Tag Archives: จีน

จีนกับสหรัฐ ความขัดแย้งจักรวรรดินิยม เราไม่ควรเลือกข้าง

การเยือนเกาะไต้หวันเมื่อต้นเดือนสิงหาคมของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และนักการเมืองที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสามของสหรัฐ เป็นการตั้งใจที่จะยั่วยุท้าทายประเทศจีนท่ามกลางความขัดแย้งจักรวรรดินิยม

สำหรับเราชาวมาร์คซิสต์ คำว่า “จักรวรรดินิยม” ที่ เลนิน เคยนิยามว่าเป็น “ขั้นตอนสูงสุดของระบบทุนนิยม” ไม่ได้หมายถึงแค่ประเทศใดประเทศเดียว ทั้งๆ ที่เรามักจะได้ยินคำว่า “จักรวรรดินิยมสหรัฐ” แต่จักรวรรดินิยมเป็น “ระบบ” คือเป็นระบบความขัดแย้งระหว่างรัฐทุนนิยมทั่วโลก โดยที่บางประเทศ ประเทศมหาอำนาจ จะมีอำนาจสูง และประเทศเล็กๆจะมีอำนาจน้อย อำนาจดังกล่าวมาจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและทางทหารซึ่งนำไปสู่อำนาจทางการทูตด้วย

เรื่องเศรษฐกิจกับการทหารแยกออกจากกันไม่ได้ สิ่งที่ เลนิน เคยอธิบายไว้คือ เวลาทุนนิยมพัฒนา กลุ่มทุนใหญ่กับรัฐมักจะผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะกลุ่มทุนในประเทศหนึ่งๆ มักจะอาศัยอำนาจทางทหารและการเมืองของรัฐเพื่อปกป้องผลประโยชน์ และในขณะเดียวกันรัฐต้องอาศัยพลังทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนและการเก็บภาษีจากกลุ่มทุนดังกล่าวเพื่อเป็นรายได้ของรัฐ สถานการณ์แบบนี้ยังดำรงอยู่ในโลกสมัยใหม่ ทั้งๆ ที่มีบริษัทข้ามชาติที่ทำธุรกิจทั่วโลก แต่จริงๆ แล้วบริษัทข้ามชาติยิ่งต้องพึ่งพาอาศัยรัฐในการปกป้องผลประโยชน์เวลาทำธุรกิจข้ามพรมแดนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างบริษัทต่างๆ มันไม่ใช่ว่าบริษัทข้ามชาติสามารถหนีพรมแดนรัฐชาติหรือรัฐชาติมีความสำคัญน้อยลง อย่างที่นักวิชาการบางคนเสนอ

จักรวรรดินิยมจึงเป็นระบบหรือเครือข่ายการแข่งขันกันทั่วโลกระหว่างรัฐ-ทุนประเทศหนึ่งกับรัฐ-ทุนอื่นๆ และจะออกมาในรูปแบบการพยายามเอาชนะคู่แข่งทางเศรษฐกิจและทหาร บางครั้งจึงเกิดสงคราม ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมระบบทุนนิยมเป็นต้นกำเนิดของสงครามเสมอ

มหาอำนาจในโลกปัจจุบัน มีสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยุโรปในอียู จีน และรัสเซีย และมีประเทศมหาอำนาจย่อยๆ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละประเทศก็จะพยายามสร้างอำนาจต่อรองของตนเองในการแข่งขันทั่วโลก ชนชั้นนำอังกฤษยังฝันว่าอังกฤษเป็นมหาอำนาจ แต่แท้จริงถ้าอังกฤษจะมีอิทธิพลในโลกก็ต้องเกาะติดสหรัฐเหมือนลูกน้อง เราเห็นสภาพแบบนี้ในสงครามอิรัก และประเทศเจ้าอาณานิคมเก่าอื่นๆ เช่นฝรั่งเศสหรือฮอลแลนด์ก็ต้องรวมตัวกับเยอรมันในสหภาพยุโรป (อียู)ถึงจะมีอำนาจในเวทีโลกได้

หลายคนเข้าใจผิดว่าจักรวรรดินิยมมีแค่สหรัฐอเมริกา แต่จีนกับรัสเซียก็เป็นมหาอำนาจในระบบจักรวรรดินิยมด้วย และทั้งจีนกับรัสเซียเป็นประเทศทุนนิยมที่กดขี่ขูดรีดแรงงานของตน และสร้างกองทัพเพื่อข่มขู่ประเทศอื่นๆ ไม่ต่างจากสหรัฐ ดังนั้นเราชาวมาร์คซิสต์จะไม่มีวันเข้าข้างประเทศหรือชนชั้นปกครองของจีน หรือรัสเซีย โดยหลงคิดว่าการต้านสหรัฐโดยรัสเซียหรือจีนเป็นสิ่ง “ก้าวหน้า” มันไม่ใช่เลย คนที่คิดแบบนี้เป็นแค่คนที่ต้องการพึ่งนักเลงกลุ่มหนึ่งเพื่อต่อต้านนักเลงอีกกลุ่มเท่านั้น มันไม่นำไปสู่เสรีภาพหรือการปลดแอกแต่อย่างใด และมันเป็นการมองข้ามพลังของชนชั้นกรรมาชีพเพื่อไปเชียร์ชนชั้นปกครอง

กลับมาเรื่องความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนและเรื่องเกาะไต้หวัน เมื่อแนนซี เพโลซี ตั้งใจท้าทายจีนด้วยการเยือนเกาะไต้หวัน จีนก็โต้ตอบด้วยการประกาศว่าถ้าจีนอยากบุกยึดเกาะไต้หวัน จีนก็ทำได้เสมอ นอกจากนี้มีการสำแดงพลังกันทั้งสองฝ่ายด้วยการส่งเครื่องบินรบและเรือรบไปท้าทายอีกฝ่ายในเชิงสัญลักษณ์ และสหรัฐพยายามสร้างแนวร่วมทางทหารเพื่อต้านจีน (The Quad) ที่ประกอบไปด้วยออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น กับสหรัฐ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็น “นาโต้เอเชีย”

รัฐบาลสหรัฐเริ่มหันไปให้ความสนใจกับเอเชียอีกครั้งหลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงตั้งแต่ยุคของโอบามา โอบามาเปลี่ยนนโยบายระหว่างประเทศโดยการหันไปทางตะวันออก และกำหนดให้ 60% ของกองกำลังทหารสหรัฐหันหน้าไปทางจีน

ถ้าเราเข้าใจนโยบายของสหรัฐตรงนี้เราจะเข้าใจได้ว่าในกรณีสงครามยูเครน สหรัฐกับนาโต้หนุนรัฐบาลยูเครนด้วยอาวุธ เพื่อทำลายหรือลดอำนาจของรัสเซีย โดยที่เป้าหมายหลักอยู่ที่การพิสูจน์ความเข้มแข็งของสหรัฐและนาโต้ให้จีนดู นั้นคือสิ่งที่สะท้อนว่าระบบจักรวรรดินิยมมันครอบคลุมโลกและเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกัน และความก้าวร้าวของสหรัฐทั้งในยุโรปและเอเชียตอนนี้ มาจากความกลัวของสหรัฐว่าอำนาจทางเศรษฐกิจกำลังลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น สหรัฐจึงพึ่งอำนาจทางทหารมากขึ้น

ในทศวรรษที่80 จีนเป็นเศรษฐกิจที่เล็กถ้าเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก คือแค่2%ของเศรษฐกิจโลก แต่การขยับสู่กลไกตลาดและการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน นำไปสู่การขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในอุตสาหกรรมส่งออก 60% เป็นทุนเอกชน แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ บ่อยครั้งเศรษฐีใหญ่ของจีนเป็นลูกหลานญาติพี่น้องของผู้ดำรงตำแหน่งสูงในพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย ในปี 2011 ชนชั้นปกครองจีนแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาที่ประกอบไปด้วยเศรษฐีรวยที่สุด70คน ในขณะเดียวกันความเหลื่อมล้ำในสังคมก็พุ่งสูงขึ้น มันไม่ใช่ว่ากรรมาชีพจีนคุมการเมืองหรือรัฐแต่อย่างใด

การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเปิดโอกาสให้รัฐบาลขยายกำลังทหารและอาวุธอย่างรวดเร็วจ จาก20พันล้านดอลลาร์ในปี 1989 เป็น 266พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 แต่งบประมาณทางทหารของจีนเทียบเท่าแค่ 1/3ของงบประมาณสหรัฐ จีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินแค่ 2 ลำ ในขณะที่สหรัฐมี 11 ลำ

ตอนนี้จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกและเป็นอำนาจทางทหารที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองด้วย เราจึงไม่แปลกใจที่ชนชั้นปกครองสหรัฐมองว่าจีนคือคู่แข่งหลักในเวทีโลกซึ่งเป็นเวทีจักรวรรดินิยม พร้อมกันนั้นสหรัฐและแนวร่วมก็เปิดศึกทางการทูตด้วยการวิจารณ์จีนในเรื่องสิทธิมนุษยชน เช่นกรณีชาวอุยกูร์หรือกรณีฮ่องกง และทั้งๆ ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนในสองกรณีนี้จริง แต่สหรัฐและประเทศตะวันตกไม่เคยจริงใจในการปกป้องสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด ดูได้จากการที่ตำรวจสหรัฐฆ่าคนผิวดำ หรือการที่สหรัฐปกป้องและสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิสราเอลเป็นต้น

ถ้าดูกรณีไทย การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทำลายประชาธิปไตยของพวกทหารเผด็จการ อาจถูกวิจารณ์อย่างอ่อนๆจากสหรัฐ แต่ล้วนแต่เป็นเรื่องนามธรรม เพราะรัฐบาลสหรัฐยังร่วมมือทางทหารกับไทย ส่วนเผด็จการจีนก็ไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ทั้งจีนกับสหรัฐสนใจจะดึงรัฐบาลไทยมาเป็นพรรคพวกมากกว่าเรื่องอุดมการณ์

อย่างไรก็ตามในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ รัฐและกลุ่มทุนทั้งแข่งขันและร่วมมือกันพร้อมๆ กัน มาร์คซ์ เคยเขียนเรื่องความขัดแย้งดังกล่าวว่าพวกนายทุนเป็น “พี่น้องที่ตีกันอย่างต่อเนื่อง”

ในด้านเศรษฐกิจ ไต้หวันผูกพันกับจีนโดยที่ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุด และชิ้นส่วนดังกล่าวใช้ในการประกอบคอมพิวเตอร์ที่จีน เพื่อส่งออกให้ตะวันตกและส่วนอื่นของโลก และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของจีนไปสู่สหรัฐมีความสำคัญกับทั้งจีนและสหรัฐ ยิ่งกว่านั้นเงินรายได้ของจีนจากการส่งออกก็ถูกนำไปลงทุนในสหรัฐอีกด้วย นอกจากนี้ทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งสำคัญระหว่างจีนกับสหรัฐ เป็นเส้นทางขนส่งที่สำคัญมากสำหรับเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจของประเทศตะวันตก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่จีนกับสหรัฐผูกพันกันทางเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และทหาร และไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดสงคราม ไม่ได้แปลว่าโลกไม่ได้เสี่ยงจากการปะทะกันทางอาวุธ เพราะถ้าเกิดสถานการณ์ที่เพิ่มความตึงเคลียดและทั้งสองฝ่ายไม่ยอมถอยโดยมองว่าอีกฝ่ายจะขยายอิทธิพลและท้าทายผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง อย่างที่เราเห็นในกรณียูเครน ก็เกิดสงครามได้ และสงครามดังกล่าวเสี่ยงกับการขยายไปสู่สงครามนิวเคลียร์อีกด้วยเพราะจะเป็นสงครามระหว่างมหาอำนาจโดยตรง

มันไม่จบอยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐ ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความขัดแย้งเรื่องเกาะต่างๆ และพื้นที่ทะเล และรัฐบาลต่างๆ กำลังสะสมอาวุธอย่างเร่งด่วน เราเห็นว่าในไทยกองทัพเรือประกาศว่าจะต้องซื้อเรือดำน้ำเพื่อแข่งกับประเทศรอบข้าง

แล้วเรื่องไต้หวัน เราจะเข้าใจประเด็นการเมืองและหาจุดยืนอย่างไร?

ในปี 1949 เหมาเจ๋อตุงนำการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปสู่ชัยชนะ แต่การปฏิวัติครั้งนั้นไม่ใช่การปฏิวัติสังคมนิยมแต่อย่างใด เพราะไม่ได้นำโดยชนชั้นกรรมาชีพเลย นำโดยกองทัพแดงแทน มันเป็นการปฏิวัติ “ชาตินิยม” ที่ปลดแอกจีนจากอิทธิพลของญี่ปุ่นและตะวันตก และมันนำไปสู่การสร้างระบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ”

เจียง ไคเชก กับ ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์

หลังการปฏิวัติจีนพรรคก๊กมินตั๋ง (หรือ “กั๋วหมินต่าง”) ของเจียง ไคเชก คู่ขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้หนีไปอยู่บนเกาะไต้หวันและปกครองเกาะด้วยเผด็จการทหาร ตอนนั้นกองทัพจีนยังไม่เข้มแข็งพอที่จะยึดเกาะ และในช่วงสงครามเย็นสหรัฐอเมริกาก็เข้ามาหนุนเจียง ไคเชก แต่เวลาผ่านไปหลายสิบปี การต่อสู้ของกรรมาชีพและประชาชนในไต้หวันท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถล้มเผด็จการและขยายพื้นที่ประชาธิปไตยได้สำเร็จ และกรรมาชีพเริ่มมีสิทธิเสรีภาพพอๆ กับประเทศทุนนิยมตะวันตก

อย่างไรก็ตามเกาะไต้หวันและประชาชนกลายเป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่างจีนที่อ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และสหรัฐที่ต่อต้านการขยายตัวของจีน แน่นอนประชาชนในไต้หวันเป็นคนเชื้อสายจีน แต่ถ้ารัฐบาลจีนเข้ามายึดเกาะ สิทธิเสรีภาพที่เคยได้มาจากการต่อสู้ของประชาชนก็จะถูกทำลายโดยเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคการเมืองกระแสหลักของไต้หวันแบ่งเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายที่มองว่าน่าจะค่อยๆ รวมชาติกับจีน และฝ่ายที่ต้องการให้ไต้หวันเป็นประเทศอิสระ อย่างไรก็ตามทั้งสองพรรคนี้ไม่ได้ยึดถือประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพเป็นหลัก และที่สำคัญคือถ้าไต้หวันจะเป็นประเทศอิสระก็จะเป็นอิสรภาพจอมปลอมภายใต้อิทธิพลของสหรัฐ

ทางออกสำหรับประชาชนและกรรมาชีพไต้หวันจากการเป็นเหยื่อของความขัดแย้งจักรวรรดินิยม คือกรรมาชีพและนักสังคมนิยมไต้หวันจะต้องสมานฉันท์กับกรรมาชีพบนแผ่นดินใหญ่จีนในการต่อสู้กับชนชั้นปกครองจีน เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ไม่ใช่ทุนนิยม โดยไม่หวังพึ่งสหรัฐอเมริกา ทุกวันนี้กรรมาชีพจีนอยู่ในสภาพความขัดแย้งทางชนชั้นกับรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่องในยุคปัจจุบัน

ท่ามกลางความขัดแย้งจักรวรรดินิยมระหว่างจีนกับสหรัฐ ฝ่ายซ้ายทั่วโลกมีจุดยืนที่แตกต่างกัน แบ่งได้เป็นสามจุดยืนคือ

  1. พวกที่แก้ตัวแทนจีน โดยอ้างว่าจีน “ก้าวหน้า” กว่าสหรัฐ อ้างว่าจีนยังเป็นสังคมนิยม และอ้างว่าจีนไม่ใช่จักรวรรดินิยม พวกนี้เป็นพวกที่ปิดหูปิดตาถึงลักษณะทุนนิยมของจีน การกดขี่ขูดรีดกรรมาชีพของชนชั้นปกครองจีน และการที่รัฐบาลจีนเบ่งอำนาจกับฮ่องกง ทิเบต ไต้หวัน ฝ่ายซ้ายพวกนี้เป็นพวกที่เลือกเข้าข้างโจรกลุ่มหนึ่งเพื่อต่อต้านโจรอีกกลุ่มหนึ่ง โดยลืมว่าพลังหลักที่จะผลักดันสังคมให้ก้าวหน้าและล้มทุนนิยมคือชนชั้นกรรมาชีพ จีนไม่เคยเป็นสังคมนิยม และเมื่อทุนนิยมโดยรัฐพัฒนาเศรษฐกิจจีนได้ ก็มีการหันหน้าออก เน้นกลไกตลาด และใช้พลังทางเศรษฐกิจเพื่อบุกเข้าไปแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งอาศัยการขูดรีดแรงงานหนักขึ้น
  2. พวกฝ่ายซ้ายที่เชียร์ตะวันตก เพราะมองว่า “ไม่แย่เท่าจีน” พวกนี้มองแค่เปลือกภายนอกของระบบประชาธิปไตย และสภาพแรงงานในตะวันตกเท่านั้น ซึ่งแน่นอนการมีประชาธิปไตย สิทธิแรงงาน และรัฐสวัสดิการในบางประเทศ (ไม่ใช่สหรัฐ) เป็นเรื่องสำคัญที่จับต้องได้ แต่แค่นั้นไม่พอที่จะทำให้เรา “เลือกนาย” จากชนชั้นปกครองตะวันตก และเราต้องไม่ลืมด้วยว่าสหรัฐเป็นมหาอำนาจตะวันตกที่มีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนำไปสู่การก่อสงครามจักรวรรดินิยมโดยสหรัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ซึ่งกองทัพดังกล่าว หรือแนวร่วมทหารของนาโต้ ไม่เคยมีประโยชน์อะไรเลยกับกรรมาชีพในตะวันตก ตรงกันข้ามมันนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณทางทหารในขณะที่มีการตัดงบประมาณสาธารณสุขหรือรัฐสวัสดิการ และมันนำไปสู่การเกณฑ์กรรมาชีพไปล้มตายในสงครามเพื่อผลประโยชน์ของนายทุน
  3. ฝ่ายซ้ายที่ยังไม่ลืมจุดยืนมาร์คซิสต์และจุดยืนสากลนิยม จะมองว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจจักรวรรดินิยม โดยที่จีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ในโลกปัจจุบัน นักมาร์คซิสต์มองว่ากรรมาชีพไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะฝ่าย “ของเรา” คือกรรมาชีพในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐ ยุโรป หรือไทย และชนชั้นกรรมาชีพโลกนี้มีพลังซ่อนเร้นที่จะล้มระบบทุนนิยมและระบบจักรวรรดินิยม

ในระบบจักรวรรดินิยมปัจจุบัน ในรอบ20ปีที่ผ่านมา แทนที่เราจะเห็นแค่สหรัฐเบ่งอำนาจกับประเทศเล็กๆ เราเห็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจโดยตรง ซึ่งเสี่ยงกับการเกิดสงครามใหญ่มากขึ้นอย่างน่ากลัว แต่ที่สำคัญคือความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมมีต้นกำเนิดจากวิกฤตของระบบทุนนิยมที่มีหลายรูปแบบเช่น วิกฤตโลกร้อน วิกฤตโควิด วิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาเงินเฟ้อ

เราชาวสังคมนิยมจะต้องขยันในการเปิดโปงและวิจารณ์ระบบทุนนิยมและระบบจักรวรรดินิยม ต้องเข้าใจและเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ เพื่อปลุกระดมมวลชนให้เห็นภาพจริงและออกมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของกรรมาชีพทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านสงคราม การสนับสนุนการนัดหยุดงานเพื่อค่าจ้างเพิ่ม การประท้วงโลกร้อน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และในที่สุดการต่อสู้เพื่อล้มทุนนิยมและสร้างสังคมนิยม ภาระงานอันยิ่งใหญ่นี้ย่อมทำไม่ได้ถ้าเราไม่พยายามสร้างพรรคปฏิวัติ

ใจ อึ๊งภากรณ์

จักรวรรดินิยมและสงครามยูเครน

เราชาวสังคมนิยมมองว่าสงครามในยูเครน มีต้นกำเนิดจากความขัดแย้งเรื้อรังระหว่างจักรวรรดินิยมตะวันตก กับจักรววรดินิยมรัสเซีย เราต่อต้านจักรววรดินิยมทุกรูปแบบ ต่อต้านการบุกรุกยูเครนโดยรัสเซีย และต่อต้านการที่อำนาจตะวันตกพยายามขยายแนวร่วมทางทหาร “นาโต้” ไปสู่ประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันออกเพื่อล้มรอบรัสเซีย

จักรวรรดินิยม

ในปีค.ศ. 1916 หนึ่งปีก่อนการปฏิวัติรัสเซีย เลนิน ได้เขียนหนังสือสำคัญชื่อ “จักรวรรดินิยมขั้นตอนสูงสุดของทุนนิยม”

ประเด็นสำคัญในความคิดเรื่องจักรวรรดินิยมของ เลนิน คือ การพัฒนาของระบบทุนนิยมทำให้กลุ่มทุนต่างๆ ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลุ่มทุนผูกขาดเหล่านั้นกับรัฐ ทำงานในทิศทางเดียวกัน รัฐใหญ่ๆ ของโลกจะใช้อำนาจทางทหารเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนในประเทศของตนเอง และมีการแบ่งพื้นที่ของโลกภายใต้อำนาจของรัฐดังกล่าวในรูปแบบอาณานิคม และที่สำคัญคือการแข่งขันระหว่างกลุ่มทุนต่างๆ และรัฐที่จับมือกับกลุ่มทุน นำไปสู่ความขัดแย้งซึ่งในที่สุดระเบิดออกมาในรูปแบบสงคราม

ทฤษฎีจักรวรรดินิยมของ เลนิน มีความสำคัญทุกวันนี้ในการทำความเข้าใจกับภัยสงคราม จักรวรรดินิยมเป็น “ระบบความขัดแย้ง” ระหว่างรัฐต่างๆ ในเศรษฐกิจทุนนิยมโลก โดยที่มีมหาอำนาจที่พยายามข่มขู่ประเทศที่อ่อนแอและเล็กว่า บ่อยครั้งการแข่งขันทางเศรษฐกิจนำไปสู่การแข่งขันทางทหาร ไม่ว่าจะเป็นการสะสมอาวุธ หรือการทำสงคราม ทฤษฎีจักรวรรดินิยมของเลนิน เน้นว่าการแข่งขันทางเศรษฐกิจแยกไม่ออกจากการแข่งขันทางทหารเสมอ

ในอดีตมหาอำนาจใช้การล่าอาณานิคมในการกดขี่ประชากรโลก แต่ทุกวันนี้ยังมีการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ออกมาในรูปแบบการแข่งขันทางทหาร

ทุกวันนี้ในด้านเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกาซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจที่เข้มแข็งที่สุด เริ่มอ่อนแอเมื่อเทียบกับจีน หรือประเทศอื่นๆ ในโลกพัฒนา เช่นญี่ปุ่น หรือกลุ่มประเทศในอียู สหรัฐจึงจงใจใช้อำนาจทางทหารในการรักษาตำแหน่งในโลก

ยิ่งกว่านั้น การที่โลกไม่ได้แยกเป็นสองขั้ว คือ อเมริกา กับ รัสเซีย อย่างที่เคยเป็นในยุคสงครามเย็น แปลว่าประเทศขนาดกลางมีพื้นที่ในการเบ่งอำนาจ เช่นในตะวันออกกลางเป็นต้น มันทำให้โลกเราในยุคนี้ขาดเสถียรภาพและเต็มไปด้วยภัยสงคราม

“สงคราม” ทางเศรษฐกิจกับการค้าระหว่างสหรัฐกับ อียู คานาดา และจีน เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์นี้

ความคิดกระแสหลักที่ยังสอนกันอยู่ในสถานศึกษาทุกวันนี้ มักจะอธิบายสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่าเกิดจากอุบัติเหตุทางการเมือง หรือการจับมือเป็นพันธมิตรสองขั้วของชาติต่างๆ ในยุโรป แต่นั้นเป็นเพียงการบรรยายอาการของ “จักรวรรดินิยม” เพราะต้นกำเนิดของสงครามมาจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมโลก และสงครามดังกล่าวเป็นสงครามที่กลุ่มทุนใหญ่และรัฐกระทำเพื่อเพิ่มอำนาจของฝ่ายตนเองในการขูดรีดกรรมาชีพและปล้นทรัพยากรในประเทศอื่น แต่ในการทำสงครามมักมีการโกหกสร้างภาพว่าทุกสงครามเป็นการรบเพื่อ “เสรีภาพ” เพราะคนที่ต้องไปรบมักจะเป็นกรรมาชีพหรือเกษตรกร

ทุกวันนี้สื่อกระแสหลักของตะวันตกมักโกหกว่ารัสเซียบุกยูเครนเพราะปูติน “บ้า” หรือ “กระหายเลือด” ทั้งนี้เพื่อปกปิดประวัติศาสตร์ความขัดแย้งจริง

สงครามไม่ได้เกิดจาก “นิสัยพื้นฐานของมนุษย์” มันเกิดจากการแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างรัฐต่างๆ ในระบบทุนนิยม ดังนั้นถ้าจะห้ามสงคราม เราต้องสร้างขบวนการเคลื่อนไหวที่โจมตีการจับมือกันระหว่างรัฐกับทุน และโจมตีระบบทุนนิยมโลกอีกด้วย

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราจะเข้าใจว่าทำไม เลนิน กับนักมาร์คซิสต์จะไม่สนับสนุนสงครามจักรวรรดินิยม และจะไม่มีวันคลั่งชาติ คำขวัญสำคัญของ เลนิน ในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ “เปลี่ยนสงครามจักรวรรดินิยมไปเป็นสงครามระหว่างชนชั้น!”

อเล็กซ์ คาลินิคอส นักมาร์คซิสต์ชาวอังกฤษ อธิบายว่าจักรวรรดินิยมไม่ใช่การกระทำของประเทศมหาอำนาจประเทศเดียว แต่จักรวรรดินิยมเป็น “ระบบ” การแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆ ที่มีอำนาจแตกต่างกัน การทีระบบทุนนิยมมีลักษณะการพัฒนาต่างระดับเสมอ ทำให้ศูนย์กลางของอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับอำนาจทางทหาร และอำนาจในเชิงจักรวรรดินิยม มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่เรื่องคงที่แต่อย่างใด

บางคนไปตั้งความหวังไว้กับองค์กรสหประชาชาติ เพื่อสร้างสันติภาพในโลก แต่สหประชาชาติเป็นเพียงสมาคมของรัฐต่างๆ ทั่วโลก โดยมหาอำนาจคุมองค์กรผ่านคณะมนตรีความมั่นคง รัฐเหล่านี้เป็นผู้ก่อสงครามแต่แรก ไม่ใช่ผู้ที่จะสร้างสันติภาพแต่อย่างใด

ตราบใดที่มีระบบทุนนิยม เราจะมีภัยสงครามที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างรัฐที่จับมือกับกลุ่มทุน อเล็กซ์ คาลินิคอส อธิบายว่าเราไม่สามารถเลือกข้างได้ในการแข่งขันดังกล่าว อย่าหลงคิดว่ามันเป็นความขัดแย้งทางลัทธิหรืออุดมการณ์ทางการเมือง อย่างที่ผู้นำพยายามโกหกเราเสมอ

การเมืองระหว่างประเทศในโลก ทั้งในปัจจุบันและในอดีต เป็นแค่ “โต๊ะกินข้าวของหมาป่า” ดังนั้นเราต้องต้านสงครามและระบบขูดรีด และต้องทำแนวร่วมสากลกับประชาชนชั้นล่างทั่วโลก

ประวัติศาสตร์ยูเครน

หลังการปฏิวัติรัสเซีย 1917 พรรคบอลเชวิคภายใต้การนำของเลนินกับทรอตสกี้ผลักดันนโยบายที่ให้เสรีภาพกับประเทศที่เคยถูกกดขี่ภายใต้อนาจักรรัสเซียของกษัตริย์ซาร์ แต่ยูเครนกลายเป็นสมรภูมิสงครามระหว่างกองทัพขาวที่ต้านการปฏิวัติกับกองทัพแดง ยูเครนตะวันออกที่มีอุตสาหกรรมมีกรรมาชีพจำนวนมากที่สนับสนุนบอลเชวิค นอกจากนี้เยอรมันกับโปแลนด์พยายามแย่งพื้นที่ของยูเครนอีกด้วย

พอสตาลินขึ้นมามีอำนาจในรัสเซียและทำลายการปฏิวัติ มีการรื้อฟื้นชาตินิยมรัสเซียเหมือนสมัยกษัตริย์ซาร์ ก่อนหน้านี้สตาลินคัดค้านเลนินในเรื่องการให้ชาวยูเครนกำหนดอนาคตตนเอง การยึดผลผลิตจากเกษตรกรของเผด็จการสตาลินระหว่าง 1932-1933 ทำให้ประชาชน 3.9 ล้านอดอาหารตาย

ในปี 1936 ทรอตสกี้ ซึ่งเป็นคนยิวที่เกิดในยูเครนและต้องลี้ภัยจากสตาลินในต่างประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่านโยบายของสตาลินทำลายความเชื่อมั่นของชาวยูเครนต่อรัฐบาลโซเวียตโดยสิ้นเชิง เขาอธิบายต่อว่าผู้นำปฏิกิริยาของยูเครนพยายาม “ขายชาติ” โดยชวนให้ประชาชนไปก้มหัวให้จักรวรรดินิยมต่างๆ ภายใต้คำสัญญาที่ไร้ค่าว่ายูเครนจะได้รับอิสรภาพ ต่อมาในสงครามโลกครั้งที่สองยูเครนกลายเป็นสมรภูมิระหว่างกองทัพนาซีของเยอรมันกับกองทัพของรัสเซีย พวกนาซีซึ่งรวมถึงฝ่ายขวาฟาสซิสต์ของยูเครนเองได้ทำการล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว

หลังการล่มสลายของระบบทุนนิยมโดยรัฐและเผด็จการพรรคคอมมมิวนิสต์ของรัสเซีย คนยูเครนจำนวนมากฝันว่าถ้าหันไปหาอียูกับอำนาจตะวันตกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ในปี 1990 มีการลุกฮือของนักศึกษาที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากรัสเซียในปีต่อไป แต่มีการข้อขัดแย้งว่าใครจะได้ครอบครองอาวุธในฐานทัพของรัสเซียที่ไครเมีย คนส่วนใหญ่ในทางตะวันออกของยูเครนเป็นคนเชื้อสายรัสเซียและอยากอยู่กับรัสเซีย คนทางตะวันตกมักจะมองไปที่อียู ในขณะเดียวกันประชาชนทั่วยูเครนพูดสองภาษาที่บ้านคือรัสเซียกับยูเครน ชาวรัสเซียกับชาวยูเครนใกล้ชิดกันเหมือนคนไทยกับคนลาว

ในปี 1993 ความฝันของประชาชนจำนวนมากที่คิดว่าการหันไปทางตะวันตกและรับกลไกตลาดเสรีจะทำให้ฐานะดีขึ้น ก็กลายเป็นฝันร้ายเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและรัฐบาลใช้นโยบายรัดเข็มขัด ท่ามกลางวิกฤตนี้พวกนักการเมืองฉวยโอกาสก็เริ่มใช้แนวคิดชาตินิยมเพื่อเบี่ยงเบนความไม่พอใจของประชาชน มีทั้งชาตินิยมที่ชอบตะวันตก และชาตินิยมที่ชอบรัสเซีย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจแย่ลงอีกเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008

ในปี 2013 ธนาคารกลางของยูเครนไม่มีเงินเหลือที่จะควบคุมเศรษฐกิจ ผู้นำทางการเมืองพยายามเข้าใกล้อียูเพื่อแก้ปัญหา แต่ในที่สุดประธานาธิบดี Yanukovych เลือกทำข้อตกลงใต้โต๊ะกับปูตินแทนที่จะเซ็นสัญญากับอียู

ประธานาธิบดี Yanukovych เคยถูกขับไล่ออกไปในการลุกฮือ “สีส้ม” ในปี2004 แต่เข้ามาใหม่ในปี 2010 ด้วยการโกงการเลือกตั้ง นี่คือสิ่งที่นำไปสู่การลุกฮือของนักศึกษาที่จัตุรัส Maidan นักศึกษาเหล่านี้มองว่าพวกผู้นำแนวสตาลินเก่าเช่น Yanukovychมักจะโกงกิน

หลังจากการพยายามปราบการลุกฮือที่ Maidan มีผู้ออกมาชุมนุมมากขึ้นและมีหลากหลายกลุ่มที่การเมืองแตกต่างกัน หลายคนอยากล้มรัฐบาลแต่ไม่ชัดเจนว่าต้องการให้ยูเครนใกล้ชิดกับอียูหรือรัสเซีย มันเป็นโอกาสทองที่ทั้งตะวันตกและรัสเซียจะเข้ามาแทรกแซงการเมืองยูเครน ประชาชนทางตะวันตกของประเทศมีแนวโน้มสนับสนุนอียูและนาโต้ พวกนักการเมืองที่มองไปทางตะวันตกมักจะโจมตีประชาชนทางตะวันออกและทางใต้ที่พูดภาษารัสเซีย ว่าเป็นพวก “บุกรุก” ในบรรยากาศแบบนี้พวกกลุ่มฝ่ายขวาจัดก็เพิ่มอิทธิพล และปูตินก็โต้ตอบด้วยการใช้แนวชาตินิยมรัสซียและการเสนอว่ายูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียมานาน

สถานการณ์ความขัดแย้งแบบนี้นำไปสู่การสู้รบระหว่างรัฐบาลส่วนกลางของยูเครนกับประชาชนในแถบ Donbas ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางทหารโดยรัสเซีย คาดว่ามีคนล้มตายจากสงครามกลางเมืองนี้หลายหมื่น ในขณะเดียวกันรัสเซียก็เข้าไปยึด Crimea ซึ่งมีฐานทัพสำคัญของรัสเซีย

โลกหลังสงครามเย็น

หลังการพังลงมาของกำแพงเมืองเบอร์ลิน การสิ้นสุดของสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับรัสเซีย และการล้มละลายของพรรคคอมมิวนิสต์แนว “สตาลิน-เหมา” ในเกือบทุกประเทศของโลกในช่วงปี 1989 มีการจัดระเบียบระบบจักรวรรดินิยมใหม่

ในช่วงนั้นมีนักวิชาการและนักเขียนฝ่ายขวาหลายคนที่มองว่า เราถึง “จุดจบแห่งประวัติศาสตร์” หรือถึง “จุดจบแห่งความขัดแย้ง” หรือถึง “จุดอวสานของรัฐชาติ” เพราะระบบทุนนิยมตลาดเสรีแบบโลกาภิวัตน์ได้สร้างเครือข่ายทุนและไฟแนนส์ไปทั่วโลก และสร้างความผูกขาดของลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) ผ่านการกดดันและบังคับให้รัฐบาลต่างๆ นำนโยบายกลไกตลาดเสรีมาใช้ ซึ่งนำไปสู่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชน และการลดค่าใช้จ่ายรัฐที่เป็นประโยชน์ต่อคนจนและคนทำงานธรรมดา

นักเขียนฝ่ายซ้ายชื่อดัง สายอนาธิปไตย อันโตนิโอ เนกรี กับ ไมเคิล ฮาร์ท ก็เสนอว่ารัฐชาติกำลังจะหายไป และระบบจักรวรรดินิยมที่มีศูนย์กลางในประเทศใหญ่อย่างสหรัฐไม่มีแล้ว เขาเสนอต่อว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ปลอดความขัดแย้งระหว่างประเทศ

แต่พวกเราในกลุ่มและพรรคฝ่ายซ้ายสายมาร์คซิสต์มักจะมองต่างมุม และเสนอว่าจักรวรรดินิยมและความขัดแย้งระหว่างประเทศยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนลักษณะไปเท่านั้น และสงครามกับความขัดแย้งระหว่างประเทศก็เกิดขึ้นจริงอย่างต่อเนื่องตามที่เราคาดไว้

สถานการณ์หลังวิกฤตโลกปี 2008 นำไปสู่ “สงครามทางการค้า” คู่อริใหญ่คือสหรัฐกับจีน เพราะจีนเริ่มท้าทายอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐผ่านการใช้นโยบายพัฒนาเทคโนโลจีที่ก้าวหน้าและทันสมัยที่สุด บริษัท หัวเว่ย (Huawei) เป็นตัวอย่างที่ดี

ในขณะเดียวกันเราทราบดีว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจผูกพันอย่างใกล้ชิดกับการใช้นโยบายทางทหารของรัฐต่างๆ ซึ่งชาวมาร์คซิสต์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “จักรวรรดินิยม” ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐมีแง่ของความขัดแย้งทางทหารด้วย โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้

ถ้าจะเข้าใจสถานการณ์ในทะเลจีนตอนใต้ เราจะเห็นว่ารากฐานความขัดแย้งมาจากการที่ทุนนิยมจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนจีนกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก และแซงหน้าญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันสหรัฐ ซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกทางทหารและเศรษฐกิจ เริ่มถอยหลังและประสบปัญหาทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจ

สหรัฐแพ้สงครามในอิรักกับอัฟกานิสถาน เพราะไม่สามารถครอบครองและรักษาอิทธิพลระยะยาวในทั้งสองประเทศ อหร่าน อดีตศัตรูของสหรัฐ มีการเพิ่มอิทธิพลในพื้นที่ และในหลายประเทศของตะวันออกกลางมีสงครามต่อเนื่องขณะที่องค์กรอย่าง “ไอซิล” ก็เพิ่มบทบาท

เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 อย่างหนัก และการขยายตัวของเศรษฐกิจหลังจากนั้นล้าช้า ญี่ปุ่นยิ่งมีปัญหาหนักกว่าสหรัฐอีก

ในอดีตสหรัฐจะพยายามคุมอิทธิพลในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีน ด้วยกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ชนชั้นปกครองจีนมองว่าจีนต้องสร้างกองทัพเรือและฐานทัพในทะเลจีน เพื่อปกป้องเส้นทางการค้าขายทางทะเลที่มีความสำคัญกับจีน การขยายตัวทางทหารของจีนในทะเลจีนจึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับสหรัฐและหลายประเทศรอบข้าง มีการสร้างแนวร่วมทางการทูตและทหารใหม่ขึ้นมา จีนจับมือกับรัสเซียอีกครั้ง สหรัฐจับมือกับเวียดนามและขยายบทบาททางทหารในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ มันเป็นสถานการณ์ที่อันตรายเพราะถ้าเกิดการปะทะกันระหว่างสองประเทศใด ประเทศอื่นๆ จะถูกลากเข้ามาในความขัดแย้ง และในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา รวมถึงเศรษฐกิจจีน การแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

การบุกยูเครนของรัสเซียปีนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการคาดการณ์ของปูตินว่าสหรัฐอ่อนแอลง และการเผชิญหน้ากับรัสเซียโดยสหรัฐกับพันธมิตร มากจากความต้องการของสหรัฐที่จะพิสูจน์กับจีนว่าสหรัฐยังมีอำนาจอยู่ จะเห็นว่าทุกส่วนของโลกหนีไม่พ้นอิทธิพลของความขัดแย้งในระบบจักรวรรดินิยม

แน่นอนท่ามกลางความขัดแย้งและสงคราม ชนชั้นปกครองประเทศต่างๆ พยายามสร้างความชอบธรรมกับฝ่ายตนเอง เช่นการเสนอว่าตะวันตกขัดแย้งกับรัสเซียเพราะตะวันตกเป็นประชาธิปไตยและรัสเซียเป็นเผด็จการ ซึ่งไม่ต่างจากข้ออ้างเรื่อง “โลกเสรี” ที่เผชิญหน้ากับ “คอมมิวนิสต์” ในสงครามเย็น แต่ในความเป็นจริง “โลกเสรี” ของตะวันตกมักจะรวมเผด็จการโหดในหลายประเทศที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และทุกวันนี้นาโต้กับตะวันตกก็สนับสนุนการทำสงครามโดยเผด็จการอย่างซาอุหรืออิสราเอล ความขัดแย้งระหว่างรัฐในระบบจักรวรรดินิยมโลกมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับลัทธิทางความคิดเลย

การยุติสงครามโดยประชาชน

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติเพราะมีการปฏิวัติล้มชนชั้นปกครองในรัสเซียและเยอรมัน และทหารอังกฤษกับฝรั่งเศสเบื่อหน่ายกับสงครามไม่พร้อมจะสู้ต่อ

สงครามเวียดนามยุติลงเพราะทหารอเมริกาไม่พร้อมจะรบต่อไปท่ามกลางการประท้วงต้านสงครามในสหรัฐและที่อื่นๆ

สงครามในอิรักและอัฟกานิสถานยุติลงเพราะคนในประเทศเหล่านั้นไม่ยอมอยู่ต่อภายใต้อำนาจสหรัฐ สหรัฐจึงบริหารปกครองประเทศไม่ได้

การเรียกร้องให้จักรวรรดิยมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามาแทรกแซงทางทหารจะไม่นำไปสู่สันติภาพ แต่จะนำไปสู่การขยายสงครามต่างหาก คำตอบต้องอยู่ที่ประชาชนชั้นล่าง

ทุกวันนี้ประชาชนชาวรัสเซียส่วนหนึ่ง ไม่ยอมเชื่อคำโกหกของปูติน และออกมาประท้วงต่อต้านสงครามทั้งๆ ที่ถูกรัฐบาลรัสเซียปราบและข่มขู่ ทุกวันนี้ประชาชนยูเครนก็ออกมาแสดงความไม่พอใจกับการเข้ามาของทหารรัสเซีย ดังนั้นพวกเราในทุกประเทศของโลกจะต้องพยายามสร้างขบวนการต้านสงครามของทุกฝ่าย และสมานฉันท์กับคนในประเทศอื่นที่ต้านสงคราม ในไทยการต่อต้านพลังทหารและสงคราม แยกออกไม่ได้จากการต่อต้านเผด็จการทหารของประยุทธ์และการทำรัฐประหาร และแยกออกไม่ได้จากการที่ทหารไทยกำลังยึดครองปาตานี

ใจอึ๊งภากรณ์

อนาคตของอัฟกานิสถานหลังตาลิบันชนะตะวันตก

ไม่มีใครสามารถทำนายด้วยความมั่นใจว่าอนาคตของอัฟกานิสถานหลังความพ่ายแพ้ของจักรวรรดินิยมตะวันตกจะเป็นอย่างไร แต่เราสามารถตั้งข้อสังเกตสำคัญๆ ได้ดังนี้

ตาลิบันสามารถครองใจประชาชนจำนวนมาก เพราะในพื้นที่ที่เขาคุมเขาใช้ระบบยุติธรรมที่เป็นธรรม ส่วนในพื้นที่ที่รัฐบาลหุ่นของสหรัฐคุม ระบบยุติธรรมเต็มไปด้วยการคอร์รับชันและการเล่นเส้นเล่นสาย จนพูดได้ว่าไม่มีความยุติธรรมเลย นอกจากนี้ประชาชนในชนบทเกลียดชังตะวันตกเพราะมีการทิ้งระเบิดทำลายชุมชนอย่างต่อเนื่อง

ตาลิบันยึดอำนาจได้ โดยไม่มีเหตุนองเลือดและไม่ต้องสู้รบ เพราะตาลิบันเจรจาทำข้อตกลงกับกลุ่มอำนาจในชุมชนและเมืองต่างๆ หลายฝ่าย และสัญญาว่าจะยุติสงคราม กลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ยอมให้ตาลิบันยึดอำนาจเพราะมองไม่ออกว่าอดีตรัฐบาลจะชนะตาลิบันอย่างไร และทหารของรัฐบาลเก่าก็หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ แต่การทำสัญญากับหลายกลุ่มที่เคยอยู่ข้างสหรัฐและอังกฤษมีข้อเสีย เพราะพวกนั้นคงหวังผลประโยชน์เป็นการตอบแทน และเขาเป็นพวกที่มีประวัติการคอร์รับชันสูง ถ้าตาลิบันต้องปกครองร่วมกับพวกนี้ในที่สุดจะเสี่ยงกับการเสียฐานสนับสนุนจากคนธรรมดาในชนบท

ตาลิบันมีการดึงชาวอัฟกันหลายเชื้อชาติเข้ามาร่วมขบวนการ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่เน้นกลุ่มเชื้อชาติเดียว ซึ่งทำให้ตาลิบันขยายฐานอำนาจได้ ในขณะเดียวกันพวกขุนศึกที่เคยคุมหลายพื้นที่ก็หมดอำนาจลงไป

อัฟกานิสถานเป็นประเทศยากจนที่มีความเหลื่อมล้ำในเรื่องที่ดินสูงมาก รัฐบาลต่างๆ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อการปฏิรูปที่ดิน ในอนาคตถ้ารัฐบาลตาลิบันสามารถปฏิรูปที่ดินเพื่อให้คนจนในชนบทมีที่ดินของตนเองก็จะสามารถครองใจประชาชนจำนวนมาก แต่ถ้าตาลิบันต้องสร้างรัฐบาลที่ประกอบไปด้วยแนวร่วมจากกลุ่มที่เคยสนับสนุนสหรัฐ พวกนี้จะกีดกันการปฏิรูปที่ดินเพราะขัดกับผลประโยชน์ชนชั้นตนเอง ซึ่งถ้าตาลิบันล้มเหลวในการปฏิรูปที่ดินประชาชนในชนบทจะเริ่มไม่พอใจมากขึ้น

ในเรื่องสิทธิสตรี ซึ่งเป็นข้ออ้างเท็จของตะวันในการบุกและยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อยี่สิบปีก่อน โฆษกตาลิบันออกมาพูดว่าอยากให้สตรีมีบทบาทในสังคมการเมือง แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตาลิบันเปลี่ยนความคิดจริงหรือแค่โกหก การกดขี่สตรีของตาลิบันมาจากลัทธิศาสนาสายอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นรากฐานการก่อตั้งขบวนการแต่แรก มันเป็นลัทธิที่มาควบคู่กับความคิดกู้ชาติจากรัสเซีย ตะวันตก และขุนศึกอัฟกัน

จักรวรรดินิยมตะวันตกไม่เคยสนใจสิทธิสตรีในรูปธรรมเลย เพราะทำแนวร่วมและขายอาวุธให้ประเทศที่กดขี่สตรีหนักๆ อย่างซาอุดิอาระเบีย และในสหรัฐเองสิทธิทำแท้งเสรีก็ถูกรัฐคุกคามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในรูปธรรมกองทัพของจักรววรดินิยมตะวันตกในอัฟกานิสถาน แสดงความสมานฉันท์กับสตรีอัฟกันในชนบทด้วยการทิ้งระเบิดหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งทำให้พลเรือนทั้งหญิงและชายล้มตายจำนวนมาก

สตรีในอัฟกานิสถานสามารถปลดแอกตนเอง ไม่ต่างจากสตรีที่อื่น แต่แน่นอนต้องใช้เวลา และต้องได้รับความสมานฉันท์จากชาย แต่สิ่งที่ชัดเจนคือไปหวังพึ่งจักรวรรดินิยมตะวันตกไม่ได้

ดูเหมือนตาลิบันอยากจะไปจับมือกับรัฐบาลจีน จีนต้องการเห็นความมั่นคงในอัฟกานิสถานและต้องการปกป้องการลงทุนในเรื่องพลังงานในภูมิภาคนี้ ถ้าตาลิบันผูกมิตรกับจีน ก็คงจะทำเพื่อหวังคานอำนาจตะวันตก แต่ทั้งจีน รัสเซีย สหรัฐและอังกฤษก็ล้วนแต่เป็นจักรวรรดินิยมทั้งนั้น จีนคงจะเรียกร้องให้ตาลิบันเลิกสนับสนุนชาวมุสลิมในจีนที่ถูกรัฐบาลกดขี่อีกด้วย เช่นชาวอุยกูร์

ขอย้ำอีกครั้งว่าชาวมาร์คซิสต์ไม่ได้สนับสนุนตาลิบันแต่อย่างใด เรามองว่าตาลิบันเป็นขบวนการอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวา ซึ่งเกิดขึ้นจากการแทรกแซงของจักรวรรดินิยมตะวันตกและเคยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐในอดีต แต่เราดีใจที่จักรวรรดินิยมสหรัฐและอังกฤษแพ้สงครามในอัฟกานิสถาน เพราะเราคัดค้านสงครามจักรวรรดินิยมทุกรูปแบบ ชาวอัฟกันจะมีเสรีภาพได้เมื่อปลดแอกตนเอง ไม่ต่างจากในไทย คนไทยจะมีเสรีภาพได้ก็ต้องปลดแอกตนเองเช่นกัน

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม https://bit.ly/3B0k0bw  

การปฏิวัติชาตินิยมของเหมาเจ๋อตุง

ใจ อึ๊งภากรณ์

ผู้นำจีนเคยอ้างเสมอว่าการปฏิวัติของ เหมาเจ๋อตุง ในปี 1949 เป็นการปฏิวัติ “สังคมนิยม” และพรรคคอมมิวนิสต์ของไทยเราก็เคยเชื่อทำนองนี้เหมือนกัน แต่ในการปฏิวัติของ เหมาเจ๋อตุง ชนชั้นกรรมาชีพจีนไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใดเลย

แท้จริงแล้วการปฏิวัติจีน เป็นการปฏิวัติชาตินิยม ที่อาศัยกองกำลังชาวนาแต่นำโดยปัญญาชนที่เป็นแกนนำของพรรคคอมมิวนิสต์

mao-zedong-1

ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมักอ้างว่าสาเหตุที่การปฏิวัติจีนอาศัยกองทัพของชาวนา ก็เพราะจีนแตกต่างจากประเทศในยุโรปตรงที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวนา แต่เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น

ในรัสเซียสมัยปฏิวัติสังคมนิยมที่นำโดยชนชั้นกรรมาชีพในปี 1917 รัสเซียเป็นประเทศด้อยพัฒนา มีชาวนาถึง 160 ล้านคน และกรรมาชีพเพียง 3 ล้านคน (จีนในปี 1918 มีกรรมาชีพถึง 11 ล้านคน) แต่ เลนิน เข้าใจดีว่าชาวนาสร้างสังคมนิยมไม่ได้  เพราะชาวนาเสมือนผู้ประกอบการรายย่อยแบบปัจเจกชน ที่ไม่ต้องการรวมพลังการผลิตของทุนนิยมสมัยใหม่ไว้ภายใต้การควบคุมของส่วนรวม

e473d155df92683097a487b44f77dc23_w479_h293

นอกจากนี้การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนหันมาใช้กองทัพของชาวนาก็เพราะความผิดพลาดของพรรคเอง ที่ไปรวมตัวเข้ากับพรรค ก๊กมินตั๋ง ของนายทุนจีน ซึ่งจบลงด้วยการปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างโหดร้ายป่าเถื่อนในปี 1927 ความผิดพลาดนี้มาจากนโยบายการสร้างแนวร่วมกับนายทุนของสตาลินในรัสเซียที่เสนอต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ

หลังจากที่ถูกปราบ พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้เหมาจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองไปหาชาวนา ถ้าเปรียบเทียบกับพรรค บอลเชอร์วิค ของเลนิน  จะเห็นได้ว่า เลนินปฏิเสธแนวร่วมกับนายทุนตลอด    และเมื่อพรรคของเลนินถูกปราบปราม จะไม่หนีออกไปหาชาวนา แต่จะหลบซ่อนอยู่กับกรรมาชีพตามเมืองหรือบางครั้งหนีออกนอกประเทศ

ในวันที่ 11 มกราคม 1949 เพียง 9 เดือนก่อนชัยชนะ ของเหมาในจีน พรรคจีนมีคำสั่งกับกรรมาชีพดังนี้

“เราหวังว่ากรรมกรและพนักงานต่างๆ คงจะทำงานต่อไปอย่างปกติ เจ้าหน้าที่ของพรรคก๊กมินตั๋งในทุกระดับและตำรวจ จะต้องทำหน้าที่ต่อไปและเชื่อฟังคำสั่งจากกองทัพปลดแอก…”

maozedong1949.xinhua

ข้อสรุปคือ การปฏิวัติจีนในปี 1949 เป็นการปฏิวัติแบบ “ชาตินิยมกู้ชาติ” ไม่ใช่การปฏิวัติสังคมนิยม และหลังการปฏิวัติ ผู้ครองอำนาจจริงคือผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาไม่มีส่วนในการปกครองตนเองเลย ที่เห็นได้ชัดคือ หลังการปฏิวัติจีนไม่มีการตั้ง “สภาคนงาน” หรือแม้แต่ “สภาชาวนา”  กลไกในการปกครองตนเองจึงไม่มี ลักษณะแท้ของรัฐจีนคือ เผด็จการของพรรคข้าราชการเหนือประชาชน

การปฏิวัติยึดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สำเร็จได้เพราะพรรคนายทุนจีนในพรรคก๊กมินตั๋ง หมดสภาพ และญี่ปุ่นพึ่งแพ้สงคราม

ชัยชนะของ เหมาเจ๋อตุง นำไปสู่การปลดแอกจีนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาเกรงกลัวว่า “คอมมิวนิสต์” จะยึดโลก     และที่สำคัญคือชัยชนะของ เหมาเจ๋อตุง เปิดประตูให้มีการพัฒนาประเทศภายใต้ระบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ซึ่งในที่สุดทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจอย่างที่เห็นทุกวันนี้

แต่สำหรับกรรมาชีพและเกษตรกรจีน การกดขี่ขูดรีดยังไม่สิ้นสุด

ทุนนิยมโดยรัฐในจีน

หลังการปฏิวัติ การบริโภคของประชาชนผู้ยากจน มีความสำคัญน้อยกว่าการผลิตเพื่อสะสมทุนโดยรัฐ ซึ่งเห็นได้จากข้อมูลสัดส่วนของรายได้ชาติที่นำไปลงทุนในอุตสาหกรรม ในปี 1952 การลงทุนใช้รายได้ของชาติประมาณ 15.7% และปี 1956 ใช้ ถึง 22.8 %  และการลงทุนในการผลิตอาวุธใช้ 18.1% ของรายได้ชาติในปี 1952 และในปี 1955 เพิ่มถึง 16.2% ในเมื่อจีนมีภาระในการลงทุนทางอุตสาหกรรมและการลงทุนทางทหารสูง แน่นอนรายได้ของกรรมาชีพย่อมเพิ่มช้ากว่าอัตราการผลิต ซึ่งถือว่าการขูดรีดแรงงานในยุคนี้ค่อนข้างสูง

ถ้าเราตรวจดูข้อมูลที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของกรรมาชีพกับรายได้ของคนงาน จะเห็นว่าอัตราการขูดรีดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 1953, 1954 และ 1955 ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น 13%, 15% และ 10% แต่ค่าแรงเพิ่มแค่ 5%, 2.6% และ 0.6% ตามลำดับ

การขูดรีดชาวนายิ่งหนักกว่าการขูดรีดแรงงานอุตสาหกรรมอีก  ระหว่างกรกฎาคม 1954 ถึง มิถุนายน 1955 รัฐได้เก็บภาษีในรูปแบบข้าวสารและผลิตผลอื่นๆ 52 ล้านต้น หรือ 30% ของผลิตผลเกษตรทั้งหมดของชาติ

ในระบบทุนนิยมโดยรัฐ รัฐข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมและการผลิตอาวุธ เพื่อสร้างจีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ ในขณะที่กรรมาชีพและเกษตรกรถูกขูดรีดอย่างหนักเพื่อการสะสมทุนดังกล่าว ระบบนี้ไม่ใช่สังคมนิยม แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของทุนนิยม

ความผิดพลาดของ เหมา หลังการปฏิวัติ

เหมาเจ๋อตุง อาจนำการปฏิวัติชาตินิยมจีนถึงจุดสำเร็จ แต่ในการบริหารประเทศภายหลัง เหมาไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง ในปี 1958 เหมาเสนอให้แก้ปัญหาความด้อยพัฒนาของจีนด้วยวิธีทาง “จิตใจ” เหมาเสนอให้มีการ “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” เพื่อให้จีนทันตะวันตกภายใน5-7ปี!! ไม่มีการคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจจีนแต่อย่างใด วิธีการที่เหมาใช้คือการรณรงค์ให้คนงานทำงานวันละ 18 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด ยกเลิกการพักกินข้าว บังคับให้ชาวนาทำนาร่วม และสร้างเตาหลอมเหล็กในทุกหมู่บ้าน ผลของการ “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” คือเศรษฐกิจจีนพัง คนอดตาย 20 ล้านคน และในที่สุดผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์พยายามกีดกันไม่ให้เหมามีบทบาทในการนำอีก

แต่เหมาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในปี 1966 เหมาจึงหันมาปลุกระดมคนหนุ่มสาวไฟแรงที่ไม่พอใจกับเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์ซึ่งเริ่มมีลักษณะแบบขุนนาง มีการตั้งกองกำลังแดง และมีการเชิดชูเหมาเหมือนพระเจ้า ผลของ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสงครามภายในพรรคคอมมิวนิสต์ คือเกิดสงครามกลางเมืองทั่วประเทศ เศรษฐกิจยิ่งทดถอย และในที่สุดผู้นำจีนต้องใช้กองทัพในการปราบปรามกองกำลังแดงและคนหนุ่มสาว คาดว่าตายเป็นหมื่นและคนหนุ่มสาว 17 ล้านคนถูกส่งไป “อบรมใหม่” ในชนบท เรื่องราวของยุคสมัยนั้นหาอ่านได้ในหนังสือหลายเล่มเช่นเรื่อง หงษ์ป่า

chinese-red-guards

เหมาอาจชนะการปฏิวัติวัฒนธรรมชั่วคราว แต่เมื่อเหมาตายในปี 1976 พรรคพวกของเขา ที่เรียกกันภายหลังว่า “แก๊งสี่คน” ก็ถูกกำจัดไปและ เติ้ง เสี่ยว ผิง ก็ขึ้นมามีอำนาจ สองปีต่อมามีการประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ คือหันหน้าเข้าสู่กลไกตลาดเสรีนั้นเอง

ปัจจุบันจีนเป็นประเทศทุนนิยมตลาดเสรีภายใต้เผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์

tiananmen-square

ในปี 1989 หลังกำแพงมืองเบอร์ลินถูกพังทลาย สงครามเย็นก็สิ้นสุดลงท่ามกลางการล่มสลายของเผด็จการคอมมิวนิสต์แนวสตาลินในรัสเซียและยุโรปตะวันออก นักศึกษาและกรรมาชีพจีนที่ไม่พอใจกับสภาพความเป็นอยู่มานานจึงได้กำลังใจและออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน  มีการร้องเพลง “แองเตอร์นาซิอองนาล” ของฝ่ายสังคมนิยม ซึ่งสะท้อนว่านักศึกษาส่วนหนึ่งผิดหวังกับรัฐบาลจีนที่ไม่สร้างสังคมนิยมจริงๆ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน แต่เผด็จการพรรคคอมิวนิสต์ใช้กำลังทหารปราบปรามนักศึกษาและกรรมาชีพอย่างรุนแรง

image

กรรมาชีพจีนในสมัยนี้

ระหว่างปี 1978 และ 2015 คนรวยที่สุด10% ในจีน เพิ่มการครองสัดส่วนของรายได้ชาติ จาก 27% เป็น41% ในขณะที่คนธรรมดาที่จนที่สุด 50% ของประเทศ ครองสัดส่วนของรายได้ชาติลดลง จาก 27% เหลือเพียง 15% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุนนิยมกลไกตลาดเสรีในจีนมีผลในการเพิ่มความเหลื่อมล้ำอย่างถึงที่สุด

ในยุคปัจจุบัน กรรมาชีพจีนมีประมาณ 800 ล้านคน ซึ่งกระจุกอยู่ตามเมืองสำคัญๆ เขตอ่าวแม่น้ำไข่มุก มีประชากร 69 ล้านคน เขตนี้เป็นศูนย์กลางการผลิตของบริษัทไอที และการประกอบรถยนต์ โดยที่เชื่อมโยงกับระบบไฟแนนส์และท่าเรือของฮ่องกง เศรษฐกิจในเขตนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนโตกว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซีย และมีการดึงเกษตรกรจากชนบทมาเป็นกรรมาชีพเป็นล้านๆ คน

China-Inequality

อย่างไรก็ตามทั้งๆ ที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ความเหลื่อมล้ำในถูมิภาคนี้สูงมาก และคนงานใหม่ที่อพยพเข้ามาจากชนบท 63.8% ต้องทำงาน 7 วันโดยไม่มีวันหยุด โดยชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์เฉลี่ยประมาณ 56 ชั่วโมง

สภาพเช่นนี้นำไปสู่การฆ่าตัวตายในโรงงาน Foxconn แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือนำไปสู่การต่อสู้ของกรรมาชีพ ในหนึ่งปีที่ผ่านมามีการนัดหยุดงานเกิดขึ้น 1,100 ครั้ง เกือบครึ่งหนึ่งในภาคก่อสร้าง และนักศึกษาจีนจาก 20 มหาวิทยาลัยก็มาสนับสนุนช่วยคนงานทั้งๆ ที่มักโดนปราบปรามจากรัฐ

headley_chinaprotests_rtr2uqft

อนาคตของการสร้างเสรีภาพ ความเท่าเทียม และประชาธิปไตยในจีน อยู่ในมือของกรรมาชีพและนักศึกษา

ดอนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำอะไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

หลายคนอาจมองว่า ดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำ “สติเสีย” เพราะมักจะมีการกลับคำเสมอ พร้อมจะโกหกแบบหน้าด้าน และนโยบายของเขาดูเหมือนไม่มีการวางแผนล่วงหน้า จึงขัดแย้งในตัวเอง หรือไร้เหตุผลทางปัญญา แต่คนที่มองแบบนี้ประเมิน ทรัมป์ ต่ำเกินไป

แน่นอน ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐที่เลวร้ายที่สุดคนหนึ่ง เพราะต่อต้านสิทธิสตรี อวดว่าตนเองละเมิดผู้หญิงหลายคน และในขณะนี้กำลังหาทางที่จะยกเลิกสิทธิทำแท้งในสหรัฐผ่านการแต่งตั้งผู้พิพากษาอนุรักษ์นิยมปฏิกิริยาสุดขั้ว ในเรื่องสิทธิมนุษยชน ทรัมป์ เป็นคนที่เหยียดคนที่ไม่ใช่คนผิวขาวชาวอเมริกัน เขาพูดจาดูถูกคนจากประเทศอื่น เช่นชาวเม็กซิโก ว่าเป็นพวก “ขี้ขโมย” ที่นำอาชญากรรมเข้าประเทศ เขาดูถูกคนพื้นเมืองอเมริกัน และคัดค้านคนที่อพยพเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งๆ ที่พ่อแม่ของ ทรัมป์ เองไม่ได้เกิดที่สหรัฐ นอกจากนี้ ทรัมป์ พร้อมจะอุดหนุนทุนใหญ่ของสหรัฐ เช่นทุนพลังงานหรือการเกษตร โดยการปิดหูปิดตาถึงปัญหาโลกร้อนและการที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลายจากมลพิษ และถ้าแค่นี้ไม่พอ ทรัมป์ เป็นคนที่พร้อมจะก่อให้เกิดสงครามทั่วโลก เช่นในตะวันออกกลาง โดยไม่ห่วงใยเพื่อนมนุษย์

ทรัมป์ ชอบอ้างว่าเป็นมิตรของคนทำงานธรรมดาในสหรัฐที่ต้องยากลำบาก แต่ในรูปธรรมนโยบายของเขาหนุนแต่ทุนใหญ่และคนรวยในขณะที่ทำลายความมั่นคงของคนธรรมดา เช่นนโยบายการลดภาษีให้กลุ่มทุน หรือการพยายามทำลายระบบสาธารณสุขสำหรับประชาชน

ในการเดินทางมายุโรปเมื่อเดือนที่แล้ว เราเห็นความพยายามของ ทรัมป์ ที่จะเปิดศึกกับนักการเมืองและพรรคการเมืองกระแสหลักแบบเสรีนิยม โดยเฉพาะ อังเกลา แมร์เคิล ในเยอรมัน และ ทะรีซา เมย์ ในอังกฤษ เป้าหมายของ ทรัมป์ คือการสร้างความปั่นป่วน ทำลายพรรคกระแสหลัก และลดอิทธิพลของ อียู (สหภาพยุโรป)

ทรัมป์ เชื่อว่าองค์กรที่สหรัฐเคยสร้างและสนับสนุนในอดีต เช่น อียู นาโต้ (องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ) และองค์กรการค้าระหว่างประเทศ (WTO) ทำให้สหรัฐเสียเปรียบ เขาไม่พอใจที่ เยอรมัน มีดุลการค้ากับสหรัฐสูง และไม่ยอมเพิ่มงบประมาณทางทหาร โดยที่ ทรัมป์ เชื่อว่าประเทศต่างๆ ใน อียู อาศัย “ร่ม” ทางทหารของสหรัฐ โดยไม่ยอมจ่าย

5aca2cf0dda4c817528b458c

การเปิดศึกทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐกับจีนและอียู มาจากแนวคิดเดียวกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ของกลุ่มทุนสหรัฐ แต่มันเป็นยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างจะเสี่ยง และคุมยาก เพราะประสบการณ์จากอดีต สมัยวิกฤตเศรษฐกิจโลก 1930 ชี้ให้เห็นว่าการปิดกั้นทางการค้าของทุกฝ่ายทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศได้รับผลเสีย และนายทุนสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากการโต้ตอบของจีนและอียูในสมัยนี้ ก็คงไม่พอใจอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นทั้งสหรัฐ อียู และจีน ผูกพันกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องการลงทุนและการถือหุ้นในบริษัทข้ามชาติต่างๆ และตลาดจีนมีความสำคัญกับสหรัฐไม่น้อย ดังนั้นการปิดประเทศโดย ทรัมป์ คงทำไม่ได้

อีกสาเหตุสำคัญที่ ทรัมป์ โจมตีพรรคเสรีนิยมกระแสหลัก ก็เพราะเขามีเป้าหมายร่วมกับพรรคฝ่ายขวากึ่งฟาสซิสต์ในยุโรป ที่จะผลักดันการเมืองโลกไปทางขวา ซึ่งเขามองว่าจะเป็นประโยชน์กับฐานเสียงตนเองในสหรัฐ

ดังนั้นเราเห็น ทรัมป์ พูดจาด่าผู้ลี้ภัยและคนที่อพยพหนีความยากจนมาสู่ยุโรป ในลักษณะที่ไม่ต่างเลยจากพวกฟาสซิสต์ที่อยู่ในรัฐบาล อิตาลี่ ออสเตรีย และฮังการี่ ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็พูดจาสนับสนุนกลุ่มขวาจัดในสหรัฐด้วย อย่างไรก็ตามเราต้องเข้าใจว่า ทรัมป์ ไม่ใช่ ฟาสซิสต์ แต่เพียงแต่ต้องการที่จะส่งเสริมการเมืองฝ่ายขวา

FRANCE-US-POLITICS-FN-PARTY-CONGRESS
สตีฟ แบนนอน กับหัวหน้าพรรคฟาสซิสต์ฝรั่งเศส

ที่น่ากังวลคือ สตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาคนโปรดของ ทรัมป์ ได้ตั้งองค์กรใหม่ขึ้นในยุโรป เพื่อให้ทุนอุดหนุนกลุ่มฟาสซิสต์ต่างๆ ในทุกประเทศของยุโรป

US-POLITICS-TRUMP-STAFF

จะเห็นได้ว่าการมีประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สนับสนุนพวกฟาสซิสต์ในยุโรปและสหรัฐ ในบรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียดเพราะผลของนโยบายรัดเข็มขัดสร้างความไม่พอใจทั่วไปในหมู่ประชาชนจำนวนมาก เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง และเสี่ยงกับการเพิ่มกระแสเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ กับกระแสฟาสซิสต์โดยทั่วไป

การเน้นแนวคิดเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว เป็นวิธีหนึ่งที่ชนชั้นปกครองใช้ในการเบี่ยงเบนประเด็นความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายรัดเข็มขัดที่เริ่มหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายซ้ายและผู้รักความเป็นธรรมในหลายประเทศจะต้องออกมารับมือ วิธีรับมือคือการต่อต้านพวกฟาสซืสต์ และการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อระงับนโยบายรัดเข็มขัด เช่นด้วยการนัดหยุดงานและเรียกร้องค่าจ้างสวัสดิการเพิ่ม เพราะถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายแบบนี้ ยุโรปและสหรัฐจะเข้าสู่ยุคมืด

20180715_135530

[บทความนี้อาศัยข้อมูลจากบทความของ Alex Callinicos ในหนังสือพิมพ์ Socialist Worker]

อุปสรรคในการขยายตัวของจีน

[ท่านใดที่อ่านผ่าน Facebook อาจอ่านได้ง่ายขึ้นถ้าเข้าไปอ่านในบล็อก ]

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีนในอัตราเฉลี่ยปีละ 10% ทำให้จีนกลายเป็นประเทศส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเศรษฐิจจีนโตเป็นอันดับสองของโลก แต่การขยายตัวดังกล่าวไม่ได้เกิดจากพลวัตของกลไกตลาดเสรีอย่างที่ทฤษฏีเสรีนิยมมักจะทำนาย แต่มาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐต่างหาก ทั้งในส่วนของรัฐวิสาหกิจและนโยบายของรัฐที่ควบคุมและกำกับธุรกิจเอกชน

135591304_14710448465461n

ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤต 2008-9 33% มาจากการขยายตัวของจีน และตั้งแต่ปี 1978 จำนวนกรรมาชีพจีนก็เพิ่มขึ้น 5 แสนล้านคน ซึ่งชนชั้นนี้มีพลังซ่อนเร้นที่จะท้าทายเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์

ในแผนเศรษฐกิจ “สร้างในจีน 2025” มีการพยายามพัฒนาเทคโนโลจีสมัยใหม่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งดึงนักวิทยาศาสตร์ชั้นดีจากทั่วโลก เมื่อสิบปีก่อนจีนไม่มีรถไฟความเร็วสูง แต่ตอนนี้มีเส้นทางรถไฟสำหรับรถไฟความเร็วสูงมากที่สุดในโลก แต่รัฐบาลสหรัฐกำลังพยายามสร้างอุสรรคกับการพัฒนาเทคโนโลจีของจีน โดยห้ามไม่ให้บริษัทอเมริการร่วมมือด้วย

1017225341

ทุนนิยมจีนไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดและปัญหาของระบบทุนนิยมอย่างที่คาร์ล มาร์คซ์เคยอธิบายในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” กลุ่มทุนรัฐของจีนต้องแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดทั่วโลก ซึ่งแปลว่าต้องมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้นำจีนได้จัดการให้มีการลงทุนเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าการผลิตทั้งหมดของประเทศ ถ้าเทียบกับประเทศตะวันตกอัตราการลงทุนเท่ากับเพียง 20% ของผลผลิต แต่การลงทุนที่ขยายตัวเรื่อยๆ มีผลในการเพิ่มการลงทุนในเครื่องจักรในอัตราที่สูงกว่าการลงทุนในการจ้างงาน และเนื่องจากกำไรมาจากการจ้างงาน ผลคืออัตรากำไรต่อการลงทุนมีแนวโน้มจะลงลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ทำให้จีนเสี่ยงกับวิกฤตเศรษฐกิจ ในหลายส่วนของเศรษฐกิจจีน เช่นในการพัฒนาสาธารณูปโภคหรือการขนส่ง ประสิทธิภาพในการผลิตและผลกำไรจะต่ำ รัฐวิสาหกิจจีนได้รับ 33% ของการลงทุนทั้งหมด แต่มีส่วนในการผลิตแค่ 10% ของมูลค่าทั้งหมดของชาติ

รัฐวิสาหกิจยังมีความสำคัญสำหรับรัฐบาลในการเป็นฐานเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์ในหมู่ผู้บริหาร และในการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคและการขนส่ง ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้รัฐวิสาหกิจมีความสำคัญในการรักษาไม่ให้คนงานตกงานในภูมิภาคที่ยากจนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอีกด้วย

กลุ่มทุนใหญ่ของจีนส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งนับเป็น 80% ของมูลค่าทั้งหมดในตลาดหุ้น และภายใต้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง บริษัทเอกชน IT ขนาดใหญ่ เช่น Tencent กับ Ali Baba ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยรัฐ และถูกบังคับให้ลงทุนในรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้กิจกรรม “กึ่งธนาคาร” หรือ “ธนาคารเงา” ของบริษัทเอกชนถูกควบคุม เพื่อไม่ให้ระบบธนาคารล้มเหลวและเพื่อพยายามลดปริมาณทุนจีนที่ไหลออกนอกประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามชักชวนให้ทุนเอกชนลงทุนในระบบขนส่งระหว่างจีนกับตลาดในทวีปต่างๆ ของโลกอีกด้วย

แต่เนื่องจากอำนาจทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์มีลักษณะกระจายสู่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมากขึ้น ประสิทธิภาพของรัฐบาลกลางจึงมีข้อจำกัด

ระบบธนาคารของจีนมีปัญหาเรื้อรัง และการที่รัฐบาลจีนใช้การลงทุนของรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโลก 2008-9 สร้างความเสี่ยงสำหรับอนาคต เพราะระดับหนี้ของกลุ่มทุนจีนสูงมาก คืออยู่ในระดับ 160% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในระบบไฟแนนส์ระดับหนี้สูงกว่านี้อีก และประมาณหนึ่งในสามของหนี้ เป็นหนี้เสีย ปรากฏการณ์ฟองสบู่กำลังเกิดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

ชนชั้นปกครองจีนต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่มาตรการที่เขาใช้มาในอดีตทำให้อัตราหนี้พุ่งสูง และการเพิ่มเงินกู้เพื่อการลงทุนมีผลในการขยายการผลิตและเพิ่มกำไรน้อยลงทุกวัน นอกจากนี้เสถียรภาพของเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ที่ครองประเทศมานานเป็นแหล่งเพาะโรคระบาดแห่งการคอร์รับชั่น ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถกำจัดได้ทั้งๆ ที่ประกาศเป็นนโยบายสำคัญ

ในขณะเดียวกันแหล่งแรงงานราคาถูกในชนบทเริ่มหายไปเนื่องจากถูกดึงเข้าไปในเมืองหมดแล้ว ในสถานการณ์การขาดแรงงาน ชนชั้นกรรมาชีพเริ่มเข้าใจอำนาจต่อรองของตนเองที่เพิ่มขึ้น เราเห็นการนัดหยุดงานเพื่มขึ้นในอตสาหกรรมรถยนต์ และล่าสุดครู กับ คนขับรถบรรทุกทั่วประเทศก็มีการประท้วงหยุดงาน

22889682_1502271242.6035

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจภายในแล้ว “สงครามการค้า” และความตึงเครียดทางทหาร ระหว่างจีนกับสหรัฐ ก็เพิ่มความเสี่ยง

ถ้าในอนาคตพรรคคอมมิวนิสต์ไม่สามารถจะประกันฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประชาชน การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยอาจระเบิดขึ้นอีก เพราะข้อตกลงกับประชาชนในรูปแบบ “การแลกสภาพไร้ประชาธิปไตยกับการพัฒนาประเทศ” กำลังจะถูกท้าทาย นี่คือสาเหตุที่เราเห็นรัฐบาลพยายามใช้มาตรการเผด็จการมากขึ้น โดยเฉพาะในสื่อและภายในพรรค

[บทความนี้อาศัยเนื้อหาจากบทความของ Adrian Budd ในวารสาร Socialist Review]

จักรวรรดินิยมกับความขัดแย้งในทะเลจีนใต้

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกวันนี้เราเห็นความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ระหว่างจีน สหรัฐ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยล่าสุด ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮก ตัดสินว่าจีนไม่มีสิทธิ์เหนือหมู่เกาะและปะการังในทะเลจีนใต้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนปัดคำตัดสินนี้ทิ้ง และเดินหน้าต่อไปที่จะอ้างสิทธิเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้

จีนพยายามเพิ่มความน่าเชื่อถือของการอ้างสิทธิ์นี้ โดยการสร้างเกาะประดิษฐ์ขึ้นมาบนปะการังเพื่อเป็นฐานทัพให้ทหารจีน

ถ้าเราจะเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่นี้ เราต้องศึกษาสิ่งที่นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่สมัยเลนินเรียกว่า “จักรวรรดินิยม”

อเล็กซ์ คาลินิคอส นักมาร์คซิสต์ชาวอังกฤษ อธิบายว่าจักรวรรดินิยมไม่ใช่การกระทำของประเทศมหาอำนาจประเทศเดียว แต่จักรวรรดินิยมเป็น “ระบบ” การแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆ ที่มีอำนาจแตกต่างกัน การทีระบบทุนนิยมมีลักษณะการพัฒนาต่างระดับเสมอ ทำให้ศูนย์กลางของอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับอำนาจทางทหาร และอำนาจในเชิงจักรวรรดินิยม มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่เรื่องคงที่แต่อย่างใด

ในอดีต อันโตนิโอ เนกรี กับ ไมเคิล ฮาร์ท เคยเสนอในหนังสือ Empire ว่ายุคการแข่งขันระหว่างจักรวรรดินิยมสิ้นสุดลงหลังสงครามเย็น เนกรี เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนสหภาพยุโรป (อียู) เพราะเชื่อว่าจะลดความขัดแย้งได้ แต่การก่อตั้งสหภาพยุโรปเป็นโครงการที่สหรัฐผลักดันแต่แรกเพื่อให้มีกลุ่มก้อนรัฐในยุโรปตะวันตกที่จะคานรัสเซีย ทุกวันนี้สหรัฐตกใจและเสียใจที่ประชาชนอังกฤษลงคะแนนเพื่อออกจากอียู การมีอียูไม่ได้ลดสงครามในโลกแต่อย่างใดเพราะอียูมีบทบาทในการทำสงครามในตะวันออกกลาง ในอัฟริกา ในยูเครน และในอดีตยูโกสลาเวีย และนอกจากนี้สหรัฐพยายามใช้อียูในการเพิ่มอิทธิพลของตนเองในโลกอีกด้วย

ถ้าจะเข้าใจสถานการณ์ในทะเลจีนตอนใต้ เราจะเห็นว่ารากฐานความขัดแย้งมาจากการที่ทุนนิยมจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนจีนกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก และแซงหน้าญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันสหรัฐ ซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกทางทหารและเศรษฐกิจ เริ่มถอยหลังและประสบปัญหาทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจ

สหรัฐแพ้สงครามในอิรักกับอัฟกานิสถาน เพราะไม่สามารถครอบครองและรักษาอิทธิพลระยะยาวในทั้งสองประเทศ อหร่าน อดีตศัตรูของสหรัฐ มีการเพิ่มอิทธิพลในพื้นที่ และในหลายประเทศของตะวันออกกลางมีสงครามต่อเนื่องขณะที่องค์กรอย่าง “ไอซิล” ก็เพิ่มบทบาท

เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 อย่างหนัก และการขยายตัวของเศรษฐกิจตอนนี้ล้าช้า ญี่ปุ่นยิ่งมีปัญหาหนักกว่าสหรัฐอีก

ในอดีตสหรัฐจะพยายามคุมอิทธิพลในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีน ด้วยกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ชนชั้นปกครองจีนมองว่าจีนต้องสร้างกองทัพเรือและฐานทัพในทะเลจีน เพื่อปกป้องเส้นทางการค้าขายทางทะเลที่มีความสำคัญกับจีน การขยายตัวทางทหารของจีนในทะเลจีนจึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับสหรัฐและหลายประเทศรอบข้าง มีการสร้างแนวร่วมทางการทูตและทหารใหม่ขึ้นมา จีนจับมือกับรัสเซียอีกครั้ง สหรัฐจับมือกับเวียดนามและขยายบทบาททางทหารในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ มันเป็นสถานการณ์ที่อันตรายเพราะถ้าเกิดการปะทะกันระหว่างสองประเทศใด ประเทศอื่นๆ จะถูกลากเข้ามาในความขัดแย้ง และในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา รวมถึงเศรษฐกิจจีน การแข่งขันระหว่างรัฐต่างๆก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐพยายามลดบทบาทลงในตะวันออกกลาง เพื่อไปเน้นเอเชียตะวันออก แต่ความเข้มแข็งของไอซิลสร้างอุปสรรคสำหรับโครงการนี้ สหรัฐยังต้องทุ่มเทกำลังทหารในตะวันออกกลางต่อไประดับหนึ่ง

ตะวันออกกลางเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญก็จริง แต่ในปัจจุบันสหรัฐพึ่งตนเองในน้ำมันได้แล้ว เนื่องจากใช้วิธีใหม่ๆ ในการสกัดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่ในสหรัฐเอง

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง เคยเกิดจากการที่ศูนย์กลางอำนาจจักรวรรดินยมในโลกเปลี่ยนไปและ เยอรมันกับญี่ปุ่นขึ้นมาท้าทายอำนาจเก่า มันเป็นสถานการณ์ที่ไร้เสถียรภาพ มันมีลักษณะคล้ายสถานการณ์ในเอเชียตะวันออกทุกวันนี้ในหลายแง่

การที่ โดนัลด์ ทรัมพ์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คงจะไม่เปลี่ยนนโยบายสหรัฐในเอเชียตะวันออกเท่าไร เพียงแต่ว่า ทรัมพ์ อยากให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วมจ่ายค่าการรักษากองทัพสหรัฐในพื้นที่เท่านั้น

ตราบใดที่มีระบบทุนนิยม เราจะมีภัยสงครามที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างรัฐที่จับมือกับกลุ่มทุน อเล็กซ์ คาลินิคอส อธิบายว่าเราไม่สามารถเลือกข้างได้ในการแข่งขันดังกล่าว อย่าหลงคิดว่ามันเป็นความขัดแย้งทางลัทธิหรืออุดมการณ์ทางการเมือง อย่างที่ผู้นำพยายามโกหกเราเสมอ เขาโกหกแบบนี้เพื่อชักชวนให้เราสนับสนุนเขาในการทำสงครามเท่านั้น ในความจริงมันเป็นแค่การแข่งขันกันเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน

การเมืองระหว่างประเทศในโลก ทั้งในปัจจุบันและในอดีต เป็นแค่ “โต๊ะกินข้าวของหมาป่า” เท่านั้น ดังนั้นเราต้องต้านสงครามและระบบขูดรีด และต้องทำแนวร่วมสากลกับประชาชนชั้นล่างทั่วโลก

[อ่านเพิ่มเรื่องการซื้อเรือดำน้ำของเผด็จการไทย http://bit.ly/2ajjUB5  และปัญหาเศรษฐกิจจีน http://bit.ly/2aEARbG ]

จีน ต้นเหตุของการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ในยุคเหมา

ใจ อึ๊งภากรณ์

การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนเริ่มขึ้นในปี 1966 เมื่อ 50 ปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นจากอะไร และเป็นการปฏิวัติจริงหรือ?

ภาพของประเทศจีนในทศวรรษ 1950 และ1960 ที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์พยายามวาด เป็นภาพของประเทศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเกษตรกรรายย่อยที่พึงพอใจกับสังคมใหม่ แต่นั้นก็เป็นภาพจอมปลอมที่มองข้ามความยากจนของเกษตรกร และความลำบากของชีวิตคนธรรมดา ทั้งในเมืองและชนบท

นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อยึดอำนาจได้ คือนโยบายที่คงไว้โครงสร้างเก่าบางส่วน เช่นการคงไว้เจ้าหน้าที่รัฐเก่าของพรรคก๊กมินตั๋ง และการยึดอุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้ถูกก๊กมินตั๋งยึดมาเป็นของรัฐ โดยจ่ายเงินปันผลให้นายทุนเดิม ซึ่งแปลว่าใน “จีนแดง” ยังมีเศรษฐี นโยบายดังกล่าว เป็นแนวที่เราเรียกว่า “แนวทุนนิยมโดยรัฐตามแม่บทสตาลิน” มันทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้บ้าง แต่ถ้าจีนจะพัฒนาให้ทันตะวันตกหรือรัสเซียต้องมีมาตรการอื่น

ในปี 1958 เหมาเจ๋อตุง สามารถผลักดันนโยบาย “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” เพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมจีน ทั้งๆ ที่ เติ้งเสี่ยวผิง และหลิวเซ่าฉี คัดค้าน นโยบายก้าวกระโดดนี้อาศัยการยึดที่ดินจากเกษตรกรรายย่อย และบังคับให้ย้ายไปทำงานในโรงงาน หรือบังคับให้ไปทำนารวม ในสองปีแรกดูเหมือนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 30% แต่ในปี 1960 ความจริงก็ปรากฏออกมา เพราะคุณภาพการผลิตในโรงงานต่างๆ แย่มาก และการบังคับทำนารวม ทำให้เกษตรกรไม่พอใจและผลผลิตลดลง จนมีคนอดอาหารตายหลายล้านคน สรุปแล้วการพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่าน “พลังจิตใจ” ของ เหมาเจ๋อตุง ในการ “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่”  ไม่สามารถแก้ปัญหาที่มาจากความล้าหลังทางวัตถุของจีน ซึ่งเป็นมรดกจากจักรวรรดินิยมก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะยึดอำนาจ

แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์เขี่ย เหมา ออกไปและหันมาขยายเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ผลแย่กว่าเดิม ในปี 1966 เหมาเจ๋อตุง หลินเปียว และเชียงชิง(ภรรยาเหมา) สามารถยึดอำนาจใหม่ผ่านการประกาศ “ปฏิวัติวัฒนธรรมโดยชนชั้นกรรมาชีพ” แต่การรณรงค์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปฏิวัติ และไม่ได้ทำโดยกรรมาชีพเลย มันเป็นการพยายามกำจัดคู่แข่งของ เหมา ในแกนนำพรรคต่างหาก โดยใช้ข้ออ้างว่าพวกนี้ยังมีความคิดแบบวัฒนธรรมเก่าๆ มีการผลัก เติ้งเสี่ยวผิง และหลิวเซ่าฉี ออกไป และใช้หนุ่มสาวในกอง “การ์ดแดง” เพื่อกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ระดับล่างอย่างโหดร้ายทารุน เช่น ครู นักเขียน นักข่าว และนักแสดง โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีต่อ “ท่านประธานเหมา” แต่ที่น่าสนใจคือ เหมา ออกคำสั่งว่าการ์ดแดงจะต้องไม่ไปยุ่งกับอำนาจกองทัพหรือตำรวจ

mao-newsweek05.16

     ในแง่หนึ่ง เหมา สามารถฉวยโอกาสใช้ความไม่พอใจที่คนหนุ่มสาว กรรมาชีพ และคนระดับล่าง มีต่อพวกข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ที่เริ่มเสพสุขในขณะที่คนอื่นยากลำบาก บางส่วนของกระแสนี้พยายามค้นหาทางที่จะกลับสู่ “สังคมนิยมแท้” และคนเหล่านั้นสามารถส่งต่อมรดกไปสู่กระแส “กำแพงประชาธิปไตย” ในทศวรรษ 1970

red-guards_2487403b

     เหมา และพรรคพวกปลุกกระแส “การ์ดแดง” ขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สามารถควบคุมมันได้ เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังการ์ดแดงที่เป็นคู่แข่งกัน จน เหมา ต้องสั่งให้กองทัพเข้าไปจัดการปราบปราม ในที่สุดมีการส่งคนหนุ่มสาวจำนวนมากไปลงโทษในชนบทด้วยการทำงานหนัก

z030b_1

     ในยุคนั้นฝ่ายซ้ายส่วนหนึ่งทั่วโลก ปลื้มกับการปฏิวัติวัฒนธรรมและหนังสือปกแดงของ เหมาเจ๋อตุง และมีการอ้างประโยคไร้สาระ ที่มาจากความคิดเหมาในหนังสือปกแดง ยังกับว่ามันเป็นคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ ที่แนะแนวการต่อสู้สำหรับนักสังคมนิยม แต่ในความเป็นจริง ในปี 1972 ขณะที่สหรัฐกำลังถล่มเวียดนาม เหมาเจ๋อตุง ก็ต้อนรับประธานาธบดี นิกสัน สู่ประเทศจีน

ในปี 1977 หนึ่งปีหลังจากที่เหมาเสียชีวิต เติ้งเสี่ยวผิง นำกลไกตลาดเข้ามาใช้ในจีนด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง และทุกวันนี้จีนเป็นเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใช้ระบบทุนนิยมกลไกตลาด จีนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยเป็นสังคมนิยมเลย

รู้จักชาวอุยกูร์

ใจ อึ๊งภากรณ์

ชาวอุยกูร์คือกลุ่มชาติพันธุ์สายเติร์กที่ถูกกดขี่ในประเทศจีน ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียงซึ่งคาดว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 15 ล้านคน ซินเจียงอยู่ระหว่างมองโกเลียกับอัฟกานิสถาน และในหลายประเทศของเอเชียกลางจะมีกลุ่มชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ด้วย

ตอนนี้ในมณฑลซินเจียงชาวจีนเชื้อสายฮั่นอพยพเข้าไปอยู่มากขึ้น และถ้านับทหารจีนจำนวนมากที่ประจำอยู่ที่นั้นจะพบว่าคนจีนกลายเป็น 40% ของประชากร แต่ชาวจีนฮันได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จากการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีการกระจุกอยู่ในเมืองทางเหนือของมณฑล ส่วนชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนชนบททางใต้ ดังนั้นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมีรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ และนโยบายชาตินิยมสุดขั้วของรัฐบาลจีน ทำให้มีการกดขี่ชาวอุยกูร์ในด้านวัฒนธรรมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพยายามทำลายศาสนาอิสลามด้วยการทุบทิ้งมัสยิด หรือการห้ามไม่ให้ข้าราชการอุยกูร์ถือศีลอดในเดือมรอมฎอน

พรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงที่เหมาเจ๋อตุงยึดอำนาจรัฐ เป็นพรรคชาตินิยมเป็นหลัก ไม่ใช่พรรคมาร์คซิสต์แบบสังคมนิยม จีนจึงเริ่มต้นด้วยการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนไปเป็นทุนนิยมตลาดเสรี ซึ่งสร้างความเหลื่อมล้ำมหาศาลในหมู่ประชากร

การกดขี่ชาวอุยกูร์ของรัฐบาลจีน กระทำไปโดยใช้ “สงครามต้านการก่อการร้าย” ของสหรัฐหลัง 9/11 เป็นหน้ากากบังหน้า และประเทศตะวันตกไม่เคยวิจารณ์พฤติกรรมของรัฐบาลจีนต่อชาวอุยกูร์ ซึ่งแตกต่างกับกรณีธิเบต ทุกเหตุการณ์ความรุนแรงถูกนิยมว่าเป็นการก่อการร้าย แต่คำอธิบายต่างๆ ของรัฐบาลเผด็จการจีนไว้ใจไม่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลจีนมีบทบาทในการสนับสนุนความแตกแยกระหว่างชาวจีนฮันกับชาวอุยกูร์อีกด้วย มันเลยยากที่จะระบุว่าใครเป็นคนสร้างความรุนแรงในทุกกรณี

เหตุการณ์รุนแรงที่คงจะเกี่ยวข้องกับปัญหาในซินเจียง มีทั้งการจลาจลตีกันระหว่างชาวฮันกับชาวอุยกูร์ การฆ่าประชาชนผู้โดยสาร 29 คนที่สถานีรถไฟคุนหมิงเมื่อปีที่แล้ว และเหตุการอื่นๆ รวมถึงการที่ตำรวจจีนยิงพลเมืองชาวอุยกูร์ตาย 27 คนในปีค.ศ. 2013

แน่นอนคงจะมีกลุ่มนักต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอุยกูร์ ที่หันไปใช้ความรุนแรง เพราะมีความรู้สึกว่ารัฐบาลจีนและรัฐบาลที่อื่นไม่สนใจปัญหาของเขา

เราคงจำได้ว่ารัฐบาลทหารไทยกระตือรือร้นที่จะเลียก้นเอาใจ “พี่ใหญ่” จีน โดยการส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์หลายๆ คนเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งบางคนที่ถูกส่งกลับคาดว่าถูกประหารชีวิตหรือติดคุกเมื่อกลับไป เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจกับชาวอุยกูร์มาก และมีการทำลายสถานกงสุลไทยในตุรกี

ชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่ปัจจุบันเรียกว่าซินเจียง มาประฒาณ 4000 ปี แท้จริงแล้วเขามีเชื้อชาติผสมจากยุโรปและเอชียตะวันออก เพราะเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญ เขาเคยมีอาณาจักรพุทธ เคยมีบางส่วนที่อยู่ในมองโกเลีย และเคยมีคนอุยกูร์ที่นับถือศาสนาอื่นๆ แต่ประมาณปี ค.ศ. 1400 มีการหันมานับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาประมาณปี 1760 จีนก็เข้ามาครอบครองพื้นที่ แต่มีการกบฏหลายๆ ครั้ง ครั้งล่าสุดคือปลายสงครามโลกครั้งที่สองราวๆปี 1944 นอกจากนี้ชาวอุยกูร์เคยร่วมประชุมกับผู้แทนพรรคบอลเชวิคจากรัสเซีย เพื่อวางแผนปฏิวัติสังคมนิยมในปี 1921 แต่หลังการปฏิวัติจีนปี 1949 กองทัพของเหมาเจ๋อตุงก็เข้ามารวบพื้นที่ให้ขึ้นกับจีนอีกครั้ง

การตื่นตัวอีกครั้งของชาวอุยกูร์ เกิดขึ่นเมื่อสหภาพโซเวียดล่มสลายในช่วง 1990 และมีการตั้งรัฐอิสระของชาวอิสลามหลายแห่งในเอเชียกลาง

เราไม่สามารถทราบได้ว่าการวางระเบิดที่กรุงเทพฯเมื่อเดือนที่แล้วเกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์หรือไม่ และรัฐบาลทหารเผด็จการของไทยก็โกหกพอๆ กับรัฐบาลเผด็จการจีน แต่ถ้าในที่สุดมีการพิสูจน์อย่างน่าเชื่อถือว่ามันเกี่ยวโยงกับการที่ไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์ เราคงจะเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหา

ทำไมฟองสบู่ถึงแตกในตลาดหุ้นจีน

ใจอึ๊งภากรณ์

การดิ่งลงของตลาดหุ้นจีนในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความกังวลอย่างมากในแวดวงผู้นำรัฐบาล นักธุรกิจบริษัทเอกชน ชนชั้นกลาง และนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมาก

ในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้นในตลาดหุ้นของระบบทุนนิยมจีนลดลง 30% และ บริษัทเอกชน 1300 แห่ง ประมาณครึ่งหนึ่งของตลาด ได้ระงับการค้าขายหุ้นเพื่อปกป้องมูลค่าของบริษัท

ตลาดหุ้นจีนมีลักษณะพิเศษตรงที่มีผู้ซื้อขายหุ้นที่เป็นพลเมืองชนชั้นกลางจำนวนมาก เกือบ 80% ของผู้ซื้อขาย ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นในตะวันตกที่ถูกครอบงำโดยกองทุนขนาดใหญ่ การที่พลเมืองธรรมดาจำนวนมากอาจเสียประโยชน์จากการดิ่งลงของราคาหุ้น ทำให้รัฐบาลเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กังวลว่าจะเสียความชอบธรรมในสายตาคนจำนวนมาก เพราะจะดูเหมือนบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว และที่กลัวมากที่สุดคือการลุกฮือประท้วงของมวลชนในสถานการณ์แบบนั้น

ทั้งๆ ที่การขึ้นลงของตลาดหุ้นเป็นเพียงอาการที่บ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจในทางอ้อม และไม่ได้วัดความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอของเศรษฐกิจโดยตรง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากมองว่าปัญหาเศรษฐกิจของจีนอาจมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าวิกฤตยูโรของกรีซ และจะมีผลกระทบกับประเทศที่ส่งออกให้จีนอีกด้วย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่พึ่งพาการส่งออกให้จีน

วิกฤตเศรษฐกิจจีนและความอ่อนแอของระบบธนาคารจีน เห็นชัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปี 2007 ขยายตัวในอัตราปีละ 14% แต่อัตราการขยายตัวปีที่แล้วลดลงจนเหลือแค่ 7.4% และตัวเลขล่าสุดอาจแย่กว่านี้อีก

ในปี 2008 หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่วิกฤตหนัก รัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโดยการลงทุนในโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ และมีมาตรการที่ช่วยให้การกู้เงินง่ายขึ้น แต่ทั้งๆ ที่นโยบายดังกล่าวช่วยพยุงเศรษฐกิจชั่วคราว แต่มันไม่แก้ปัญหาหนี้เสียในระบบธนาคารที่ถูกเปิดโปงออกมาเมื่อเกิดวิกฤต และมันไม่สามารถแก้ปัญหาของการลดลงของการส่งออกสินค้าที่มาจากการหดตัวของเศรษฐกิจตะวันตก ยิ่งกว่านั้นการที่กรรมาชีพคนทำงานและเกษตรกรจีนมีรายได้ต่ำ ซึ่งเป็นนโยบายรัฐเผด็จการที่ตั้งใจใช้เพื่อลดค่าแรงและเพิ่มกำไรในการส่งออกสินค้าราคาถูก แปลว่ากำลังซื้อภายในประเทศจีนไม่เพียงพอที่จะทดแทนการลดลงของการส่งออกอีกด้วย

ที่สำคัญสำหรับปัญหาฟองสบู่คือ การที่บริษัทและประชาชนชนชั้นกลางสามารถกู้เงินง่ายขึ้น ทำให้เกิดสภาพฟองสบู่ในราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เหมือนกับที่เคยเกิดในไทยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง มันเป็นอาการปกติในระบบทุนนิยมเมื่ออัตรากำไรในภาคการผลิตจริงลดลง ซึ่งเกิดจากการขายสินค้าไม่ออกและการแข่งกันลงทุนในเครื่องจักรมากขึ้นก่อนที่จะเกิดวิกฤต ประเด็นนี้นักมาร์คซิสต์อธิบายว่าเป็นต้นกำเนิดของวิกฤตทุนนิยมที่เกิดเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

นอกจากการลดลงของการส่งออกแล้ว การพัฒนาเทคโนโลจีและขยายการลงทุนในเครื่องจักรในจีน ก็มีผลกระทบในด้านลบกับอัตรากำไรอีกด้วย

เมื่อรัฐบาลจีนพยายามระงับการปั่นราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนที่ต้องการแสวงหากำไรเฉพาะหน้า ก็แห่กันไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นแทน ซึ่งมีผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงถึง 150% ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งราคาหุ้นดังกล่าวสูงกว่ามูลค่าจริงในเศรษฐกิจจีน แต่ที่ยิ่งทำให้เป็นปัญหาคือพวก “บโรเคอร์” หรือบริษัทที่จัดการซื้อขายหุ้นให้คนอื่น มีการปล่อยกู้ให้คนชั้นกลางเพื่อซื้อหุ้น โดยเชื่อว่าราคาหุ้นคงไม่ตกต่ำ และไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ในขณะนี้ดูเหมือนรัฐบาลเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีนโยบายอะไรที่จะแก้ปัญหาในระยะยาว เพราะได้แต่พยายามพยุงราคาหุ้นแบบเฉพาะหน้าเท่านั้น และทั้งๆ ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นบ้าง ปัญหาความอ่อนแอของเศรษฐกิจไม่ได้หายไปไหน ซึ่งวัดกันในรูปธรรมจากสภาพธนาคาร ระดับการส่งออก และตัวเลขการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม

วิกฤตในจีนตอนนี้พิสูจน์สองสิ่งที่สำคัญคือ หนึ่ง จีนเป็นทุนนิยมกลไกตลาดเต็มตัวทั้งๆ ที่มีรัฐบาลเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์ และสอง ระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะที่ไหน ไม่เคยมีเสถียรภาพ และเข้าสู่สภาพวิกฤตเป็นระยะๆ ตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการแข่งขันในกลไกตลาดและการแสวงหากำไรโดยไม่มีการวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่เลย

อ่านเพิ่ม “ว่าด้วยวิกฤตทุนนิยม” แนวความคิดมาร์คซิสต์ที่อธิบายวิกฤตเศรษฐกิจ http://bit.ly/1UB4b1t