Tag Archives: ซิเรีย

การปฏิวัติสังคมนิยมในยุคปัจจุบัน

ในยุคนี้เรามักได้ยินพวกกระแสหลักเสนอว่า “การปฏิวัติเป็นเรื่องล้าสมัย” แต่ตราบใดที่ทุนนิยม ความเหลื่อมล้ำ และความไม่ยุติธรรมยังดำรงอยู่ การพยายามปฏิวัติเกิดขึ้นเสมอ และการที่ยังไม่มีใครล้มทุนนิยมได้สำเร็จในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะการปฏิวัติล้าสมัย แต่เป็นเพราะฝ่ายเรายังขาดความเข้าใจในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ชัยชนะ

เลนิน ผู้นำการปฏิวัติรัสเซีย 1917 เคยอธิบายว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีเงื่อนไขสองประการอันเป็นผลพวงจากวิกฤตในสังคมและการต่อสู้ทางชนชั้น เงื่อนไขเหล่านั้นคือ

  1. ชนชั้นปกครองไม่สามารถปกครองต่อไปในรูปแบเดิมได้ เพราะสังคมอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
  2. คนธรรมดาทนไม่ได้ที่จะอยู่ต่อแบบเดิม และพร้อมที่จะปกครองตนเอง ซึ่งความพร้อมดังกล่าวมาจากการจัดตั้งในรูปแบบต่างๆ

ใครเป็นผู้ก่อการปฏิวัติ?

คำตอบคือคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่นักปฏิวัติกล้าหาญมืออาชีพเพียงไม่กี่คน เพราะการปฏิวัติสังคมนิยมเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้นำในขณะที่ยังคงไว้ระบบเดิม และเราต้องพูดต่อไปว่าต้องมีกรรมาชีพในใจกลางของขบวนการมวลชน เพื่อให้การปฏิวัติมีพลัง เพื่อจะได้ขยับการประท้วงหรือการกบฏไปเป็นการพยายามล้มรัฐกับระบบให้ได้

จะขอนำตัวอย่างจากโลกจริงมาช่วยอธิบาย การลุกฮือในอียิปต์ท่ามกลาง “อาหรับสปริง” ในปี 2011 สามารถล้มเผด็จการมูบารักได้ก็เพราะกรรมาชีพมีการจัดตั้งอยู่ใจกลางขบวนการมวลชน และที่สำคัญคือมีประวัติการนัดหยุดงานมาอย่างต่อเนื่องในรอบสิบปีก่อนที่จะล้มมูบารัก ในตูนิเซีย ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ล้มเผด็จการในกระบวนการอาหรับสปริง สหภาพแรงงานต่างๆ อยู่ใจกลางขบวนการมวลชนเช่นกัน ในซูดาน ซึ่งยังสู้กันกับเผด็จการในปัจจุบัน สหภาพหมอมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2016 และสามารถดึงกรรมาชีพอืนๆในภาครัฐเข้ามาร่วมได้ เช่นครู ดังนั้นสหภาพแรงงานภาครัฐของซูดานมีบทบาทสำคัญในการประสานงานการต่อสู้ แต่สื่อกับนักวิชาการกระแสหลักจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้

กรรมาชีพที่มีการจัดตั้งในสหภาพแรงงาน

กรรมาชีพที่มีการจัดตั้งเพียงพอที่จะมีประสิทธิภาพ จะต้องอิสระจากชนชั้นปกครอง ต้องไม่อนุรักษ์นิยม และในสภาพวิกฤตทางสังคมควรตั้ง “คณะกรรมการรากหญ้าเพื่อประสานการนัดหยุดงาน” จริงอยู่ แกนนำของสหภาพแรงงานอาจอนุรักษ์นิยมและใกล้ชิดชนชั้นปกครองอย่างเช่นสหภาพแรงงานหลายแห่งในรัฐวิสาหกิจไทยที่เข้ากับเสื้อเหลือง แต่นั้นไม่ได้หมายความว่านักสังคมนิยมจะหันหลังให้กับสหภาพแรงงานดังกล่าว หรือแยกตัวออกเพื่อสร้างสหภาพใหม่ อย่างที่พวกอนาธิปไตยมักจะทำ นักสังคมนิยมจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในที่ทำงานของตนเสมอ และพยายามช่วงชิงการนำจากผู้นำอนุรักษ์นิยม

ในกรณีตูนิเซีย ท่ามกลางการประท้วงปัญหาสังคมของมวลชน มีการประชุมของสภาแรงงานเพื่อคุยกันเรื่องบำเน็จบำนาญ ปรากฏว่านักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายยืนขึ้นในที่ประชุม และวิจารณ์แกนนำโดยพูดว่า “สังคมข้างนอกห้องนี้ปั่นป่วนและอยู่ในสภาพวิกฤต แล้วพวกเราจะยังคุยกันเรื่องบําเหน็จบํานาญหรือ?” ผลคือสภาแรงงานประกาศนัดหยุดงานทั่วไปเพื่อประท้วงเผด็จการ ซึ่งในที่สุดสามารถล้มรัฐบาลได้ บทเรียนที่สำคัญคือ ถ้านักเคลื่อนไหวดังกล่าวมัวแต่ตั้งสหภาพแรงงานแยกจากสหภาพแรงงานหลักๆ จะไม่สามารถช่วงชิงการนำได้เลย

กรณีการต่อสู้ในซิเรีย เป็นตัวอย่างสำคัญในด้านตรงข้าม การลุกฮือไล่เผด็จการไม่มีกรรมาชีพอยู่ใจกลาง เพราะพรรคบาธของรัฐบาลเผด็จการใช้มาตรการโหดเหี้ยมต่อผู้ที่คัดค้านรัฐบาลมานาน และที่สำคัญคือเข้าไปจัดตั้งกรรมาชีพภาครัฐ เช่นครู ดังนั้นเวลามวลชนลุกฮือ รัฐบาลก็ใช้มวลชนจากภาครัฐไปปะทะแบบม็อบชนม็อบ ผลคือในไม่ช้าการพยายามปฏิวัติแปรตัวจากการเคลื่อนไหวมวลชนไปสู่การจับอาวุธ มันจบลงด้วยความพ่ายแพ้ที่ไม่สามารถล้มประธานาธิบดีอะซัดได้

หลายคนชอบพูดว่าอินเตอร์เน็ตมีความสำคัญในยุคนี้สำหรับการประสานงานการกบฏ แต่เอาเข้าจริง เวลารัฐบาลมองว่าการกบฏอาจเขย่าบัลลังก์ได้ เขาจะรีบปิดอินเตอร์เน็ต ซึ่งเกิดขึ้นในพม่า อียิปต์ และซิเรีย ในสมัยนี้เราต้องใช้เครื่องมือทุกชนิดในการจัดตั้ง แต่การประสานงานต่อหน้าต่อตายังมีความสำคัญอยู่ ไม่ว่าจะประชุมใหญ่กลางถนนหรือในร้านกาแฟ

รัฐกับ “อำนาจคู่ขนาน”

ในการปฏิวัติรัสเซีย 1917 ซึ่งสามารถล้มรัฐทุนนิยมและสร้างรัฐกรรมาชีพได้สำเร็จ มีการสร้างสภาคนงาน สภาทหารรากหญ้า และสภาเกษตรกรรายย่อย ที่เรียกว่า “สภาโซเวียต” และท่ามกลางการปฏิวัติสภาโซเวียตกลายเป็น “อำนาจคู่ขนาน” กับอำนาจรัฐเก่า คือมีอำนาจของชนชั้นนายทุนแข่งกับอำนาจของกรรมาชีพและคนจน การเข้าสู่สภาพอำนาจคู่ขนานเป็นขั้นตอนสำคัญในการปฏิวัติ เพราะเป็นการสร้างหน่ออ่อนของรัฐใหม่

ในการกบฏทุกครั้ง มีการจัดตั้งเสมอ การจัดตั้งดังกล่าวอาจมีหน้าที่ประสานการประท้วง การนัดหยุดงาน การแจกจ่ายอาหารสำหรับประชาชน การขนส่ง การตั้งกลุ่มศึกษา และการปฐมพยาบาล ซึ่งล้วนแต่เป็นหน่ออ่อนของอำนาจคู่ขนาน

การปฏิวัติทางสังคม และการปฏิวัติทางการเมือง

การปฏิวัติในโลกปัจจุบันมีสองชนิดคือ การปฏิวัติทางสังคม และการปฏิวัติทางการเมือง

ชิลี

การปฏิวัติทางสังคมคือการล้มระบบเก่าและเปลี่ยนแปลงอำนาจทางชนชั้น คือมีชนชั้นปกครองจากชนชั้นใหม่ ซึ่งเกิดในการปฏิวัติรัสเซีย1917 การปฏิวัติฝรั่งเศส1789 หรือการปฏิวัติอังกฤษ1640 เป็นต้น ในกรณีแรกเป็นการปฏิวัติสังคมนิยม และในสองกรณีหลังคือการล้มระบบฟิวเดิลโดยนายทุนเพื่อเปิดทางให้ระบบทุนนิยม

การปฏิวัติทางการเมืองคือการลุกฮือของมวลชนที่นำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลแต่คงไว้ระบบเดิม ตัวอย่างเช่นการลุกฮือ๑๔ตุลาคม๒๕๑๖ หรือพฤษภา๓๕ ในไทย การล้มเผด็จการในตูนิเซีย หรือการล้มเผด็จการในโปรตุเกสปี1974 นอกจากนี้เราสามารถพูดได้ว่าการปฏิวัติจีนของเหมาเจ๋อตุงเป็นการปฏิวัติทางการเมืองอีกด้วย

ในกรณีตัวอย่างจากไทยที่ยกมา มวลชนที่ทำการปฏิวัติล้มเผด็จการ ไม่ได้มีแผนที่จะล้มระบบและไม่มีการสร้างอำนาจคู่ขนานที่แท้จริง ดังนั้นชนชั้นปกครองสามารถเสนอผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาแทนที่เผด็จการได้ ในกรณีโปรตุเกสประเทศรอบข้างในยุโรปรีบสร้าง “พรรคสังคมนิยม” เพื่อเบี่ยงเบนการปฏิวัติไปสู่ระบบประชาธิปไตยทุนนิยมในรัฐสภาและรักษาระบบเดิม และในตูนิเซียกับอียิปต์พรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาก็เข้ามามีบทบาทในการตั้งรัฐบาลใหม่โดยไม่มีการล้มระบบ

สำหรับอียิปต์ ในไม่ช้าอำนาจเก่า ซึ่งอยู่ในมือของกองทัพ ก็อาศัยการประท้วงของมวลชนที่ไม่พอใจกับรัฐบาลมอร์ซีจากพรรคภราดรภาพมุสลิม เพื่อเข้ามายึดอำนาจ ซึ่งเป็นการทำลายการปฏิวัติทางการเมืองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นสองปี

ในกรณีการปฏิวัติจีนของ เหมาเจ๋อตุง พรรคคอมมิวนิสต์อาศัยทฤษฎี “การปฏิวัติสองขั้นตอน” ของแนวสตาลิน-เหมา เพื่อควบคุมไม่ให้การปฏิวัติข้ามจุดการเปลี่ยนรัฐบาลไปสู่การเปลี่ยนระบบ ทางพรรคมองว่าต้องสู้เพื่อเอกราชของจีนก่อน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องสังคมนิยมทีหลัง ดังนั้นระบบไม่ได้เปลี่ยนไปจากระบบทุนนิยมไปสู่สังคมนิยม ทั้งๆ ที่รัฐบาลจีนอ้างว่าเป็นสังคมนิยม สิ่งที่ เหมาเจ๋อตุงกับพรรคคอมมิวนิสต์ทำคือการยึดอำนาจรัฐและสร้าง “ทุนนิยมโดยรัฐ” อำนาจรัฐอยู่ในมือของข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่ได้อยู่ในมือของกรรมาชีพหรือเกษตรกรแต่อย่างใด จึงไม่มีอำนาจคู่ขนานหรือสภาโซเวียตเกิดขึ้น มีแต่อำนาจกองทัพภายใต้พรรคเท่านั้น ทฤษฎี “การปฏิวัติถาวร” ของทรอตสกี้ มีความสำคัญในการเน้นบทบาทกรรมาชีพในการปลดแอกตนเองด้วยการล้มรัฐทุนนิยม แทนที่จะสู้แบบสองขั้นตอนตามแนวสตาลิน-เหมา

มาร์คซ์ และเลนิน อธิบายมานานแล้วว่าชนชั้นกรรมาชีพไม่สามารถยึดรัฐเก่ามาใช้เอง เพราะรัฐเก่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกดขี่กรรมาชีพและสะสมทุนสำหรับชนชั้นนายทุน ในจีนรัฐเก่าที่เหมาเจ๋อตุงใช้หลังการปฏิวัติ เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการขูดรีดกดขี่กรรมาชีพ ในขณะที่นายทุนเป็นข้าราชการแทนนายทุนเอกชน และในไม่นานเมื่อระบบ ”ทุนนิยมโดยรัฐ” เริ่มมีปัญหาในเชิงประสิทธิภาพในช่วงที่สหภาพโซเวียตพังลงมา รัฐบาลจีนสามารถหันไปใช้ทุนนิยมตลาดเสรีได้อย่างง่ายดาย

ในประเทศอย่างไทย การทำแค่รัฐประหารเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งทหารทำเป็นประจำในไทยหรือในพม่า ไม่ถือว่าเป็น “การปฏิวัติ” แต่อย่างใด เพราะไม่มีการลุกฮือโดยมวลชน มันเป็นแค่การแย่งผลประโยชน์กันเองโดยชนชั้นปกครอง

รัฐ

เลนิน เคยอธิบายในหนังสือ “รัฐกับการปฏิวัติ” ซึ่งอาศัยแนวคิดที่มาร์คซ์กับเองเกิลส์เคยเสนอ ว่ารัฐเป็นเครื่องมือในการกดขี่ทางชนชั้น ทั่วโลกในยุคปัจจุบัน รัฐทุนนิยมมีไว้เพื่อกดขี่ชนชั้นกรรมาชีพ นอกจากนี้ เลนิน เคยเสนอว่ารัฐคือเครื่องมือแบบ ”ทหารข้าราชการ” คือกองทัพมีความสำคัญในการปกป้องรัฐเก่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ ตูนิเซีย ซูดาน หรือไทย

ในประเทศตะวันตกที่ยังไม่มีวิฤต ชนชั้นปกครองจะเก็บกองทัพไว้ข้างหลัง และไม่นำออกมาใช้ภายในประเทศอย่างเปิดเผย จะใช้ตำรวจแทน แต่เราไม่ความหลงคิดว่าจะไม่มีการใช้ทหาร ตัวอย่างจากอดีตเช่นสเปน โปรตุเกส กรีซ หรืออิตาลี่ แสดงให้เห็นชัด

พรรคปฏิวัติสังคมนิยม

การที่ชนชั้นกรรมาชีพอยู่ใจกลางมวลชนที่ลุกฮือพยายามล้มรัฐ ไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การปฏิวัติที่สำเร็จ ในซูดานในขณะนี้มี “คณะกรรมการต่อต้านเผด็จการ” หลายพันคณะ ซึ่งบ่อยครั้งเชื่อมกับกรรมาชีพ แต่ไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานที่ทำงานเหมือนสภาโซเวียตในอดีต สิ่งสำคัญที่ขาดหายไปคือ “พรรคปฏิวัติสังคมนิยม”

ในการลุกฮือของมวลชนในทุกกรณี จะมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเรื่องแนวทาง ยกตัวอย่างจากไทย มีคนที่อยากแค่ปฏิรูปการเมืองโดยไม่ทำลายบทบาทของทหาร มีคนที่อยากแค่สนับสนุนพรรคการเมืองในสภาและหวังว่าเขาจะสร้างประชาธิปไตยได้ มีคนที่อยากเห็นทักษิณแลพรรคพวกกลับมา มีคนที่อยากล้มเผด็จการแต่ไม่อยากแตะกฎมหาย112และสิ่งที่เกี่ยวข้อง มีคนที่มีข้อเรียกร้องเฉพาะหน้าเรื่องปากท้องเท่านั้น และมีคนที่ต้องการปฏิวัติล้มระบบ นอกจากนี้มีการเถียงกันเรื่องแนวทาง เช่นเรื่องสันติวิธีหรือความรุนแรง เรื่องมวลชนหรือปัจเจก เรื่องการทำให้การประท้วงเป็นเรื่อง “สนุก” และเน้นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ และมีการถกเถียงกันเรื่องบทบาทสหภาพแรงงาน หรือเรื่องผู้นำเป็นต้น

บทบาทสำคัญของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมคือการสร้างความชัดเจนทางการเมืองในหมู่สมาชิกพรรค ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวร่วมกับคนอื่นและการถกเถียงกันในพรรค ความชัดเจนนี้สำคัญเพราะพรรคจะต้องเสนอแนวทางกับมวลชน จะต้องร่วมถกเถียงและพยายามช่วงชิงการนำ พรรคต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับรัฐเก่า ต้องมีการเสนอรูปแบบรัฐทางเลือกใหม่ ต้องตั้งคำถามกับระบบ ต้องอธิบายว่าแค่ปฏิรูปผ่านรัฐสภาจะไม่พอ และต้องชวนให้มวลชนให้ความสำคัญกับกรรมาชีพ

ซูดาน

ในซูดานกับตูนิเซีย ไม่มีพรรคปฏิวัติในขณะที่มีการต่อสู้เพื่อล้มเผด็จการ พรรคฝ่ายค้านกระแสหลักจึงสามารถเข้ามาช่วงชิงการนำได้ จริงอยู่ ในซูดานเรื่องยังไม่จบ การนำยังมาจาก “คณะกรรมการต่อต้านเผด็จการ” แต่คณะกรรมการนี้ประกอบไปด้วยหลายแนวคิด ซึ่งเป็นเรื่องดีและปกติ ปัญหาคือไม่มีองค์กรที่เสนอแนวทางไปสู่การล้มรัฐอย่างชัดเจน การต่อสู้ที่ซูดานจึงเสี่ยงกับการที่จะถูกเบี่ยงเบนไปสู่รัฐสภาในระบอบเดิม ในตูนิเซียสิบปีหลังอาหรับสปริง ประชาชนเริ่มไม่พอใจกับรัฐบาลและรัฐสภาที่ไม่แก้ไขปัญหาความยากจน ประธานาธิบดีไกส์ ซาอีดจึงสามารถก่อรัฐประหารเพื่อรวบอำนาจไว้ที่ตนเอง ปัญหาคือสภาแรงงานและพรรคฝ่ายซ้ายปฏิรูปหันไปสนับสนุนเขา การที่ขาดพรรคปฏิวัติสังคมนิยมแปลว่าไม่มีการวิเคราะห์อย่างชัดเจนว่าไกส์ซาอีดยึดอำนาจเพื่อปกป้องชนชั้นปกครองและหมุนนาฬิกากลับสู่สภาพสังคมแบบเดิม แต่ก็ยังดีที่หนึ่งปีหลังรัฐประหารคนเริ่มตาสว่างและออกมาประท้วง

ไกส์ ซาอีด

ในอียิปต์ ตอนล้มเผด็จการมูบารัก มีองค์กรพรรคปฏิวัติสังคมนิยมขนาดเล็ก แต่ท่ามกลางการต่อสู้พรรคนี้เล็กเกินไปที่จะชวนให้มวลชนไม่ไปตั้งความหวังไว้กับมอร์ซีจากพรรคภราดรภาพมุสลิม ซึ่งเป็นพรรคกระแสหลัก และหลังจากนั้นเมื่อมวลชนเริ่มไม่พอใจกับรัฐบาลใหม่ พรรคไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะห้ามไม่ให้คนจำนวนมากไปฝากความหวังไว้กับกองทัพเพราะมีกระแสคิดที่เสนอว่า “กองทัพอยู่เคียงข้างประชาชน” ซึ่งไม่จริง

บทเรียนบทสรุป

การลุกฮือ “อาหรับสปริง” ส่วนใหญ่ไม่สำเร็จในการล้มเผด็จการ เพราะมักขาดพรรคปฏิวัติสังคมนิยมที่มีรากฐานในชนชั้นกรรมาชีพ หรือถ้ามีพรรคมันยังเล็กเกินไป สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ขาดการตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ระบบ” และ “รัฐ” และขาดการเสนอทางออกที่นำไปสู่การล้มระบบและการสร้างรัฐใหม่ ในประเทศที่มีการกบฏอ่อนแอที่สุด ความอ่อนแอมาจาการที่กรรมาชีพมีบทบาทน้อยเกินไปหรือไม่มีบทบาทเลย ในไทยอันนี้เป็นปัญหาใหญ่

การลุกฮือต่อต้านเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลาง หรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่สามารถจำกัดไว้ภายในพรมแดนรัฐชาติได้ มวลชนส่วนหนึ่งอาจถือธงชาติในการประท้วง แต่มีการเรียนรู้จากกันข้ามพรมแดน ดังนั้นการสมานฉันท์ของฝ่ายเราข้ามพรมแดนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการตั้งความหวังว่ารัฐจักรวรรดินิยมตะวันตกหรือสหประชาชาติจะมาช่วยเราในการต่อสู้

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่าการปฏิวัติสังคม เป็น “กระบวกการ” ที่ใช้เวลา มันไม่ได้เกิดและชนะภายในในปีสองปี ดังนั้นมีชัยชนะชั่วคราว มีความพ่ายแพ้บ้าง และมีการเรียนบทเรียนเป็นเรื่องธรรมดา

ใจ อึ๊งภากรณ์

[ข้อมูลบางส่วนได้มาจากหนังสือ Revolution Is the Choice Of The People: Crisis and Revolt in the Middle East & North Africa โดย Anne Alexander]

“ไอซิล” กำเนิดขึ้นอย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

“ไอซิล” หรือ “ไอซิส” เป็นชื่อตัวย่อจากองค์กรที่เรียกตัวเองว่า “รัฐอิสลามในอิรักและเลอร์วานท์” ซึ่งเป็นกองกำลังของพวกนักรบ “ญิฮาด” อิสลามหัวรุนแรง และองค์กรนี้เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ปารีสเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน

ถ้าเราจะเข้าใจว่า ไอซิล เกิดขึ้นอย่างไร เราต้องเข้าใจผลของการทำสงครามของสหรัฐและอังกฤษที่บุกยึดอิรักและล้ม ซัดดัม ฮุสเซน ในปี 2003

เมื่อมีการล้มรัฐบาลของ ซัดดัม ฮุสเซน เรียบร้อยแล้ว สหรัฐไม่เอาใจใส่ในการปกป้องฟื้นฟูสังคมอิรักแต่อย่างใด และเมื่อชาวอิรักหลายกลุ่มเริ่มต่อต้านการยึดครองของสหรัฐด้วยการลุกขึ้นจับอาวุธ สหรัฐจงใจใช้นโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” ซึ่งสร้างความขัดแย้ง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ระหว่างชาวอิรักนิกายชีอะห์ และนิกายซุนนี

กองกำลังแรกที่ลุกขึ้นสู้คือ “กองทัพเมห์ดี” ของมุกดาห์ อัล ซาดร์ ในเมืองซาดร์ ซึ่งเป็นกองกำลังของชาวชีอะห์ สหรัฐพยายามถล่ม “กองทัพเมห์ดี” แต่กำจัดไม่ได้ และที่สำคัญคือคุมสังคมอิรักไม่ไหว   ต่อมามีการลุกฮือของอดีตทหารและอดีตสมาชิกพรรคบะอัธของซัดดัม ฮุสเซน ทั้งๆ ที่ซัดดัมถูกประหารชีวิตไปแล้ว กลุ่มนี้เป็นชาวซุนนี

เพื่อทำลายฐานอำนาจเก่าของ ซัดดัม ฮุสเซน สหรัฐหนุนหลังนักการเมืองเชื่องสายชีอะห์ และปลดทุกคนออกจากตำแหน่งราชการที่เคยเป็นสมาชิกพรรคบะอัธ ซึ่งในสมัย ซัดดัม ข้าราชการพลเรือนและทหารต้องเป็นสมาชิกพรรค นโยบายนี้ของสหรัฐสร้างความไม่พอใจกับชาวซุนนี่ธรรมดาจำนวนมากที่ตกงานและดูเหมือนไม่มีอนาคต

สิ่งที่ซ้ำเติมปัญหาของชาวซุนี คือรัฐบาลรับใช้สหรัฐของ นูรอัล มาลาคี ในยุคนั้น ใช้นโยบายที่กีดกันและปราบปรามชาวซุนีอย่างหนัก และกองกำลังนอกระบบของชาวชีอะห์ ก็ก่ออาชญากรรมกับชาวซุนีด้วย ในไม่ช้าก็เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชีอะห์ กับ ซุนนี จนรัฐอิรักกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” ที่คุมสถานการณ์ไม่ได้และบริการประชาชนไม่ได้ นี่คือสถานการณ์ “อุดมสมบูรณ์” เพื่อเพาะและสร้างองค์กรแบบ ไอซิล

ในไม่ช้าทหารระดับนายพลจากอดีตพรรคบะอัธ ซึ่งเป็นพรรคที่ไม่อิงศาสนา ก็หันไปจับมือกับกลุ่มนักรบ “ญิฮาด” เพื่อต่อต้านสหรัฐกับรัฐบาลอิรัก และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวซุนี แนวร่วมแปลกๆ อันนี้ มีจุดเด่นคือมีทหารที่มีประสบการณ์ในการสู้รบและการบริหารเมืองต่างๆ ร่วมกับนักรบและผู้นำศาสนาที่หัวรุนแรง ในที่สุดก็กำเนิด ไอซิล ในอิรัก

หลังการลุกฮือ “อาหรับสปริง” ก็เกิดการกบฏต่อเผด็จการของ บัชชาร อัลอะซัด ในซิเรีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อบ้านของอิรัก การกบฏเริ่มจากมวลชน แต่ในไม่ช้าก็เสื่อมเป็นสงครามกลางเมืองโหดร้ายที่สุดของผู้จับอาวุธ และที่แย่สุดคือจักรวรรดินิยมตะวันตก รัสเซีย และประเทศรอบข้างในตะวันออกกลางก็ต่างคนต่างเข้าไปแทรกแซง ท่ามกลางความพ่ายแพ้ของกระแส “อาหรับสปริง” ซิเรียก็เริ่มมีลักษณะของ “รัฐล้มเหลว”

ในสถานการณ์นี้ ไอซิล ยกกองกำลังจากอิรักเข้าไปแทรกแซงในซิเรีย มีการยึดแหล่งน้ำมันสำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดรายได้สำหรับองค์กร และในอิรักก็มีการยึดอาวุธทันสมัยจากกองทัพอิรักที่หมดสภาพในการต่อสู้ เป้าหมายของไอซิล คือการสร้างรัฐอิสลามที่รวมซิเรีย อิรัก และส่วนอื่นๆ ของตะวันออกกลาง

การแทรกแซงของประเทศภายนอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ฝรั่งเศส รัสเซีย ซาอุ อิหร่าน ตูรกี และรัฐต่างๆ ในอ่าว ฯลฯ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างเดียว หลายรัฐเป็นคู่แข่งและศัตรูกัน แต่ทุกรัฐประกาศว่าจะ “รบกับไอซิล” ทั้งๆ ที่ในความจริงมีการหนุนบ้าง รบบ้าง และที่แน่นอนคือการสร้างประโยชน์จากการมีไอซิล พร้อมกันนั้น ไอซิล เองก็ได้ประโยชน์ตรงนี้

ไอซิล เป็นองค์กรของนักรบปฏิกิริยาล้าหลังที่เพ้อฝันถึงสังคมในอดีต มันเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่การลุกฮือปฏิวัติปลดแอกตนเองของประชาชนได้รับความพ่ายแพ้ องค์กรนี้ใช้ลัทธิป่าเถื่อนที่เน้นและเชิดชูความรุนแรงบวกกับเผด็จการของผู้ชายในแกนนำขององค์กร

การทิ้งระเบิด ไอซิล โดยสหรัฐ ฝรั่งเศส ตูรกี และ รัสเซีย จะไม่ทำลายอำนาจของปีศาจไอซิล ที่พวกนั้นมีส่วนร่วมในการให้กำเนิดแต่แรก มันจะยิ่งสร้างภาพของความ “กล้าหาญ” ให้ไอซิล เราจะต้องรณรงค์ให้มีการยุติสงคราม และเราจะต้องรอเวลานานพอสมควร ให้มวลชนและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมฟื้นตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยอีกครั้ง

จุดยืนนักสังคมนิยมต่อผู้ลี้ภัย

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกวันนี้เราอยู่ในยุควิกฤตแห่งการลี้ภัย การลี้ภัยไม่ใช่เรื่องง่ายและสบาย ตรงกันข้าม การทิ้งบ้าน ทิ้งเพื่อน ทิ้งอาชีพ เป็นเรื่องใหญ่และสะท้อนความเดือดร้อนอย่างหนักของผู้ที่ต้องจากบ้านเกิดไป วิกฤตทุกวันนี้ในตะวันออกกลาง มีรากฐานต้นกำเนิดมาจากการก่อสงครามของตะวันตก เพราะถ้าไม่มีการโจมตีประเทศอีรักและอัฟกานิสถานโดยสหรัฐและอังกฤษ พร้อมกับพันธมิตรในนาโต้ และไม่มีการจงใจออกแบบระบบที่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาต่างๆ จนเกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนในประเทศเหล่านั้น อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประเทศเหล่านั้นจะไม่อยู่ในสภาพความปั่นป่วนที่เห็นอยู่

องค์กร “ไอซิล” ซึ่งตอนนี้ทำสงครามในอีรักและซิเรีย เป็นองค์กรป่าเถื่อนล้าหลัง แต่มหาอำนาจตะวันตกก็มีประวัติป่าเถื่อนในการทำสงครามและล่าอาณานิคมเช่นกัน และที่สำคัญคือมหาอำนาจตะวันตกมีส่วนในการสร้างสถานการณ์ที่ก่อให้เกิด “ไอซิล” ขึ้นมาแต่แรกในอิรัก เพราะการที่สหรัฐสนับสนุนรัฐบาลของกลุ่ม ชีอะฮ์ ที่กดขี่และปราบปราม กลุ่มซุนนี ทำให้หลายฝ่าย รวมถึงอดีตทหารของรัฐบาล ซัดดัม ฮุสเซน เข้ามาร่วมกับ “ไอซิล” ด้วย การแบ่งแยกเพื่อปกครองโดยตะวันตกนี้กระทำไปเพื่อให้ขบวนการกู้เอกราชที่ต่อต้านตะวันตกอ่อนแอ

การผลักดันให้การลุกฮือของประชาชนในลิบเบียและซิเรีย กลายเป็นสงครามกลางเมืองทางทหาร แทนการลุกฮือของมวลชน มีส่วนสำคัญในการทำลายสภาพสังคมในประเทศเหล่านั้น และมหาอำนาจตะวันตก รัสเซีย จีน กลุ่มประเทศอาหรับในอ่าว และตุรกี มีส่วนในการสร้างภาวะสงครามป่าเถื่อนแบบนี้

ในอัฟริกา การแทรกแซงของตะวันตกเรื่อยมา มีส่วนในการก่อสงครามใน ซุดาน และอีธิโอเปีย และนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดเสรีของรัฐบาลตะวันตก กลุ่มทุนใหญ่ กับไอเอ็มเอฟ เป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ทวีคูณมาในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาด้วย ทั้งหมดนี้คือเงื่อนไขที่สร้างวิกฤตของผู้ลี้ภัยในยุโรปและตะวันออกกลาง

ในพม่า รัฐบาลเผด็จการทหาร ใช้การปลุกปั่นความรังเกียจชาวมุสลิมโรฮิงญา เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และในการกระทำของเผด็จการทหารพม่านี้ นางอองซานซูจีก็มีส่วนในการสนับสนุน นอกจากนี้บรรยากาศการกล่าวหาโจมตีชาวมุสลิมทั่วโลก ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลตะวันตก ก็ช่วยปกปิดความชั่วร้ายของรัฐบาลพม่าด้วย

การที่คนชั้นกลางไทยจับมือกับอำมาตย์ในการล้มประชาธิปไตย ทำให้รัฐบาลไทยกลายเป็นเพื่อนรักของเผด็จการพม่า ซึ่งมีส่วนในการให้ความชอบธรรมกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพม่า กระแสชาตินิยมสุดขั้วในไทย ซึ่งมีมาในยุคต่างๆ และถูกสนับสนุนโดยฝ่ายทหาร พวกคลั่งเจ้า และคนอย่างอดีตนายกทักษิณ ก็มีส่วนในการชักชวนประชาชนไทยให้รังเกียจคนมุสลิมและใช้วาจาเหยียดสีผิวหรือเชื้อชาติ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

การที่สังคมเรามีบรรยากาศเหยียดแรงงานพม่าหรือแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ พร้อมกับการพยายามใช้เพื่อนมนุษย์เหล่านี้เป็นแพะรับบาป เป็นสิ่งที่ถูกปลุกปั่นมาจากกระแสคลั่งชาตินี้เอง และผลในรูปธรรมคือการแบ่งแยกขบวนการแรงงานระหว่าง “คนไทย” กับ “แรงงานต่างด้าว” ซึ่งทำให้ขบวนการแรงงานอ่อนแอ แยกไม่ออกว่าใครเป็นเพื่อน ใครเป็นศัตรู และไร้พลังในการเพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจให้กับคนส่วนใหญ่

ความเชื่อว่าการมีลำดับชนชั้นในสังคมไทย เป็น “ธรรมชาติ” และการกราบไหว้หมอบคลานต่อคนข้างบน ทำให้คนไทยจำนวนมาก ไม่สามารถตั้งคำถามกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมหาศาลที่เรามีอยู่ คนจึงชอบพูดว่า “ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศร่ำรวย” เพื่อพยายามหาความชอบธรรมในการกีดกันและไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัยโรฮิงญา คนเหล่านี้จะไม่กล้าเสนอว่าจริงๆ แล้ว ถ้าเราตัดงบประมาณทหารและงบประมาณพระราชวังแบบถอนรากถอนโคน และเก็บภาษีก้าวหน้าจากพวกเศรษฐีต่างๆ เราสามารถจะพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองไทย แรงงานจากเพื่อนบ้าน และผู้ลี้ภัยโรฮิงญาพร้อมๆ กันได้

ในยุโรป ซึ่งตอนนี้เป็นเป้าหมายการเดินทางของมนุษย์ที่เกือบจะสิ้นหวังในชีวิต จากซิเรีย อัฟกานิสถาน หรือที่อื่น เราเห็นรัฐบาลต่างๆ พร้อมกับองค์กรของกลุ่มทุนใหญ่ในอียู ผลักดันให้ประชาชนผู้ทำงาน คนยากจน เด็ก หรือคนพิการ ต้องถูกกดลงด้วยการตัดสวัสดิการและการบริการต่างๆ ของรัฐ การที่กระแสหลักช่วยสนับสนุนการกระทำอันเลวร้ายนี้ โดยการอ้างว่าเป็น “มาตรการจำเป็น” ทำให้หลายคนไม่กล้าตั้งคำถามว่า “ทำไมคนธรรมดาต้องมาแบกรับปัญหาเศรษฐกิจที่นายทุนใหญ่สร้างขึ้นมาแต่แรก” และทุกวันนี้กลุ่มทุนและเศรษฐีในยุโรปกำลังเพิ่มความร่ำรวยกับตนเอง ในขณะที่พลเมืองธรรมดาจนลง

แน่นอนพวกพรรคการเมืองฟาสซิสต์ขวาจัดในยุโรป จะฉวยโอกาสมองว่าผู้ลี้ภัยหรือคนผิวดำกับคนมุสลิมเป็น “ปัญหา” และพรรคการเมืองกระแสหลักก็ยินดีคล้อยตาม เพราะมันเบี่ยงเบนประเด็นจากความเหลื่อมล้ำมหาศาลในสังคมยุโรป

11221761_951593058239474_2715486491516648489_n

นักสังคมนิยม ไม่ว่าจะในไทยหรือในประเทศอื่นของโลก ยึดถือผลประโยชน์ของกรรมาชีพคนทำงาน และคนส่วนใหญ่ที่ยากจนเป็นหลัก เราจะไม่คล้อยตามกระแสชาตินิยมที่เป็นเชื้อโรคซึ่งนำไปสู่ความตาบอดที่ทำให้เราหมอบคลานต่อเบื้องบน เราจะมีจุดยืนสมานฉันท์ประชาชนชั้นล่างโดยไม่เลือกปฏิบัติตามเชื้อชาติ สีผิวหรือศาสนา และเราจะประกาศเสมอว่าควรเปิดประเทศรับผู้ลี้ภัยและคนจนอื่นๆ ที่อยากย้ายบ้านเข้ามาเพื่อเลี้ยงชีพตนเอง เราจะเข้าใจดีว่าทรัพยากรของสังคมเราที่ดูเหมือนมีจำกัด ไม่ได้มีจำกัดแต่อย่างใด แต่มันไปกระจุกอยู่ในมือของคนที่กดขี่ขูดรีดพวกเราต่างหาก และเราจะเข้าใจว่าผู้ลี้ภัย หรือแรงงานข้ามชาติ จะเป็นมิตรที่ดีของเรา ที่ร่วมกับเราในการทำงานสร้างและพัฒนาสังคมในอนาคต