Tag Archives: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กฏ “หมา” กฏหมู่ และความล้าหลังของจุฬาลงกรณ์หมาวิทยาลัย

ใจ อึ๊งภากรณ์

การตัด “คะแนนความประพฤติ” ของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และผู้แทนอื่นๆ ของสภานิสิตนักศึกษา เพื่อเป็นข้ออ้างในการปลดนักศึกษาก้าวหน้าเหล่านี้ออกจากตำแหน่ง เป็นไปตามคำสอนของพวกเผด็จการทหารและศาลเตี้ยระดับชาติ พวกนี้ร่วมกันทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของพลเมืองไทย แล้วอ้าง “กฏหมาย” ในการให้ความชอบธรรมกับความเลวทรามทุกอย่างที่มันทำ

“กฏหมาย” หรือ ที่เราควรเรียกว่า “กฏหมา” ที่คนอย่างไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือดชอบอ้าง เพื่อทำลายนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และเพื่อปิดปากพลเมืองที่แสดงความไม่พอใจกับระบอบเผด็จการด้วยวาจาหรือการประท้วงอย่างสันติ เป็นแค่สิ่งที่คนบ้าอำนาจที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ในปัจจุบันคิดขึ้นมาเอง มันมีความศักดิ์สิทธิ์พอๆ กับคำสั่งของอันธพาลข้างถนน

จุฬาลงกรณ์หมาวิทยาลัยได้ทำ “รัฐประหาร” ล้มผู้แทนนักศึกษาที่มาจากการเลือกตั้ง ตามสันดานเผด็จการของคนที่อ้างตัวเป็น “คนดี”

ในสังคมกะลาแลนด์ “คนดี” จะล็อคคอนักศึกษา ดึงผม และด่าด้วยคำหยาบคาย ในสังคมกะลาแลนด์ “คนดี” จะฆ่าประชาชนมือเปล่าที่เรียกร้องประชาธิปไตย และปล้นสิทธิเสรีภาพอธิปไตยของพลเมือง ในสังคมกะลาแลนด์ “คนดี” แบบนี้ลอยนวล ในขณะที่คนคิดต่างที่ไม่เคยทำผิดเข้าคุก ในสังคมกะลาแลนด์ “คนดี” ที่เป็นคนชั้นกลาง จะใช้คำเหยียดเพศด่านักการเมืองสตรีที่ตนเองไม่ชอบ บางคนเป็นหมอ บางคนเป็น “กวี” ด้วย แต่ “คนดี” ชอบเอ่ยถึง “มารยาทวัฒนธรรมไทย” เสมอ

ในบทความก่อนหน้านี้ ผมเขียนว่าจุฬาลงกรณ์หมาวิทยาลัย แค่สะท้อนความเลวทรามของสังคมไทย แต่ในอีกแง่หนึ่งการพยายามดัดคนหนุ่มสาวให้หมอบคลานต่ออำนาจเผด็จการจนคิดเองไม่เป็น เป็นการผลิตซ้ำลักษณะแย่ๆ ของสังคมไทยสู่อนาคต ไม่ต่างจากการที่แก๊งไอ้ยุทธ์ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์เผด็จการแห่งชาติ ซึ่งจะสืบทอดระบอบเผด็จการสู่อนาคต แง่สำคัญของคณะกรรมการเผด็จการนี้ นอกจากการสืบทอดอำนาจทหารแล้ว และนอกจากการกีดกันนักการเมืองฝ่ายทักษิณ คือมันมีวัตถุประสงค์หลักในการปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน คนรวย และ ชนชั้นปกครองที่รวมไปถึงนายพลทั้งหลายอีกด้วย เพราะมันจะดูแลให้มีการใช้นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว และกีดกันไม่ให้มีการใช้นโยบายที่ช่วยคนจนและลดความเหลื่อมล้ำ

ดังนั้นเราจะเห็นชัดว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์เผด็จการแห่งชาติ ที่ก่อตั้งจาก กฏ “หมา” ของแก๊งประยุทธ์ ประกอบไปด้วยนายทหาร นายทุนใหญ่จากธนาคารและบริษัทสื่อสาร และพลเรือนรับใช้ของทหาร มีอดีตอธิการบดีหมาวิทยาลัยจุฬาอยู่ตรงนั้นด้วย

การที่คณะกรรมการนี้ไม่มีผู้แทนของคนจน เช่นนักสหภาพแรงงาน สะท้อนแนวทางของมัน แต่มันเป็นเรื่องดีด้วย เพราะถ้ามีผู้แทนของสหภาพแรงงานเข้าไปตรงนั้น คนเหล่านั้นคงเป็นศัตรูที่ทรยศต่อคนทำงานและคนจนแน่นอน

ขอวกกลับมาเรื่องจุฬาลงกรณ์หมาวิทยาลัย…. การที่สถาบันอุดมศึกษาไทย ที่มีนักศึกษาที่เป็นผู้ใหญ่ มีสิ่งที่เรียกว่า “คะแนนความประพฤติ” เป็นเรื่องน่าขำและอับอายขายหน้ามานาน มหาวิทยาลัยในประเทศเจริญเขาไม่มี และไม่มีการบังคับใส่เครื่องแบบตั้งแต่มัธยมปลายอีกด้วย ที่จุฬาฯ นิสิตนักศึกษาที่ไม่ยอมเข้าห้องเชียร์เพื่อถูกรุ่นพี่ทรมานตามระบบ SOTUS ก็อาจถูกตัด “คะแนนความประพฤติ” โดย “อนาจารย์”ที่บังคับบัญชานักศึกษาอีกด้วย

แต่อย่าคิดว่าจุฬาฯ แย่ทั้งสถาบัน เพราะเราทราบว่ามีนักศึกษาที่คิดเหมือนเนติวิทย์ไม่น้อย นี่คือสิ่งที่ผู้มีอำนาจกลัว และเมื่อไม่นานมานี้มีอาจารย์คณะรัฐศาสตร์คนหนึ่ง โพสต์ในโซเชียลมีเดีย รายชื่อหนังสือที่นิสิตปีหนึ่งในภาคปกครองเขาเลือกอ่านก่อนเข้ามหาวิทยาลัย รายชื่อหนังสือนี้สะท้อนว่าเด็กสมัยนี้คิดเองเป็นและสนใจเรื่องราวกว้างๆ ในสังคม และการที่จุฬาฯ มีอาจารย์ที่คิดจะถามนิสิตว่าเคยอ่านหนังสืออะไรมาก่อน สะท้อนว่าอาจารย์บางคนก็คิดนอกกรอบกะลาได้ น่ายินดีมาก

กลับมาเรื่อง “กฏหมา” ที่เอ่ยถึงในตอนต้น ถ้าเราจะล้ม “กฏหมา” ของไอ้ยุทธ์ เราต้องใช้ “กฏหมู่” ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตยชนิดหนึ่ง

จุฬาฯ สะท้อนลักษณะแย่ๆ ของสังคมไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

“ไอ้สัตว์ เนเน่อยู่ไหน”…ผศเรืองวิทย์ บรรจงรัตน์ ตะโกนพร้อมเดินตรงเข้าล็อคคอนักศึกษา นี่คือพฤติกรรม ของอันธพาลสลิ่มที่มีตำแหน่งเป็น “อนาจาร” มหาวิทยาลัยที่ชอบอวดชาวไทยว่ามุ่ง “สู่ความเป็นเลิศ”

คนอย่างเรืองวิทย์ และอาจารย์คนอื่นที่จุฬาฯ ที่อวยทหารและร่วมทำลายประชาธิปไตย หรือสนับสนุนระบบ SOTUS โดยไม่รู้จักเคารพนักศึกษา ทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ชื่อเป็นหมา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นว่า “หมาวิทยาลัยจุฬา” และหลายมหาวิทยาลัยทั่วไทย เป็นแหล่งเพาะและผลิตซ้ำความคิดเผด็จการ

จากเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา เราจะเห็นว่าผู้มีอำนาจในจุฬาฯ ทำผิดจรรยาบรรณการเป็นครูหลายข้อดังนี้

  1. ใช้คำหยาบคายกับนักศึกษา
  2. ใช้ความรุนแรงกับนักศึกษาถึงขั้นล็อคคอดึงผม
  3. ไม่ดูแลนิสิตนักศึกษาที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ โดยการบังคับให้ตากฝน และตากฝนโดยไร้เหตุผลด้วย

และที่สำคัญคือกิจกรรมนี้ไม่มีผลอะไรในด้านบวกกับการพัฒนานิสิตนักศึกษาให้เป็นปัญญาชนที่มีความสามารถในการคิดเอง กิจกรรมหมอบคลานเหมือนไม่ใช่คน ต่อรูปปั้นอดีตสองกษัตริย์ เป็นการผลิตซ้ำว้ฒนธรรมทาสใต้อำนาจเผด็จการ โดยเฉพาะเพราะสองกษัตริย์ที่มีรูปปั้นตรงนั้นมีพฤติกรรมที่มีปัญหา

นอกจากการเป็นกษัตริย์เผด็จการแล้ว รัชกาลที่ ๕ มีเมียเป็นร้อย ไม่เคารพเสรีภาพของสตรี และเมื่อเมียคนหนึ่งกำลังจมน้ำตาย ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเพราะกลัวโดนประหารชีวิตอันเนื่องจากการแตะตัว “ทรัพย์สิน” ของเจ้า รัชกาลที่ ๕ มีผลในการพัฒนาก่อตั้งรัฐทุนนิยมไทยเป็นครั้งแรกก็จริง แต่ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทย ทำเพื่อเพิ่มอำนาจตนเอง และการเลิกทาสเลิกไพร่ทำไปเพื่อลดระดับค่าจ้างและปัญหาการขาดกำลังงานในไทยต่างหาก

ส่วนรัชกาลที่ ๖ เป็นกษัตริย์ที่รักหมามากกว่าประชาชน พยายามกีดกันการเกิดประชาธิปไตย และหลังจากที่ตายไปแล้ว มีการพูดกันไปทั่วว่าใช้เงินสิ้นเปลืองและเป็นที่เกลียดชังของประชาชน ในแง่ดีกษัตริย์คนนี้ช่วยปูทางไปสู่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ล้มระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากการที่คนเกลียดชังกษัตริย์ไปทั่ว และการที่ใช้เงินสิ้นเปลืองจนทำให้ประเทศขาดเงินในช่วงก่อนที่ไทยจะเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจโลก

ดังนั้นการบังคับให้นิสิตและอาจารย์ใหม่ต้องไปแสดงความเคารพต่อสองกษัตริย์ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และพยายามบังคับไม่ให้นิสิตคิดเองเป็น มันเป็นการเชิดชูพฤติกรรมเลวทรามของกษัตริย์ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เราเห็นทุกวันนี้ในตัวกษัตริย์คนใหม่ ในความจริงจุฬาฯ ควรสร้างรูปปั้นวชิราลงกรณ์ไว้ข้างๆ รูปปั้นสองกษัตริย์ด้วย

ผมด่าจุฬาฯ ว่าทำตัวเป็น “หมาวิทยาลัย” ทั้งๆ ที่ผมเคยเป็นอาจารย์ที่นั้น และเติบโตมาใกล้ชิดกับจุฬาฯ ในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ แต่ผมไม่เคยรักสถาบัน ไม่เคยร้องเพลงบ้าๆ เรื่องสีชมพู ผมเคารพนิสิตนักศึกษา และรักเพื่อนอาจารย์ที่มีความคิดก้าวหน้าต่างหาก

เวลาได้เป็นอาจารย์ใหม่ผมโดนบังคับให้เข้าไป “อบรม” แบบปัญญาอ่อนของจุฬาฯ ต้องยอมฟังอาจารย์ตี๋เล็ก อายุน้อยกว่าผม ล้อเลียนชื่อผมเพราะมีชื่อภาษาอังกฤษผสมไทย ตามที่พ่อแม่ผมตั้งให้ และในช่วงที่ผมสอนที่จุฬาฯ ก็มีหลายกรณีของอาจารย์ตี๋เล็กที่อยากเป็น “นายพลน้ำนม” ปรามนักศึกษาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เช่นแต่งเครื่องแบบผิด ใส่รองเท้าแตะเข้าห้องสมุด หรือไม่ยอมเข้าห้องเชียร์ คนหนึ่งถึงกับด่านิสิตบนรถไฟBTSด้วย อาจารย์นายพลน้ำนมเหล่านี้ พอได้ตำแหน่งที่จุฬาฯ จะกระตือรือร้นที่จะทำตัวเป็นใหญ่เพื่อปกปิดความด้อยของตนเอง พวกนี้จมอยู่ในความคิด “ถึงตากูเป็นใหญ่แล้ว” เขาไม่สนใจที่จะเคารพและพัฒนาให้นิสิตคิดเอง ที่คณะรัฐศาสตร์คนแบบนี้ไม่อยากให้นิสิตเขียนเรียงความเชิงโต้แย้ง และใครเขียนอะไรในแนวที่ไม่ตรงกับความเห็นตนเองจะโดนหักคะแนน

หลังจากที่ผมสอนที่นั้นมาหลายปี ในที่สุดผมโดนคดี 112 เพราะผู้มีอำนาจในจุฬาฯ นำหนังสือ A Coup For the Rich ของผมไปให้ตำรวจ หนังสือขายดีเล่มนี้วิจารณ์การที่ทหารใช้แนวคิดกษัตริย์ในการให้ความชอบธรรมกับรัฐประหาร ๑๙ กันยา มันเป็นหนังสือที่ปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบสิบปีที่ผ่านมาทั่วประเทศไทยพิสูจน์ว่าในไทยไม่มีเสรีภาพทางวิชาการ

แต่อย่าคิดว่าจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยอนุรักษ์นิยม นั้นเป็นการมองด้านเดียวที่ไม่ตรงกับหลักฐานประวัติศาสตร์ ในความเป็นจริงจุฬาฯ เป็นพื้นที่สมรภูมิรบระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา ในประการแรกจิตร ภูมิศักดิ์ก็เรียนที่จุฬาฯ แต่โดนพวกล้าหลังโยนบก หลัง ๑๔ ตุลา นิสิตจุฬาฯ จากหลายคณะมีการตั้งกลุ่มฝ่ายซ้ายและหลายคนก็เข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์หลัง ๖ ตุลา นอกจากนี้มีการล้มระบบ SOTUS ในช่วงนั้นด้วย ยี่สิบปีที่แล้วมีการเปิดสอนวิชามาร์คซิสต์ที่คณะรัฐศาสตร์เป็นครั้งแรก และตอนนี้มีการเลือกนักศึกษาก้าวหน้าเข้าสภานิสิตจุฬาฯ

ความจริงมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพียงแต่สะท้อนลักษณะทั่วไปของสังคมไทย คือผู้มีอำนาจล้าหลังป่าเถื่อน สถาบันเต็มไปด้วยความเป็นชนชั้นและความไม่เท่าเทียม มีความเหลื่อมล้ำกับพลเมืองที่ไม่ใช่คนจุฬาฯ ด้วย แต่ในขณะเดียวกันมีผู้ที่กบฏต่อระบบเพราะรักเสรีภาพประชาธิปไตย