Tag Archives: ชาตินิยม

การปฏิวัติชาตินิยมของเหมาเจ๋อตุง

ใจ อึ๊งภากรณ์

ผู้นำจีนเคยอ้างเสมอว่าการปฏิวัติของ เหมาเจ๋อตุง ในปี 1949 เป็นการปฏิวัติ “สังคมนิยม” และพรรคคอมมิวนิสต์ของไทยเราก็เคยเชื่อทำนองนี้เหมือนกัน แต่ในการปฏิวัติของ เหมาเจ๋อตุง ชนชั้นกรรมาชีพจีนไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใดเลย

แท้จริงแล้วการปฏิวัติจีน เป็นการปฏิวัติชาตินิยม ที่อาศัยกองกำลังชาวนาแต่นำโดยปัญญาชนที่เป็นแกนนำของพรรคคอมมิวนิสต์

mao-zedong-1

ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมักอ้างว่าสาเหตุที่การปฏิวัติจีนอาศัยกองทัพของชาวนา ก็เพราะจีนแตกต่างจากประเทศในยุโรปตรงที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวนา แต่เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น

ในรัสเซียสมัยปฏิวัติสังคมนิยมที่นำโดยชนชั้นกรรมาชีพในปี 1917 รัสเซียเป็นประเทศด้อยพัฒนา มีชาวนาถึง 160 ล้านคน และกรรมาชีพเพียง 3 ล้านคน (จีนในปี 1918 มีกรรมาชีพถึง 11 ล้านคน) แต่ เลนิน เข้าใจดีว่าชาวนาสร้างสังคมนิยมไม่ได้  เพราะชาวนาเสมือนผู้ประกอบการรายย่อยแบบปัจเจกชน ที่ไม่ต้องการรวมพลังการผลิตของทุนนิยมสมัยใหม่ไว้ภายใต้การควบคุมของส่วนรวม

e473d155df92683097a487b44f77dc23_w479_h293

นอกจากนี้การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนหันมาใช้กองทัพของชาวนาก็เพราะความผิดพลาดของพรรคเอง ที่ไปรวมตัวเข้ากับพรรค ก๊กมินตั๋ง ของนายทุนจีน ซึ่งจบลงด้วยการปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างโหดร้ายป่าเถื่อนในปี 1927 ความผิดพลาดนี้มาจากนโยบายการสร้างแนวร่วมกับนายทุนของสตาลินในรัสเซียที่เสนอต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ

หลังจากที่ถูกปราบ พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้เหมาจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองไปหาชาวนา ถ้าเปรียบเทียบกับพรรค บอลเชอร์วิค ของเลนิน  จะเห็นได้ว่า เลนินปฏิเสธแนวร่วมกับนายทุนตลอด    และเมื่อพรรคของเลนินถูกปราบปราม จะไม่หนีออกไปหาชาวนา แต่จะหลบซ่อนอยู่กับกรรมาชีพตามเมืองหรือบางครั้งหนีออกนอกประเทศ

ในวันที่ 11 มกราคม 1949 เพียง 9 เดือนก่อนชัยชนะ ของเหมาในจีน พรรคจีนมีคำสั่งกับกรรมาชีพดังนี้

“เราหวังว่ากรรมกรและพนักงานต่างๆ คงจะทำงานต่อไปอย่างปกติ เจ้าหน้าที่ของพรรคก๊กมินตั๋งในทุกระดับและตำรวจ จะต้องทำหน้าที่ต่อไปและเชื่อฟังคำสั่งจากกองทัพปลดแอก…”

maozedong1949.xinhua

ข้อสรุปคือ การปฏิวัติจีนในปี 1949 เป็นการปฏิวัติแบบ “ชาตินิยมกู้ชาติ” ไม่ใช่การปฏิวัติสังคมนิยม และหลังการปฏิวัติ ผู้ครองอำนาจจริงคือผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาไม่มีส่วนในการปกครองตนเองเลย ที่เห็นได้ชัดคือ หลังการปฏิวัติจีนไม่มีการตั้ง “สภาคนงาน” หรือแม้แต่ “สภาชาวนา”  กลไกในการปกครองตนเองจึงไม่มี ลักษณะแท้ของรัฐจีนคือ เผด็จการของพรรคข้าราชการเหนือประชาชน

การปฏิวัติยึดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สำเร็จได้เพราะพรรคนายทุนจีนในพรรคก๊กมินตั๋ง หมดสภาพ และญี่ปุ่นพึ่งแพ้สงคราม

ชัยชนะของ เหมาเจ๋อตุง นำไปสู่การปลดแอกจีนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาเกรงกลัวว่า “คอมมิวนิสต์” จะยึดโลก     และที่สำคัญคือชัยชนะของ เหมาเจ๋อตุง เปิดประตูให้มีการพัฒนาประเทศภายใต้ระบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” ซึ่งในที่สุดทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจอย่างที่เห็นทุกวันนี้

แต่สำหรับกรรมาชีพและเกษตรกรจีน การกดขี่ขูดรีดยังไม่สิ้นสุด

ทุนนิยมโดยรัฐในจีน

หลังการปฏิวัติ การบริโภคของประชาชนผู้ยากจน มีความสำคัญน้อยกว่าการผลิตเพื่อสะสมทุนโดยรัฐ ซึ่งเห็นได้จากข้อมูลสัดส่วนของรายได้ชาติที่นำไปลงทุนในอุตสาหกรรม ในปี 1952 การลงทุนใช้รายได้ของชาติประมาณ 15.7% และปี 1956 ใช้ ถึง 22.8 %  และการลงทุนในการผลิตอาวุธใช้ 18.1% ของรายได้ชาติในปี 1952 และในปี 1955 เพิ่มถึง 16.2% ในเมื่อจีนมีภาระในการลงทุนทางอุตสาหกรรมและการลงทุนทางทหารสูง แน่นอนรายได้ของกรรมาชีพย่อมเพิ่มช้ากว่าอัตราการผลิต ซึ่งถือว่าการขูดรีดแรงงานในยุคนี้ค่อนข้างสูง

ถ้าเราตรวจดูข้อมูลที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของกรรมาชีพกับรายได้ของคนงาน จะเห็นว่าอัตราการขูดรีดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 1953, 1954 และ 1955 ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น 13%, 15% และ 10% แต่ค่าแรงเพิ่มแค่ 5%, 2.6% และ 0.6% ตามลำดับ

การขูดรีดชาวนายิ่งหนักกว่าการขูดรีดแรงงานอุตสาหกรรมอีก  ระหว่างกรกฎาคม 1954 ถึง มิถุนายน 1955 รัฐได้เก็บภาษีในรูปแบบข้าวสารและผลิตผลอื่นๆ 52 ล้านต้น หรือ 30% ของผลิตผลเกษตรทั้งหมดของชาติ

ในระบบทุนนิยมโดยรัฐ รัฐข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมและการผลิตอาวุธ เพื่อสร้างจีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ ในขณะที่กรรมาชีพและเกษตรกรถูกขูดรีดอย่างหนักเพื่อการสะสมทุนดังกล่าว ระบบนี้ไม่ใช่สังคมนิยม แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของทุนนิยม

ความผิดพลาดของ เหมา หลังการปฏิวัติ

เหมาเจ๋อตุง อาจนำการปฏิวัติชาตินิยมจีนถึงจุดสำเร็จ แต่ในการบริหารประเทศภายหลัง เหมาไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง ในปี 1958 เหมาเสนอให้แก้ปัญหาความด้อยพัฒนาของจีนด้วยวิธีทาง “จิตใจ” เหมาเสนอให้มีการ “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” เพื่อให้จีนทันตะวันตกภายใน5-7ปี!! ไม่มีการคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจจีนแต่อย่างใด วิธีการที่เหมาใช้คือการรณรงค์ให้คนงานทำงานวันละ 18 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด ยกเลิกการพักกินข้าว บังคับให้ชาวนาทำนาร่วม และสร้างเตาหลอมเหล็กในทุกหมู่บ้าน ผลของการ “ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่” คือเศรษฐกิจจีนพัง คนอดตาย 20 ล้านคน และในที่สุดผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์พยายามกีดกันไม่ให้เหมามีบทบาทในการนำอีก

แต่เหมาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในปี 1966 เหมาจึงหันมาปลุกระดมคนหนุ่มสาวไฟแรงที่ไม่พอใจกับเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์ซึ่งเริ่มมีลักษณะแบบขุนนาง มีการตั้งกองกำลังแดง และมีการเชิดชูเหมาเหมือนพระเจ้า ผลของ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสงครามภายในพรรคคอมมิวนิสต์ คือเกิดสงครามกลางเมืองทั่วประเทศ เศรษฐกิจยิ่งทดถอย และในที่สุดผู้นำจีนต้องใช้กองทัพในการปราบปรามกองกำลังแดงและคนหนุ่มสาว คาดว่าตายเป็นหมื่นและคนหนุ่มสาว 17 ล้านคนถูกส่งไป “อบรมใหม่” ในชนบท เรื่องราวของยุคสมัยนั้นหาอ่านได้ในหนังสือหลายเล่มเช่นเรื่อง หงษ์ป่า

chinese-red-guards

เหมาอาจชนะการปฏิวัติวัฒนธรรมชั่วคราว แต่เมื่อเหมาตายในปี 1976 พรรคพวกของเขา ที่เรียกกันภายหลังว่า “แก๊งสี่คน” ก็ถูกกำจัดไปและ เติ้ง เสี่ยว ผิง ก็ขึ้นมามีอำนาจ สองปีต่อมามีการประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ คือหันหน้าเข้าสู่กลไกตลาดเสรีนั้นเอง

ปัจจุบันจีนเป็นประเทศทุนนิยมตลาดเสรีภายใต้เผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์

tiananmen-square

ในปี 1989 หลังกำแพงมืองเบอร์ลินถูกพังทลาย สงครามเย็นก็สิ้นสุดลงท่ามกลางการล่มสลายของเผด็จการคอมมิวนิสต์แนวสตาลินในรัสเซียและยุโรปตะวันออก นักศึกษาและกรรมาชีพจีนที่ไม่พอใจกับสภาพความเป็นอยู่มานานจึงได้กำลังใจและออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน  มีการร้องเพลง “แองเตอร์นาซิอองนาล” ของฝ่ายสังคมนิยม ซึ่งสะท้อนว่านักศึกษาส่วนหนึ่งผิดหวังกับรัฐบาลจีนที่ไม่สร้างสังคมนิยมจริงๆ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน แต่เผด็จการพรรคคอมิวนิสต์ใช้กำลังทหารปราบปรามนักศึกษาและกรรมาชีพอย่างรุนแรง

image

กรรมาชีพจีนในสมัยนี้

ระหว่างปี 1978 และ 2015 คนรวยที่สุด10% ในจีน เพิ่มการครองสัดส่วนของรายได้ชาติ จาก 27% เป็น41% ในขณะที่คนธรรมดาที่จนที่สุด 50% ของประเทศ ครองสัดส่วนของรายได้ชาติลดลง จาก 27% เหลือเพียง 15% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุนนิยมกลไกตลาดเสรีในจีนมีผลในการเพิ่มความเหลื่อมล้ำอย่างถึงที่สุด

ในยุคปัจจุบัน กรรมาชีพจีนมีประมาณ 800 ล้านคน ซึ่งกระจุกอยู่ตามเมืองสำคัญๆ เขตอ่าวแม่น้ำไข่มุก มีประชากร 69 ล้านคน เขตนี้เป็นศูนย์กลางการผลิตของบริษัทไอที และการประกอบรถยนต์ โดยที่เชื่อมโยงกับระบบไฟแนนส์และท่าเรือของฮ่องกง เศรษฐกิจในเขตนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนโตกว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซีย และมีการดึงเกษตรกรจากชนบทมาเป็นกรรมาชีพเป็นล้านๆ คน

China-Inequality

อย่างไรก็ตามทั้งๆ ที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ความเหลื่อมล้ำในถูมิภาคนี้สูงมาก และคนงานใหม่ที่อพยพเข้ามาจากชนบท 63.8% ต้องทำงาน 7 วันโดยไม่มีวันหยุด โดยชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์เฉลี่ยประมาณ 56 ชั่วโมง

สภาพเช่นนี้นำไปสู่การฆ่าตัวตายในโรงงาน Foxconn แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือนำไปสู่การต่อสู้ของกรรมาชีพ ในหนึ่งปีที่ผ่านมามีการนัดหยุดงานเกิดขึ้น 1,100 ครั้ง เกือบครึ่งหนึ่งในภาคก่อสร้าง และนักศึกษาจีนจาก 20 มหาวิทยาลัยก็มาสนับสนุนช่วยคนงานทั้งๆ ที่มักโดนปราบปรามจากรัฐ

headley_chinaprotests_rtr2uqft

อนาคตของการสร้างเสรีภาพ ความเท่าเทียม และประชาธิปไตยในจีน อยู่ในมือของกรรมาชีพและนักศึกษา

ต้นกำเนิดทัศนะแย่ๆ ของ อองซานซูจี ต่อชาวโรฮิงญา

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในรอบหกสิบปีที่ผ่านมา เผด็จการทหารพม่ากดขี่พลเมืองทั้งในเรื่องประชาธิปไตยและในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางเชื้อชาติพร้อมๆกัน และทุกวันนี้ แม้ว่ามีการเลือกตั้งจอมปลอมและ อองซานซูจี ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศภายใต้อำนาจทหาร สถานการณ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ล่าสุดรัฐบาลพม่าได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา โดยที่ อองซานซูจี แก้ตัวแทนผู้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี จะสลดใจและผิดหวัง แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี แต่อย่างใด

ดินแดนที่เรียกว่าพม่า มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติมาตั้งแต่สมัยที่อังกฤษเข้ามาล่าอณานิคม นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ชื่อ Martin Smith  อธิบายว่าปัญหาทางเชื้อชาติในพม่า รุนแรงขึ้นเมื่อมีการพยายามรวมศูนย์รัฐชาติในยุคหลังเอกราช ในสภาพดั้งเดิมชุมชนต่างๆ มีลักษณะกระจัดกระจายและหลากหลายทางเชื้อชาติ แม้แต่ในยุคท้ายของการปกครองของอังกฤษก็ยังไม่มีการรวมศูนย์อำนาจในพม่าตอนเหนืออย่างสมบูรณ์ และแน่นอนอังกฤษใช้ระบบ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง” ซึ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติต่างๆ อีกด้วย

เมื่อคนงานท่าเรือพม่านัดหยุดงาน อังกฤษนำคนงานเชื้อสายอินเดียเข้ามาทำงานแทน ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างอันหนึ่งของพวกนักชาตินิยมพม่า ในการเหยียดคนเชื้อสายอินเดีย นอกจากนี้ขบวนการชาตินิยมพม่ามักเหมารวมคนเชื้อสายอินเดียว่าเป็นพวกปล่อยกู้หน้าเลือด ทั้งๆ ที่ชาวพม่าจำนวนไม่น้อยก็ปล่อยกู้และเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูงเช่นกัน

สถิติเกี่ยวกับสถานภาพเชื้อชาติต่างๆ ในพม่าไม่ชัดเจน  แต่ที่สำคัญคือในครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศ มีผู้คนอาศัยอยู่ที่ไม่ใช่เชื้อชาติ “พม่า” ซึ่งอาจมีจำนวน 35-50% ของประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศพม่ามีชาติพันธุ์ที่หลากหลายมานาน ไม่ได้แปลว่ามีความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดย “ธรรมชาติ” เพราะมีประวัติอันยาวนานของการดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ยิ่งกว่านั้น Smith มองว่าวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ละเชื้อชาติไม่ได้ถูกอนุรักษ์แช่แข็งอยู่กับที่ แต่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการปรับตัวระหว่างเชื้อชาติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นผ่านการค้าขายและการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย

การที่ผู้นำขบวนการชาตินิยมพม่าอย่าง อองซาน (บิดาของ อองซานซูจี) พยายามสร้างรัฐรวมศูนย์ที่คนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาว “พม่า” มองว่าตนเองจะถูกควบคุมโดยชาว “พม่า” เป็นปัญหาแต่แรก อองซานไม่ยอมรับว่าประชาชนเชื้อชาติต่างๆ นอกจากชาว “พม่า” และชาวฉาน (ไทใหญ่) มีความเป็นชาติจริง และกองทัพกู้เอกราชของอองซาน ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเด็กและสตรีกะเหรี่ยงกว่า 1,800 คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการเชื้อชาติ คะฉิ่น กะเหรี่ยง คะเรนนี่ มอญ ว้า และอะระกัน ไม่ยอมมาร่วมประชุม ปางโหลง (Panglong) ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ และไม่ไว้ใจผู้นำพม่าอย่าง อองซาน และอูนุ แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าก็ยังไม่มีความอ่อนไหวต่อประเด็นเชื้อชาติเท่าที่ควร

อูนุ ซึ่งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากที่ อองซาน ถูกยิงตาย มีนโยบายระหว่างปี ค.ศ. 1954-1956 ที่จะส่งเสริมศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติ และประกาศว่าพม่าใช้การปกครองที่อิง “พุทธสังคมนิยม” ซึ่งนโยบายดังกล่าวสร้างความแตกแยกและความไม่พอใจในหมู่ชนชาติอื่นๆ ที่ ไม่นับถือพุทธ  ยิ่งกว่านั้นเมื่อนายพลเนวินทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐในปี ค.ศ. 1962 มีการใช้กำลังในการบังคับรวมศูนย์ประเทศมากขึ้น เพราะกองทัพพม่าไม่ยอมพิจารณาสิทธิใดๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ในการปกครองตนเองเลย

การเน้นศาสนาพุทธแบบสุดขั้วบวกกับการเหยียดหยามคนเชื้อสายอินเดีย นำไปสู่การสร้างกระแสเกลียดชังชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นคนที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวบังคลาเทศ แต่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าพม่ามาตลอด

ในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี เพราะเขามีจุดยืนเกี่ยวกับเชื้อชาติที่เน้นแต่ความเป็นใหญ่ของชาว “พม่า” ไม่ต่างจากจุดยืนของพ่อ ในอดีตในหนังสือของ อองซานซูจี มีการเอ่ยถึงความสามารถของชนชาติอิ่นๆ ในการ “ร้องรำทำเพลง” หรือในการ “เป็นพี่เลี้ยงเด็ก” มากกว่าที่จะเคารพว่าปกครองตนเองได้  และที่สำคัญคือพรรค National League for Democracy (N.L.D.) ของ อองซานซูจี มีนโยบายที่กีดกันคนมุสลิม

จุดยืนล่าสุดของ อองซานซูจี ที่ปล่อยให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิง และคำพูดโกหกของเขาว่าพวกโรฮิงญาไม่ใช่พลเมืองของประเทศพม่า หรือคำโกหกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการ “ก่อการร้าย” ของชาวโรฮิงญา แสดงธาตุแท้ของแนวคิด “พม่านิยม” สุดขั้วของ อองซานซูจี จุดยืนแย่ๆ ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขาให้ความสำคัญกับการเอาใจทหารเพื่อขึ้นมามีตำแหน่ง และการเอาใจแม้แต่พระสงฆ์ฟาสซิสต์อย่างวีระธู โดยมีวัตถุประสงค์ในการปลุกทัศนะเหยียดคนมุสลิมเพื่อรักษาฐานเสียงของตนเองในหมู่ชาวพุทธอีกด้วย สรุปแล้วจุดยืนของ อองซานซูจี ไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด และจะไม่นำไปสู่เสรีภาพของพลเมืองประเทศพม่า ไม่ว่าจะชนชาติใด

[ อ่านเพิ่ม http://bit.ly/1sH06zu

และอ่านประกอบเรื่องทัศนะสังคมไทยต่อผู้ลี้ภัย http://bit.ly/1TUGqhz ]

ต้นกำเนิดปัญหาการค้ามนุษย์อยู่ที่นโยบายรัฐไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

เราควรเข้าใจว่าคดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาที่พึ่งมีการตัดสินลงโทษคนจำนวนหนึ่ง เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่การกระทำของทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมืองมาเฟียเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นเพราะมีต้นกำเนิดจากนโยบายของรัฐไทย

ภาพจากเนชั่นทีวี

ในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ การที่พล.ท.มนัส คงแป้น ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิของหน่วยทหารพิเศษภายใต้ กอ.รมน. เป็นจำเลยสำคัญ ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่ามีนายทหารและนายตำรวจระดับสูงอีกกี่คนที่เกี่ยวข้องหรืออย่างน้อยรับรู้เรื่องนี้ มีคนภายในรัฐบาลเผด็จการกี่คนที่เกี่ยวข้องและรับรู้แต่ไม่ทำอะไร? และอย่าลืมว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าชุดสอบสวนในคดีนี้ ต้องหลบหนีไปขอหลี้ภัยในออสเตรเลีย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลขู่ฆ่า

ตลอดเวลาที่คดีดำเนินอยู่ พยานต่างๆ ถูกข่มขู่ โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ปกป้องใคร โดยเฉพาะพยานชาวโรฮิงญา และการให้การของพล.ท.มนัส เป็นการให้การลับ ที่อ้าง “ความมั่นคง” เป็นสาเหตุ ประเด็นคือเจ้าหน้าที่รัฐกับศาลต้องการปกปิดอะไร?

ในภาพรวมเรื่องต้นกำเนิดของการค้ามนุษย์ ในประการแรกเราต้องดูบทบาทของ กอ.รมน. ที่รับผิดชอบในการปฏิบัติการ “ผลักดันและส่งต่อ” ผู้หลี้ภัยชาวโรฮิงญา เพื่อส่งเพื่อนมนุษย์หลายพันชีวิตไปตายหรือเป็นเหยื่อกลางทะเล นี่คือนโยบายโหดร้ายที่สุดที่ไร้ความเมตตา หรือความเคารพต่อเพื่อมนุษย์โดยสิ้นเชิง

แนน่อนนโยบายชาตินิยมแย่ๆ ของรัฐบาลพม่า ภายใต้การนำของอองซานซูจี ที่กอดคอกับอำนาจเผด็จการทหารพม่า มีส่วนสำคัญในการขับไล่ชาวโรฮิงญาออกจากพม่า แต่นั้นไม่ควรเป็นข้อแก้ตัวสำหรับคนไทย

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย “ผลักดันและส่งต่อ”  คือการที่รัฐไทยไม่เคยยอมรับสภาพผู้หลี้ภัยของคนจากประเทศอื่นเลย รัฐบาลไทยไม่ยอมเซ็นสัญญาระหว่างประเทศของสหประชาชาติปีค.ศ. 1951 ที่ว่าด้วยสถานภาพผู้หลี้ภัย และรัฐบาลไทยไม่มีกฏหมายเพื่อคุ้มครองเพื่อนมนุษย์ที่หนีเข้ามาในไทยเพราะถูกรังแกและข่มขู่ ดังนั้นผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ถ้าไม่ถูดผลักออกไปตาย ก็จะถูกกักไว้ในค่าย โดยไม่มีสิทธิในการเลี้ยงชีพ และไม่มีโอกาสที่จะอยู่ในไทยอย่างถาวรหรือโอนสัญชาติเป็นพลเมืองไทยได้เลย

สภาพเช่นนี้เป็นโอกาสทองสำหรับอาชญากรที่ต้องการหากำไรจากการค้ามนุษย์ หรือการรีดไถเงินจากคนที่โชคร้ายจนต้องหนีออกจากประเทศของตนเอง

มันเป็นเรื่องที่พลเมืองไทยทุกคนที่รักความเป็นธรรม มองว่าตนเองมีศีลธรรม หรือเป็นชาวพุทธ จะต้องอับอายขายหน้าในท่าทีของรัฐไทย

และอย่าลืมว่ามีคนไทยผู้รักประชาธิปไตยจำนวนหนึ่ง ที่อาศัยสัญญาระหว่างประเทศของสหประชาชาติปีค.ศ. 1951 เพื่อลี้ภัยจากเผด็จการ เพื่อไปอยู่อย่างปลอดภัยในต่างประเทศ และในที่สุดก็ได้สัญชาติของประเทศเหล่านั้นด้วย

แต่ในภาพรวมเรื่องมันยังโยงไปถึงภาพกว้างของลัทธิการเมืองชาตินิยมด้วย การที่ชนชั้นปกครองไทยโดยเฉพาะทหารเผด็จการ แต่รวมถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วย คอยพยายามล้างสมองพลเมืองไทยให้ “รักชาติ” ตลอดเวลา มีผลในการสร้างบรรยากาศของการเหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นลัทธิที่ชวนให้เรารักชาติของชนชั้นปกครอง แทนที่เราจะรักเพื่อนมนุษย์ที่เป็นทั้งคนไทยและคนเชื้อชาติอื่นๆ

อย่างไรก็ตามการ “ล้างสมอง” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชนชั้นปกครองทำได้ เพราะพลเมืองธรรมดาไม่โง่ และที่สำคัญคือ ถ้ามีกลุ่มคนที่กล้าเถียงกับหรือคัดค้านแนวคิดกระแสหลักของชนชั้นปกครอง พลเมืองธรรมดาจจะต้องคิดต่อและเลือกข้าง ปัญหาคือในไทย กลุ่มการเมือง ขบวนการเคลื่อนไหว หรือสหภาพแรงงาน ไม่ค่อยมีการให้ความสำคัญกับการต้านลัทธิชาตินิยมเท่าที่ควร

ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้หลี้ภัยด้วย มันมีผลต่อการปฏิบัติของรัฐไทยต่อแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน คือรัฐไทยใช้นโยบายข่มขู่ ดูถูก ปราบ และออกนโยบายในการขึ้นทะเบียนแรงงานจากประเทศอื่น เพื่อให้เขาอยู่ในสภาพที่ไร้ความมั่นคงเสมอ เป้าหมายคือให้แรงงานเหล่านั้นถูกขูดรีดเอารัดเอาเปรียบง่ายขึ้น เราเห็นตัวอย่างล่าสุดดจากกฏหมายแรงงานข้ามชาติของเผด็จการทหาร

ประเด็นสำคัญที่พลเมืองไทยควรเข้าใจคือ ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่คัดค้านการเหยียดเชื้อชาติ หรือการไม่เคารพสิทธิของผู้ลี้ภัย คนไทยจะยังเป็นทาสของชนชั้นปกครองต่อไป และไม่สามารถสู้เพื่อปลดแอกตนเองได้ เพราะยังงมงายอยู่ในลัทธิชาตินิยมล้าหลัง ที่สอนให้เราจงรักภักดีต่อชนชั้นปกครอง

 

ลัทธิทหารคือลัทธิอันธพาล

ใจ อึ๊งภากรณ์

เราไม่ควรแปลกใจแต่อย่างใดที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกับทหารเกณฑ์เป็นประจำ เพราะทหารของทุกประเทศในทุกยุคคือโจรอันธพาลของรัฐ และใครที่เข้าใจธาตุแท้ของรัฐในสังคมชนชั้นปัจจุบันทั่วโลกย่อมเข้าใจว่ารัฐไม่ใช่รัฐของประชาชน รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง เพื่อควบคุมอำนาจที่เขามีเหนือเราที่เป็นคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ารัฐนั้นจะถูกบังคับให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ [อ่านเพิ่มเรื่องรัฐได้ที่นี่ http://bit.ly/2oPnBIm  ]

ในประเทศไทยพวกนายพลคิดจะปล้นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเมื่อไร ก็นำอาวุธออกมาข่มขู่ประชาชนแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้ารัฐบาล ภายใต้เผด็จการปัจจุบันแก๊งอันธพาลก็กระจายไปทั่วทุกส่วนของสังคมจนตำรวจเกือบจะไร้บทบาท พวกมันใช้อาวุธเพื่อแต่งตัวเองเป็นประธานโน้นประธานนี่ คุมเศรษฐกิจและสังคม บุกค้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ลากคนบริสุทธิ์เข้าคุกทหารเพื่อเปลี่ยนทัศนะคติ หรือขังลืมเพราะกล้ามีความเห็นต่าง คิดจะวิสามัญใครก็ทำได้โดยไม่เคยถูกลงโทษ คิดจะยิงประชาชนผู้รักประชาธิปไตยตายกลางถนนก็ทำได้ ทหารอันธพาลไม่ชอบใครก็เลื่อนตำแหน่งได้ตามอำเภอใจ คิดอยากจะออกกฏหมายอะไรก็ใช้มาตรา44สั่งการ ไม่ต้องปรึกษาหารือถกเถียงตามกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด ประยุทธ์อ้างกฏหมายได้ เพราะกฏหมายในปัจจุบันคือความคิดประยุทธ์เท่านั้น

ลัทธิทหารคือลัทธิอันธพาล อันธพาลคิดจะใช้ความรุนแรงเพื่อได้อะไรก็ทำได้ ทำต่อพลเมืองธรรมดาก็ได้ ทำต่อลูกน้องในกองทัพก็ทำได้

ทั้งหมดนี้ทำได้เพราะมีอาวุธอยู่ในมือ ไม่ต่างจากโจรผู้ร้ายแต่อย่างใด

ภายในกองทัพธรรมดาของรัฐปัจจุบันไม่เคยมีประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพ ไม่ต่างจากแก๊งโจร ใครเป็นใหญ่ในกองทัพสั่งลูกน้องได้โดยห้ามตั้งคำถามหรือเถียง วินัยทหารคือวินัยอันธพาล มันไม่ใช่วินัยที่มาจากจิตสำนึกของพลเมืองเองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานเหตุผลแต่อย่างใด

จริงอยู่บางครั้งในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติประชาชน เช่นในรัสเซียปี 1917 หรือสเปน 1936 มีกองกำลังปฏิวัติเกิดขึ้นที่นายพลเป็นแค่ “ผู้ประสานงาน” บางครั้งมีการเลือกนายพลได้อีกด้วย และคำสั่งของผู้ประสานงานต้องได้รับการยอมรับโดยทหารธรรมดาผ่านการถกเถียง แต่นั้นเป็นกรณีพิเศษของกองทัพปฏิวัติ มันไม่ใช่กองทัพของรัฐ

ทั่วโลกในยามสงครามทหารจะถูกสั่งให้ไปฆ่าประชาชนของอีกประเทศที่เป็นทหารและพลเรือนโดยไม่ต้องมีการอธิบายเหตุผลด้วยข้อมูลและรายละเอียดแต่อย่างใด ทุกครั้งก็จะมีโฆษกของชนชั้นปกครองในสื่อออกมากล่าวว่าเป็นสงคราม “เพื่อปกป้องชาติ” แต่คำถามสำคัญคือ “ชาติ” ที่พูดถึงเป็นชาติของใคร?

เวลา “ไทย” รบ “พม่า” ชาวบ้านธรรมดาได้อะไร? คำตอบคือไม่เคยได้อะไรเลย สงครามในยุคนั้นทำไปเพื่อแย่งไพร่และทาสกันระหว่างชนชั้นปกครอง เวลาตะวันตกทำสงครามในตะวันออกกลางทำไปเพื่ออะไร? แน่นอนไม่ได้ทำไปเพื่อประชาชนในอิรัก อัฟกานิสถาน หรือซิเรีย เพราะเขาต้องล้มตายเป็นแสน แล้วพอเขาต้องการหนีไปยุโรปก็ไม่ให้เข้า แน่นอนไม่ได้ทำไปเพื่อประชาชนในประเทศตะวันตกเอง เพราะนอกจากเขาต้องจ่ายภาษีเพื่อการทำสงครามแล้ว มันยังเป็นการชักศึกก่อการร้ายเข้าบ้านในขณะที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางไม่เคยเป็นภัยต่อความสงบของสังคมตะวันตก สาเหตุแท้ของการทำสงคราม “เพื่อชาติ” คือทำไปเพื่อกำไรของกลุ่มทุนใหญ่ เพื่อน้ำมัน และเพื่อการอวดความยิ่งใหญ่และแสดงอำนาจของประเทศจักรวรรดินิยมเท่านั้น

สงครามที่กองทัพไทยก่ออยู่ในปาตานีทุกวันนี้ ไม่ใช่สงครามเพื่อประโยชน์ของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด มันสร้างภัยให้ประชาชนธรรมดาต่างหาก มันสร้างความขัดแย้งจอมปลอมระหว่างคนที่มีเชื้อชาติศาสนาต่างกัน มันเป็นสงครามเพื่อยับยั้งไม่ให้ชาวมุสลิมมาเลย์กำหนดอนาคตตนเองเท่านั้น มันเป็นสงครามเพื่อปกป้องรัฐของชนชั้นปกครองไทย ถ้าปล่อยให้มีการคุยกันระหว่างประชาชนในพื้นที่โดยที่ทหาร ตำรวจและรัฐไทยไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง จะมีสันติภาพได้ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ชนชั้นปกครองไทยต้องการแต่อย่างใด

ทุกวันนี้เวลาชายไทยถูกเกณฑ์เป็นทหาร มันไม่ต่างจากการเกณฑ์ไพร่ในอดีต มันไม่ใช่การเกณฑ์ไป “รับใช้ชาติ” ของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด มันเป็นการเกณฑ์ไปรับใช้นายพล และภายใต้เผด็จการปัจจุบันมันเป็นการเกณฑ์ไปรับใช้เผด็จการเปื้อนเลือดของประยุทธ์

คนที่รักประชาชน คนที่มองว่า “ชาติ” คือ “ประชาชน” จะรับใช้ชาติได้ดีที่สุดโดยการคัดค้านการเกณฑ์ทหาร การประท้วงความรุนแรงภายในกองทัพ และการต่อต้านเผด็จการ

ตราบใดที่คนไทยไม่ปฏิเสธการเหยียดเชื้อชาติ ก็คงยังเป็นทาสต่อไป

ใจ อึ๊งภากรณ์

คาร์ล มาร์คซ์ เคยตั้งข้อสังเกตว่าถ้ากรรมาชีพอังกฤษไม่เลิกดูถูกคนจากไอร์แลนด์ที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในอังกฤษ เขาจะไม่มีวันปลดแอกตนเองได้

หลังจากที่มีการเปิดโปงและเผยแพร่ข่าวทารุณกรรมที่คนไทยก่อกับชาวโรฮิงญา ในบทความและวิดีโอของ นสพ. “การ์เดี้ยน” เราอาจพูดได้ว่า ตราบใดที่คนไทยจำนวนมากยังเหยียดเชื้อชาติอื่นๆ คนไทยก็ย่อมเป็นทาสต่อไป และไม่มีวันปลดแอกตนเองกับสร้างเสรีภาพในสังคมได้

ในกรณีชาวโรฮิงญาที่หนีความรุนแรงที่รัฐบาลทหารพม่าปลุกปั่นให้ชาวพุทธคลั่งชาติก่อต่อเขา เราจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจระดับสูงของไทยได้แสวงหาผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์ผู้โชคร้ายเหล่านั้น มีการกักตัวในค่ายกลางป่า มีการกักตัวบนเรือกลางทะเล มีการทุบตีคนที่ไม่ทำตามคำสั่ง มีการข่มขืนเด็กและผู้หญิงอย่างเป็นระบบ และเจ้าของเรือประมงก็ได้ประโยชน์ทั้งจากการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมอาหารทะเล และการขนส่งค้าขายมนุษย์อีกด้วย

แน่นอนมีคนไทยจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว มีชาวบ้านธรรมดาที่ออกไปช่วยชาวโรฮิงญา และเราจะไม่วิจารณ์ผู้ที่มีน้ำใจแบบนี้

แต่ที่น่าสลดใจคือ ถ้าพิจารณาสังคมไทยโดยรวมแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่แคร์ ไม่มีการสร้างขบวนการประท้วงต่อต้านพฤติกรรมเลวทรามของพวกค้ามนุษย์ และไม่มีการรณรงค์ให้รับผู้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยในประเทศไทยเพื่อเป็นเพื่อนร่วมสังคมกับเรา

ในเรื่องการคัดค้านการค้ามนุษย์และทารุณกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าถามคนไทยส่วนใหญ่ว่าเขาคิดอย่างไร เขาคงคัดค้าน ถึงแม้ว่าคงไม่พร้อมจะทำอะไร แต่เมื่อถามว่าควรรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศหรือไม่ เขาจะมองว่าไม่ควรรับ นอกจากนี้คนไทยจำนวนมากยังไม่เลิกใช้คำเหยียดหยามกับคนเชื้อชาติอื่น มีการใช้คำว่า “แขก” “ญวน” “ต่างด้าว” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” เหมือนเป็นสันดาน และมีการดูถูกแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไร้จิตสำนึก

ประเด็นปัญหาสำหรับคนที่อยากปลดแอกตนเอง อยากเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพคือ มันมีสองขั้วความคิดในทุกสังคมทั่วโลก

ขั้วความคิดแรกเป็นแนวคิดที่มาจากชนชั้นปกครองและชวนให้เราจงรักภักดีต่อเขาภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งในไทยรวมถึงลัทธิราชานิยมด้วย แนวคิดนี้ชวนให้เราหมอบคลานต่อเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์ นายพลมือเปื้อนเลือด หรือ “ท่านผู้ใหญ่” คนใด และมันชวนให้เรามองว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกับผู้ที่กดขี่ขูดรีดเรา “เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน” นี่คือที่มาของความคิดที่เหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นแอกเพื่อควบคุมให้คนส่วนใหญ่เป็นไพร่

ขั้วความคิดที่สองเป็นแนวคิดที่เกิดจากจิตสำนึกทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพและคนชั้นล่างทั่วไป มันไม่ได้เกิดโดยอัตโนมัติ มันอาศัยอยู่ในสังคมได้เพราะมีนักสังคมนิยมและนักสิทธิมนุษยชนที่ทวนกระแสความคิดกระแสหลัก และเสนอแนวคิดประเภท “สามัคคีชนชั้นล่างข้ามเชื้อชาติ” ความคิดขั้วนี้จะปฏิเสธการรักชาติ แต่จะรักเพื่อนประชาชนแทน จะเสนอให้คนไทยธรรมดาสมานฉันท์กับคนเชื้อชาติอื่น และต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครอง เพื่อให้เราร่วมกันปลดแอกตนเองและสังคม

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเห็นว่าตราบใดที่เรายังรักชาติของชนชั้นปกครอง และตราบใดที่เรามองว่าเราอยู่ข้างเดียวกับคนที่เหยียบหัวเรา เราไม่มีวันต่อสู้เพื่อเสรีภาพได้

ในยุโรปกระแสชาตินิยมเหยียดเชื้อชาติอื่น ถูกปลุกขึ้นมาโดยฝ่ายนายทุนในวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบันและในอดีต คนที่ยอมรับแนวนี้ไม่สามารถต่อสู้กับชนชั้นปกครองที่กำลังบังคับให้คนธรรมดารัดเข็มขัดเพื่อประโยชน์กลุ่มทุนได้ มีแต่ฝ่ายที่เน้นผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ และสมานฉันท์ข้ามพรมแดน ที่จะสามารถต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐสวัสดิการและมาตรฐานชีวิตของคนส่วนใหญ่ได้

ในไทยตราบใดที่เราไม่ต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อกำจัดพวกค้าและทรมาณชาวโรฮิงญา ตราบใดที่เราไม่สลัดความคิดที่มองว่าเรารับผู้ลี้ภัยเข้ามาอยู่กับเราไม่ได้ ตราบใดที่เราไม่เลิกใช้คำเหยียดหยามเชื้อชาติอื่น และตราบใดที่เรายังยืนเคารพธงชาติของชนชั้นปกครอง เราจะไม่มีวันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์และความเท่าเทียมได้เลย

ความโง่เขลาในกะลาแลนด์

ใจ อึ๊งภากรณ์

ภาพคนไทยคนนี้ ที่ใส่เสื้อติดสัญญลักษณ์ของพวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์-นาซี ซึ่งเกลียดชังคนสีผิวอื่น สามารถสรุปความน่าสมเพชของสังคมไทยได้ดี เพราะพวก “พลังผิวขาว” ที่เป็นนาซี จะมองคนไทยว่าเป็น “ไอ้ชิ๊งค์” หรือ “ไอ้เจ็กตาตี๋” ที่ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว ในหลายประเทศที่กำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ พวกฝ่ายขวาก็จะหาแพะรับบาป และไปโทษคนหน้าตา “ตี๋ๆ” แบบไทย เพื่อเบี่ยงเบนความโกรธแค้นของประชาชนต่อสภาพเศรษฐกิจ ทั่วยุโรป รวมถึงอังกฤษ ก็มีพรรคแบบนี้เกิดขึ้นมา

แต่คนไทยจำนวนมากที่เติบโตภายใต้กะลามะพร้าวแห่งลัทธิคลั่งชาติ จะไม่รู้เรื่องเลย มีแต่จะกราบไหว้ผู้ใหญ่ ยืนเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติ ในขณะที่ชนชั้นปกครองไทยทำรัฐประหาร ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ จับคนเข้าคุก และดูถูกประชาชนธรรมดาว่า “ไม่มีวุฒิภาวะ” ที่จะมีสิทธิ์มีเสียงหรือเลือกรัฐบาล

ยิ่งกว่านั้น ในทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พวกชนชั้นปกครองไทยเสพสุข “ทำนาบนหลังพลเมืองส่วนใหญ่” และมีวิถีชีวิตพอๆ กับเศรษฐีจากประเทศร่ำรวย มันก็จะออกมาพูดว่า “การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสร้างปัญหา” “การนำภาษีประชาชนมาพยุงชาวไร่ชาวสวนเป็นสิ่งที่ผิด” หรือ “การมีระบบสาธารณสุขฟรีเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร” แต่มันก็ยังพยายามหลอกให้เราภูมิใจในประเทศชาติที่มันคุมและเป็นเจ้าของเบ็ดเสร็จ

ในกะลาแลนด์ ประชาชนถูกสอนให้รักชาติ ภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งๆ ที่ไทยยังเป็นทาส มันเป็นกระบวนการ “ทำตัวเองเป็นทาส” ภายใต้การกล่อมเกลาในเรื่องชาตินิยมจากชนชั้นปกครอง คนไทยในภาพที่ใส่เสื้อ “พลังผิวขาว” ถือว่าทำตัวเองเป็นทาสอย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคนจำนวนมากจะชื่นชมเวลาทีมฟุตบอล์ไทยชนะการแข่งขัน ทั้งๆ ที่หลายคนไม่สนใจฝีมือหรือเทคนิคในการเตะบอล์เลย

ดังนั้น ในมุมกลับกับลัทธิคลั่งชาติ มีคนรักประชาธิปไตยหลายคนที่ไปแอบชื่นชมราชินีอังกฤษเพราะที่อังกฤษไม่มี 112 ทั้งๆ ที่ราชวงศ์อังกฤษร่ำรวยมหาศาล จ่ายค่าจ้างกับคนรับใช้ต่ำ และเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองที่กดขี่ประชาชนอังกฤษ

เราลืมประเด็นชนชั้น เรามองแต่ประโนชาติ เพราะฝ่ายซ้ายไทยอ่อนแอหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และแม้แต่ในยุค พคท. พรรคก็ยังชูแนวชาตินิยมอีกด้วย

ผลคือคนไทยจำนวนมากไม่รู้จักสมานฉันท์สามัคคีกับคนชนชั้นเดียวกันในประเทศอื่น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการที่คนไทยจำนวนมากใช้คำไม่สุภาพเวลาเอ่ยถึงคนเชื้อชาติหรือสีผิวที่ต่างออกไป ลักษณะภาษาที่คนไทยจำนวนมากใช้ จะไม่ต่างจากภาษาที่พวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์-นาซี ที่ภูมิใจใน “พลังผิวขาว” ใช้ ตัวอย่างที่ดีคือการใช้คำว่า “แขก” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” “ไอ้ลาว” ฯลฯ ที่คนจำนวนมากใช้โดยไม่คิดอะไรเลย เพราะในกะลาแลนด์ชนชั้นปกครองพยายามส่งเสริมให้เราไม่คิด

อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ คนไทยจำนวนหนึ่งไม่สนใจเรื่องที่มีสาระอะไรเลยที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ดังนั้นเราจะเห็นคนใส่เสื้อฮิตเลอร์และพูดชมฮิตเลอร์โดยไม่รู้เรื่องเลย ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์เป็นคนที่มองว่าเชื้อชาติตะวันออกแบบไทยๆ ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว และฮิตเลอร์เป็นจอมเผด็จการยิ่งกว่าไอ้ยุทธิ์มือเปื้อนเลือดที่แต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าในไทยเสียอีก

แต่ทั้งหมดที่ผมพูดถึงนี้ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของคนไทย มันมาจาการอยู่ใต้กะลามากกว่า ในสหรัฐอเมริกา คนจำนวนมากก็ไม่รู้เรื่องสิ่งที่เกิดในประเทศอื่นเช่นกัน และตำรวจสหรัฐขึ้นชื่อว่าเกลียดชังคนผิวดำและพร้อมจะฆ่าคนผิวดำโดยรู้ว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษ

กะลาที่ครอบหัวคนในสังคมเรา หรือในสังคมอื่น มันไม่ใช่กะลาถาวร มันยกออกได้ และในอดีตกะลาไทยก็ถูกเปิดออกมามากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ที่สำคัญคือ แนวคิดที่จะปลดแอกคนจากการ “ทำตัวเองเป็นทาส” เป็นแนวคิดฝ่ายซ้ายสังคมนิยมที่เน้นเรื่องชนชั้นมากกว่าชาติ นี่คือสาเหตุที่เราต้องรื้อฟื้นแนวสังคมนิยมและสร้างพรรคฝ่ายซ้ายในไทย

ทำไมฝ่ายซ้ายอังกฤษสนับสนุนให้ชาวสก๊อตแลนด์โหวด YES

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในวันที่ 18 กันยายนปีนี้ ประชาชนชาวสก๊อตแลนด์จะมีโอกาสลงคะแนนเสียงว่าอยากจะแบ่งแยกประเทศออกจากสหราชอาณาจักรหรือไม่ และจากโพล์ล่าสุดดูเหมือนคะแนนเสียงของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงสูสีกันมาก บางโพล์ถึงกับมองว่าคนส่วนใหญ่อาจโหวด YES ให้แยกประเทศ

ชนชั้นปกครองสก๊อกแลนด์พาประเทศเข้ารวมกับอิงแลนด์เป็นสหราชอาณาจักรเมื่อ 300 ปีก่อน และชนชั้นปกครองสองฝ่ายก็ได้ประโยชน์และมีบทบาทร่วมกัน ในการล่าอาณานิคมและการขูดรีดกรรมาชีพภายในประเทศของตนเอง แต่ในยุคนี้สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก และในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีการกระจายอำนาจการปกครองบางส่วนไปสู่รัฐสภาสก๊อกแลนด์ และรัฐสภาเวลส์ด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อหัวหน้าพรรคชาตินิยมสก๊อกแลนด์ (SNP) เริ่มเสนอวาระที่เอียงซ้ายไปทางจุดยืนนักสังคมนิยม เมื่อเดือนที่แล้ว คะแนนเสียงของคนที่อยากแยกประเทศจะพุ่งสูงขึ้นตามลำดับ เขาเอียงซ้ายไปทางจุดยืนนักสังคมนิยมโดยการพูดเรื่องการปกป้องรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะระบบรอนามัยแห่งชาติ (NHS) ที่บริการประชาชนทุกคนฟรี นอกจากนี้มีการพูดถึงการยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ และขับไล่ฐานทัพเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของอังกฤษออกไป

นักสังคมนิยมในอังกฤษทั้งสองฝั่งของพรมแดน กำลังรณรงค์ให้คนโหวด YES ด้วยสาเหตุสำคัญดังนี้คือ

  1. ในรอบห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา เมื่ออังกฤษมีรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมของนายทุน ชาวสก๊อตแลนด์ส่วนใหญ่ไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้พรรคนี้เลย คือต้องอดทนอยู่ภายใต้รัฐบาลฝ่ายขวาที่ตนเองไม่ได้เลือก ช่วงนี้หลายคนชอบพูดว่าในสวนสัตว์สก๊อตแลนด์ มีหมีแพนด้าสองตัว มากกว่า สส. พรรคอนุรักษ์นิยมที่ชาวสก๊อตแลนด์เลือกมา ซึ่งมีเพียง 1 คน และในวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 นโยบายตัดงบประมาณและทำลายรัฐสวัสดิการของรัฐบาลลอนดอน เป็นนโยบายที่ชาวสก๊อตแลนด์พยายามต่อต้าน ทุกวันนี้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยสก๊อตแลนด์ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าจ้างในภาครัฐสูงกว่าที่อิงแลนด์ และการบังคับเก็บ “ภาษี” จากคนจนที่มีห้องนอน “เกิน” ถูกระงับไปในสก๊อตแลนด์
  2. การแยกประเทศสก๊อตแลนด์ออกจากสหราชอาณาจักร จะยุติหรือลดบทบาทของอังกฤษในการเป็นจักรวรรดินิยมก้าวร้าวลงไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับกรรมาชีพอังกฤษและชาวโลก ทุกคนทราบดีว่าพรรคชาตินิยมสก๊อตแลนด์ สัญญาว่าจะยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์และนำงบประมาณนี้มาหนุนรัฐสวัสดิการแทน
  3. ฝ่ายซ้ายเข้าใจดีว่าพรรคชาตินิยมสก๊อตแลนด์ ไม่ใช่พรรคสังคมนิยม ทั้งๆ ที่พรรคนี้สามารถแย่งคะแนนเสียงจำนวนมากจากพรรคแรงงาน (Labour) โดยการเสนอนโยบายที่ซ้ายกว่าพรรคแรงงานในหลายๆ เรื่อง แต่การโหวด YES จะเป็นโอกาสทองในการต่อสู้เพื่อ “วาระก้าวหน้าสังคมนิยม” ในประเทศเอกราชใหม่ และการต่อสู้นี้คงต้องทำในลักษณะที่เผชิญหน้ากับพรรคชาตินิยมสก๊อตแลนด์อีกด้วย เพราะพรรคนี้จะพยายามเอาใจนายทุน การต่อสู้เพื่อ“วาระก้าวหน้าสังคมนิยม”ทางเหนือ จะให้กำลังใจกับฝ่ายซ้ายและนักสหภาพแรงงานในอิงแลนด์เพื่อสร้าง“วาระก้าวหน้าสังคมนิยม”ทางใต้ด้วย

ถ้าสก๊อตแลนด์มีเอกราช จะมีหน้าตาคล้ายๆ ประเทศนอร์เวย์ คือเป็นประเทศเล็กๆที่มีน้ำมัน และพยายามปกป้องและสร้างรัฐสวัสดิการ และไม่ว่าคะแนนเสียงจะออกมาอย่างไรในวันที่ 18 กันยายน กระบวนการประชามติครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นในมวลประชาชนสก๊อตอย่างมาก มันเป็นแผ่นดินไหวในรัฐอังกฤษ

จากมุมมองคนที่อยู่ประเทศไทย มันมีข้อสังเกตและคำถามหลายข้อคือ ทำไมชาวปาตานีไม่มีสิทธิ์ลงประชามติแบบนี้? ทำไมประชาชนไทยทั้งหมดไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกรัฐบาลตามใจชอบและมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก? ทำไมประเทศไทยยังไม่มีรัฐสวัสดิการและการที่เราถูกปกครองโดยเผด็จการทหารจะยิ่งทำให้ความฝันนี้ไกลออกไปหรือไม่? และท้ายสุด การคลั่งชาติที่ “แบ่งแยกไม่ได้” หรือคลั่งธงชาติ ของพวกชนชั้นปกครองไทย มันเป็นพิษภัยต่อประชาชนคนธรรมดาที่เป็นผู้ทำงานมากแค่ไหน?

การไล่ล่าคนงานเขมรกับพม่าขัดกับผลประโยชน์คนไทยส่วนใหญ่

ใจ อึ๊งภากรณ์

ขณะนี้เผด็จการทหารฝ่ายขวาของประยุทธ์ กำลังใช้แนวชาตินิยมสุดขั้วและการสร้างกระแสเกลียดชังประชาชนจากเพื่อนบ้าน เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและกดขี่คนไทยส่วนใหญ่ให้เป็นทาสรับใช้ทหารและชนชั้นปกครอง

นอกจากการขับไล่เพื่อนแรงงานจากเขมรและพม่าจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยแล้ว มันยังมีผลกระทบกับความเข้มแข้งของขบวนการแรงงานและขบวนการประชาธิปไตย

ในแง่เศรษฐกิจ ธุรกิจไทยในทุกระดับขาดแคลนแรงงานค่าจ้างต่ำในงานสกปรกและยากลำบาก ซึ่งมิตรสหายจากเพื่อนบ้านได้เข้ามาทำงานในส่วนนี้ ถ้าเค้าขาดหายไปเศรษฐกิจไทยก็จะขยายตัวช้าลง ซึ่งจะมีผลกระทบกับคนไทยธรรมดาจำนวนมาก

ในแง่ของความตอแหลเราต้องถามว่าในบ้านเรือนของนายพล และ พวกคณะทหาร รวมถึงชนชั้นกลางที่เชียรทหาร มีการใช้และเอาเปรียบคนเขมรหรือคนพม่ามากน้อยเพียงไร

ในแง่ของการปลุกระดมให้คนไทยคลั่งชาติ ไม่ว่าจะด้วยภาพยนตร์นเรศวรหรือการสร้างกระแสเกลียดชังคนงานจากประเทศรอบข้าง มันเป็นความพยายามอันน่าสมเพชของประยุทธ์ และ พรรคพวก ที่หวังเบี่ยงเบนความคิดของคนส่วนใหญ่ไปจากการคิดเรื่องรัฐประหารและการขโมยประชาธิปไตย ไปสู่การหมอบคลานต่อชนชั้นปกครองและทหาร

แต่คณะทหารและนักธุรกิจที่สนับสนุนเผด็จการไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ทั้งๆ ที่เขามีสัญชาติไทย ในอดีตถึงปัจจุบันเผด็จการอาศัยอำนาจเพื่อกอบโกยทรัพย์สินส่วนรวมเข้ากระเป๋าตัวเอง และพวกนายทุนก็อาศัยเผด็จการในการกดค่าแรงและสวัสดิการของคนทำงาน อย่าลืมว่าฝ่ายอำมาตย์ เกลียดชังทักษิณ เพราะทักษิณ นำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่มาใช้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องเชียร์ทักษิณ แบบไม่เลือกคิดเอง

ในเมือทหารและอำมาตย์เป็นศัตรูของคนไทยส่วนใหญ่ คนธรรมดาผู้ทำงานทั่วโลกเป็นมิตรของเรา ซึ่งรวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย

มาตรการโหดร้ายทารุณ ของเผด็จการทหารต่อแรงงานพม่าและเขมร คงไม่ทำให้คนเหล่านั้นไม่กลับมาทำงานในไทย เพียงแต่เค้าจะเข้ามาในลักษณะผิดกฎหมาย และ ขาดความมั่นคงมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้จะอำนวยให้พวกนายจ้างกินเลือด ตำรวจ และทหารสามารถเอารัดเอาเปรียบเพื่อนๆ ของเราได้มากขึ้น

การสร้างกระแสความเกรงกลัวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบแรงงานข้ามชาติ หรือ การเรียกพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยเข้าไปรายงานตัวต่อทหาร เป็นเรื่องเดียวกัน

ถ้าคนงานไทยหรือประชาชนทั่วไป ถูกคณะทหารหลอกให้คล้อยตามแนวชาตินิยมก็จะทำให้เราเพียงแต่เป็นทาส