Tag Archives: ความเหลื่อมล้ำ

Squid Game ท้าทายสภาพสังคมทุนนิยม

เมื่อไม่นานมานี้รองโฆษกตำรวจหน้าโง่ออกมาเตือนประชาชนว่าซีรีส์ Squid Game “มีพฤติกรรมรุนแรง แก่งแย่งกันเอาตัวรอด อาจเกิดการเลียนแบบ”!! ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตำรวจคนนี้ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ แต่ยิ่งกว่านั้น ถ้าประชาชนไทยเกิดออกมาแก่งแย่งกันเพื่อเอาตัวรอด มันก็ต้องเป็นความผิดของรัฐบาลเผด็จการประยุทธ์ที่ตำรวจคอยปกป้องทุกวันด้วยความรุนแรงอีกด้วย

มันมีฉากหนึ่งใน Squid Game ที่บ่งบอกที่มาที่ไปของความคิดผู้แต่ง ฉากนั้นคือตำรวจปราบฝูงชนเกาหลีใต้กำลังใช้ความรุนแรงกับคนงานโรงงานรถยนต์ที่นัดหยุดงาน โรงงานนั้นไม่ได้จ่ายค่าแรงให้กับคนงาน เขาจึงออกมาประท้วง และเพื่อนของตัวเอกในซีรีส์ก็โดนตำรวจตีจนตาย คนเขียนเรื่องนี้อยู่ข้างกรรมาชีพผู้ที่โดนตำรวจกระทำอย่างแน่นอน

ในหลายภาคหลายตอนของเรื่อง มีการสร้างเรื่องที่เปิดโปงความขัดแย้งในความคิดมนุษย์ระหว่าง “ความสมานฉันท์” กับการ “เอาตัวรอดแบบเห็นแก่ตัวของปัจเจก” และตัวละครจะต้องคิดหนักเรื่องนี้ทุกครั้ง มันน่าจะเป็นคำถามหลักสำหรับเราทุกคนในโลกจริงด้วย

มีฉากหนึ่งที่เสียดสีระบบการเลือกตั้งในประชาธิปไตยทุนนิยม ตัวละครกำลังจะลงคะแนนว่าจะเลิกเล่นหรือไม่ คนที่มีอำนาจในSquid Game ขู่คนที่ทะเลาะกันว่าผู้คุมจะไม่ยอมให้มีการใช้กำลังโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อโน้มน้าวให้ใครลงคะแนนในทางใด เสร็จแล้วผู้มีอำนาจก็เอาเงินก้อนใหญ่มาล่อให้คนเล่นเกมต่อไปโดยหวังจะซื้อเสียง

ตลอดทั้งเรื่องผู้มีอนาจจะพูดเสมอว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน” ทั้งๆ ที่ไม่มีความจริงเลย คือแต่ละคนที่เล่นเกมจะมีศักยภาพต่างกัน และแน่นอนคนเล่นกับผู้มีอำนาจและ “ตำรวจ” ของเขา มีอำนาจเหนือคนเล่นเสมอ

บ่อยครั้งผู้มีอำนาจจะพูดว่า “ทุกคนที่เข้าร่วมเล่น เลือกจะเล่นโดยสมัครใจ” ซึ่งไม่ต่างจากพวกที่มักพูดว่าในระบบทุนนิยมไม่มีใครถูกบังคับให้ทำงานในสถานที่ต่างๆ หรือที่มีการพูดกันว่า “ทุนนิยมทำให้ทุกคนมีเสรีภาพมีสิทธิ์เท่ากัน” ซึ่งนักสังคมนิยมจะโต้ตอบว่า “ใช่!! เสรีภาพที่จะอดอยากถ้าไม่มีงานทำ เสรีภาพที่จะนอนใต้สะพานลอยถ้าโชคร้ายไม่มีที่อยู่อาศัย”

Squid Games คือซีรีส์ที่วิจารณ์สังคมทุนนิยมอย่างแหลมคม ถ้าดูภาพรวมของเรื่อง จะเห็นว่าเศรษฐีร่ำรวยที่สุดของโลก ที่มองว่าตัวเขาเองมีสิทธิ์เหนือมนุษย์ผู้อื่นเสมอ ได้มารวมตัวกันเพื่อชมคนยากจนฆ่ากันเองเพื่อเอาตัวรอด นี่คือ “ความสนุก” ของพวกปรสิตเหล่านั้น และในฉากหนึ่งคนรวยคนหนึ่งอธิบายว่า “เศรษฐีกับคนยากจนเหมือนกันตรงที่เบื่อหน่ายกับชีวิต” แต่ในโลกแห่งความจริงความเบื่อหน่ายของคนจนมาจากการถูกทอดทิ้งหรือการที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ต่างจากคนรวยดุจฟ้ากับดิน

คนที่เป็นตัวละครในเกม ล้วนแต่เป็นคนชั้นล่างที่ตกยาก มีแรงงานข้ามชาติจากปากีสถาน มีผู้ลี้ภัยจากเกาหลีเหนือ มีสาวที่ถูกพ่อละเมิด มีคนที่ติดการพนัน มีโจรอันธพาล ฯลฯ และบ่อยครั้งคำถามว่าจะสมานฉันท์กันหรือแก่งแย่งกันก็ปรากฏขึ้น

เวลาผู้เขียนดูเรื่องนี้จะนึกถึงสหายสังคมนิยมคนหนึ่งที่เคยทำงานทในโรงงานเหล็ก เขาจะมีจุดยืนต่อต้านหวยหรือลอตเตอรี่อย่างชัดเจน เพราะเป็นการหลอกกรรมาชีพคนจนด้วยความฝันฝันลมๆแล้งๆ Squid Game ที่เล่นเพื่อก้อนเงินใหญ่ก็ไม่ต่าง

เรื่องนี้เป็นการวิจารณ์ความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง และความโหดร้ายของทุนนิยมแน่นอน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือทางออกในการแก้ไขสถานการณ์ ซีรีส์นี้ไม่มีทางออก แต่ในโลกทุนนิยมจริงทางออกมีเสมอ เพราะกรรมาชีพทำงานในหัวใจของระบบเศรษฐกิจ ถ้าเลือกที่จะรวมตัวกันลุกขึ้นสู้ เราสามารถเอาชนะนายทุนและปรสิตต่างๆ ได้ และบ่อยครั้งก็มีการต่อสู้เกิดจริง ถึงแม้ว่าฝ่ายเรายังไม่ได้ชัยชนะในการโค่นระบบ แต่สักวันหนึ่งประชาชนจะเป็นใหญ่ในโลก!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

คนไทยอาจเสี่ยงภัยจากความยากจนมากกว่าจากโควิด19?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ผมไม่อยากจะรีบสรุปอะไรเร็วเกินไปเรื่องการระบาดของไวรัสโควิดในขณะที่วิกฤตมันยังไม่จบ แต่ถ้าดูตัวเลขจากไทยจะเห็นว่าค่อนข้างจะต่ำถ้าเทียบกัยยุโรป หรือ สหรัฐอเมริกา

total-covid-deaths-per-million

สาเหตุที่ตัวเลขโควิดไทยค่อนข้างจะต่ำในขณะนี้ (และหวังว่าคงไม่พุ่งสูงในอนาคต ซึ่งเป็นไปได้) ไม่ใช่เพราะประสิทธิภาพของรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์แต่อย่างใด ไม่ใช่เพราะอะไรที่ดีเลิศเกี่ยวกับสังคมไทย และไม่ใช่เพราะไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรอยู่เบื้องสูงเลย เพราะตัวเลขโควิดไทยไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านเท่าไร และตัวเลขของเวียดนามดีกว่าไทยอีก

total-deaths-covid-19

ถ้าเราดูตัวเลขการเสียชีวิตจากโควิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปรเป็นสัดส่วนต่อประชากรหนึ่งล้านคน จะเห็นว่าฟิลิปปินส์สูงสุดคือ 6 รองลงมาก็คืออินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ 3 และไทยอยู่ที่ 0.8 ซึ่งพอๆกับบังคลาเทศในเอเชียใต้ แต่ต่ำสุดคือเวียดนาม ถ้าเทียบกับตัวเลขอังกฤษที่สูงถึง 598 ดูเหมือนอยู่คนละโลกกัน [ดู https://bit.ly/2KWTPdV ]

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคุณภาพในสหรัฐกับอังกฤษได้รายงานว่าการระบาดของโควิดไม่ได้ลดลงเมื่อมีอากาศร้อนเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ในออสเตรเลียมีการระบาดมากพอสมควรทั้งๆ ที่อากาศร้อนแห้ง แต่ตัวเลขจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้เราต้องสงสัยว่าอากาศร้อนกับชื้น บวกกับชีวิตที่ใช้นอกบ้าน และการที่แสงแดดแรงและมีรังสี UV มันช่วยลดการระบาดของโควิดหรือไม่? ตัวเลขการระบาดหรือตายในอัฟริกาอาจเหมือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนในอนาคต

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือมาตรการเด็ดขาดในการปิดเมือง การตรวจโรค และการติดตามดูว่าผู้ป่วยสัมผัสกับใคร อย่างที่เวียดนามทำ มีผลสำคัญในการลดอัตราการตาย ดังนั้นการยกเลิกมาตรการแบบนี้ไม่ใช่คำตอบในการปกป้องพลเมือง

อีกสิ่งหนึ่งที่อาจเป็นประเด็นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือสัดส่วนคนชราในประชากร ซึ่งต่ำกว่ายุโรปหรือสหรัฐ แต่ในขณะเดียวกันสัดส่วนคนจนที่มีสุขภาพไม่ดีน่าจะสูงกว่าประเทศตะวันตก อย่างไรก็ตามในอีกแง่หนึ่งการที่คนในเอเชียอยู่กับเชื้อโรคมากกว่าคนในตะวันตกมีผลทำให้มีภูมิต้านทานหรือวิถีชีวิตที่เน้นการล้างมือหรือไม่?

นอกจากนี้เราต้องระวังตัวเลขจากรัฐบาลต่างๆ ที่อยากจะปกปิดความจริงและไม่ย่อมตรวจเชื้อในหมู่ประชากรทั่วไปด้วย

ไม่ว่าการระบาดของโควิดจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เห็นชัดในกรณีไทยคือ มาตรการในการเยียวยาคนจนหรือกรรมาชีพที่ตกงานที่เดือดร้อนอันเนื่องมาจากการสั่งปิดสถานที่ทำงานต่างๆ ของรัฐบาลประยุทธ์ ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง เพราะไม่เพียงพอและไม่แก้ปัญหา ดูได้จากภาพคนจนที่เสี่ยงติดเชื้อจากการเข้าคิวรับอาหารหรือเงินจากเอกชนและมูลนิธิต่างๆ

Screen-Shot-2020-04-17-at-7.22.58-AM

UPDATE_TEMPLATE-20202-3-1

ในขณะนี้มันดูเหมือนภัยหลักสำหรับคนธรรมดาในไทยคือความยากจนและการตกงาน ซึ่งอาจเป็นภัยร้ายแรงกว่าโควิดเสียอีก

วิกฤตโควิดเหมือนแสงไฟที่ส่องให้เห็นลักษณะสังคมและปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ความเหลื่อมล้ำในไทยมาจากการที่เราไม่มีรัฐสวัสดิการ และสหภาพแรงงานของเราอ่อนแอเกินไปที่จะพัฒนาผลประโยชน์ของคนทำงาน และปัญหานี้ร้ายแรงมากขึ้นเพราะเราขาดประชาธิปไตย

ในสภาพเช่นนี้เราเห็นคนรวยและอภิสิทธิ์ชนเสพสุขในขณะที่คนส่วนใหญ่เดือดร้อน ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชน ทหารเผด็จการยังหน้าด้านคิดจะซื้ออาวุธ และบางคนสั่งอาหารทางอากาศมากินที่ยุโรปหรือบินไปบินมาอย่างสบาย

อย่าลืมว่าตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา 14 ปีที่แล้ว ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ชนชั้นกลางและทหาร ได้ร่วมกันทำลายประชาธิปไตยในประเทศเรา เพราะไม่พอใจกับรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลทักษิณมีข้อเสียหลายอย่างและได้ก่ออาชญากรรมในปาตานีและสงครามยาเสพติด แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลนี้กำลังเดินหน้าเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของคนธรรมดา ผ่านนโยบายระบบสุขภาพถ้วนหน้า นโยบายสร้างงาน นโยบายลดหนี้ นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ และนโยบายพัฒนาระบบการศึกษา ซึ่งแนวร่วมระหว่างรัฐบาลทักษิณกับกรรมาชีพและชาวนานี้สร้างความไม่พอใจกับพวกปฏิกิริยาเป็นอย่างมาก นี่คือสาเหตุที่เราจมอยู่ภายใต้เผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ในปัจจุบัน

ในอนาคตอันใกล้ ทั่วโลกจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงพอๆ กับวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และไทยจะหลีกเลี่ยงผลไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราไม่รวมตัวกันสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อโค่นเผด็จการ คนไทยธรรมดาจะเดือดร้อนมากขึ้นอีกหลายเท่า

รัฐไทยให้ความสำคัญกับพลเมืองน้อยเกินไป

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

จากการพูดคุยกับมิตรสหายและการอ่านความเห็นของเพื่อนในโซเชียลมีเดีย ผมได้เรียนรู้และมีข้อสรุปบางอย่างจากกรณีที่ทีมหมูป่าติดอยู่ในถ้ำ และกรณีนักท่องเที่ยวจีนที่เสียชีวิตจากเรือล่มที่ภูเก็ต มันมีหลายประเด็นซ้อนกัน

ผมจะไม่ลงรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับน้ำใจของอาสาสมัครนับร้อย ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ร่วมมือกันเพื่อนำเด็กๆ ออกจากถ้ำ เพราะเป็นเรื่องที่ชัดเจนและใครๆ ก็ทราบกันทั่วโลก แต่จะขอสำรวจประเด็นปัญหาที่มาจากรัฐไทย

ในประการแรกเราจะเห็นว่าเรื่อง “ความปลอดภัยของพลเมือง” เป็นเรื่องรอง (มากๆ) ในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยเด็กๆ หรือความปลอดภัยในการท่องเที่ยว ผมจะไม่โทษโคชของทีมหมูป่า เพราะจะเป็นเพียงการซ้ำเติมความเจ็บปวดของคนนี้ ซึ่งแน่นอนเขาสรุปทบทวนอะไรจากเหตุการณ์ได้เอง และมันไม่ใช่เรื่องความรับผิดชอบปัจเจกด้วย มันเป็นเรื่องความรับผิดชอบของสังคมและรัฐ แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าในประเทศตะวันตกคนที่ทำงานกับเด็กๆ ในกิจกรรมต่างๆ ต้องผ่านการฝึกฝนในเรื่องความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด กฏระเบียบต่างๆ เรื่องความปลอดภัยมีมากมาย และนอกจากนี้ถ้ามีแหล่งเที่ยวที่อาจเป็นภัยเมื่อฝนตกหนัก มันจะมีประตูกั้นไม่ให้คนเข้าไปในยามที่ไม่ปลอดภัย

สำหรับความปลอดภัยในการเดินเรือ หรือความปลอดภัยบนท้องถนน สังคมไทยมีมาตรฐานต่ำมาก เพราะไม่มีกฏระเบียบที่เคร่งครัด ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบเพียงพอ มีแต่ตำรวจที่คอยดักเก็บส่วย ไม่มีระบบคมนาคมมวลชนที่ปลอดภัย ไม่มีวันหยุดเพียงพอสำหรับคนทำงาน คนเลยเดินทางหนาแน่นในวันสงกรานต์ฯลฯ

การที่เรือล่มที่ภูเก็ต ก็เป็นเพราะไม่มีการประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ และไม่มีการคุมลักษณะของเรือท่องเที่ยวและทดสอบระบบความปลอดภัยอย่างดี จึงปล่อยให้บริษัทท่องเที่ยวหากำไรผ่านพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย

ปัญหามาจากการที่รัฐไทยไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนธรรมดาเลย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก นักท่องเที่ยว คนงานก่อสร้าง คนงานในโรงงานต่างๆ หรือพลเมืองทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพราะรัฐไทยเน้นความสำคัญของคนชั้นสูงเป็นหลักเท่านั้น

การที่รัฐไทยจะให้ความสำคัญกับพลเมืองธรรมดา ย่อมมาจากพลังประชาชน เราหวังพึ่งผู้นำใจดีไม่ได้

ในประการที่สองรัฐไทยไม่มีการพัฒนาโครงสร้างและหน่วยงานต่างๆ ของสังคมเพื่อปกป้องพลเมือง ไม่มีองค์กรกู้ภัยที่นำโดยทีมคนในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ ทุกอย่างมักกระจุกที่ส่วนกลาง เราขาดอุปกรณ์ต่างๆ และเราไม่ควรต้องอาศัยทหารในเรื่องนี้ เพราะทหารธรรมดาไม่ได้ถูกฝึกในเรื่องการกู้ภัย และนายพลระดับสูงที่คุมกองทัพก็ไม่สนใจผลประโยชน์ของพลเมืองธรรมดาเลย หน่วยกู้ภัยควรจะเป็นหน่วยพลเรือนที่มีความเชี่ยวชาญเสมอ

เราไม่มีระบบรถพยาบาลสาธารณะในทุกท้องถิ่นที่สามารถวิ่งไปมาทุกวันในขณะที่รถคันอื่นต้องหยุดและหลีกทางให้ เรามีแต่ตำรวจที่คอยบังคับให้รถธรรมดาหลีกทางหรือหยุดจอดเพื่อให้คนชั้นสูงเดินทางไปมาเท่านั้น

ลักษณะความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ ฐานะในสังคม และทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่รัฐไทยส่งเสริมมานาน และการทำรัฐประหาร การดูถูกคนจนและคนส่วนใหญ่โดยผู้นำรัฐกับคนชั้นกลาง แปลว่าไม่มีการให้ความสำคัญกับสิทธิพลเมืองธรรมดาที่จะได้รับการบริการอย่างดีจากรัฐและสังคม ไทยเลยไม่มีระบบรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและครบวงจร ซึ่งอาศัยงบจากการเก็บภาษีคนรวยและกลุ่มทุนในอัตราก้าวหน้า

หลายคนได้ชมบทบาทของผู้ว่าฯจังหวัดในการประสานงานการนำเด็กหมูป่าออกจากถ้ำ และก็มีเหตุผลในการชม แต่ถ้าฟังการแถลงข่าวจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมที่เหลื่อมล้ำ คือพูดขอบคุณ “ความห่วงใย” ของคนชั้นสูง ในขณะที่คนธรรมดาในไทยและทั่วโลกเป็นล้านๆ คนก็ห่วงใยติดตามสถานการณ์มาตลอด และอาสาสมัครคนธรรมดาที่มาช่วยงาน ก็ลงมือทำจริง เช่นชาวบ้านที่ซักผ้าให้นักดำน้ำเป็นต้น แต่สังคมไทยบังคับให้ต้องเริ่มต้นพูดถึงคนชั้นสูงและละเลยพลเมืองธรรมดา

ในประการที่สาม แนวคิดชาตินิยมในไทย สร้างอคติกับคน “ต่าง” ไม่ว่าจะเป็นอคติกับนักท่องเที่ยวจีนหรือเจ้าของกิจกรรมที่เป็นคนจีน หรือเรื่องการที่ไม่ยอมให้สัญชาติกับคนเป็นล้านๆ ที่อาศัยอยู่ในไทย รวมถึงเด็กบางคนและโคชในทีมหมูป่าอีกด้วย

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเรียกร้องให้รัฐบาลมอบสัญชาติให้ทุกคนที่ไร้สัญชาติแต่พักอยู่ในไทย

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องช่วยกันรณรงค์ให้คนในสังคมไทยเลิกการเหยียดสีผิวหรือเชื้อชาติของคนอื่น และเลิกใช้คำที่ไม่เคารพคนต่าง

แนวคิดชาตินิยม ที่เน้น “ชาติ ศาสนา กษัตริย์” เป็นการกล่อมเกลาพลเมืองโดยทหารเผด็จการ นักการเมือง นายทุน สื่อกระแสหลัก และระบบการศึกษา เพื่อให้พลเมืองธรรมดาเคารพคนชั้นสูง แต่ละเลยเพื่อนมนุษย์คนส่วนใหญ่ มันนำไปสู่การใช้งบประมาณสำหรับกองทัพ กับคนชั้นสูงในขณะที่ละเลยคนส่วนใหญ่ มันนำไปสู่การมองว่าชาติไทยเป็นของ “ผู้ใหญ่ที่ปกครองเรา” และมันนำไปสู่การกราบไหว้คนข้างบน ในกรณีทีมหมูป่า ยังนำไปสู่การเห่อเศรษฐีต่างประเทศที่อยากดังเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวอีกด้วย เหมือนกับที่คนจำนวนมากเคารพอำนาจเงินของเศรษฐีไทย

ถ้าเราจะค่อยๆ แก้ปัญหาดังกล่าว เราจะต้องร่วมกันสร้างทั้งประชาธิปไตยและระบบสังคมนิยม เพื่อให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน และเพื่อให้สังคมเราเน้นความสำคัญของชีวิตพลเมือง ผ่านการทำงานเพื่อส่วนรวม

บางคนเสนอว่าน้ำใจ ความสามัคคี และมิตรภาพของคนที่เกี่ยวข้องกับการนำเด็กๆ ออกจากถ้ำ แสดงว่าคนไทยสามัคคีกันได้เพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง แต่นั้นเป็นข้อเสนอของคนที่อยากให้เรายอมจำนนต่อเผด็จการและการทำลายประชาธิปไตย แท้จริงแล้วน้ำใจ ความสามัคคี และมิตรภาพของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการนำเด็กๆ ออกจากถ้ำ แสดงให้เห็นว่าเราสามารถสร้างสังคมใหม่ได้ภายใต้ประชาธิปไตยและความเท่าเทียม

การติดเชื้อในกระแสเลือดสะท้อนความป่าเถื่อนของคุกไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

ข่าวการเสียชีวิตในคุกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดของนักโทษการเมือง เป็นสิ่งที่สะท้อนความป่าเถื่อนโหดร้ายของระบบคุกไทย ที่น่าสลดใจมากคือการเสียชีวิตของ อุทัย คงหา หนึ่งในผู้ต้องหาคดีเผาศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งใกล้จะรับการปล่อยตัวกลับบ้าน

 ภรรยาของอุทัยผู้ต้องขังที่เสียชีวิตกล่าวว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอุทัยเกิดอาการช็อคในเรือนจำ โดยก่อนหน้านี้ไม่นานมีอาการความดันต่ำ เหนื่อย หายใจไม่ทั่วท้อง เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งตัวมารักษาที่รพ.มหาสารคาม

 กรณีนี้คงไม่ได้มีใครแอบวางยาหรือจงใจฆ่า แต่นโยบายของรัฐไทยต่อผู้ถูกขังโดยทั่วไป เป็นนโยบายที่จงใจละเมิดสิทธิมนุษยชนของนักโทษและจงใจละเลยการดูแล เพราะมองว่าไม่ใช่คน

 ก่อนที่ใครจะเถียงขึ้นมาว่า “ทำไมต้องเคารพสิทธิของนักโทษด้วย?” ขออธิบายว่านักโทษการเมืองในคุกไทยเป็นผู้บริสุทธิ์ นักโทษทั่วไปเป็นคนจนและสภาพสังคมนำพาไปกระทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งๆ ที่ยาเสพติดทำร้ายประชาชนน้อยกว่า สุรา บุหรี่ เอดส์ หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคืออาชญากรตัวใหญ่ๆ ที่ฆ่าประชาชนและปล้นอำนาจอย่างผิดกฏหมาย เป็นบุคคลที่ปกครองประเทศ และในอดีตคนชั่วแบบนี้ไม่เคยติดคุกเลย

 เราทราบดีว่าคุกไทยทำลายความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกขัง ไม่ว่าจะสภาพแออัดสุดทน ซึ่งบางครั้งไม่มีที่นอนเพียงพอ หรือสภาพที่ไร้ความสะอาดและไร้สุขภาพอนามัยพื้นฐาน หรือการที่ระบบเต็มไปด้วยการกลั่นแกล้งและคอร์รับชั่น

 สภาพเช่นนี้เป็นสภาพที่นำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายขึ้น

 อาการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ Sepsis กับ Septicaemia เกิดจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อบักเตรี จากการป่วย หรือการเป็นแผล และเชื้อบักเตรีนั้นรั่วเข้าไปในกระแสเลือด บางครั้งการติดเชื้อมาจากไวรัสหรือเชื้อรา แต่ส่วนใหญ่มาจากบักเตรี

 โรคที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดก็เช่น ปอดบวม ไส้ติ่งอักเสบ สมองอักเสบ ผิวหนังอักเสบ ระบบปัสสาวะอักเสบ หรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งการป่วยด้วยโรคดังกล่าวคงจะเกิดง่ายขึ้นในสภาพความย่ำแย่ของเรือนจำไทย และนักโทษส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการดูแลอย่างพอเพียงจากแพทย์

 อาการต้นๆ ของการติดเชื้อในกระแสเลือดคือ ไข้ หนาวตัวสั่น หัวใจเต้นเร็ว และหายใจเร็วขึ้น ถ้าไม่รีบรักษาคนไข้จะเกิดเกิดอาการช็อค เพราะพอผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ระบบต้านทานเชื้อของร่างกายจะทำงานเต็มที่ เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย เกิดอาการบวม และเกล็ดเลือดจะจับตัวเป็นลิ่ม ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตลดลง และแปลว่าอวัยวะสำคัญๆ เช่นสมอง หัวใจ และไตจะขาดการหล่อเลี้ยง ถ้าไม่รีบรักษาคนไข้จะเสียชีวิต มันเป็นอาการประเภท “ฉุกเฉิน”

 สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อในกระแสเลือดคือ ควรพบแพทย์อย่างรวดเร็วเพื่อรับยาแก้อักเสบที่ต้านเชื้อบักเตรี ซึ่งอาจให้เป็นเม็ด น้ำยา หรือฉีดยาก็ได้ มันไม่ยาก ซึ่งการรักษาแต่เนิ่นๆ แบบนี้จะทำให้คนไข้ฟื้นตัวได้ดี แต่ในเรือนจำไทย นักโทษที่เริ่มมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดจะต้องรอนานเกินไปเพื่อพบแพทย์ บางคนไม่พบแพทย์จนได้รับส่งไปโรงพยาบาล จนเกิดอาการช็อค

 เราจะเห็นได้ว่าทั้งสภาพไม่ถูกสุขลักษณะของคุกไทย และการไม่ดูแลบริการนักโทษ ซึ่งต้องรวมคุกชั่วคราว มทบ.11 ด้วย นำไปสู่การเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น มันเป็นอีกแง่มุมของความป่าเถื่อนของสังคมไทย ที่มองว่าพลเมืองธรรมดาเป็นแค่ผักเป็นปลา ในขณะที่มีการกราบไหว้คนข้างบน เรื่องเหล่านี้จะต้องแก้ไขถ้าเราจะมีสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเท่าเทียม ในสังคมของเรา

องค์กร TDRI คลั่งตลาดเสรี เพื่อปกป้องสลิ่มกับอำมาตย์

ใจ อึ๊งภากรณ์

“สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย” หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) ออกมาแสดงความเห็นเป็นประจำเรื่องเศรษฐกิจไทย แต่ทุกคำที่ออกมาจากปากนักวิจัยขององค์กรนี้ ล้วนแต่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายคลั่งตลาดเสรี เสมือนของเสียที่ไหลออกมาจากท่อน้ำเน่าอย่างต่อเนื่อง

water-pollution-pipe

ก่อนหน้านี้ TDRI เคยออกมาด่าโครงการจำนำข้าว การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ นโยบายสาธารณะสุขฟรี  ระบบรัฐสวัสดิการ และการใช้งบประมาณรัฐในการช่วยเหลือประชาชน ในขณะเดียวกันก็เสนอให้เก็บภาษีจากคนจนมากขึ้นในรูปแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม แทนที่จะเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวย และมีการเสนอให้ขายรัฐวิสาหกิจต่างๆ ให้เอกชนด้วย

ล่าสุด TDRI ประกาศว่าประเทศไทย “ต้อง” พัฒนาโดยเน้นให้รัฐแทรกแซงเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด และบริการประชาชนให้น้อยที่สุด เพื่อทำหน้าที่แค่อำนวยความสะดวกให้กับบริษัทเอกชนและกลุ่มทุน พูดง่ายๆ TDRI มองไม่เห็นความสำคัญของประชาชน และมองไม่เห็นว่ามูลค่าที่กลุ่มทุนไทยสะสมมานาน มาจากการทำงานของประชาชนทั้งนั้น

เวลา TDRI อ้างว่า “ไม่มีอะไรดีกว่ากลไกตลาดเสรี” เขาจำเป็นต้องปิดหูปิดตาถึงวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งทั่วโลกยังไม่มีการฟื้นตัวเลย วิกฤตนี้มาจากข้อบกพร่องในตัวมันเองของกลไกตลาดเสรีและการแข่งขัน ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอัตรากำไร การลดลงของการลงทุน ปรากฏการณ์ฟองสบู่ และในที่สุดทำให้มีการตกงานและลดมาตรฐานการจ้างงานทั่วโลกตะวันตก วิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ของไทยที่เกิดก่อนหน้านั้น ก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน

TDRI จึงเหมือนหมอเถื่อนที่ให้ยาพิษกับคนไข้จนป่วยหนัก แล้วเสนอให้เรากินยาพิษเพิ่ม

หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 รัฐบาลจีนใช้รัฐและการลงทุนของรัฐเพื่อพยุงเศรษฐกิจไว้ ซึ่งมีผลในการชะลอวิกฤตบ้าง และช่วยประเทศที่อาศัยการส่งออกไปจีน รัฐบาลสหรัฐก็ใช้งบประมาณรัฐในการ “พิมพ์เงินเพิ่ม” เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลทั่วโลกต้องใช้ภาครัฐในการกู้ระบบธนาคารที่ล้มเหลวจากระบบตลาด ดังนั้นการมองโดย TDRI ว่า “ภาคเอกชนและกลไกตลาดเสรีมีประสิทธิภาพมากกว่าภาครัฐ” เป็นการเพ้อฝันที่ไม่มีหลักฐานรองรับเลย

ทุกวันนี้เศรษฐกิจโลกกำลังหดตัวลงมากขึ้น เพราะรัฐใหญ่ๆ อย่างจีนและสหรัฐ ตัดสินใจเลิกพยุงเศรษฐกิจ เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็เข้าสู่วิกฤตอีกรอบ

ในโลกแห่งความเป็นจริง ระบบสำคัญๆ ที่ใช้ในการบริการประชาชนส่วนใหญ่ เช่นระบบสาธารณะสุข การศึกษา ระบบรถไฟ และการดูแลคนชรา มักมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเป็นของรัฐ ระบบสาธารณะสุขเอกชนของสหรัฐอเมริกาเปลืองงบประมาณมากกว่าสองเท่าของระบบรัฐในอังกฤษหรือในประเทศอื่นของยุโรป และที่สำคัญคือการนำกลไกตลาดเข้ามาบริการประชาชน จะไม่สามาระบริการคนจนจำนวนมากได้ เพราะตลาดมองเห็นแต่เงิน มองไม่เห็น ”คน” และพร้อมกันนั้นมีการสิ้นเปลืองทรัพยากรมากมายในการคิดบัญชี แทนที่จะเน้นการบริการผู้ที่มีความต้องการแท้ในสังคม นี่คือสาเหตุที่คนจนจำนวนมากในสหรัฐมีระบบสาธารณะสุขที่มีคุณภาพต่ำกว่าประเทศยากจน

ในยุคนี้ หลังจากที่รัฐบาลทั่วโลกใช้นโยบายกลไกตลาดเสรีมาหลายทศวรรษ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนก็พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ รายได้ของคนทำงานตกต่ำ ในขณะที่คนรวยกอบโกยผลประโยชน์เพิ่มตลอดเวลา

มันน่าสังเกตว่า ในขณะที่องค์กรคลั่งตลาดอย่าง TDRI ต่อต้านการใช้งบประมาณรัฐที่มาจากภาษีและการทำงานของประชาชน เพื่อประโยชน์ของประชาชน  แต่ TDRI จะเงียบเฉยต่อการใช้งบประมาณรัฐสำหรับกองทัพ หรือสำหรับความสะดวกสบายของคนชั้นสูงหรือแม้แต่พิธีกรรมใหญ่หลวงระดับชาติ มันเป็นสองมาตรฐานที่ชัดเจน

ประเด็นที่เราต้องเข้าใจคือ แนวคิดคลั่งกลไกตลาดเสรีของ TDRI เป็นแนวคิดที่เอื้อประโยชน์ให้กับสลิ่มชนชั้นกลาง กองทัพ พวกอำมาตย์ และกลุ่มทุนใหญ่ มันตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับผลประโยชน์ของพลเมืองผู้ทำงาน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และนี่คือสาเหตุที่รัฐบาลเผด็จการทหารตั้งแต่สมัยรัฐประหาร 19 กันยาถึงทุกวันนี้ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ และพวกโจรที่กำลังอ้างว่าจะปฏิรูปประเทศไทย ถึงชื่นชมแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบนี้เสมอ ทังๆที่บางครั้งเขากลัวประชาชนจนต้องป้อนผลประโยชน์ให้เราเล็กๆ น้อยๆ

กลไกตลาดเสรีเป็นระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มการกดขี่ขูดรีด และไปได้สวยกับระบบเผด็จการ และ TDRI เป็นปากเสียงให้กับระบบนี้