ใจอึ๊งภากรณ์
วิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบัน ทำให้ทฤษฏีรัฐศาสตร์ เรื่องการพัฒนาประชาธิปไตย ของพวกนักวิชาการฝ่ายขวาเป็นโมฆะ
ทฤษฏีแรกคือเรื่อง “ประชาสังคม” แนวคิดนี้เคยฮิตกันหลังสงครามเย็น และมีการเสนอว่าประชาธิปไตยพัฒนาได้เมื่อมีชนชั้นกลางและประชาสังคม คำว่า “ประชาสังคม” สำหรับนักวิชาการเหล่านี้ หมายถึงกลุ่มคนชั้นกลาง หรือพวกที่อ้างตัวเป็นปัญญาชน และรวมถึงเอ็นจีโอด้วย ซึ่งล้วนแต่ไม่สังกัดรัฐโดยตรง แต่ทุกวันนี้เราเห็นจุดยืนของพวกนี้ ที่สนับสนุนม็อบสุเทพ สนับสนุนพันธมิตรฯเพื่อเผด็จการ และชื่นชมการทำรัฐประหารโดยทหาร
ชนชั้นกลางได้ออกมาปกป้องผลประโยชน์ตนเอง และพยายามกีดกันไม่ให้คนชั้นล่าง ไม่ว่าจะเป็นกรรมาชีพหรือเกษตรกรรายย่อย ได้ผลประโยชน์จากรัฐ หรือมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง
พวกหมอ ทนายความ และอธิการบดีต่างๆ ก็ออกมาสนับสนุนม็อบสุเทพด้วย
เราชาวมาร์คซิสต์ไม่เคยตั้งความหวังพิเศษกับชนชั้นกลาง หรือ “ประชาสังคม” แบบนี้ เพราะในอดีตชนชั้นกลางเป็นฐานสำคัญที่สนับสนุนแนวฟาสซิสต์ในยุโรป หรือเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ในไทย ในขณะเดียวกันชนชั้นกลางเป็น “กลุ่มชนชั้น” ที่กระจัดกระจาย ต่างคนต่างแข่งขันกันแบบปัจเจก และไร้อำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างจากนายทุนใหญ่หรือสหภาพแรงงาน ดังนั้นชนชั้นกลางมักตามกระแส และถ้ากระแสคนชั้นล่างมาแรง เขาก็อาจสนับสนุนประชาธิปไตยได้ แต่ตอนนี้เขาเข้าข้างอำมาตย์ สรุปแล้วชนชั้นกลางไม่มีจุดยืนทางการเมืองที่มั่นคง
สิ่งหนึ่งที่พออาจกู้จากทฤษฏีประชาสังคมได้ คือเรื่อง “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม” แต่เราคงต้องโยนทิ้งทฤษฏีว่าด้วย “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่” ที่นิยมกันจังหลังยุคสงครามเย็น เพราะเขาจะนิยาม “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่” ว่าไม่สังกัดชนชั้น และเน้นการเมืองแบบวิถีชีวิตประเด็นเดียว โดยไม่คิดยึดอำนาจรัฐ แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือขบวนการเสื้อแดง ซึ่งสังกัดชนชั้นล่างเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่หลายส่วนถูกนำในระดับชาติโดยชนชั้นอื่น และเสื้อแดงก็มีเป้าหมายในการสร้างประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐอำมาตย์
ทฤษฏีที่สองที่เราต้องโยนทิ้งคือเรื่อง “องค์กรอิสระ” ซึ่งเป็นแนวคิดของพวกเสรีนิยมทางการเมือง และแนวนี้เป็นแนวคิดฝ่ายขวาที่กำเนิดในตะวันตก พวกนี้เสนอว่าการมีประชาธิปไตย ต้องอาศัยการคานอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยองค์กรที่อิสระจากการเมืองและไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แนวคิดนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักวิชาการและเอ็นจีโอในยุคที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐
แต่ในรูปธรรมเราเห็นว่าในไทย องค์กรอิสระ ที่ “อิสระ” จากการตรวจสอบเลือกตั้งโดยประชาชน กลายเป็นองค์กรที่จำกัดประชาธิปไตย และเป็นอุสรรค์ต่อการใช้นโยบายตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ ในสหภาพยุโรป องค์กรอิสระอย่างเช่นธนาคารกลางของยุโรป ก็เข้ามากำหนดนโยบายเศรษฐกิจแทนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย และที่ทำไปก็เพื่อประโยชน์ชนชั้นนายทุน โดยโกหกว่าทำเพื่อประโยชน์ “ชาติ”
นักมาร์คซิสต์มองว่าไม่มีใครหรือองค์กรใดในสังคม ที่อิสระจากผลประโยชน์ทางชนชั้น ดังนั้นความเป็นกลางไม่มี และแท้ที่จริงสิ่งที่คานอำนาจรัฐบาลได้ คือพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภา ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และสหภาพแรงงาน ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรทางการเมืองที่ต้องถูกตรวจสอบโดยมวลชนของตนเอง
ทฤษฏีโมฆะที่สามที่ต้องโยนทิ้งคือข้อเสนอว่าประชาธิปไตยมั่นคงได้ ถ้าประชาชนมี “วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นประชาธิปไตย” และมี “สถาบันทางการเมืองที่ตั้งมานาน” แต่ในไทยเราเห็นว่าประชาชนมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ในขณะที่ชนชั้นปกครอง และสถาบันทางการเมืองของอำมาตย์ ไร้วัฒนธรรมนี้โดยสิ้นเชิง และพรรคการเมืองที่มั่นคงและเก่าแก่ที่สุด คือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่อวยเผด็จการเสมอ
ทฤษฏีโมฆะที่สี่ที่ต้องรื้อทิ้งคือแนวคิดที่เสนอว่าการพัฒนาของทุนนิยมกลไกตลาดเสรี ในลักษณะโลกาภิวัฒน์ จะช่วยกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ เป็นประชาธิปไตย แต่ในไทยและที่อื่น เราเห็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของไทย ซึ่งมีลักษณะโลกาภิวัฒน์ โดยเฉพาะกลุ่มทุนธนาคารและอุตสาหกรรมเกษตร สนุบสนุนรัฐประหารและเผด็จการตลอด และพรรคพวกของคณะทหารเถื่อน ไม่ว่าจะในปี ๔๙ หรือปี ๕๗ และไม่ว่าจะเป็นทหาร นักวิชาการอวยทหาร หรือพลเรือนในพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนแต่คลั่งนโยบายทางเศรษฐกิจที่เน้นกลไกตลาดเสรี พวก “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เหล่านี้ พร้อมจะทำลาย “30บาทรักษาทุกโรค” กดค่าแรงขั้นต่ำ คัดค้านนโยบายประกันราคาข้าว และนโยบายช่วยคนจนทั้งหลาย ในขณะที่เพิ่มงบประมาณทหารอย่างต่อเนื่อง แต่เราจะสังเกตเห็นว่าพรรคไทยรักไทยเคยใช้นโยบาย “คู่ขนาน” ที่ผสมการใช้งบประมาณรัฐแบบ “เคนส์รากหญ้า” ผสมกับแนวกลไกตลาด สรุปแล้วกลไกตลาดเสรีสุดขั้วเป็นแนวคิดที่สร้างความเหลลื่อมล้ำและไปได้สวยกับระบบเผด็จการเสมอ
สำหรับการพัฒนประชาธิปไตยในไทย เราน่าจะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เป็นเรื่องชี้ขาด คือการมีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของคนระดับล่าง เช่นขบวนการเสื้อแดง แต่การต่อสู้เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยจำต้องอาศัยการนำที่มาจากพรรคของคนชั้นล่าง ไม่ใช่พรรคของนายทุน ไม่ว่าพรรคนายทุนจะประชานิยมแค่ไหน สรุปแล้วเราต้องสามารถวิเคราะห์สังคมจากมุมมองชนชั้น และต้องเน้นพลังของมวลชนตลอด ไม่ใช่ไปหลงเชื่อว่า “ผู้รู้” ทั้งหลายที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะทหาร จะออกแบบประชาธิปไตยให้เราได้ หรือชนชั้นกลางจะขยายสิทธิเสรีภาพในสังคม
สิ่งเหล่านี้น่าจะชัดเจนมาก แต่ผมพนันได้เลยว่าในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย และในสถาบันวิชาการอย่าง “สถาบันพระปกเกล้า” จะยังมีการสอนสูตรเดิมๆ ที่ล้มเหลวไปนานแล้ว ต่อไปอีกหลายปี และเนื่องจากคนที่กล้าเถียงกับ “ผู้ใหญ่” มักจะถูกเรียกตัวไป “เปลี่ยนทัศนะคติ” โดยเผด็จการ ก็คงจะไม่ค่อยมีนักศึกษาที่ไหนที่กล้าเถียงกับแนวหอคอยงาช้างของพวกล้าหลังเหล่านี้