ในไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการประชุมนานาชาติ COP26 ที่เมือง Glasgow ประเทศสก็อตแลนด์ แต่เราจะไปคาดหวังอะไรไม่ได้เลยจากการประชุมของผู้แทนชนชั้นปกครองโลกในระบบทุนนิยม เพราะผู้ที่มีอำนาจทั้งหลาย รวมถึงรัฐบาลเผด็จการไทย เน้นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่และชนชั้นตนเองเหนือความอยู่ดีกินดีของพลเมืองโลก นี่คือสาเหตุที่มวลชนในประเทศอังกฤษจะออกมาประท้วงเป็นจำนวนมาก รอบๆ ห้องประชุมCOP26 และที่ลอนดอน
ชื่อของการประชุมสหประชาชาติ COP26 บ่งบอกถึงความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของการประชุมดังกล่าว เพราะประชุมกันมา 26 ครั้งแต่ไม่แก้ปัญหาโลกร้อนเลย ซึ่งเราเห็นชัดในรูปแบบไฟไหม้ป่า น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก
องค์กร IPCC ซึ่งเป็นคณะกรรมการระหว่างประเทศระดับโลก ได้ประกาศว่าปีนี้วิกฤตโลกร้อนถึงขั้นสูงสุด “ไฟแดง” เพราะในปี 2020 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2)ในบรรยากาศโลกสูงถึง 417 ppm (ppm CO2 คือหน่วย ต่อหนึ่งล้านหน่วยของบรรยากาศ) ซึ่งในประวัติศาสตร์โลกครั้งสุดท้ายที่สูงถึงขนาดนี้คือเมื่อ 3 ล้านปีมาก่อน
ปัญหาโลกร้อนเกิดจากการสะสมก๊าซในบรรยากาศโลกประเภทที่ปิดบังไม่ให้แสงอาทิตย์ถูกสะท้อนกลับออกจากโลกได้ (ก๊าซเรือนกระจก) ความร้อนจึงสะสมมากขึ้น ก๊าซหลักที่เป็นปัญหาคือคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2) แต่มีก๊าซอื่นๆ ด้วยที่สร้างปัญหา นักวิทยาศาสตร์คาดว่าก่อนที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในโลก ปริมาณ CO2 ในบรรยากาศมีประมาณ 280 ppm
ทั้งๆ ที่มีการประชุม COP มาเรื่อยๆ และทั้งๆ ที่รัฐบาลต่างๆ สัญญาแบบลมๆ แล้งๆ ว่าจะลดการผลิตก๊าซCO2 ทุกปี แต่ทุกปีการผลิตก๊าซนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกพวกรัฐบาลและกลุ่มทุนพยายามปฏิเสธปัญหาทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ต่อมาก็มีการแย่งกันโทษประเทศอื่นๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของตน และล่าสุดก็มีการโกหกกันว่าจะใช้กลไกตลาดเสรีกับเทคโนโลจีใหม่ในการแก้ปัญหา ซึ่งทำไม่ได้
การที่โลกร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายและระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น จนท่วมเกาะและพื้นที่ที่อยู่ต่ำ ทำให้ระบบภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าใจหาย ซึ่งจะมีผลกระทบกับระบบเกษตรและวิถีชีวิตของคนที่ยากจนที่สุดในโลก รวมถึงไทยด้วย คาดว่าถ้าไม่มีการแก้ปัญหาจะมีผู้ลี้ภัยภูมิอากาศหลายล้านคน
พวกกลุ่มทุนและรัฐบาลในโลกทุนนิยมโกหกว่าสามารถแก้ปัญหาด้วยการซื้อขาย “สิทธิ์” ที่จะผลิต CO2 หรือ “แลก” การปลูกต้นไม้กับ “สิทธิ์” ที่จะผลิต CO2 บางกลุ่มก็โกหกว่าจะใช้เทคโนโลจีเพื่อดูดCO2 ออกจากบรรยากาศ ซึ่งเทคโนโลจีแบบนั้นที่จะมีผลจริงในระดับโลกยังไม่มี นอกจากนี้มีการพูดว่าจะประกาศเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ จะ “ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นสูญ” ซึ่งเป็นการโกหกเพื่อให้สามารถผลิตCO2 ต่อไป โดยอ้างว่าไปคานกับมาตรการอื่นที่ไม่มีประสิทธิภาพจริง การโกหกทุกคำ พูดไปเพื่อชะลอการลดใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนอันเป็นที่มาของกำไรมหาศาลของกลุ่มทุน
ในรอบหลายปีที่ผ่านมามีการประท้วงใหญ่ในประเทศต่างๆ ในเรื่องปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว คนจำนวนมากในปัจจุบันเริ่มหูตาสว่างมากขึ้น และเข้าใจว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับความยุติธรรมทางสังคมและผลประโยชน์ชนชั้น เพราะต้นสาเหตุของปัญหามาจากการกอบโกยกำไรโดยกลุ่มทุน และการที่รัฐบาลต่างๆ ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเหล่านี้ การแก้ปัญหาโลกร้อนคงจะมีผลกระทบกับกำไรกลุ่มทุนแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ถ่านหิน หรือการประกอบรถยนต์
ดังนั้นเราไม่สามารถแยกการเคลื่อนไหวเรื่องโลกร้อนออกจากการต่อสู้ทางชนชั้นได้ และยิ่งกว่านั้น ชนชั้นกรรมาชีพในประเทศต่างๆ มีพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถกดดันให้มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังได้ผ่านการนัดหยุดงานและยึดสถานที่ทำงาน
บางคนมักพูดว่า “เราทุกคน” ทำให้โลกร้อน ยังกับว่า “เรา” มีอำนาจในระบบทุนนิยมที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน การพูดแบบนี้เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น โยนให้พลเมืองยากจนรับผิดชอบแทนนายทุน เขาเสนอว่า “เรา” จึงต้องลดการใช้พลังงานในลักษณะส่วนตัว ในขณะที่นายทุนกอบโกยกำไรต่อไปได้ มันเป็นแนวคิดล้าหลังที่ใช้แก้ปัญหาโลกร้อนไม่ได้ เพราะไม่แตะระบบอุตสาหกรรมใหญ่ และโครงสร้างระบบคมนาคมเลย
ในไทยการที่ทหารหัวโบราณหน้าโง่มีอำนาจในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หมายความว่าประเทศไทยกำลังสวนทางกับประเทศอื่นๆ หลายประเทศทั่วโลก ที่มีนโยบายพลังงานที่ก้าวหน้ากว่า เพราะใครๆ ที่มีสติปัญญายอมรับมานานแล้วว่า การเผาเชื้อเพลิงคอร์บอน โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน
ในเรื่องโลกร้อน ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ) และรัฐบาล ไม่เคยออกมาพูดอะไรที่มีสาระเลย ดังนั้นมันเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่รักประชาธิปไตยที่จะต้องพูดให้ดังที่สุด
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแสงแดด รัฐบาลไหนที่ก้าวหน้าและต้องการพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลจีของสังคม น่าจะเร่งรีบจัดโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติ เพื่อพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดทั่วประเทศ และเริ่มทยอยปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ประเทศจีนและสเปนตอนนี้กำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลจีเพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดอย่างน่าทึ่ง และค่าผลิตไฟจากแสงแดดในไทยจะลดลงอย่างต่อเนื่องถ้ามีโครงการขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ไฟฟ้าจากแสงแดดสามารถใช้แทนก๊าซในบ้านเรือนได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นค่าผลิตไฟฟ้าในระบบทุนนิยมปัจจุบัน ไม่เคยคำนึงถึง “ราคา” ที่ต้องจ่ายเมื่อมนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทำให้โลกร้อนขึ้น ประเด็นนี้นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่สมัย คาร์ล มาร์คซ์ เข้าใจดี
อย่างไรก็ตามพวกหัวทึบถือปืนที่กำลังคุมกะลาแลนด์ในยุคนี้ เลือกจะไม่สนใจการพัฒนาเทคโนโลจีในสังคม แถมยังแอบรักพลังงานนิวเคลียร์อีกด้วย พลังงานนิวเคลียร์นอกจากจะแพง ทำลายสิ่งแวดล้อม และอันตรายอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังเป็นเส้นทางที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย นี่คือสาเหตุที่พวกทหารชอบมัน
กองทัพของประเทศต่างๆ มีส่วนสำคัญในการผลิตก๊าซ คาร์บอนไดออคไซท์ จากการใช้รถถัง เครื่องบิน และเรือรบ องค์กรที่ผลิต CO2 มากที่สุดในโลกคือกองทัพสหรัฐ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องกำจัดทหารออกจากสังคมไทย และลดงบประมาณทหารอย่างถอนรากถอนโคน
ในความเป็นจริงเราสามารถลดการผลิต CO2 และก๊าซเรือนกระจกได้อย่างจริงจัง ด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม คือ
- หยุดใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน คือ ก๊าซ ฟืน กับ ถ่านหิน ในการผลิตไฟฟ้าและหันมาใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์กับลมแทน
- พัฒนาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถไฟกับรถเมล์ ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงแดดกับลม และยกเลิกการใช้รถยนต์ส่วนตัว และลดการใช้เครื่องบิน
- ยกเลิกระบบเกษตรแบบอุตสาหกรรม
- สร้างงานจำนวนมาก ที่ช่วยลดการผลิตก๊าซเรือนกระจก ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าแบบใหม่ ด้วยการลดความร้อนหรือความเย็นของตึกต่างๆ และด้วยการสร้างรถไฟไฟฟ้าความเร็วสูงกับรถเมล์ไฟฟ้า แต่เราไว้ใจบริษัทเอกชนไม่ได้ ต้องเป็นกิจกรรมของภาครัฐภายใต้การควบคุมของประชาชน
- ใช้งบประมาณรัฐในการเปลี่ยนระบบพลังงานในครัวเรือนและในการส่งเสริมการขนส่งมวลชน โดยตัดงบประมาณทหารและคนชั้นสูง และเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย
แต่ทั้งหมดนี้ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและรัฐบาลต่างๆ ในระบบทุนนิยม ซึ่งแสดงให้เห็นเหตุผลว่าทำไมการประชุม COP ล้มเหลวทุกครั้งโดยสิ้นเชิง
ข้อสรุปสำคัญคือการแก้ปัญหาโลกร้อนแก้ไม่ได้ภายใต้ระบบทุนนิยม และแก้ไม่ได้ภายใต้เผด็จการทหาร ดังนั้นต้องมีการล้มระบบเพื่อปกป้องโลกและคนรุ่นต่อไป
จะเห็นว่าเราต้องปฏิวัติสังคมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องรอให้มีกระแสปฏิวัติก่อนที่จะทำอะไรได้ ในช่วงนี้เราต้องรณรงค์ ผ่านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและพรรคการเมืองก้าวหน้า เพื่อให้มีการเลิกผลิต CO2 และเลิกใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนทุกชนิด ต้องมีการใช้พลังงานทางเลือก และส่งเสริมการขนส่งมวลชน และต้องมีการประหยัดพลังงาน แต่อย่าไปหวังว่าตามลำพังผู้นำไทยหรือผู้นำโลกจะทำในสิ่งเหล่านี้เลย
ใจ อึ๊งภากรณ์
อ่านเพิ่ม
สิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F