ใจ อึ๊งภากรณ์
การเคลื่อนไหวด้วยความกล้าหาญของนักศึกษาและคนหนุ่มสาวใน “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” และ “กลุ่มดาวดิน” เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยิ่ง และเป็นการปกป้องเจตนารมณ์ของขบวนการประชาธิปไตยท่ามกลางยุคมืดแห่งเผด็จการ
ในการเคลื่อนไหวล่าสุดมีการเรียกร้องต่อพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยว่า “เราเข้าใจดีว่าท่านอาจจะยังไม่มีความพร้อมที่จะออกมาต่อสู้อย่างเปิดเผย เราเข้าใจดีว่าท่านอาจมีความกลัวอยู่ภายในจิตใจ เราทั้งหลายต่างก็มี แต่ท่านจะเพิกเฉยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะการที่พวกท่านเพิกเฉยต่ออำนาจที่มิชอบของรัฐบาลเผด็จการก็เท่ากับท่านได้ให้ความชอบธรรมแก่พวกมันไปโดยปริยาย การต่อสู้ของพวกเราในวันนี้จะไม่มีความหมาย หากพวกท่านยังคงเพิกเฉยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น พวกท่านอาจจะไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนใดๆ ในเวลานี้ แต่เราต่างก็รู้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นตลอดไป จงอย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านจนทุกอย่างสายเกิน จนอาจไม่เหลือใครที่พร้อมจะต่อสู้ได้อีก”
นี่คือโจทย์สำคัญสำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกคน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง นักสหภาพแรงงาน และกลุ่มอื่นๆ ที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ
บทเรียนสำคัญต้องมาจากการลุกฮือของประชาชนในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เพราะการลุกฮือครั้งนั้นมาจากการที่นักเคลื่อนไหวถูกเผด็จการทหารจับคุม ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่คนหนุ่มสาว นักศึกษา คนทำงาน และประชาชนทั่วไป จนนำไปสู่การโค่นเผด็จการ ความไม่พอใจกับเผด็จการครั้งนั้นผสมกับความไม่พอใจที่สะสมมานานในเรื่องปัญหาปากท้อง เช่นค่าแรงที่ต่ำเกินไป และความอึดอัดกับสภาพสังคมที่แช่แข็งภายใต้วิถีชีวิตอนุรักษ์นิยมที่กดทับคนรุ่นใหม่
มันแปลว่าเราต้องเข้าใจสองประเด็นสำคัญคือ
- การลุกฮือที่เกิดขึ้นในช่วง ๑๔ ตุลา เกิดขึ้นได้เพราะผู้ที่ออกมาเป็นแสนท่ามกลางกรุงเทพฯ มีองค์กรและเครือข่ายที่มีชีวิตชีวาและมวลชนจริง โดยเฉพาะองค์กรนิสิตนักศึกษา และองค์กรแรงงาน และในสังคมทั่วไปเริ่มมีการจัดตั้งใหม่ทางความคิดภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ (ทั้งๆ ที่ พคท. ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา)
ประเด็นนี้แปลว่าถ้าเราจะร่วมกันสร้างกระแสการลุกฮือล้มเผด็จการแบบ ๑๔ ตุลา ซึ่งเป็นภาระจำเป็นและเร่งด่วนในปัจจุบัน แค่การเรียกร้องให้ประชาชนออกมามันไม่พอ แค่การเขียนบทความนี้ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ก็ไม่พอเช่นกัน ขบวนการประชาธิปไตยต้องขยายมวลชน ขยายองค์กร และขยายเครือข่าย ถ้าไม่ทำเช่นนั้น การต้านเผด็จการประยุทธ์จะเป็นแค่สัญญลักษณ์ และการต่อสู้เชิงสัญญลักษณ์จะไร้พลังตราบใดที่ไม่นำเป็นสู่การจุดไฟการเคลื่อนไหวของมวลชนจำนวนมาก
เมื่อพวกนายทหารเผด็จการมือเปื้อนเลือดที่ครองอำนาจเถื่อนอยู่ในปัจจุบัน เช่นประยุทธ์หรืออุดมเดช ลั่นออกมาว่า “นักศึกษาที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันมีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง” เรารู้ว่ามันโกหกเป็นสันดาน แต่ในขณะเดียวกันเราอดหวังว่าเป็นจริงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเราต้องเตือนตัวเองว่าน่าเสียดายที่ไม่เป็นจริง
- การเคลื่อนไหวแบบแยกส่วนประเด็นปัญหาเดียว ซึ่งเป็นจุดที่สร้างความอ่อนแอกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในไทยมานาน จะไม่นำไปสู่การล้มเผด็จการแต่อย่างใด ในหมู่องค์กรเอ็นจีโอไทยและคนที่เคยเรียกตนเองว่า “ภาคประชาชน” หรือ “ภาคประชาสังคม” คงจะมีคนจำนวนมากที่ไม่อยากล้มเผด็จการ บางส่วนต้อนรับรัฐประหารด้วยซ้ำ แต่มันต้องมีการก้าวข้ามการเคลื่อนไหวประเด็นเดียวสักที กลุ่ม “ดาวดิน” เข้าใจตรงนี้ จึงเคลื่อนไหวในเรื่องประชาธิปไตยและปัญหาชาวบ้านพร้อมกัน แต่องค์กรอย่าง “คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย” ซึ่งเคลื่อนไหวเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ไม่ต่อต้านเผด็จการประยุทธ์อย่างชัดเจน เป็นตัวอย่างของปัญหาที่ยังสร้างอุปสรรค์ให้กับการสร้างประชาธิปไตย
โจทย์ที่ “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ตั้งกับเราทุกคน และตัวเขาเอง คือเราจะทำอย่างไรเพื่อสร้างองค์กรและเครือข่ายมวลชนที่มีพลังเพื่อล้มเผด็จการปัจจุบัน คนหนุ่มสาวเขาเริ่มแล้ว พวกเราจะเข้ามาเสริมไหม?