคุยกันผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่เพียงพอ เพราะหลายคนอาจเข้าไม่ถึง

การปฏิเสธโครงสร้างประชาธิปไตยในขบวนการแปลว่าในอนาคต เมื่อการประท้วงเลิกไป จะไม่มีโครงสร้างหรือสถาบันการเมืองของประชาชนเหลืออยู่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงต่อไป

พูดง่ายๆ มันต้องมีการสร้างพรรคสังคมนิยมปฏิวัติจากกลุ่มคนที่ก้าวหน้าที่สุดเพื่อให้พรรคสามารถปลุกระดมการต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ และแน่นอนพรรคต้องมีโครงสร้างประชาธิปไตยภายในที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นพรรคเผด็จการเหมือนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต หรือพรรคแนวสตาลินอื่นๆ ทั่วโลก

กลับมาเรื่องภาระของนักสังคมนิยมในการหาทางดึงคนส่วนใหญ่มาอยู่ข้างกลุ่มคนที่มีจิตสำนึกทางชนชั้น

นักต่อสู้จำนวนมากที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมปฏิวัติจะเลือกการทำงานที่เขาคิดว่า “เป็นไปได้” บางคนอาจเลือกประนีประนอมกับคนที่ล้าหลังเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เช่นนักสหภาพแรงงานที่ไม่ยอมคุยเรื่องการเมืองก้าวหน้าในสหภาพ คนอีกกลุ่มหนึ่งอาจมองว่าเขาควรทำงานกับคนก้าวหน้าเท่านั้นเพราะ “คุยกันรู้เรื่อง” แต่ปัญหาคือจะโดดเดี่ยวตัวเองและเพื่อนจากมวลชนคนส่วนใหญ่ อันนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับ “สหภาพคนทำงาน” ในอนาคต เพราะถ้าไม่สร้างพรรคสังคมนิยมกลุ่มคนที่ก้าวหน้าจะไม่ขยายตัวในเมื่อแค่คุยกับคนที่มีความคิดเหมือนกัน

นักต่อสู้ที่เป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมปฏิวัติและเข้าใจแนวมาร์คซิสต์ จะให้ความสำคัญกับการปลุกระดมทั้งคนที่ก้าวหน้าที่สุด และมวลชนคนส่วนใหญ่ที่บางครั้งพร้อมจะรับฟังข้อเสนอก้าวหน้า ถ้าไม่มีพรรค เราไม่สามารถดึงมวลชนส่วนใหญ่มาอยู่ฝั่งที่ก้าวหน้าที่สุดได้ และเราไม่สามารถจัดตั้งนักปลุกระดมใหม่ๆ ของพรรคจากคนที่ก้าวหน้า

ในเรื่อง “รัฐ” พวกอนาธิปไตยเกลียดชังรัฐทุกชนิด แต่ทั้งๆ ที่มาร์คซิสต์เกลียดชังรัฐทุนนิยมในโลกปัจจุบัน เรามองว่าถ้าจะโค่นรัฐเก่า ก็ต้องอาศัยรัฐใหม่ของกรรมาชีพในการประสานงานการสร้างระบบสังคมนิยมและประชาธิปไตย

ความคิดของพวกอนาธิปไตยที่ปฏิเสธทั้งพรรคและการสร้างรัฐกรรมาชีพ และเน้นความกระจัดกระจายแทน แปลว่าเขาไม่สามารถใช้อำนาจกรรมาชีพอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างสังคมใหม่ เพราะไม่สามาระรวมศูนย์การต่อสู่และวางแผนการสร้างรัฐใหม่ ซึ่งในหลายๆ กรณีมันจบลงด้วยการที่ขบวนการอนาธิปไตยไปยอมจำนนต่อรัฐทุนนิยมและพรรคกระแสหลัก ตัวอย่างที่สำคัญคือสเปนในปีค.ศ.1936 ที่ขบวนการสหภาพแรงงานอนาธิปไตยและองค์กรอนาธิปไตยอื่นๆ จนปัญญาที่จะล้มรัฐเก่าแล้วหันไปสนับสนุนรัฐบาลที่นำโดยพวกแนวสตาลิน ซึ่งทำให้การปฏิวัติพ่ายแพ้ และสเปนในยุคปัจจุบันพวก“โพเดมอส”เข้าไปสนับสนุนพรรคปฏิรูปกระแสหลักในรัฐสภาทั้งๆ ที่เคยอาศัยแนวคิดอนาธิปไตย

ในรูปธรรมนักต่อสู้หลายคนในไทยที่ปฏิเสธการสร้างพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นพวกอนาธิปไตยหรือไม่ ในที่สุดก็ไปเข้าพรรคก้าวไกล

สหภาพคนทำงาน

สหภาพคนทำงานเกิดจากความต้องการของคนหนุ่มสาวที่จะเห็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกระจายลงไปในขบวนการกรรมาชีพ และเขาหวังว่าในอนาคตจะมีการนัดหยุดงานต้านเผด็จการ พวกเขามองว่าในสหภาพแรงงานโดยทั่วไปไม่มีการสร้างกระแสการเมืองก้าวหน้าเพียงพอ เราชาวมาร์คซิสต์คงต้องเห็นด้วยตรงนี้

แต่สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจคือ แนวคิดที่นำไปสู่การตั้งสหภาพคนทำงาน ไม่ใช่แนวมาร์คซิสต์สังคมนิยม แต่เป็นแนวอนาธิปไตย “สหภาพคนทำงาน” สะท้อนแนวคิด “ลัทธิสหภาพ” คือเน้นสหภาพแรงงานแทนการสร้างพรรค มันเป็นแนว “ลัทธิสหภาพอนาธิปไตย” (Anarcho-Syndicalist)

สิ่งที่สองที่ต้องเข้าใจคือ “สหภาพคนทำงาน” ไม่สามารถสร้างสหภาพแรงงานจริงที่ต่อสู้กับนายจ้างในสถานที่ทำงานได้ เพราะคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกต้องมีจุดยืนทางการเมืองฝ่ายซ้าย ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสถานที่ทำงานแต่ละแห่งไม่ได้มีความคิดแบบนั้น มันจะอ่อนแอกว่าสหภาพแรงงานธรรมดา นอกจากนี้องค์กรนี้ไม่สามารถปลุกระดมกรรมาชีพในสถานที่ทำงานที่มีสหภาพแรงงานอยู่แล้ว เพราะจะชวนให้คนออกจากสหภาพแรงงานเดิม ซึ่งจะไม่สำเร็จและจะสร้างความแตกแยก องค์กร “สหภาพคนทำงาน” ไม่ใช่เครื่องมือที่สามารถใช้ในการปลุกระดมความคิดฝ่ายซ้ายในสหภาพแรงงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปแล้วการสร้าง “สหภาพคนทำงาน” เป็นการสร้างองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวอนาธิปไตยที่ไม่ใช่พรรคและไม่ใช่สหภาพแรงงานด้วย แต่นั้นคือสภาพการต่อสู้ในไทยในปี ๒๕๖๔ ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องคอยติดตาม

แต่แน่นอน ในขณะที่ “สหภาพคนทำงาน” มีมวลชนจริงที่เป็นคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย นักสังคมนิยมมาร์คซิสต์ก็ต้องทำงานร่วมกับเขาอย่างใกล้ชิดในขณะที่แลกเปลี่ยนถกเถียงกับเขาทางการเมือง แต่นั้นไม่ได้แปลว่าเราควรช่วยสร้าง “สหภาพคนทำงาน” เพราะเราควรสร้างพรรคสังคมนิยมแทน

การสร้าง “เตรียมพรรค”

นักเคลื่อนไหวไทยที่เห็นด้วยกับแนวสังคมนิยมควรจะให้ความสำคัญกับการสร้าง “เตรียมพรรค” โดยมีเป้าหมายในการสร้างพรรคสังคมนิยมปฏิวัติในอนาคต

ความสำคัญของการมีพรรคคือจะเป็นจุดรวมของนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย ที่จะสามารถถกเถียงแลกเปลี่ยนเรื่องการวิเคราะห์สังคม และการกำหนดแนวทางต่อสู้เพื่อสังคมนิยม

นอกจากนี้พรรคมีความสำคัญในการเชื่อมโยงประเด็นปากท้องหลายๆ ประเด็น ให้เข้ากับความเข้าใจทางการเมืองในภาพกว้าง

พรรคที่มีสมาชิกหลายคนที่เข้าใจตรงกันและเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกัน จะมีพลังมากกว่าปัจเจกมหาศาล

คนที่สนใจสร้างพรรคฝ่ายซ้ายของคนชั้นล่างหรือพรรคสังคมนิยม ไม่ควรจะไปตั้งเป้าในการสร้างพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งภายใต้อิทธิพลของเผด็จการ หรือภายใต้กรอบ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ตัวอย่างของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นถึงการมีบทบาทนอกรัฐสภาของพรรค เช่นในการจัดตั้งกรรมาชีพ คนหนุ่มสาว หรือเกษตรกร อย่างไรก็ตามเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางในการจับอาวุธของ พคท. หรือการที่ พคท. ไม่มีประชาธิปไตยภายใน

“เตรียมพรรค” จะต้องมีสื่อของพรรค หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และสิ่งตีพิมพ์อื่น และจะต้องมีการจัดกลุ่มศึกษาอย่างเป็นประจำ เพื่อขยายสมาชิกและนักปลุกระดมอย่างมีประสิทธิภาพ

ใจ อึ๊งภากรณ์

สร้างพรรคสังคมนิยมแนวปฏิวัติเพื่อสร้างขบวนการแรงงานที่เข้มแข็ง

ปัจจุบันมีการเลิกจ้างและกดค่าแรงในประเทศไทย แต่ในทุกกรณีสหภาพแรงงานขาดการต่อสู้จริงๆ จังๆ และขาดการหนุนช่วยข้ามรั้วสถานประกอบการจากแรงงานอื่น จนคนงานกลายเป็นเหยื่อที่ต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล “เผด็จการรัฐสภา”หรือองค์กรอื่นๆ ของรัฐ หรือจากพรรคการเมืองของฝ่ายทุน

     อันนี้ไม่ใช่ความผิดของคนงาน แต่เป็นความผิดของนักเคลื่อนไหวแรงงานที่ปฏิเสธการเมืองของฝ่ายซ้ายและความสำคัญของการสร้างพรรคสังคมนิยมแนวปฏิวัติ

     ขบวนการแรงงานที่เข้มแข็งจะเน้นการต่อสู้และความสมานฉันท์ระหว่างสหภาพแรงงานต่างๆ จะพยายามจัดการนัดหยุดงานพร้อมๆ กันหลายที่ และตัวอย่างที่ดีคือการนัดหยุดงานทั่วไปที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่อินเดีย หรือที่กำลังเกิดขึ้นในเกาหลีใต้

     ที่มาของสภาพย่ำแย่นี้ในไทย ไม่ใช่ “ลักษณะพิเศษของสังคมไทย” หรือนิยายเรื่องไทยไม่มีระบบชนชั้น หรือเรื่อง “แนวคิดศักดินาที่ฝังลึกอยู่ในสมองคนธรรมดา” และสภาพนี้ไม่ได้มาจากการกดขี่ของฝ่ายรัฐที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     ในอดีต ในสมัยที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)รุ่งเรือง มีนักเคลื่อนไหวของพรรคตั้งเป้าในการทำงานการเมืองภายในสถานที่ทำงานต่างๆ และมีการสร้างสหภาพแรงงานที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกัน ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ก็ควรจะไปอ่านหนังสือ “ใต้ธงปฏิวัติ ประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และคณะ

     ในช่วงก่อนและหลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ นักศึกษาที่เคลื่อนไหวเพื่อสังคมก็มีบทบาทในการปลุกระดม และประสานงานร่วมกับขบวนการแรงงาน และหลายคนได้รับอิทธิพลมาจาก พคท. ทั้งโดยตรงและทางอ้อม

     ทุกวันนี้มรดกของ พคท. ในขบวนการแรงงานยังหลงเหลืออยู่บ้างในรูปแบบ เครือข่ายสหภาพแรงงาน “กลุ่มย่าน” แต่อยู่ในลักษณะอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก

     แง่สำคัญของการจัดตั้งกรรมาชีพในสหภาพแรงงานของ พคท. คือการที่พยายามเชื่อมคนงานในโรงงานและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ข้ามรั้วโรงงานและระหว่างสหภาพแรงงานที่แตกต่างกัน เพื่อให้มีการต่อสู้ร่วมกัน เช่นการนัดหยุดงานพร้อมกัน และที่สำคัญคือการพยายามสร้างการต่อสู้สมานฉันท์ที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่คือความสำคัญของการสร้างองค์กรสหภาพแรงงานกลุ่มย่านต่างๆ โดย พคท.

     แต่หลังจากที่ พคท. เริ่มล่มสลาย และนักกิจกรรมต่างๆ หันไปทำงานในองค์กรเอ็นจีโอ นอกจากจะมีการเน้นชาวบ้านในชนบทแล้ว คนที่ยังทำงานในสายแรงงาน กลายพันธุ์ไปเป็นคนที่ทำงานในรูปแบบการกุศล คือเน้นการช่วยเหลือผู้ที่ตกยากหรือผู้ที่เป็นเหยื่อ มากกว่าที่จะปลุกระดมให้มีสหภาพแรงงานที่เน้นการต่อสู้ทางชนชั้น ในที่สุดองค์กรเอ็นจีโอสายแรงงานกลายเป็นองค์กรคล้ายๆ ธุรกิจขนาดเล็ก ที่ขอทุนจากรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือคนจน มันแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากสมัย พคท. และที่แย่สุดคือไม่มีการเน้นหรือพูดถึงการนัดหยุดงาน ไม่มีการพูดถึงการเมืองหรือเรื่องชนชั้น และไม่เน้นการต่อสู้ของสหภาพแรงงานที่เข้มแข็งเลย

     เราจะเห็นได้ว่าความอ่อนแอของขวนการแรงงานไทยในยุคนี้ จนเรียกได้ว่าไม่มีขบวนการ มาจากเรื่องการเมืองล้วนๆ

     นักต่อสู้สหภาพแรงงานในไทยยังไม่หมดสิ้น ยังมีคนดีๆ ที่ต้องการต่อสู้ไม่น้อย เป้าหมายของคนเหล่านี้ควรจะเป็นการสร้างขบวนการแรงงานที่มีพลัง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันเกิดถ้ามัวแต่ไปเน้นการสัมมนาในโรงแรมเรื่อง “สิทธิแรงงาน” ที่จัดขึ้นด้วยงบจากเอ็นจีโอหรือหน่วยงานของรัฐ

     แน่นอนนักสังคมนิยมจะต้องมีส่วนในการสร้างความเข้มแข็งของสหภาพแรงงาน และต้องมีส่วนในการสนับสนุนการประท้วงเรียกร้องเกี่ยวกับปัญหาปากท้อง เช่นเรื่องค่าจ้าง โบนัส และสภาพการจ้างอื่นๆ แต่ถ้าทำแค่นั้น เราก็เป็นแค่ “นักสหภาพแรงงาน” และผู้ที่เป็นแค่ “นักสหภาพแรงงาน” จะมองว่าองค์กรจัดตั้งหลักคือสหภาพแรงงาน ไม่ใช่พรรคซ้ายสังคมนิยม และเราจะก้าวข้ามปัญหาภายในรั้วสถานที่ทำงานเพื่อไปสนใจสังคมภายนอกไม่ได้

     การปลุกระดมทางการเมืองแปลว่าต้องมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อของพรรค และผ่านกลุ่มศึกษาของพรรค ซึ่งต่างจากกลุ่มศึกษาของสหภาพที่เน้นแต่เรื่องปากท้องหรือกฎหมายแรงงาน การศึกษาทางการเมืองของพรรคต้องครอบคลุมการวิเคราะห์ลักษณะสังคมไทยและสังคมต่างประเทศ ต้องเรียนบทเรียนจากประวัติศาสตร์ไทยและทั่วโลก ต้องศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองมาร์คซิสต์ ต้องศึกษาธาตุแท้ของชนชั้นและของรัฐ เราต้องสนใจศิลปะวัฒนธรรม ต้องสนใจวิทยาศาสตร์ และเราต้องพร้อมที่จะร่วมกันค้นหาคำตอบสำหรับปัญหาทุกเรื่องในชีวิตมนุษย์

     ในปัจจุบันนักเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดในขบวนการแรงงานไทย เช่นในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มักจะยึดมั่นในแนวคิด “ลัทธิสหภาพซ้าย” บางคนถึงกับใช้แนว “ลัทธิสหภาพปฏิวัติ” เช่นพวกที่ชอบกล่าวถึงเลนินและแนวมาร์คซิสต์

     ในประวัติศาสตร์ของขบวนการแรงงานสากล แนว “ลัทธิสหภาพ” (Syndicalism) จะเน้นการเคลื่อนไหวผ่านองค์กรสหภาพแรงงานอย่างเดียว แนวนี้มีรูปแบบหลากหลายที่ซับซ้อน พวกที่มองว่าควรเคลื่อนไหวในเรื่องปากท้องอย่างเดียวและไม่กล่าวถึงการเมือง คือพวกลัทธิสหภาพฝ่ายขวา ซึ่งในไทยได้รับอิทธิพลพอสมควรจากการปกครองของเผด็จการทหาร ที่พยายามห้ามไม่ให้สหภาพแรงงานสนใจเรื่องการเมือง

     ลัทธิสหภาพฝ่ายซ้ายปฏิวัติ มองว่าการเมืองกับเศรษฐกิจปากท้องแยกออกจากกันไม่ได้ และเขาอาจต้องการปฏิวัติล้มทุนนิยม อย่างไรก็ตามเขาจะต่างจากแนวมาร์คซิสต์ของ มาร์คซ์ เองเกิลส์ เลนิน ทรอดสกี้ โรซา ลัคแซมเบอร์ค และกรัมชี่ ตรงที่เขาไม่เห็นด้วยกับการสร้างพรรคปฏิวัติ ดังนั้นแทนที่จะสร้างพรรคเขามองว่าสหภาพแรงงานเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อสังคมนิยมได้

     ขบวนการแรงงานไทยขาดนักเคลื่อนไหวสังคมนิยมที่จะทำงานเป็นระบบ ในบางแห่งมีนักต่อสู้ที่อยากเห็นแรงงานสู้จริง แต่นักสู้แรงงานเหล่านี้เลือกใช้ “ลัทธิสหภาพฝ่ายซ้ายปฏิวัติ” เขาจะส่งเสริมการนัดหยุดงาน และการจัดตั้งกลุ่มย่านข้ามรั้วโรงงาน แต่จะไม่เห็นด้วยกับการนำ “การเมืองภาพกว้าง” ที่ “ไม่เกี่ยวกับแรงงาน” เข้าสู่ขบวนการแรงงาน เช่นเรื่องสิทธิสตรี สิทธิคนรักเพศเดียวกันหรือคนข้ามเพศ ปัญหาภาคใต้ ปัญหาโลกร้อน ปัญหาในระบบการศึกษา หรือประเด็นการเมืองสากลปัจจุบัน หรือแม้แต่วิธีการตั้งพรรคการเมืองที่อิสระจากนายทุนเป็นต้น ในปัจจุบันหลายคนที่เคยได้รับอิทธิพลจากแนวนี้ก็ไปเข้ากับพรรคนายทุนเช่นพรรคก้าวไกล

     องค์กรสหภาพแรงงานต้องการรับทุกคนในสถานที่ทำงานเข้ามาเป็นสมาชิก ซึ่งแน่นอนรวมถึงคนที่มีความคิดฝ่ายขวาตามชนชั้นปกครองและคนที่ยังขี้เกียจคิดอีกด้วย และแกนนำของสหภาพจะต้องปกป้องความสามัคคีภายในสหภาพระดับหนึ่ง เพราะกลัวว่าจะแพ้การเลือกตั้งและหลุดจากตำแหน่งในสหภาพ จึงไม่สามารถถกเถียงแนวคิดอย่างตรงไปตรงมาได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่ทำงานภายในสหภาพ

     ในประการสุดท้ายสหภาพแรงงานไม่สามารถยึดอำนาจรัฐได้ เพราะเป็นองค์กรที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อรองกับนายจ้างในระบบทุนนิยม ไม่สามารถประสานการทำงานระหว่างทุกซีกทุกส่วนของสังคมที่ก้าวหน้าเพื่อยึดอำนาจรัฐ

     “สหภาพคนทำงาน” ที่ครอบคลุมคนทำงานทุกส่วน ถ้าสร้างได้โดยไม่ไปแย่งสมาชิกจากสหภาพแรงงานที่มีอยู่แล้ว ก็คงเป็นเรื่องดี แต่ทั้งๆ ที่มีการเสนอว่าในอนาคต “สหภาพคนทำงาน” จะลงมือสร้างพรรคของชนชั้นกรรมาชีพ แต่ปัญหาใหญ่คือในรูปธรรมจะมีการสร้างสหภาพนี้ขึ้นมาเพื่อแทนที่การสร้างพรรคสังคมนิยม และการเสนอ “สหภาพคนทำงาน” สะท้อนแนวคิด “ลัทธิสหภาพ” ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวอนาธิปไตยที่ไม่สนใจการสร้างพรรค

     ยิ่งกว่านั้น “สหภาพคนทำงาน” ไม่สามารถสร้างสหภาพแรงงานจริงที่ต่อสู้กับนายจ้างในสถานที่ทำงานได้ เพราะคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกต้องมีจุดยืนทางการเมืองฝ่ายซ้าย ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสถานที่ทำงานไม่ได้มีความคิดแบบนั้น นอกจากนี้องค์กรนี้ไม่สามารถปลุกระดมกรรมาชีพในสถานที่ทำงานที่มีสหภาพแรงงานอยู่แล้ว สรุปแล้วการสร้าง “สหภาพคนทำงาน” เป็นการสร้างองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวอนาธิปไตยที่ไม่ใช่พรรค และในเมื่อองค์กรนี้เรียกตัวเองว่า “สหภาพ” ก็ยากที่สมาชิกจะเคลื่อนไหวในประเด็นการเมืองภาพกว้าง ที่ไม่เกี่ยวกับสถานที่ทำงาน ในสังคมโดยทั่วไป

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม:

กรรมาชีพไทยกับการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสังคมใหม่ หน้าที่ของนักสังคมนิยมในยุคปัจจุบัน  https://bit.ly/2MBfQzc

สหภาพแรงงานใช้แทนพรรคไม่ได้ https://bit.ly/2V2LBcJ

ท่ามกลางการต่อสู้ของนักศึกษาศีลปะเชียงใหม่… ศีลปะควรรับใช้ใคร?

ศีลปะมีความสัมพันธ์เชิงวิภาษวิธีกับสังคมทุนนิยม

หัวข้อนี้แปลว่าอะไร? ศีลปะเกิดจากการทำงานของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในสังคมทุนนิยม ดังนั้นสะท้อนหรือถูกจำกัดจากโครงสร้างทางวัตถุของทุนนิยม เช่นระบบการผลิต และได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดต่างๆ ในสังคม ซึ่งมีทั้งแนวที่เชิดชูระบบและโครงสร้างอำนาจ และแนวที่เป็นกบฏต่อสิ่งเหล่านั้นและสะท้อนการต่อสู้ทางชนชั้นในลักษณที่ซับซ้อนไม่ตรงไปตรงมาแบบกลไก (Molyneux 2020)

ศิลปะเพื่อประชาชนของจิตรเดินตามแนวลัทธิสตาลิน

การปฏิวัติรัสเซีย 1917 มิได้เพียงเป็นการปลดแอกมนุษย์จากการขูดรีดทางเศรษฐกิจและการกดขี่ทางการเมือง แต่เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์พลิกแผ่นดินที่ท้าทายทุกกรอบและค่านิยมของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ วิทยาศาสตร์ หรือศีลปะ เราอาจพูดได้ว่าการปฏิวัติของบอลเชวิคนำไปสู่การปฏิวัติทางศิลปะ เพราะในยุคนั้นมีการทดลองรูปแบบการทำงานและเป้าหมายในการสร้างศิลปะแบบใหม่ๆ โดยที่ศิลปินไม่ถูกจำกัดในกรอบเดิมของระบบเผด็จการหรือกรอบของอำนาจเงิน (สัญชัย ๒๕๔๕; 208) ยิ่งกว่านั้นมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในหมู่ปัญญาชนและศิลปินเรื่องภาระของศิลปินในยุคใหม่และท่าทีที่เราควรมีต่อศิลปะในยุคต่างๆ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต (Trotsky 1991, 2001)

     แต่ในช่วงต่อมา เมื่อการปฏิวัติล้มเหลว พลังความก้าวหน้าของการปฏิวัติก็เริ่มทดถอย ซึ่งมีผลกับการพัฒนาทางศิลปะ และในที่สุดทำให้ศิลปะโซเวียตเสื่อมลงเป็นแค่ “ศิลปะแห่งโลกจริงแนวสังคมนิยม” (Socialist Realism) ทำไมสตาลินจึงแปรรูปศิลปะของการปฏิวัติไปเป็นศิลปะแข็งทื่อและกลไกของ “โลกจริงแนวสังคมนิยม”? สาเหตุหลักคือความขัดแย้งที่อยู่ในใจกลางแนวคิดของสตาลินระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติที่เอ่ยถึงไปแล้ว แต่มีสาเหตุอื่นด้วย

     ในเรื่องศิลปะ แนวสตาลินมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจำกัดเสรีภาพของพวกศิลปิน เพราะถ้าเรารู้จักศิลปินในโลกจริงเราจะรู้ว่าเขาเป็นพวกที่ไร้วินัยและมีหัวกบฏมากพอสมควร ศิลปินคนหนึ่งที่เข้าไปร่วมการต่อสู้ในป่ากับ พ.ค.ท. เคยตั้งข้อสังเกตว่า “ศิลปินเป็น ‘ย’ ยาก” คือศิลปินมักจะไม่ได้รับเชิญเป็น “สมาชิกเยาวชน” ของ พ.ค.ท. เนื่องจากมักเป็นตัวของตัวเอง ไม่ค่อยยอมขึ้นกับ “จัดตั้ง” มากนัก(สัมภาษณ์ สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย) ดังนั้นถ้าสตาลินจะสร้างเผด็จการครอบงำสังคมสิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือต้องควบคุมศิลปินและปัญญาชนทั้งหลาย เพื่อไม่ให้คิดเองเป็นหรือถ้ายังดื้อคิดเองต่อไป อย่างน้อยต้องปิดปากหรือจำกัดการทำงาน วิธีที่สำคัญในการปิดปากจำกัดนักคิด นักเขียน และศิลปิน คือการนำข้ออ้างเรื่อง “ผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพและผู้ที่ถูกกดขี่ขูดรีด” มาเป็นเครื่องมือเพื่อจำกัดความสร้างสรรค์ของศิลปิน เช่นอาจมีการวิจารณ์งานศิลปะที่สลับสับซ้อน ท้าทาย และชวนให้คิดไกลโดยอ้างว่าศิลปะแบบนี้ “เข้าใจยากโดยกรรมาชีพหรือชาวนา” หรืออาจมีการมองว่าศีลปะแบบนี้ “ไม่ชัดเจน” หรือ “ไม่ตรงตามแนวของพรรค” เพียงพอที่จะ “รับใช้ชนชั้นผู้ถูกกดขี่ นี่คือที่มาของแนว “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ในรูปแบบกลไกที่พยายามจำกัดรูปภาพหรือวรรณกรรมให้เป็นแค่เรื่องความทุกข์ร้อนของคนจนหรือความกล้าหาญของนักสู้

     แนวคิดศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อประชาชนภายใต้แนวสตาลิน ถูกถ่ายทอดไปสู่การปฏิวัติของเหมาในประเทศจีนและต่อมาในภายหลังมีความสำคัญในการสร้างมุมมองคับแคบของ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่ตามมาในทศวรรษที่ 60 ที่ร้ายกว่านั้นพลังมวลชนที่ถูกปลุกระดมใน “การปฏิวัติวัฒนธรรม” จีนภายใต้ข้ออ้างว่าจะกำจัดล้างวัฒนธรรมแบบเก่าๆ ให้หมดไป เพียงแต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ระหว่างคู่แข่งหรือพรรคพวกต่างๆ ในกลุ่มชนชั้นของนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น และมันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับศีลปะวัฒนธรรมแต่อย่างใด

     แนวนี้ในที่สุดก็เข้ามาในไทยผ่าน พ.ค.ท. การเสนอโดยรวมโดยพรรคไทยว่าเราต้องพิจารณาศิลปะจากมุมมองคำถามว่ามัน “รับใช้ใคร?” ภายใต้แนวคิดแบบสตาลิน นำไปสู่การสรุปว่าศีลปะสร้างสรรค์ หรือศีลปะที่อาจ “เข้าใจยาก” หรือ ไม่มีอะไรชัดเจนที่เกี่ยวกับชีวิตกรรมกรหรือชาวนา เป็นศิลปะ “ปฏิกิริยา” ของชนชั้นปกครอง นอกจากนี้ลัทธิสตาลินใช้ศิลปะเพื่อการบูชาตัวบุคคล โดยสร้างสิ่งที่เรียกว่าศิลปะปฏิวัติ รูปปั้นผู้นำจึงถูกทำให้เป็นราวกับเทวรูปเพื่อเคารพบูชา

     เราไม่ควรคิดว่าศิลปินฝ่ายซ้ายไทยมีมุมมองอย่างกลไกแบบนี้ทุกคน เพราะในช่วงประชาธิปไตยเปิกบานหลัง ๑๔ ตุลา ๑๖ ศิลปินไม่น้อย โดยเฉพาะสายที่จบจากศิลปากรหรือวิทยาลัยเพาะช่าง ได้รับอิทธิพลแนวคิดแบบ “ฝ่ายซ้ายใหม่” ที่เกิดจากการกบฏของคนหนุ่มสาวในยุโรปและอเมริกายุค 1968 ซึ่งมีลักษณะเสรีและหลากหลาย ดังนั้นถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของศิลปินไทยยุคนั้น เช่นการเคลื่อนไหวของ “แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย” จะพบว่ามีการถกเถียงเรื่องความหมายของศิลปะก้าวหน้าอย่างกว้างขวาง การเดินขบวนประท้วงต่อต้านฐานทัพสหรัฐในปี ๒๕๑๘ มีตัวอย่างความหลากหลายและเสรีภาพในผลงานของศิลปินไทยมากมาย ซึ่งบางส่วนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่ยึดถือแนวคิดของเหมาแบบสุดขีด (แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ๒๕๓๗ และ สัมภาษณ์ สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย)

     ถ้ากลับมาพิจารณางานของจิตร ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าเขาใกล้ชิดกับแนวความคิดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่ว่าเขาจะเป็นสมาชิกเยาวชนแบบทางการหรือไม่ ตรงนี้เรามั่นใจได้เพราะจิตรเลือกเส้นทางในการต่อสู้จับอาวุธร่วมกับ พ.ค.ท. และใช้กรอบการวิเคราะห์ที่คล้ายกับแนวสตาลิน-เหมา   เมื่อพิจารณาการวิเคราะห์ศิลปะจะเห็นว่าการให้นิยามคำว่า “ศิลป” ในหนังสือ “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” (จิตร  ๒๕๔๑) เป็นไปในกรอบกลไก หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ศิลปะเพื่อชีวิตส่วนหนึ่ง และศิลปะเพื่อประชาชนอีกส่วนหนึ่ง ส่วนแรกประกอบด้วยบทความ 4 ชิ้น คือ “อะไรหนอที่เรียกกันว่าศิลปะ”  “ศิลปะบริสุทธิ์มีแท้หรือไฉน”  “ที่ว่า ‘ศิลปะเพื่อศิลปะ’ นั้นคืออย่างไรกันหนอ”  และ  “ ‘ศิลปะเพื่อชีวิต’ ความหมายโดยแท้จริงเป็นไฉน” เนื้อความหลักที่อธิบายในส่วนศิลปะเพื่อชีวิต เริ่มด้วยการค้านความเชื่อเดิมว่ามาตรฐานวัดความสูงส่งของศิลปะนั้น คือ “ความงามอันวิจิตรบรรจง” และความ “มีกฎเกณฑ์ในการสร้างอันเฉพาะพิเศษยากแก่การเข้าใจ” ซึ่งเป็นความพยายามที่น่ายกย่องของจิตรที่จะดึงศีลปะลงมาเป็นทรัพย์สินรวมของทุกคน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแค่ “ของสูง” ของคนชั้นนำเท่านั้น

      จิตรเริ่มต้นด้วยการรวบรวมนิยามศิลปะแบบเดิมของฝ่ายชนชั้นปกครองมาเปรียบเทียบกัน  เช่น ความหมายของศิลปะที่ว่า “ศิลปะเป็นของสูงส่ง” เป็นของพิเศษเลิศเลอ มิใช่สมบัติของสามัญชน แต่สำหรับผู้มีวุฒิปัญญาพิเศษโดยเฉพาะ  มีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ   ที่ได้รับการยกย่องบูชาอย่างสูงส่ง ผู้ที่ผลิตขึ้นมาก็ “ทำอย่างมีเทคนิค” โดย“เทคนิค” หรือ“กรรมวิธี” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “วิธีทำ” คือ ประดิษฐกรรมที่ซับซ้อนสิ่ง มีความประณีต ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี และ พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) เรียกว่า “ผลิตกรรม-ทางเทคนิค” โดย ศิลปกรรมไม่ว่าอย่างใด ๆ จะต้องมีการแสดง  ขณะที่จิตรยกคำกล่าวของ ตอลสตอย ในการมองศิลปะว่าเป็นเพียง “งานฝีมือ” (Craftsman-ship) เท่านั้น สิ่งประดิษฐที่มีแต่ความประณีต ให้ความบันเทิงเริงใจนั้นหาใช่ศิลปะไม่ (จิตร ๒๕๔๑; 35)

     จิตรได้สรุปความเข้าใจของ ตอลสตอย ว่า ศิลปะจะต้องผลิตกรรมทางเทคนิคที่มีการสำแดงออกแฝงอยู่ภายใน ถ้าจะเขียนเป็นสูตรแบบวิทยาศาสตร์ก็คงจะได้สูตรว่า

ศิลป  =      รูปแบบ + การสำแดงออก

Art    =      From + Expression

โดย“การสำแดงออก” นั้นเป็นคำที่บ่งบอกถึงปฏิกิริยาของอารมณ์โดยทางตรง

ตอลสตอย วาง  “เงื่อนไขอันจำเป็นอย่างยิ่งของศิลปะ” ว่า  สิ่งที่จะจัดได้ว่าเป็นศิลปะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความคิดใหม่อันเป็น “เนื้อหา” ของศิลปะ   และความคิดใหม่เป็นเนื้อหาของศิลปะนั้น จักต้องมีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติ  มีความคิดริเริ่ม  และฉีกแนวในทางที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ทั้งยังต้อง เข้าใจความจริงของชีวิตและโลก เข้าใจถึงแนวทางที่จะนำชีวิตและโลกไปสู่ความสุขที่แท้จริง และขณะเดียวกันก็ต้องตีแผ่แนวทางนั้นออกมา โดยที่ความคิดใหม่หรือเนื้อหาของศิลปะนั้นเป็นสิ่งจำเป็น และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของชีวิตและโลกโดยแท้จริง บรรดาผู้ผลิตงานฝีมือหรือผลิตกรรมทางเทคนิคอันไร้เนื้อหาออกมาดื้อ ๆ จะเป็นอย่างมากก็เพียง “ช่างฝีมือ” เท่านั้น จิตรประเมินว่าคุณค่าของงานศิลปะอื่นใดหากไร้เนื้อหา เจ้าของงานนั้น จักไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่า “ศิลปิน” ได้เลย

     ในยุคปัจจุบัน จอห์น มอลินิวซ์ สมาชิกพรรคสังคมนิยมแรงงานของอังกฤษ ให้นิยามศิลปะของฝ่ายมาร์คซิสต์ว่า        “เป็นสิ่งที่เกิดจากการรังสรรค์ของศิลปินอย่างเสรีโดยมิได้กระทำไปเพราะการบังคับ กดขี่หรือแลกเปลี่ยนมาซึ่งเงินตรา  หากแต่เป็นศิลปะที่สะท้อนศักยภาพของศิลปินเอง  ทั้งยังให้ผู้เสพหรือผู้ชมได้รับแรงบันดาลใจอันเป็นด้านบวก มีคุณค่าต่อชีวิตและสังคม ” (Molyneux 1998) จอห์น มอลินิวซ์ ยังได้สะท้อนความคิดของ ตรอทสกี ว่า “ศิลปะเป็นการการผสมผสานของกลไกทางสมอง และ ความสัตย์จริง มันไม่ต้องการระเบียบกฏเกณฑ์   แต่สร้างขึ้นจากอิสรภาพ “

ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและสังคม

จิตร โจมตีแนว “ศิลปะเพื่อศิลปะ” ที่เชื่อว่าศิลปะเป็น “สิ่งบริสุทธิ์” ที่ลอยอยู่เหนือสังคม การตั้งคำถามว่า “ศิลปะรับใช้ใคร?” และ “ศิลปะเป็นสิ่งบริสุทธ์ที่ลอยอยู่เหนือสังคมหรือไม่?” เป็นประโยชน์ในการกระตุ้นให้เราพิจารณาสองปัญหาที่มีความสำคัญ

     จิตรให้ข้อสรุปว่าศิลปะทุกยุคสมัยล้วนรับใช้ชีวิต ไม่มีศิลปะลอยๆ “ศิลปะเพื่อชีวิต  คือ ศิลปะที่มีผลสะท้อนออกไปสู่ชีวิตและขึ้นชื่อว่า ‘ศิลปะ’ แล้วมันย่อมส่งผลสะท้อนออกไปสู่ชีวิตทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะศิลปะมีชีวิตเป็นพื้นฐาน” (จิตร ๒๕๔๑; 163)  ทั้งยังรับใช้ชนชั้นโดยอธิบายตามยุคของสังคมด้วย    ดังที่เขาเขียนบรรยายไว้ว่า “ศิลปะพึงรับใช้ชีวิตของสาธารณชน โดยแสดงแบบอย่างที่ดีและเป็นโคมไฟอันแจ่มจ้าที่จะส่องทางนำชีวิตของมวลมนุษย์ไปสู่ความดีงามนั่นคือ ศิลปะเพื่อชีวิต” ในเมื่อศิลปะคือการสะท้อนภาพของชีวิต  ผลิตกรรมใดก็ตาม ถ้าหากมันมิได้สะท้อนภาพชีวิตออกมามันก็หมดสภาพความเป็นศิลปะของมันลงในทันที  (จิตร ๒๕๔๑; 35-36)

     จิตรเชื่อว่า “ศิลปะที่ไม่รับใช้ใคร ไม่มี ในโลกมีแต่ศิลปะที่รับใช้ไม่ใครก็ใครฝ่ายหนึ่งเสมอ” (จิตร ๒๕๔๑; 72) โดยเขาแจกแจงว่า “ศิลปะเพื่อชีวิตอาจจะเป็นศิลปะเพื่อชีวิตของคนชั้นผู้กดขี่ประชาชนก็ได้ สิ่งที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดจึงต้องเป็น ศิลปะเพื่อชีวิตของประชาชนส่วนข้างมากผู้ทำงาน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ศิลปะเพื่อประชาชน  หากหมายถึงชีวิตของชนทุกชั้นโดยส่วนรวม…” (จิตร ๒๕๔๑; 163-164) และ “ในยุคสมัยที่สังคมไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดินิยม…(มี) การชักจูงให้มัวหลงระเริง  เคลิบเคลิ้มไปเสียกับความฟุ้งเฟ้อเหลวไหลนานาประการ (จิตร ๒๕๔๑; 171)

     “ศีลปะเพื่อศีลปะบริสุทธ์” นอกจากจะเป็นแนวคิดที่หลุดจากโลกจริงเพราะไม่ใช้แนววัตถุนิยมในการทำความเข้าใจว่ารูปแบบและโครงสร้างการดำรงชีวิตของมนุษย์มีความสำคัญในการกำหนดความคิดและรูปแบบของศีลปะแล้ว ยังเป็นแนวปฏิกิริยาที่ชวนให้เราละเลยการมองเนื้อหาของงานศีลปะเพื่อพิพากษาว่ามันก้าวหน้าหรือไม่ เช่นการมองแบบพวก โพสธ์โมเดอร์น ในยุคปัจจุบันที่ยอมรับ “อะไรก็ได้” และไม่แยกแยะว่างานไหนดูถูกผู้หญิง งานไหนดูหมิ่นคนเชื้อชาติอื่น หรืองานไหนเชิดชูการกดขี่หรือความไม่เป็นธรรม ดังนั้นการที่จิตรเตือนใจเราให้คิดเรื่องนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง

     อย่างไรก็ตามในการโจมตีแนวคิดที่เสนอว่ามี “ศีลปะบริสุทธิ์” เราต้องไม่หลงด่าศีลปะแบบ แอบสแตรคท์ ไปด้วย เช่นงาน “หยดสี” ของศิลปินอเมริกาชื่อ แจกสัน พอลลอค เพราะงานแบบนี้ที่ดูเหมือนจะไม่มีเนื้อหาสาระทางสังคม สามารถมีบทบาททางสังคมในการท้าทายกรอบความคิดของเราได้ เช่นกรอบความคิดเดิมๆ ที่มองว่ารูปภาพศีลปะ “ต้องดูออกว่าเป็นอะไรจึงจะถือว่าเป็นงานศีลปะได้”  ซึ่งการท้าทายเราแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกบฏในสังคม

     การมองอย่างด้านเดียวของจิตรว่างานของยุคศักดินาหรือทุนนิยมเป็นศีลปะที่ไร้ค่า สะท้อนความคิดกลไก เมื่อกำหนดนิยามขึ้นแล้วก็เอานิยามอันเป็นอัตตวิสัยนี้มาวัดคุณค่า ตีราคาให้สรรพสิ่ง โดยมิได้พิจารณาสภาพความเป็นจริง สภาพทางภววิสัยคืออะไร  ก็เพื่อทำให้ศิลปะในขั้วของชนชั้นปกครองกลายเป็นสิ่งดูน่ารังเกียจ เป็นสิ่งจอมปลอม เพราะเกิดขึ้นภายใต้อำนาจชนชั้นปกครองเก่าโดยที่ไม่ได้รับใช้มวลมนุษยชาติ และยกย่องว่าในทางตรงกันข้ามประดิษฐกรรมทุกอย่างที่มีเจตนาเพื่อการรับใช้มนุษย์ รับใช้ประชาชนย่อมเป็นศิลปะอันประเสริฐน่ายกย่อง  รูปปั้นการต่อสู้ของกรรมกร ชาวนา ทหารปลดแอก และภาพที่มีท่วงทำนองแบบเดียวกันจึงถือเป็นศิลปะที่แท้จริง…..จิตรให้ข้อสรุปไว้ว่า “งานสร้างสรรค์ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ สิ่งที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์จึงควรรับใช้ชีวิตมนุษย์” และยังตอกย้ำ คำยืนยันของตอลสตอยว่า “ศิลปินจักต้องมีทรรศนะต่อชีวิต หรือ ชีวทรรศน์ (Life Conception) อันถูกต้อง และขณะเดียวกันก็ต้องมีทรรศนะต่อโลกหรือโลกทรรศน์ (Worlds Conception)”  ศิลปินจึงน่าจะเป็นคนพิเศษ เหนือมนุษย์   จะเป็นคนธรรมดาไม่ได้ ต้องมีทั้งชีวทรรศน์ โลกทรรศน์ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คล้ายกับการสร้างภาพวีรชนปฏิวัติ ของเหมาเจ๋อตง และค่ายลัทธิสตาลินอื่นๆ

     ในแง่หนึ่งการเสนอว่าศีลปะต้องรับใช้ประชาชนก็เป็นแนวคิดที่มีประโยชน์ เพราะเราต้องคิดเสมอว่าศิลปินผลิตผลงานเพื่ออะไร เพื่อเก็บไว้ดูเองคนเดียว? หรือเพื่อสื่ออารมณ์และความหมายในสังคม? ถ้าศิลปินผลิตงานไว้ดูคนเดียวเรียกเขาว่าเป็น “ศิลปิน” ได้ไหม? ในเมื่อศิลปินต้องเลี้ยงชีพโดยการขายผลงานหรือโดยการที่สังคมตอบแทนการทำงานของเขาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ศิลปินก็ควรต้องรับผิดชอบกับการผลิตผลงานเพื่อสื่อให้กับพลเมืองในสังคมระดับหนึ่ง ดังนั้นศิลปินควรใช้เวลาในการพิจารณาการทำงานของตนเองว่ากำลังปกป้องทัศนะคติอะไรและท้าทายทัศนะคติอะไรด้วย

     แต่การที่จิตรไม่แยกแยะระหว่างคำถามว่า “ศีลปะรับใช้ใคร” กับคำถามว่า “ศีลปะชิ้นนี้ผลิตขึ้นภายใต้บริบทสังคมใด” ทำให้เกิดความสับสนที่นำไปสู่ความกลไก เพราะศีลปะที่ผลิตขึ้นในสังคมที่มีการกดขี่ขูดรีดย่อมสะท้อนลักษณะของสังคมนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรับใช้ชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดเสมอ แนววิภาษวิธีมาร์คซิสต์มองว่าทุกสังคมต้องมีความขัดแย้งภายใน ศิลปินก็เป็นส่วนของความขัดแย้งนั้นได้ และอาจผลิตงานที่เป็นกบฏต่อสังคมก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันศิลปินไม่ได้มีอิสระภาพที่จะประกอบอาชีพตามใจชอบในเมื่อปัจจัยการผลิตหรืออำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ในกำมือของคนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้แต่งานศีลปะที่ออกมาจากบริษัทข้ามชาติ เช่นภาพยนต์อย่าง ไทแทนิค จาก ฮอลลีวูด หรือเพลงลูกทุ่ง ก็มีลักษณะขัดแย้งในตัวระหว่างความต้องการที่จะถ่ายทอดแนวคิด ค่านิยม และอำนาจของชนชั้นนายทุน กับ ความต้องการที่จะมียอดขายสูง ดังนั้นผลงานแบบนี้อาจสะท้อนความยากจนและความขัดแย้งทางชนชั้นเพื่อเอาใจรสนิยมของลูกค้าผู้เป็นกลุ่มเป้าหมายก็ได้ และนอกจากนี้กรรมาชีพศิลปินที่ทำงานในบริษัททุนนิยมที่ผลิตภาพยนต์หรือเพลงก็อาจมีจิตสำนึกทางชนชั้นได้

     ยิ่งกว่านั้นการที่มีศีลปะเกิดขึ้นที่เชิดชูการปกครองของชนชั้นผู้กดขี่ ไม่ได้แสดงว่างานนั้นจะงดงามไม่ได้ ตัวอย่างของวัดพระแก้วหรือเพลงชมพระเจ้าของโมซาร์ทที่เขียนให้ขุนนาง ทำให้เราเห็นภาพได้ และความละเอียดอ่อนในการมองจะนำเราไปสู่ความเข้าใจว่าระบบสังคมที่ไร้ความงามและเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนอาจผลิตศีลปะบางชิ้นที่งดงามได้

ความงามต้อง “ง่ายและชัดเจน” จริงหรือ?

ขณะที่จิตรเน้นว่าศิลปะของประชาชนต้องสะท้อนความจริงโดยกล่าวว่า “ ศิลปะ คือ การสะท้อนความจริงของชีวิตตามที่เป็นอยู่แท้จริงและความแท้จริงนั่นแหละ คือ ความงาม”  ตลอดจนสนับสนุนว่าเงื่อนไขทางรูปแบบของศิลปะที่มีสามประการคือความแจ่มชัด (Clarity) ความง่าย (Simplicity) และความงาม (Beauty) นั้น โดยทั้ง 3 เงื่อนไขจักต้องสัมพันธ์กันเสมอไป และโดยที่ความแจ่มชัดตั้งอยู่บนฐานแห่งความงาม ความงามในศิลปะนั้นคือความจริง (จิตร ๒๕๔๑; 31) ศิลปะต้องเกิดจากความรู้สึกปรารถนาภายใน (Inner need) มิใช่ความเย้ายวนจากภายนอก (External inducement)

     แต่ “ความจริง” โดยพิจารณาตาม “ภววิสัย” (Objectively) คือความจริงตามที่มันเป็นอยู่จริงโดยตัวของมันเอง (Objective reality or reality by itself) “ความจริง” เคยเป็นที่มาของศิลปะหลายสาย จากภาพเหมือนใบหน้าคนในศตวรรษหนึ่ง มาสู่ภาพเหมือนในธรรมชาติ มาสู่ความเหมือนจริงแบบอุดมคติแล้วกลับมาสู่ความเหมือนจริงสองประการในเวลาเดียวกัน คือ ความเหมือนจริงอย่างที่ตาเห็น กับเรื่องเหตุการณ์จริง (Gustave Courbet เรียกความจริงชนิดนี้ว่า Le Realisme ในปี ค.ศ.1855) จนถึงความเหมือนจริงที่เป็นส่วนตัวกว่าคือ Die Neue Sachilchkeit  เล่าถึงความจริงในชีวิตประจำวัน เช่น งานจิตรกรรมของ Edward Hopper (ทัศนศิลป  ๒๕๔๒)

     ภาพคน ทิวทัศน์แบบ อิมเพรสชันนิสม์  หรือสิ่งแวดล้อมแบบ เอ็กเพรสชันนิสม์ ล้วนคลี่คลายไปจากความจริงทั้งสิ้น สะท้อนแสงสีจริงในธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลา แม้กระทั่งศิลปะเหนือจริงอย่าง เซอร์เรียลิสม์ ก็ยังคงความเป็นจริงตามจิตใต้สำนึก  หากเราใช้ความคิดอย่างกลไก อย่างคับแคบ เราก็อาจจะปฏิเสธคุณค่าของศิลปะที่ดำรงอยู่จริง แล้วล้อมกรอบให้ศิลปะกลับด้อยค่าลง  ใครที่เคยทำงานด้านศิลปะในกองทัพปลดแอกไทย ภายใต้การนำของพรรคคอมิวนิสต์ไทยหรือเคยสัมผัสกับศิลปะยุคหลังม่านไม้ไผ่ย่อมเข้าใจได้ดี

     การให้นิยามศิลปะเช่นนี้ ลึกๆแล้วก็คือการสะท้อนความคิดลัทธิเผด็จการสตาลิน-เหมา ที่นำงานศิลปะ วัฒนธรรม และสื่อทุกอย่างมารับใช้แนวการต่อสู้เพื่อประชาชาติ ตีกรอบให้มนุษย์ปราศจากอิสรภาพทางความคิด  ยอมเบนความหมายของศิลปะอย่างที่มันดำรงอยู่ ยอมหลอกตัวเองอย่างปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในอดีต ที่นำเอาข้อความในคติพจน์เหมาเจ๋อตงมาใส่ทำนองแล้วกลายเป็นศิลปะดนตรีที่ “ไพเราะ” ทำให้ภาพของนักรบปฏิวัติตามอย่างจีนกลายต้นแบบศิลปะที่ “น่ายกย่อง”  และสร้างรูปปั้นต่างๆที่มีคนอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนชูมือชูไม้ออกมามากมาย ในทำนองเดียวกับภาพวาด  แล้วเทิดทูนว่า เป็นศิลปะ “ชั้นยอด”

     คุณค่าศิลปะจากความอุตสาหะของศิลปินในอดีตจึงถูกมองอย่างด้อยค่าในสายตาผู้แอบอ้างเป็นมาร์คซิสต์  ทั้งๆที่ศิลปะมีคุณค่าในตัวเอง นครวัด นครธม ทัชมาฮัล พระบรมมหาราชวัง   ภาพของเรมบรานท์ ของแวนโก๊ะ รูปปั้นฝีมือไมเคิล แองเจโล ไม่ใช่ศิลปะที่งดงามจริงหรือ…?     นั่นแสดงว่ากรรมกร ชาวนา ผู้ถูกขูดรีดสามารถเสพคุณค่างานศิลปะได้เฉพาะที่ดูหยาบๆ เรียบๆ ฟังได้เฉพาะเพลงที่แต่งง่ายๆ  ขอแต่ให้มีชีวทัศน์ โลกทัศน์อย่างท่านประธานเหมา แล้วสร้างประดิษฐกรรมอะไรขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้   ความคิดคับแคบ ด้านเดียวปิดกั้นตนเองในการเสพศิลปะ เช่นนี้แหละที่จำกัดให้งานศิลปะของฝ่ายซ้ายไม่สามารถงอกงามได้ ยิ่งกว่านั้นการเน้นความง่ายและความชัด เป็นการไหลไปตามแนวคิดของชนชั้นปกครองโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นการมองว่าคนธรรมดาโง่และขาดปัญญาที่จะเสพ “ของสูง”             

ภารกิจของศิลปินก้าวหน้า

การที่จิตรเสนอว่าศิลปินก้าวหน้าต้องคำนึงถึงภารกิจของตนเองที่มีต่อสังคม  เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแสวงหาบทบาทของตนเองในการปฏิวัติสังคมนิยม แต่บางครั้งจิตรเรียกร้องการทำงานของศิลปินที่ขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพและความสร้างสรรค์ตามความหมายของสังคมนิยม  โดยตั้งกรอบจริยธรรมคล้ายๆ แนวลัทธิศาสนา ตามหลักวิธีคิดแบบลัทธิเหมา ที่ทำให้มนุษย์ต้องเป็นมนุษย์พิเศษ ไม่มีคำว่า “ส่วนตัว” มีแต่ส่วนรวม (ยังดี ๒๕๓๕; 121) แล้วในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้  กลายมาเป็นข้อเข้มงวดกัน กลายเป็นวัฒนธรรมการจับผิด อย่างที่ในกองทัพปลดแอกของไทยเคยปฏิบัติมา จิตรกล่าวว่า “เรามองเห็นศิลปินที่ไม่ยอมรับรู้ในผลสะท้อนที่ศิลปะมีต่อชีวิตนั้น เลวทรามเสียยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก ศิลปินที่สักแต่สร้างศิลปะออกมาโดยถือเอาความพึงพอใจของตนเป็นใหญ่ หรือโดยถือเอาการค้าขายหรือเงินตราเป็นใหญ่ โดยไม่ยอมรับผิดชอบต่อผลสะท้อนที่มันจะมีต่อมวลประชาชนก็คือสัตว์ที่เลวทรามที่สุดในสายตาของเรา!” (จิตร ๒๕๔๑; 179) ในเรื่องเงินตราเราคงไม่เถียงกับจิตร แต่การปฏิเสธความสำคัญของ “ส่วนตัว” ในงานศิลปะอาจคับแคบเกินไป เพราะจุดเริ่มต้นของงานศิลปะมักจะมาจากประสบการณ์หรือความรู้สึกส่วนตัวภายในเสมอ ดังนั้นภารกิจของศิลปินก้าวหน้าน่าจะเป็นการขยายประสบการณ์ส่วนตัวที่ทุกคนมี เพื่อแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ของมนุษย์แต่ละคนมีส่วนคล้ายกันตรงไหนเพราะอะไร คือเราไม่โดดเดี่ยวในสังคม และปัญหาหรือความรู้สึกของเราเป็นปัญหาหรือความรู้สึกที่มาจากสภาพสังคม

     ภารกิจโดยทั่วไปขั้นพื้นฐานของศิลปินฝ่ายประชาชนในมุมมอง จิตร ก็คือ “สร้างสถานที่ในประวัติศาสตร์แห่งศิลปะให้แก่ประชาชน”  บุกเบิกและแหวกช่องเพื่อสร้างสถานที่ให้แก่ประชาชนปรากกฏเด่นขึ้นมาในประวัติศาสตร์แห่งศิลปะ …ศิลปะและวรรณคดีในยุคก่อน ๆ นั้น วนเวียนอยู่แต่เพียงการฉายสะท้อนภาพชีวิตหรือความคิดฝันของชนชั้นผู้ขูดรีด  ที่ถือว่าเป็นวรรณคดีเอกของชาติ ล้วนเป็นหนังสือที่ฉายสะท้อนภาพชีวิตของเจ้าขุนมูลนายในราชสำนัก ภาพของประชาชนทั้งมวลมิได้ปรากฏขึ้นในวรรณคดีเหล่านั้นเลย  (จิตร ๒๕๔๑; 192-193)

     จิตรเรียกร้องผู้สร้างงานศิลปะว่า “เพื่อที่จะสร้างสรรค์ยุคสมัยของประชาชนที่แท้จริง ศิลปินมีหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องศึกษา ‘คุณค่าของประชาชน’ อย่างใกล้ชิด แล้วสะท้อนถ่ายออกมาแสดงแก่ตาของ (1) ศัตรูของประชาชน เพื่อให้เขาได้ตระหนักชัดถึงคุณค่าแห่งความเป็นคนและคุณค่าแห่งการทำงานของประชาชนที่เขาเคยดูถูกเหยียบย่ำ (2) ประชาชน เพื่อที่จะได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นตระหนักในคุณค่าของตนเอง และเกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นในอันที่จะต่อสู้เพื่อสร้างสรรค์โลกใหม่ที่เขาต้องการ”  (จิตร ๒๕๔๑; 208-209)  และ “ศิลปินจึงจำเป็นต้องชี้ชัดถึงลักษณะอันอัปลักษณ์ของชีวิตที่เป็นอยู่จริงที่มาของความอัปลักษณ์แห่งชีวิตวิธีแก้ไขเปลี่ยนแปลงความอัปลักษณ์แห่งชีวิตให้กลายกลับเป็นความดีงามตัวอย่างอันเจิดจ้าของความดีงามใหม่แห่งชีวิตที่จะมาถึง”  สรุปก็คือในทัศนะของจิตรภูมิศักดิ์เป้าหมายอันสำคัญยิ่งของศิลปะคือการสร้างความเจริญวัฒนาแก่ชีวิตและสังคม ศิลปะจึงต้องมีบทบาทขจัดแนวคิดที่ล้าหลัง และสร้างแนวคิดก้าวหน้า ศิลปินจำต้องมีสำนึกทางชนชั้น แสดงคุณค่าของประชาชนด้วยทัศนะอันถูกต้อง ศิลปะจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะผนึกกำลังสามัคคีของ “ฝ่ายประชาชน” ทั้งมวลเข้าด้วยกัน (จิตร ๒๕๔๑; 230) 

     เราคงไม่เถียงกับจิตรว่าศิลปินก้าวหน้าควรเข้าใจการเมืองของผู้ถูกกดขี่ แต่ “ประชาชน” ที่จิตรพูดถึงคือใคร? ถ้าตามแนวสตาลิน-เหมา “ประชาชน” คือกรรมาชีพ ชาวนาย่อย ชาวนาใหญ่ นายทุนน้อยและนายทุนชาติที่รักชาติ การกล่าวอ้างถึงประชาชนอย่างคลุมเครือเป็นที่มาของความสับสนในเวลาต่อมาเพราะมีเป้าหมายในการสร้างแนวร่วมประชาชาติ ที่ประกอบขึ้นจากหลายชนชั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ไม่ยุติเพราะในหมู่ชนชั้นต่างๆ ที่ถือว่าเป็นประชาชนน่าจะมีความขัดแย้งทางชนชั้นหนักพอสมควร ( ใจ ๒๕๔๐; 80 และ ก.ป.ร. “วิธีสร้างพรรคกรรมาชีพของเลนิน”; 14)

มุมมองมาร์คซิสต์ต่อศีลปะที่แตกต่างจากการวิเคราะห์ของจิตร

ในยุคของการปฏิวัติรัสเซีย 1917 ตรอทสกี เคยวิจารณ์ข้อเสนอของพวกศิลปินซ้ายจัดในกลุ่ม Proletcult “กลุ่มวัฒนธรรมกรรมาชีพ” ที่ต้องการสร้างงาน “ศีลปะของชนชั้นกรรมาชีพแบบบริสุทธิ์” ศิลปินกลุ่มนี้เคยโจมตีภาพวาดของ Cezanne และ Picasso ว่าเป็นศิลปินที่รับใช้นายทุน

     ตรอทสกี แย้งว่า Proletcult ไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและชนชั้นตามประวัติศาสตร์ เพราะในสังคมชนชั้น เช่นทุนนิยม กระแสความคิดหลักย่อมมาจากชนชั้นปกครอง ดังนั้นศีลปะของสังคมทุนนิยมย่อมเป็นศีลปะของชนชั้นนายทุน ซึ่งไม่ได้เป็นการพิพากษาว่างามหรือไม่งาม ปัญหาคือในระบบทุนนิยมศิลปินที่ก้าวหน้าไม่สามารถปลีกตัวออกจากระบบที่ดำรงอยู่ได้ จำเป็นต้องเลี้ยงชีพ ไม่ต่างจากกรรมาชีพอื่นๆ ดังนั้นเขาคงต้องผลิตศีลปะแบบทุนนิยมอยู่ดี และแม้แต่ศิลปะกบฏที่เกิดในระบบทุนนิยมก็ถือว่าเป็นผลของทุนนิยมได้ ตรอทสกีอธิบายว่าในระยะยาวหลังจากการปฏิวัติสังคมนิยม ชนชั้นกรรมาชีพจะขึ้นมามีอำนาจ แต่การขึ้นมามีอำนาจครั้งนี้ก็เพื่อจะล้มล้างระบบชนชั้นทั้งหมดและสลายชนชั้นตนเองไปด้วย ดังนั้นในระบบสังคมนิยมศีลปะย่อมไม่เป็นของชนชั้นใดอีกต่อไปเพราะมีการสลายระบบชนชั้น (Trotsky 2001; 83)

     ในงานเขียนเกี่ยวกับศีลปะและวัฒนธรรม ตรอทสกี อธิบายว่า “มุมมองมาร์คซิสต์ต่อความสัมพันธ์ระหว่างศีลปะกับสังคมและคุณประโยชน์ของศีลปะ ไม่ได้อยู่ในกรอบแคบของการออกคำประกาศหรือคำสั่ง เราปฏิเสธข้อเสนอที่ว่าเราต้องถือว่าศีลปะปฏิวัติใหม่ควรมีแต่เนื้อหาเกี่ยวกับกรรมาชีพเท่านั้น มันเป็นเรื่องไร้สาระอย่างยิ่งที่จะพูดว่าเราเรียกร้องให้นักประพันธ์กล่าวถึงปล่องควันโรงงานหรือการลุกขึ้นสู้กับทุนนิยม ถึงแม้ว่าศีลปะใหม่จะต้องนำการต่อสู้ของกรรมาชีพมาเป็นหัวใจของขบวนการอย่างแน่นอน แต่ทิศทางการไถนาของขบวนการศีลปะแบบใหม่ไม่ได้กำหนดอย่างตายตัวกลไกเหมือนการระบายสีตามหมายเลข ตรงกันข้าม ขบวนการใหม่จะต้องไถนานี้ทั้งแปลงในหลากหลายทิศทาง ประเด็นส่วนตัว ไม่ว่าจะลงรายละเอียดปลีกย่อยแค่ไหน มีสิทธิอย่างสมบูรณ์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของศีลปะใหม่ดังกล่าว”  (Harrison & Wood 2003; 445)

     ในยุคเดียวกัน เลนิน เคยเสนอมติในสภาโซเวียตเกี่ยวกับมุมมองระยะสั้นต่อวรรณคดีและศีลปะที่มีใจความว่า “ลัทธิมาร์คซ์มีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการเป็นลัทธิของชนชั้นกรรมาชีพผู้ปฏิวัติสังคม ทั้งนี้เนื่องจากลัทธิมาร์คซ์ไม่ยอมปฏิเสธส่วนของผลงานชนชั้นนายทุนที่มีประโยชน์ ตรงกันข้าม ลัทธิมาร์คซ์สามารถกลืนและดัดแปลงผลงานทางปัญญาและวัฒนธรรมของมนุษย์ในรอบสองพันปีที่ผ่านมาที่ถือว่ามีคุณค่า การทำงานของเราในช่วงท้ายของการต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีดทุกชนิดจะต้องเป็นการพัฒนาและสารต่อในทิศทางนี้เพื่อสร้างวัฒนธรรมอันแท้จริงของชนชั้นกรรมาชีพ โดยเราจะได้รับแรงบันดาลใจจากพลังการปฏิวัติของกรรมาชีพ”  มตินี้ ซึ่งเสนอในปีวันที่ 8 ตุลาคม 1920 มีจุดมุ่งหมายเพื่อโจมตีความคับแคบของกลุ่ม Proletcult (Harrison & Wood 2003; 402)

     ต่อมาในยุคของเผด็จการสตาลิน สตาลินได้นำคำขวัญเดิมๆ ของศิลปิน Proletcult มาใช้เพื่อให้ดูดีว่ายังยึดถือแนวต่อสู้ทางชนชั้นอยู่ แต่ในความเป็นจริงเป็นการใช้ในลักษณะที่ปราศจากเนื้อหาเดิม เพราะในขณะที่สตาลินเอ่ยถึงศีลปะของชนชั้นกรรมาชีพ และมีการปิดพิพิธภัณฑ์ที่แสดงรูปภาพของ Van Gogh, Matisse และ Picasso ก็มีการสลายการรวมตัวกันอย่างอิสระของศิลปินเพื่อจัดตั้งสหพันธ์ศิลปินของรัฐบาลขึ้นในปี 1932 และอดีตศิลปิน Proletcult หลายคนก็ถูกลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ นานา เช่นการสร้างอุปสรรค์ในการเลี้ยงชีพเป็นต้น (Harrison & Wood 2003; 403-417, 672)

     ดีเอโก ริเวรา (Diego Rivera) ศิลปินมาร์คซิสต์จากเมกซิโกที่สร้างผลงานภาพวาดบนฝาผนังที่มีชื่อเสียง เสนอในงานเขียน The Revolutionary Spirit in Modern Art เมื่อปี 1932 ว่า “เนื่องจากชนชั้นกรรมาชีพจำเป็นต้องมีศีลปะ ชนชั้นกรรมาชีพจะต้องยึดศีลปะมาเป็นอาวุธในการต่อสู้ทางชนชั้นโดยต้องต่อสู้ในสองแนวพร้อมกันคือ (1)ต่อสู้กับผลผลิตของนายทุนที่ผลิตภายใต้เงื่อนไขนายทุน และ (2)สู้เพื่อผลิตศีลปะของกรรมาชีพเอง ในกระบวนการนี้ชนชั้นกรรมาชีพจำเป็นต้องใช้ความงดงามในการสร้างชีวิตที่ดีขึ้น ต้องมีการพัฒนาความละเอียดอ่อนของฝ่ายเรา พร้อมๆ กันนั้นต้องมีการรู้จักเสพสุขจากการใช้ศีลปะนายทุน เพราะชนชั้นดังกล่าวได้เปรียบเราในด้านการผลิตศิลปินที่มีฝีมือ เราไม่ควรรอให้ศิลปินนายทุนเปลี่ยนข้างมาอยู่กับเรา แต่เราต้องผลิตศิลปินของกรรมาชีพเองที่มีฝีมือเหนือกว่าศิลปินนายทุน” (Harrison & Wood 2003; 423)

 สรุปเรื่องจิตรกับศีลปะ

 หากศิลปะเป็นเพียงรูปฟอร์มที่เอาเนื้อหามาสอดใส่ตามนิยามของ จิตร ที่ให้เน้นแต่เนื้อหาที่รับใช้ประชาชน ก็เท่ากับหลอกตัวเองอย่างงมงาย สร้างวัฒนธรรม“ความเชื่อ”  แบบกลไกที่เป็นวิธีคิดตามลัทธิสตาลินมากกว่าลัทธิมาร์คซ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ละเอียดอ่อน ไม่สวยก็บอกว่าสวย ฟังไม่ได้ก็ชมว่าไพเราะ  แข็งกระด้างก็บอกว่าอ่อนโยนน่าประทับใจ ลามปามไปถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของนักปฏิวัติสายสตาลินที่ปฏิเสธกระทั่งอารมณ์ ความรู้สึก หลอกตัวเองให้เป็นบุคคลพิเศษ เป็นหุ่นยนต์บ้าง เป็นนักบวชบ้าง แต่เรื่องไม่ควรหยุดอยู่แค่นี้ เพราะนอกจากแนวคิดสายสตาลินจะมีความคัดแย้งระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติที่นำไปสู่ความกลไกดังกล่าวแล้ว แนวคิดสตาลินมีความคัดแย้งอีกรูปแบบหนึ่งดำรงอยู่พร้อมกัน ในมือหรือสมองของนักปฏิวัติทั่วโลกอย่างเช่น จิตร แนวคิดสตาลินไม่ใช่เครื่องมือของผู้ปกครองรัสเซียหรือจีนอย่างเดียว จิตร เองคงไม่ได้เจตนาที่จะใช้แนวคิดนี้เพื่อกดขี่สังคมไทย ตรงกันข้ามผู้เข้าร่วมการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอุดมการณ์เพื่อสังคมที่เสรีและเป็นธรรม ปัญหาคือชุดความคิดที่ตนนำมาใช้ ดังนั้นแนวคิดเรื่องศีลปะของจิตรจะสะท้อนทั้งความกลไกของแนวสตาลินที่มีต่อศีลปะและความพยายามใจบริสุทธิ์ที่จะนำศีลปะมารับใช้มวลชนด้วย

หนังสืออ้างอิง

กลุ่มประชาธิปไตยแรงงาน (กปร.) “วิธีสร้างพรรคกรรมาชีพของเลนิน” 

จิตร ภูมิศักดิ์ (๒๕๔๑) “ศิลปะเพื่อชีวิต  ศิลปะเพื่อประชาชน” พิมพ์ครั้งที่ 8 สำนักพิมพ์ศรีปัญญา กรุงเทพฯ

ใจ  อึ้งภากรณ์  (๒๕๔๐)  “สังคมนิยมและทุนนิยมในโลกปัจจุบัน”  ชมรมหนังสือ  ประชาธิปไตยแรงาน  กรุงเทพฯ

ทัศนศิลป (๒๕๔๒) จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 กรกฎาคม

แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย หนังสือ “สร้างสานตำนานศิลป์ ๒๐ ปี ๒๕๑๗-๒๕๓๗ “

ยังดี  วจีจันทร์ (๒๕๓๕) “อยากให้คุณเป็นผู้แพ้” บริษัท ต้นอ้อ จำกัด

สัญชัย สุวังบุตร (๒๕๔๕) “ประวัติศาสตร์โซเวียตสมัยเลนิน 1917-1924” ศักดิโสภาการพิมพ์

Harrison, Charles & Wood, Paul (2003) Art in Theory 1900-2000. An anthology of changes in ideas. Blackwell Publishers, Oxford.

Molyneux, J. (1998) The Legitimacy of modern art.. International Socialism Journal # 80 (SWP-UK), pp71-101.

Molyneux, J. (2020) The Dialectics of Art. Haymarket Books, Chicago IL.

Trotsky, L. (2001) Art and Revolution. Pathfinder Press, U.S.A.

Squid Game ท้าทายสภาพสังคมทุนนิยม

เมื่อไม่นานมานี้รองโฆษกตำรวจหน้าโง่ออกมาเตือนประชาชนว่าซีรีส์ Squid Game “มีพฤติกรรมรุนแรง แก่งแย่งกันเอาตัวรอด อาจเกิดการเลียนแบบ”!! ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตำรวจคนนี้ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ แต่ยิ่งกว่านั้น ถ้าประชาชนไทยเกิดออกมาแก่งแย่งกันเพื่อเอาตัวรอด มันก็ต้องเป็นความผิดของรัฐบาลเผด็จการประยุทธ์ที่ตำรวจคอยปกป้องทุกวันด้วยความรุนแรงอีกด้วย

มันมีฉากหนึ่งใน Squid Game ที่บ่งบอกที่มาที่ไปของความคิดผู้แต่ง ฉากนั้นคือตำรวจปราบฝูงชนเกาหลีใต้กำลังใช้ความรุนแรงกับคนงานโรงงานรถยนต์ที่นัดหยุดงาน โรงงานนั้นไม่ได้จ่ายค่าแรงให้กับคนงาน เขาจึงออกมาประท้วง และเพื่อนของตัวเอกในซีรีส์ก็โดนตำรวจตีจนตาย คนเขียนเรื่องนี้อยู่ข้างกรรมาชีพผู้ที่โดนตำรวจกระทำอย่างแน่นอน

ในหลายภาคหลายตอนของเรื่อง มีการสร้างเรื่องที่เปิดโปงความขัดแย้งในความคิดมนุษย์ระหว่าง “ความสมานฉันท์” กับการ “เอาตัวรอดแบบเห็นแก่ตัวของปัจเจก” และตัวละครจะต้องคิดหนักเรื่องนี้ทุกครั้ง มันน่าจะเป็นคำถามหลักสำหรับเราทุกคนในโลกจริงด้วย

มีฉากหนึ่งที่เสียดสีระบบการเลือกตั้งในประชาธิปไตยทุนนิยม ตัวละครกำลังจะลงคะแนนว่าจะเลิกเล่นหรือไม่ คนที่มีอำนาจในSquid Game ขู่คนที่ทะเลาะกันว่าผู้คุมจะไม่ยอมให้มีการใช้กำลังโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อโน้มน้าวให้ใครลงคะแนนในทางใด เสร็จแล้วผู้มีอำนาจก็เอาเงินก้อนใหญ่มาล่อให้คนเล่นเกมต่อไปโดยหวังจะซื้อเสียง

ตลอดทั้งเรื่องผู้มีอนาจจะพูดเสมอว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน” ทั้งๆ ที่ไม่มีความจริงเลย คือแต่ละคนที่เล่นเกมจะมีศักยภาพต่างกัน และแน่นอนคนเล่นกับผู้มีอำนาจและ “ตำรวจ” ของเขา มีอำนาจเหนือคนเล่นเสมอ

บ่อยครั้งผู้มีอำนาจจะพูดว่า “ทุกคนที่เข้าร่วมเล่น เลือกจะเล่นโดยสมัครใจ” ซึ่งไม่ต่างจากพวกที่มักพูดว่าในระบบทุนนิยมไม่มีใครถูกบังคับให้ทำงานในสถานที่ต่างๆ หรือที่มีการพูดกันว่า “ทุนนิยมทำให้ทุกคนมีเสรีภาพมีสิทธิ์เท่ากัน” ซึ่งนักสังคมนิยมจะโต้ตอบว่า “ใช่!! เสรีภาพที่จะอดอยากถ้าไม่มีงานทำ เสรีภาพที่จะนอนใต้สะพานลอยถ้าโชคร้ายไม่มีที่อยู่อาศัย”

Squid Games คือซีรีส์ที่วิจารณ์สังคมทุนนิยมอย่างแหลมคม ถ้าดูภาพรวมของเรื่อง จะเห็นว่าเศรษฐีร่ำรวยที่สุดของโลก ที่มองว่าตัวเขาเองมีสิทธิ์เหนือมนุษย์ผู้อื่นเสมอ ได้มารวมตัวกันเพื่อชมคนยากจนฆ่ากันเองเพื่อเอาตัวรอด นี่คือ “ความสนุก” ของพวกปรสิตเหล่านั้น และในฉากหนึ่งคนรวยคนหนึ่งอธิบายว่า “เศรษฐีกับคนยากจนเหมือนกันตรงที่เบื่อหน่ายกับชีวิต” แต่ในโลกแห่งความจริงความเบื่อหน่ายของคนจนมาจากการถูกทอดทิ้งหรือการที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ต่างจากคนรวยดุจฟ้ากับดิน

คนที่เป็นตัวละครในเกม ล้วนแต่เป็นคนชั้นล่างที่ตกยาก มีแรงงานข้ามชาติจากปากีสถาน มีผู้ลี้ภัยจากเกาหลีเหนือ มีสาวที่ถูกพ่อละเมิด มีคนที่ติดการพนัน มีโจรอันธพาล ฯลฯ และบ่อยครั้งคำถามว่าจะสมานฉันท์กันหรือแก่งแย่งกันก็ปรากฏขึ้น

เวลาผู้เขียนดูเรื่องนี้จะนึกถึงสหายสังคมนิยมคนหนึ่งที่เคยทำงานทในโรงงานเหล็ก เขาจะมีจุดยืนต่อต้านหวยหรือลอตเตอรี่อย่างชัดเจน เพราะเป็นการหลอกกรรมาชีพคนจนด้วยความฝันฝันลมๆแล้งๆ Squid Game ที่เล่นเพื่อก้อนเงินใหญ่ก็ไม่ต่าง

เรื่องนี้เป็นการวิจารณ์ความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง และความโหดร้ายของทุนนิยมแน่นอน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือทางออกในการแก้ไขสถานการณ์ ซีรีส์นี้ไม่มีทางออก แต่ในโลกทุนนิยมจริงทางออกมีเสมอ เพราะกรรมาชีพทำงานในหัวใจของระบบเศรษฐกิจ ถ้าเลือกที่จะรวมตัวกันลุกขึ้นสู้ เราสามารถเอาชนะนายทุนและปรสิตต่างๆ ได้ และบ่อยครั้งก็มีการต่อสู้เกิดจริง ถึงแม้ว่าฝ่ายเรายังไม่ได้ชัยชนะในการโค่นระบบ แต่สักวันหนึ่งประชาชนจะเป็นใหญ่ในโลก!!

ใจ อึ๊งภากรณ์