ใจ อึ๊งภากรณ์ เรียบเรียงจากงานเขียนของ เอียน เฟอร์กะสัน[1]
อีริค ฟรอม (Erich Fromm) เป็นนักจิตวิทยาแนวมนุษย์นิยมเชื้อสายยิว ที่เกิดในเยอรมัน หลังจากการยึดอำนาจของฮิตเลอร์ เขาต้องย้ายไปสหรัฐอเมริกา
ฟรอม ประกาศมาตลอดอย่างชัดเจนว่าเขา “เป็นนักมาร์คซิสต์” และสนใจความสัมพันธ์ระหว่างระบบทุนนิยมกับปัญหาสุขภาพจิต โดยที่เขาพยายามผสมแนวคิดของ คาร์ล มาร์คซ์ กับ ซิกมุนด์ ฟรอยด์[2] แต่เขายืนยันตลอดว่า มาร์คซ์ สำคัญกว่า ฟรอยด์
ฟรอม สนใจจิตวิทยาของ ฟรอยด์ แต่วิจารณ์ว่า ฟรอยด์ ให้ความสำคัญกับชีววิทยามากเกินไปในการอธิบายบุคลิกภาพของมนุษย์ เพราะ ฟรอม มองว่าเราต้องดูความสัมพันธ์ระหว่างชีววิทยากับประวัติศาสตร์สังคมหรือสภาพการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในลักษณะวิภาษวิธี คือมององค์รวมและอิทธิพลที่สองสิ่งนี้มีต่อกัน
ฟรอม เชื่อว่าในสังคมปัจจุบัน มนุษย์อาจหลุดพ้นจากความเป็นไพร่หรือทาสในอดีต แต่ในระบบทุนนิยมเสรีภาพผิวเผินที่เรามีอยู่นำไปสู่ความโดดเดี่ยว และความกลัว ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่มีสองแนวทางในการจัดการกับปัญหานี้คือ เลือกปิดหูปิดตาเพื่อทำตามกระแสหลักในสังคม หรือตั้งใจเผชิญหน้ากับอำนาจในสังคมเพื่อแสวงหาเสรีภาพ แต่แนวที่สองต้องอาศัยความกล้าหาญ คนที่แก้ปัญหานี้ไม่ค่อยได้อาจเสี่ยงกับการป่วยทางจิต
สำหรับ “ธรรมชาติมนุษย์” ฟรอม เชื่อว่ามีจริง แต่เป็นธรรมชาติในลักษณะนิสัยใจคอร่วมกันของมนุษย์ในสังคมหนึ่ง ไม่ใช่ธรรมชาติมนุษย์ของปัจเจก อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่าเราต้องไม่ตกหลุมพรางสองชนิดเวลาพิจารณาเรื่องนี้คือ (1)เราต้องปฏิเสธแนวคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มองว่าธรรมชาติมนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาโดยธรรมชาติและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เช่นการที่พวกอนุรักษ์นิยมมองว่ามนุษย์มักเห็นแก่ตัว แต่มันไม่มีหลักฐานรองรับ และ ฟรอม นิยามว่าความคิดแบบนี้เป็น “ลัทธิทางการเมือง” มากกว่าวิทยาศาสตร์ (2)เราต้องปฏิเสธความคิดของฝ่ายซ้ายบางคนที่มองว่าธรรมชาติมนุษย์เป็น “ของเหลว” ที่ถูกกำหนดจากสังคมรอบข้างอย่างเดียว โดยที่พวกนี้เสนอว่าเราไม่สามารถให้คุณค่ากับความคิดต่างๆ ของมนุษย์ว่าดีหรือเลวได้เลย
ฟรอม เสนอว่าธรรมชาติมนุษย์ในสังคมหนึ่งในยุคหนึ่ง ได้รับอิทธิพลจากสภาพวัตถุรอบข้าง คือวิธีเลี้ยงชีพหรือการผลิตของมนุษย์ ซึ่งต่างกับ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่เสนอว่าเรื่องเพศหรือเซกซ์ และความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องหลัก
ฟรอม อธิบายว่านิสัยใจคอของมนุษย์มีสองส่วนคือ (1)ส่วนที่เป็นบุคลิกของปัจเจกตั้งแต่เกิดที่ไม่ค่อยเปลี่ยน และ(2)“บุคลิกภาพของสังคม” ที่ทุกคนมีร่วมกับคนอื่น แต่ในเรื่องนี้ทั้งๆ ที่เขาเน้นว่าได้รับอิทธิพลจากสภาพวัตถุ แต่เขาไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควรกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และมักมองว่าบุคลิกภาพของสังคมมีลักษณะที่ค่อนข้างจะถาวร และมีบุคลิกภาพเดียว เขาไม่ขยันเพียงพอที่จะค้นหาหลักฐานในโลกจริง ในสังคมต่างๆ อาจมีบุคลิกภาพทางสังคมหลายรูปแบบ
สิ่งสำคัญที่ขาดไปจากความคิดของ ฟรอม คือพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มาจากความขัดแย้งทางชนชั้น และอิทธิพลที่ความขัดแย้งนี้มีต่อบุคลิกภาพ โดยรวมแล้ว ฟรอม มักมองข้ามเรื่องชนชั้นไปเลย
สำหรับเรื่องนี้ คาร์ล มาร์คซ์ เสนอว่าธรรมชาติมนุษย์มีสองส่วนคือ (1)ธรรมชาติพื้นฐาน คือการที่มนุษย์คิดเองเป็นและรักการทำงานที่สร้างสรรค์ท่ามกลางการดำรงอยู่ในลักษณะรวมหมู่กับมนุษย์คนอื่น ซึ่งต้องอาศัยความสัมพันธ์และการสื่อสารกัน (2)ธรรมชาติพื้นฐานนี้ทำให้เราพัฒนาลักษณะ ธรรมชาติ และบุคลิกภาพของเราได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวันสิ้นสุด พูดง่ายๆมนุษย์พัฒนาธรรมชาติตนเองอยู่ตลอดเวลาในลักษณะรวมหมู่ เราไม่เคยถึงจุดเสร็จสมบูรณ์ และพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือความขัดแย้งทางชนชั้น
[1] Iain Ferguson (2016) “Between Marx and Freud: Erich Fromm Revisited.” International Socialism Journal 149. http://bit.ly/1R1sx26