Tag Archives: ทหาร

มาร์คซิสต์กับ “ความรุนแรง”

เมื่อพูดถึง “ความรุนแรง” สิ่งแรกที่นักมาร์คซิสต์ต้องย้ำเสมอคือ ความรุนแรงของพวกที่กดขี่เรา (เช่น รัฐ ทหาร ตำรวจ ศาล) ไม่เหมือนความรุนแรงของคนที่ถูกกดขี่ปราบปราม ในเรื่องนี้พวก “สันติวิธี” แบบหอคอยงาช้างมักจะละเลยเสมอด้วยคำพูดในเชิง “ขอให้ทุกฝ่ายปฏิเสธความรุนแรง”

คำพูดแบบนั้นเรามักได้ยินในเรื่องความขัดแย้งในปาตานี หรือการชุมนุมของประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย สิ่งที่พวกสันติวิธีแบบหอคอยงาช้างมองข้ามเสมอคือ ฝ่ายรัฐมีกองกำลังติดอาวุธและพร้อมที่จะใช้อาวุธเหล่านั้นเสมอ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การที่เขาถืออาวุธไว้ปราบประชาชนเป็นการประกาศตั้งแต่แรกว่ารัฐพร้อมจะใช้ความรุนแรงเสมอ ดังนั้นข้อเรียกร้องว่า “ขอให้ทุกฝ่ายปฏิเสธความรุนแรง” ไม่มีผลกับรัฐ แต่กลับกลายเป็นคำวิจารณ์คนที่ถูกกดขี่ปราบปรามที่พยายามป้องกันตัวเท่านั้น

คนที่อยู่ในไทยที่นั่งอยู่บ้านไม่ทำอะไร แต่วิจารณ์ผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย หรือประกาศว่า “เป็นห่วงน้องๆ” ที่ออกมาชุมนุม เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล เพราะถ้าเขาไม่อยากเห็นความรุนแรงเขาจะต้องมาร่วมชุมนุม ในหลายๆ กรณีมวลชนยิ่งมากเท่าไร รัฐยิ่งไม่กล้าปราบ

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การกดขี่ชาวมาเลย์มุสลิมที่ปาตานี เราจะเห็นว่าขบวนการติดอาวุธสู้กับรัฐไทย เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐไทยใช้ความรุนแรงเสมอ เช่นหลังจากที่หะยีสุหลงถูกรัฐไทยอุ้มฆ่าในปี ๒๔๙๗  โดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ หรือหลังจากการลงมือฆ่าชาวมาเลย์มุสลิมไร้อาวุธที่ตากใบในปี ๒๕๔๗ โดยรัฐบาลทักษิณ

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การจับอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เราจะเข้าใจว่าการจับอาวุธเป็นปฏิกิริยาต่อการที่รัฐไทยเข้ามาปราบปรามด้วยความรุนแรง เช่นการจับขังหรือการฆ่าเป็นต้น

ในปัจจุบัน เมื่อเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของ กลุ่มเยาวชนปลดแอก คณะราษฏร์ หรือ REDEM ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้อาวุธ เราจะเห็นว่ากลุ่มคนที่เตรียมอาวุธมาทำร้ายคนอื่นคือตำรวจกับทหาร และอันธพาลของฝ่ายคลั่งเจ้า การที่ตำรวจและทหารสลายการชุมนุมของผู้ที่ต้องการประชาธิปไตยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นด้วยการฉีดน้ำใส่สารเคมี การใช้ก๊าซน้ำตา การใช้กระสุนยาง หรือการใช้กระสุนจริง (อันหลังนี้โดยเฉพาะในกรณีเสื้อแดง) ถือว่าเป็นการจงใจใช้ความรุนแรงของฝ่ายรัฐ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ฝ่ายรัฐปกครองด้วยอำนาจเผด็จการที่มาจากการใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหารแต่แรก

การที่แกนนำผู้ชุมนุมหลายๆ คนถูกรัฐจับกุมและขังในคุกด้วยกฏหมายเถื่อน112 ถือว่าเป็นการใช้ความรุนแรงโดยรัฐเพื่อปิดปากประชาชนและห้ามไม่ให้มีการแสดงออกอย่างเสรี อย่าลืมว่าคนที่กำลังโดน 112 แค่ใช้คำพูดในการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความชอบธรรมสูงตามหลักประชาธิปไตย เขาไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ไม่เหมือนนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดประยุทธ์ที่เคยสั่งฆ่าเสื้อแดง และต้องรับผิดชอบกับการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่างในยุคนี้

ดังนั้นถ้าฝ่ายผู้ชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตยพยายามป้องกันตัวหรือโกรธแค้นขึ้นมา และใช้ความรุนแรงโต้ตอบตำรวจหรือทหารมันเป็นเรื่องที่ไม่ผิด เข้าใจได้ และมาร์คซิสต์จะไม่มีวันวิจารณ์ เราจะพุ่งเป้าการวิจารณ์ไปที่รัฐบาลเผด็จการกับตำรวจทหาร

ในกรณีที่ผู้ชุมนุมชาวอเมริกันลุกขึ้นมาประท้วงในขบวนการ “Black Lives Matter” และไปเผาโรงพักที่ส่งตำรวจออกไปฆ่าคนผิวดำ เราจะไม่มีวันวิจารณ์

แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าภายในขบวนการเคลื่อนไหว มวลชนจะไม่มีการถกเถียงกันเรื่องความฉลาดในการใช้ความรุนแรงหรือวิธีการที่จะไม่ทำให้การเคลื่อนไหวเสียการเมือง

ในเรื่องการใช้ความรุนแรงเราพูดแค่นี้ไม่ได้ มีอีกสองประเด็นสำคัญที่เราต้องพิจารณา

ประเด็นแรกคือยุทธวิธีการจับอาวุธ ที่เคยใช้โดยพรรคคอมมิวนิสต์ หรือที่ BRN ใช้ในปาตานีตอนนี้ ไม่สามารถเอาชนะรัฐไทยได้ เพราะกองกำลังของรัฐไทยมีอาวุธและจำนวนคนมากกว่า ยิ่งกว่านั้นการใช้แนวจับอาวุธมีผลทำให้มวลชนคนธรรมดาไม่มีบทบาทอะไรเลย และไม่มีส่วนในการกำหนดแนวทางต่อสู้เคลื่อนไหว เพราะพวกจับอาวุธย่อมปิดลับเสมอ มาร์คซิสต์มองว่าถ้าเราจะล้มเผด็จการหรือเปลี่ยนสังคม เราต้องอาศัยขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน ซึ่งไม่ได้แปลว่าเมื่อใกล้ชนะแล้วมวลชนจะไม่ติดอาวุธเพื่อป้องกันตัวจากฝ่ายรัฐเก่าที่พร้อมจะฆ่าคนจำนวนมากในการรักษาอำนาจอันไม่ชอบธรรม แต่ในกรณีนั้นแนวทางจะเน้นมวลชนเหนือการจับอาวุธ

ถ้าจะเปรียบเทียบแนวจับอาวุธกับแนวมวลชน เรามีบทเรียนสำคัญจาก Arab Spring เพราะในกรณีอียิปต์ หรือตูนิเซีย มีการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ล้มผู้นำเผด็จการได้ แต่ในกรณีซิเรีย การใช้แนวจับอาวุธนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ล้มผู้นำเผด็จการไม่ได้ และแถมเปิดช่องให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมในสงคราม จนสังคมซิเรียพังทะลาย

ประเด็นที่สองคือเรื่องการปก้องกันตัวจากความรุนแรงของฝ่ายรัฐ มาร์คซิสต์จะมองว่าถ้าเราสู้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกับที่ผู้กดขี่เราใช้ จะไม่ได้ผลเท่าไร แต่ถ้าเราใช้พลังของมวลชนในการนัดหยุดงาน มันเป็นอาวุธที่ฝ่ายรัฐมีความลำบากมากในการปราบหรือโต้ตอบ เพราะกรรมาชีพผู้ทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งกับเศรษฐกิจ การนัดหยุดงานจึงเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่มีพลัง และสามารถใช้ล้มเผด็จการได้

อ่านเพิ่ม

ถ้าจะไล่เผด็จการทหารต้องปลุกระดมการนัดหยุดงาน http://bit.ly/2Oh1mJz

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

มาร์คซิสต์ กับการต่อสู้ในยุคคนหนุ่มสาว http://bit.ly/3iBPzAO

แนวคิดมาร์คซิสต์คืออะไร https://bit.ly/3s5eu42

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทหารคือกาฝากของแผ่นดิน

ใจ อึ๊งภากรณ์

เวลาพวกนายพลหัวทึบชอบตะคอกว่า “ทหารคือรั้วของชาติ” ในความจริงคนที่อยู่ในรั้วนั้นมีแค่พวกชนชั้นปกครอง พวกเราพลเมืองธรรมดาอยู่นอกรั้ว

โดยทั่วไปในโลกนี้ ทหารมีบทบาทสำคัญในการปรามประชาชนภายในประเทศเพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง และมีบทบาทในการปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองเมื่อถูกท้าทายจากชนชั้นปกครองของประเทศอื่น คือในยุคสงคราม แต่ในกรณีไทยกองทัพไทยขาดประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการทำสงครามระหว่างประเทศ สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นทหารไทยจะเป็น “รั้วพุ” ที่ป้องกันประเทศไม่ได้ กองทัพไทยไม่เคยสามารถรบกับกองทัพประเทศอื่นได้เลย คือเป็นกองทัพของพวกมือไม้อ่อน เวลาญี่ปุ่นบุกไทยตอนสงครามโลกครั้งที่สองก็ยอมแพ้ทันที เวลาจักรวรรดินิยมอังกฤษกับฝรั่งเศสท้าทายรัฐทุนนิยมใหม่ของไทยในยุครัชกาลที่๕ ก็หมดสภาพทันที ต้องมีการเจรจาต่อรองและแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกรุงเทพฯ กับลอนดอนและปารีส ทุกวันนี้กองทัพก็ได้แต่เลียจักรวรรดินิยมใหญ่เช่นสหรัฐกับจีนเพื่อหวังพึ่งและซื้ออาวุธจากเขา

เวลานายพลหัวทึบตะคอกอีกว่าทหารปกป้องเราจากโจรหรือผู้ก่อการร้าย เราคงต้องหัวเราะ เพราะโจรใหญ่สุดในสังคมไทยคือทหาร ไม่ว่าจะเป็นการปล้นสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย การฆ่าประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหว หรือการค้ายาเสพติดและของเถื่อนอื่นๆ ทหารเป็นตัวหลักเสมอ

มันมีสองกรณีที่กองทัพไทยทำสงครามอย่างจริงจัง คือสงครามภายในประเทศกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และสงครามปัจจุบันที่ยังไม่สิ้นสุดในปาตานี ในทั้งสองกรณีนี้กองทัพไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเกิดจากการกดขี่และการที่ไม่มีความยุติธรรมในสังคม และทุกครั้งพฤติกรรมป่าเถื่อนของทหารไทย ยิ่งทำให้การกบฏเข้มแข็งมากขึ้น บทเรียนสำคัญจากสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์คือ ต้องใช้การเมืองแก้ปัญหา ไม่ใช่การทหาร ในกรณีปาตานีก็เช่นกัน

ทั้งๆ ที่ไอ้ยุทธ์มันพองตัวเหมือนคางคกเพื่ออวดว่าตนเอง “กู้ชาติ” จากวิกฤต มันก็แค่กู้สถานการณ์เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครองเท่านั้น ทหารไทยไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับพลเมืองทั่วไป มันเป็นองค์กรที่ช่วยทำให้ระบบการเมืองล้าหลัง และในแง่ที่คล้ายปรสิต มันเป็นทั้งพิษภัยต่อพวกเรา และสูบทรัพยากรสำคัญจากสังคม

SoldierParasites

วัตถุประสงค์ของการมีกองทัพไทยมีสองอย่างคือ เป็นเครื่องมือในการควบคุมและปราบปรามประชาชนไทยที่เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ และเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวยให้พวกนายพล

ถ้าดูประวัติศาสตร์ระยะยาว วัฒนธรรมของกองทัพไทยคือวัฒนธรรมในการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง ตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดคือ ผบทบ. ซึ่งต้องผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อให้นายพลต่างๆ มีโอกาสเข้าถึงรางอาหารในคอกเลี้ยงหมู ส่วนใหญ่ทหารคนใดคนหนึ่งไม่สามารถผูกขาดการกินและการเข้าถึงอำนาจและความร่ำรวยได้

ความร่ำรวย “ผิดปกติ” เกินรายได้ธรรมดาของพวกนายพล รวมถึงผู้นำเผด็จการของประเทศในปัจจุบัน เป็นการโกงกินที่ชัดเจน มันมาจากกิจกรรมของกองทัพในสื่อและรัฐวิสาหกิจ และจากการแต่งตั้งตัวเองในตำแหน่งต่างๆ นอกจากนี้มีรายได้มหาศาลจากการคอร์รับชั่น รับเงินใต้โต๊ะเวลาซื้ออาวุธ การค้ายาเสพติด การค้าไม้เถื่อน และการลักลอกขนสินค้าข้ามพรมแดน ทั้งหมดนี้เป็นแรงจูงใจให้ทหารรักษาอิทธิพลทางการเมือง เพื่อปกป้องกิจกรรมต่างๆ ของทหาร ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการป้องกันประเทศ

กองทัพไทยอาจมีอำนาจก็จริง แต่อำนาจนั้นถูกจำกัดจากเงื่อนไขสามประการคือ (1) อำนาจของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (2) อำนาจของกลุ่มอื่นๆ ในหมู่ชนชั้นปกครองที่มีอำนาจเงินและอำนาจการเมือง และ (3) การที่กองทัพแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกที่แข่งขันกันเสมอ นอกจากนี้การที่กองทัพต้องอ้างความชอบธรรมจาก “ลัทธิกษัตริย์” ก็เป็นจุดอ่อนด้วย เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่มีความชอบธรรมของตนเองเลย โดยเฉพาะในเรื่องประชาธิปไตย

d2beda28a814781f14c87c72c4ffea9acc4f330d285cb6baec96c8fc7aa3054b

ถ้าเราจะมีประชาธิปไตยแท้ เราต้องตัดบทบาททหารออกจากสังคมและเศรษฐกิจ ต้องตัดงบประมาณทหาร ต้องปลดนายพลเผด็จการออกให้หมด ต้องนำนายพลฆาตกรมาลงโทษ และต้องยกเลิกหรือไม่ก็เปลี่ยนโครงสร้างกองทัพอย่างถอนรากถอนโคน

พลังหลักในการสร้างประชาธิปไตยต้องมาจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และเราต้องขยายอิทธิพลของขบวนการประชาธิปไตยไปสู่ขบวนการสหภาพแรงงาน ขบวนการนักศึกษา และเข้าไปสู่ทหารเกณฑ์ระดับล่างที่เป็นพี่น้องลูกหลานแท้ของประชาชนอีกด้วย

ทหารไทยคือกาฝากของสังคม ในหมู่คนจนหรือชาวไร่ชาวนา มันมีวิธีเดียวที่จะจัดการกับกาฝาก นั้นคือการตัดมันออกไปให้แห้งตาย

พรรคอนาคตใหม่ไม่สามารถก้าวพ้นรูปแบบพรรคเดิมๆ

ใจ อึ๊งภากรณ์

 

มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่พรรคอนาคตใหม่ดูเหมือนยังไม่สามารถก้าวพ้นรูปแบบพรรคเดิมๆ ของไทย เพราะพรรคกระแสหลักเดิมๆ มักจะมีนายทุนหรือทหารเป็นแกนนำ และมีนายทหารเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกด้วย

 

ในการประชุมพรรคที่พึ่งจัดเมื่อไม่นานมานี้ นายทุนใหญ่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งไม่น่าแปลกใจ

 

กรรมการพรรคส่วนหนึ่งเป็นนักวิชาการ มีนักธุรกิจสองคนนอกจากธนาธร และมีนักเอ็นจีโอ รวมถึงนักเอ็นจีโอแรงงาน แต่ไม่มีผู้แทนจริงๆ จากสมาชิกสหภาพแรงงานหรือจากเกษตรกรรายย่อยเข้ามาเป็นกรรมการเลย

99569

 

แน่นอนหลายคนในกรรมการบริหารมีจุดยืนชัดเจนที่คัดค้านเผด็จการทหารชุดปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องดี และถ้าฉีกรัฐธรรมนูญทหารทิ้งได้ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่คงทำได้ยากถ้าไม่สร้างมวลชนนอกรัฐสภา

 

สิ่งหนึ่งที่น่าตกใจคือรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เป็นนายทหารเกษียณ พลโท พงศกร รอดชมภู เป็นอดีตรองเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ และในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เขาเคยเขียนบทความลงสื่อเกี่ยวกับปาตานี เขาเสนอว่าการแก้ไขปัญหาควรใช้การเมืองนำทหาร “แต่นั้นไม่ได้แปลว่าต้องยอมหรือขอเจรจา” คือต้องช่วงชิงประชาชนในพื้นที่ให้กลับมาอยู่กับฝ่ายรัฐไทย โดยการเลิกการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเปลี่ยนมาปราบฝ่ายตรงข้ามแบบนิ่มนวลมากกว่านี้ พลโท พงศกร ไม่มีการพูดถึงการให้สิทธิประชาชนในพื้นปาตานีที่จะกำหนดอนาคตว่าจะปกครองตนเองแบบไหนคือ แยกตัวออกจากประเทศไทย หรือมีเขตปกครองพิเศษ หรืออยู่แบบเดิม และไม่มีการพูดถึงต้นกำเนิดปัญหาซึ่งมาจากการที่รัฐไทยยึดพื้นที่ปาตานีมาเป็นอาณานิคม โดยไม่เคารพวัฒนธรรมของชาวมาเลย์มุสลิม นอกจากนี้ พลโท พงศกร ไม่มีการพูดถึงการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่เข่นฆ่าประชาชน มีแต่การพูดถึงการลงโทษฝ่ายตรงข้าม [ดู https://www.matichon.co.th/columnists/news_78135 ]

 

นโยบายแนวคิดแบบนี้ไม่ต่างจากแนวคิดฝ่าย “พิราบ” ของรัฐหรือทหารไทย มันเป็นการยืนยันจุดยืนอนุรักษ์นิยมว่ารัฐไทยแบ่งแยกไม่ได้ และมันห่างไกลเหลือเกินจากความคิดก้าวหน้าที่จะนำไปสู่เสรีภาพและสันติภาพสำหรับประชาชนในปาตานี นอกจากนี้มันแตกต่างจากคำพูดเดิมของ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยพูดว่าควรจะรื้อฟื้นข้อเสนอในการปกครองตนเองของชาวปาตานี

 

การมีนายทหารที่เป็นอดีตฝ่ายความมั่นคงเป็นรองประธานพรรค จะทำให้พรรคให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคง” เหนือสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยหรือไม่? เพราะการเน้นความมั่นคงเป็นนโยบายอนุรักษ์นิยมของรัฐบาลไทยทุกชุด โดยเฉพาะเผด็จการ

 

ในแง่หนึ่งตัวบุคคลที่เป็นแกนนำพรรคอาจแค่ชวนให้เราเดาว่านโยบายพรรคจะเป็นอย่างไร เรื่องชี้ขาดจะอยู่ที่นโยบายที่ประกาศออกมาเป็นรูปธรรม ถ้าไม่มีการเสนอรัฐสวัสดิการแบบครบวงจร ถ้วนหน้า และมาจากการเก็บภาษีก้าวหน้าในระดับสูงจากคนรวยและกลุ่มทุน ถ้าไม่เสนอให้ยกเลิก 112 ถ้าไม่เสนอให้สตรีมีสิทธิทำแท้งเสรี ถ้าไม่เสนอให้ชาวปาตานีสามารถกำหนดอนาคตตนเองโดยไม่ต้องพิจารณาความมั่นคงของชาติ และถ้าไม่เสนอให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามคำเรียกร้องของสหภาพแรงงาน และร่างกฏหมายแรงงานสัมพันธ์ใหม่เพื่อให้สหภาพแรงงานมีสิทธินัดหยุดงานและเคลื่อนไหวอย่างเสรี…. พรรคอนาคตใหม่ก็จะไม่ก้าวหน้าอย่างที่บางคนชอบอ้าง

 

มีเรื่องเดียวที่น่าชื่นชมเกี่ยวกับพรรคอนาคตใหม่ในขณะนี้  ซึ่งต้องยอมรับว่าพรรคอื่นๆ ยังไม่พูดถึงอย่างชัดเจน นั้นคือการประกาศว่าต้องการลบผลพวงของเผด็จการ

 

สรุปแล้วหน้าตาพรรคอนาคตใหม่ดูเหมือนเป็นพรรคคนชั้นกลาง สำหรับคนชั้นกลาง ไม่ใช่พรรคของคนชั้นล่างรากหญ้าแต่อย่างใด แต่ต้องยอมรับว่าคนของพรรคอนาคตใหม่ นอกจาก อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่พูดอะไรมากมายที่ไม่เป็นรูปธรรม ไม่เคยประกาศว่าจะสร้างพรรคของคนชั้นล่าง หรือพรรคของคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นกรรมาชีพและเกษตรกร และดูเหมือนพรรคจะเน้นการส่งเสริมกลไกตลาดเสรีที่ขัดกับผลประโยชน์คนจนอีกด้วย

 

ดังนั้นภารกิจในการสร้างพรรคฝ่ายซ้ายของคนชั้นล่าง เพื่อคนชั้นล่าง กรรมาชีพและเกษตรกรนั้นเอง ยังไม่มีใครลงมือริเริ่มอย่างจริงจัง

ลัทธิทหารคือลัทธิอันธพาล

ใจ อึ๊งภากรณ์

เราไม่ควรแปลกใจแต่อย่างใดที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกับทหารเกณฑ์เป็นประจำ เพราะทหารของทุกประเทศในทุกยุคคือโจรอันธพาลของรัฐ และใครที่เข้าใจธาตุแท้ของรัฐในสังคมชนชั้นปัจจุบันทั่วโลกย่อมเข้าใจว่ารัฐไม่ใช่รัฐของประชาชน รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง เพื่อควบคุมอำนาจที่เขามีเหนือเราที่เป็นคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ารัฐนั้นจะถูกบังคับให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ [อ่านเพิ่มเรื่องรัฐได้ที่นี่ http://bit.ly/2oPnBIm  ]

ในประเทศไทยพวกนายพลคิดจะปล้นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเมื่อไร ก็นำอาวุธออกมาข่มขู่ประชาชนแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้ารัฐบาล ภายใต้เผด็จการปัจจุบันแก๊งอันธพาลก็กระจายไปทั่วทุกส่วนของสังคมจนตำรวจเกือบจะไร้บทบาท พวกมันใช้อาวุธเพื่อแต่งตัวเองเป็นประธานโน้นประธานนี่ คุมเศรษฐกิจและสังคม บุกค้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ลากคนบริสุทธิ์เข้าคุกทหารเพื่อเปลี่ยนทัศนะคติ หรือขังลืมเพราะกล้ามีความเห็นต่าง คิดจะวิสามัญใครก็ทำได้โดยไม่เคยถูกลงโทษ คิดจะยิงประชาชนผู้รักประชาธิปไตยตายกลางถนนก็ทำได้ ทหารอันธพาลไม่ชอบใครก็เลื่อนตำแหน่งได้ตามอำเภอใจ คิดอยากจะออกกฏหมายอะไรก็ใช้มาตรา44สั่งการ ไม่ต้องปรึกษาหารือถกเถียงตามกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด ประยุทธ์อ้างกฏหมายได้ เพราะกฏหมายในปัจจุบันคือความคิดประยุทธ์เท่านั้น

ลัทธิทหารคือลัทธิอันธพาล อันธพาลคิดจะใช้ความรุนแรงเพื่อได้อะไรก็ทำได้ ทำต่อพลเมืองธรรมดาก็ได้ ทำต่อลูกน้องในกองทัพก็ทำได้

ทั้งหมดนี้ทำได้เพราะมีอาวุธอยู่ในมือ ไม่ต่างจากโจรผู้ร้ายแต่อย่างใด

ภายในกองทัพธรรมดาของรัฐปัจจุบันไม่เคยมีประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพ ไม่ต่างจากแก๊งโจร ใครเป็นใหญ่ในกองทัพสั่งลูกน้องได้โดยห้ามตั้งคำถามหรือเถียง วินัยทหารคือวินัยอันธพาล มันไม่ใช่วินัยที่มาจากจิตสำนึกของพลเมืองเองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานเหตุผลแต่อย่างใด

จริงอยู่บางครั้งในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติประชาชน เช่นในรัสเซียปี 1917 หรือสเปน 1936 มีกองกำลังปฏิวัติเกิดขึ้นที่นายพลเป็นแค่ “ผู้ประสานงาน” บางครั้งมีการเลือกนายพลได้อีกด้วย และคำสั่งของผู้ประสานงานต้องได้รับการยอมรับโดยทหารธรรมดาผ่านการถกเถียง แต่นั้นเป็นกรณีพิเศษของกองทัพปฏิวัติ มันไม่ใช่กองทัพของรัฐ

ทั่วโลกในยามสงครามทหารจะถูกสั่งให้ไปฆ่าประชาชนของอีกประเทศที่เป็นทหารและพลเรือนโดยไม่ต้องมีการอธิบายเหตุผลด้วยข้อมูลและรายละเอียดแต่อย่างใด ทุกครั้งก็จะมีโฆษกของชนชั้นปกครองในสื่อออกมากล่าวว่าเป็นสงคราม “เพื่อปกป้องชาติ” แต่คำถามสำคัญคือ “ชาติ” ที่พูดถึงเป็นชาติของใคร?

เวลา “ไทย” รบ “พม่า” ชาวบ้านธรรมดาได้อะไร? คำตอบคือไม่เคยได้อะไรเลย สงครามในยุคนั้นทำไปเพื่อแย่งไพร่และทาสกันระหว่างชนชั้นปกครอง เวลาตะวันตกทำสงครามในตะวันออกกลางทำไปเพื่ออะไร? แน่นอนไม่ได้ทำไปเพื่อประชาชนในอิรัก อัฟกานิสถาน หรือซิเรีย เพราะเขาต้องล้มตายเป็นแสน แล้วพอเขาต้องการหนีไปยุโรปก็ไม่ให้เข้า แน่นอนไม่ได้ทำไปเพื่อประชาชนในประเทศตะวันตกเอง เพราะนอกจากเขาต้องจ่ายภาษีเพื่อการทำสงครามแล้ว มันยังเป็นการชักศึกก่อการร้ายเข้าบ้านในขณะที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางไม่เคยเป็นภัยต่อความสงบของสังคมตะวันตก สาเหตุแท้ของการทำสงคราม “เพื่อชาติ” คือทำไปเพื่อกำไรของกลุ่มทุนใหญ่ เพื่อน้ำมัน และเพื่อการอวดความยิ่งใหญ่และแสดงอำนาจของประเทศจักรวรรดินิยมเท่านั้น

สงครามที่กองทัพไทยก่ออยู่ในปาตานีทุกวันนี้ ไม่ใช่สงครามเพื่อประโยชน์ของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด มันสร้างภัยให้ประชาชนธรรมดาต่างหาก มันสร้างความขัดแย้งจอมปลอมระหว่างคนที่มีเชื้อชาติศาสนาต่างกัน มันเป็นสงครามเพื่อยับยั้งไม่ให้ชาวมุสลิมมาเลย์กำหนดอนาคตตนเองเท่านั้น มันเป็นสงครามเพื่อปกป้องรัฐของชนชั้นปกครองไทย ถ้าปล่อยให้มีการคุยกันระหว่างประชาชนในพื้นที่โดยที่ทหาร ตำรวจและรัฐไทยไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง จะมีสันติภาพได้ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ชนชั้นปกครองไทยต้องการแต่อย่างใด

ทุกวันนี้เวลาชายไทยถูกเกณฑ์เป็นทหาร มันไม่ต่างจากการเกณฑ์ไพร่ในอดีต มันไม่ใช่การเกณฑ์ไป “รับใช้ชาติ” ของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด มันเป็นการเกณฑ์ไปรับใช้นายพล และภายใต้เผด็จการปัจจุบันมันเป็นการเกณฑ์ไปรับใช้เผด็จการเปื้อนเลือดของประยุทธ์

คนที่รักประชาชน คนที่มองว่า “ชาติ” คือ “ประชาชน” จะรับใช้ชาติได้ดีที่สุดโดยการคัดค้านการเกณฑ์ทหาร การประท้วงความรุนแรงภายในกองทัพ และการต่อต้านเผด็จการ

ทหารไทย กาฝากของสังคม

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถึงแม้ว่าคนจำนวนหนึ่งในสังคมไทยเชื่อว่าจุดศูนย์กลางอำนาจอำมาตย์อยู่ที่กษัตริย์ ราชวงศ์หรือองค์มนตรี แต่ในความเป็นจริงอำนาจแท้ที่อยู่เบื้องหลังกษัตริย์คือกองทัพ กองทัพไทยแทรกแซงการเมืองและสังคมมาตั้งแต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เพราะคณะราษฎร์อาศัยอำนาจทหารในการทำการปฏิวัติ แทนที่จะเน้นการสร้างพรรคมวลชน

อย่างไรก็ตามเราควรเข้าใจว่าอำนาจทหารเป็นอำนาจจำกัด

ในหลายยุคหลายสมัยอำนาจกองทัพถูกจำกัดและลดลงเพราะการลุกฮือและการเคลื่อนไหวของประชาชนในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม กรณี ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ และพฤษภา ๒๕๓๕ เป็นตัวอย่างที่ดี ดังนั้นเราควรเข้าใจว่ากองทัพเป็นกลุ่มอำนาจหนึ่งในชนชั้นปกครอง กลุ่มอื่นๆ ประกอบไปด้วย นายทุนใหญ่ นักการเมือง และข้าราชการชั้นสูง แต่สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับกองทัพ ถ้าเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในชนชั้นปกครองคือ กองทัพจะผูกขาดการใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธ ซึ่งความรุนแรงนี้ใช้ในรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาล และใช้เพื่อฆ่าประชาชนมือเปล่า อย่างต่อเนื่อง

วัตถุประสงค์หลักของการมีกองทัพสำหรับชนชั้นปกครองไทยคือ เป็นเครื่องมือในการควบคุมและปราบปรามประชาชนภายในประเทศ วัตถุประสงค์รองคือเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวยให้พวกนายพล กองทัพไทยขาดประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการทำสงครามระหว่างประเทศ สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นทหารไทยจะเป็น “รั้วพุ” ที่ป้องกันประเทศไม่ได้ ในอดีตกองทัพไทยต้องยอมแพ้ต่อญี่ปุ่น และมหาอำนาจอื่นๆ มาตลอด กองทัพไทยต่างจากกองทัพของเวียดนาม ลาว หรืออินโดนีเซีย ที่เคยได้รับชัยชนะในการปลดแอกประเทศ ดังนั้นกองทัพไทยมีรถถังไว้เพื่อข่มขู่กดขี่ประชาชนและเพื่อทำรัฐประหารเท่านั้น

มันมีสองกรณีที่กองทัพไทยทำสงครามอย่างจริงจัง คือสงครามภายในประเทศกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และสงครามปัจจุบันที่ยังไม่สิ้นสุดในปาตานี ในทั้งสองกรณีนี้กองทัพไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเกิดจากการกดขี่และการที่ไม่มีความยุติธรรมในสังคม และทุกครั้งพฤติกรรมป่าเถื่อนของทหารไทย ยิ่งทำให้การกบฏเข้มแข็งมากขึ้น บทเรียนสำคัญจากสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์คือ ต้องใช้การเมืองแก้ปัญหา ไม่ใช่การทหาร ในกรณีปาตานีก็เช่นกัน

กองทัพไทยอาจมีอำนาจก็จริง แต่อำนาจนั้นถูกจำกัดจากเงื่อนไขสามประการคือ (1) อำนาจของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (2) อำนาจของกลุ่มอื่นๆ ในหมู่ชนชั้นปกครองที่มีอำนาจเงินและอำนาจการเมือง และ (3) การที่กองทัพแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกที่แข่งขันกันเสมอ นอกจากนี้การที่กองทัพต้องอ้างความชอบธรรมจาก “ลัทธิกษัตริย์” ก็เป็นจุดอ่อนด้วย เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่มีความชอบธรรมของตนเองเลย โดยเฉพาะในเรื่องประชาธิปไตย

แม้แต่ในยุคเผด็จการ สฤษดิ์ ถนอม ประภาส ทหารไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะต้องอาศัยการร่วมมือของ ผู้เชี่ยวชาญ และนายทุน และต้องฟังเสียงของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม อย่าลืมว่าในยุคแรกๆ แม้แต่ สฤษดิ์ ยังต้องพึ่งพาขบวนการนักศึกษาและคนของพรรคคอมมิวนิสต์ในหนังสือพิมพ์ของเขาเพื่อทำรัฐประหารจนสำเร็จ ในกรณีรัฐประหาร ๑๙ กันยา ทหารคงทำรัฐประหารไม่ได้ถ้าพันธมิตรฯ นักวิชาการ และเอ็นจีโอ ไม่โบกมือเรียกทหารให้เข้ามาแทรกแซงการเมือง

การแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกของทหารในกองทัพ เป็นการแย่งชิงผลประโยชน์กัน ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับความคิดทางการเมือง ก๊กต่างๆ ของทหารมักจะเชื่อมกับทหารเกษียณ นายทุน และนักการเมือง

ถ้าดูประวัติศาสตร์ระยะยาว วัฒนธรรมของกองทัพไทยคือวัฒนธรรมในการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง ตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดคือ ผบทบ. ซึ่งต้องผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อให้นายพลต่างๆ มีโอกาสเข้าถึงรางอาหารในคอกเลี้ยงหมู ส่วนใหญ่ทหารคนใดคนหนึ่งไม่สามารถผูกขาดการกินและการเข้าถึงอำนาจและความร่ำรวยได้ และถ้ามีทหารกลุ่มหนึ่งที่พยายามผูกขาดผลประโยชน์ อย่างที่กำลังเกิดในยุคนี้ ก็จะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในกลุ่มทหารที่เข้าไม่ถึงผลประโยชน์

ความร่ำรวย “ผิดปกติ” เกินรายได้ธรรมดาของพวกนายพล รวมถึงผู้นำเผด็จการของประเทศในปัจจุบัน เป็นการโกงกินที่ชัดเจน มันมาจากกิจกรรมของกองทัพในสื่อและรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้มีรายได้มหาศาลจากการคอร์รับชั่น รับเงินใต้โต๊ะเวลาซื้ออาวุธ การค้ายาเสพติด การค้าไม้เถื่อน และการลักลอกขนสินค้าข้ามพรมแดน ทั้งหมดนี้เป็นแรงจูงใจให้ทหารรักษาอิทธิพลทางการเมือง เพื่อปกป้องกิจกรรมต่างๆ ของทหาร ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการป้องกันประเทศ

แต่การใช้ความรุนแรงอย่างเดียวสร้างอำนาจในการปกครองไม่ได้ ต้องมีการครองใจประชาชนควบคู่กันไป ลัทธิที่ครองใจประชาชนไทยในยุคสมัยใหม่มากที่สุดคือ “ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม” แต่ทหารอ้างความชอบธรรมจากแนวคิดนี้ไม่ได้เลย เพราะทหารทำลายประชาธิปไตยและความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทหารจึงต้องใช้ “ลัทธิกษัตริย์” โดยอ้างว่าทหารรับใช้กษัตริย์ แถมยังมีกฎหมายหมิ่นเดชานุภาพฯไว้ข่มขู่คนที่คัดค้านทหารอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงทหารไม่ได้รับใช้ใครนอกจากตนเอง

“ชาติ ศาสนา กษัตริย์” คือลัทธิของชนชั้นปกครอง แต่ตั้งแต่ยุคเผด็จการ สฤษดิ์ ทหารพยายามลดบทบาททางการเมืองของศาสนาพุทธ  ดังนั้นทหารใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือไม่ค่อยได้ ส่วนเรื่อง “ชาติ” เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับ “กษัตริย์” ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ เพราะ “ความเป็นชาติ” มีลักษณะส่วนรวมมากกว่าไปเน้นตัวบุคคลของกษัตริย์ ผู้ที่เน้นลัทธิชาตินิยมในอดีต มักเป็นพวกที่ไม่เอากษัตริย์ด้วย เช่น คณะราษฎร์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นี่คือสาเหตุที่ลัทธิกษัตริย์เป็นลัทธิที่เหมาะกับทหารมากที่สุดจนถึงทุกวันนี้

ถ้าเราจะมีประชาธิปไตยแท้ เราต้องตัดบทบาททหารออกจากสังคมและเศรษฐกิจ ต้องตัดงบประมาณทหาร ต้องปลดนายพลเผด็จการออกให้หมด ต้องนำนายพลฆาตกรมาลงโทษ และต้องยกเลิกหรือไม่ก็เปลี่ยนโครงสร้างกองทัพอย่างถอนรากถอนโคน นอกจากนี้เราต้องยกเลิกสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้มีระบบสาธารณรัฐ แต่อย่าไปหวังว่าผู้ใหญ่ที่ไหนเขาจะทำให้เรา เพราะส่วนใหญ่พวกนี้เคยชินกับการร่วมมือกับกองทัพมานาน พลังหลักในการสร้างประชาธิปไตยต้องมาจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และเราต้องขยายอิทธิพลของขบวนการประชาธิปไตยไปสู่ขบวนการสหภาพแรงงาน ขบวนการนักศึกษา และเข้าไปสู่ทหารเกณฑ์ระดับล่างที่เป็นพี่น้องลูกหลานแท้ของประชาชนอีกด้วย

ทหารไทยคือกาฝากของสังคม ในหมู่คนจนหรือชาวไร่ชาวนา มันมีวิธีเดียวที่จะจัดการกับกาฝาก นั้นคือการตัดมันออกไปให้แห้งตาย

ทหารมีไว้ทำไมหรือ? ทหารเป็นปรสิตที่มีไว้เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของพวกนายพล

 

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชวนให้เราร่วมคิดกันว่า “ทหารมีไว้ทำไม” (ดู http://bit.ly/1RTFpdw )ผู้เขียนก็จะขอร่วมแจมด้วย ถ้าไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือดมองว่าผมเป็นหนึ่งใน “หมา” ที่จะมาพูดเรื่องนี้ ผมไม่ตกใจ เพราะหมายังดีกว่าฆาตกรหัวทึบใส่เครื่องแบบที่คอยชวนให้เราไปกราบไหว้หมา

ทหารไม่ได้เป็น “รัฐอิสระภายในรัฐ” อย่างที่หลายคนมอง เพราะกองกำลังพิเศษติดอาวุธนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ แยกไม่ออกจากรัฐ เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง ในกรณีไทยก็เป็นแบบนี้

เราต้องเข้าใจว่ารัฐทุนนิยมเป็นสิ่งที่นักมาร์คซิสต์เรียกว่า “เผด็จการของชนชั้นนายทุน” คือมีเครื่องมือกดขี่ขูดรีดพลเมืองทั่วไปครบมือ แต่เนื่องจากสังคมชนชั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ชนชั้นปกครองมักจะใช้ยุทธวิธีหลากหลายในการคุมประชากร ในประเทศตะวันตกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รูปแบบการปกครองมักเป็นรูปแบบประชาธิปไตยทุนนิยม ซึ่งดีกว่าเผด็จการเบ็ดเสร็จแน่นอนเพราะมีพื้นที่เสรีภาพพอสมควร และในพื้นที่นั้นเราสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น แต่อย่าลืมว่าในยุค 1930 รัฐในเยอรมันและอิตาลี่ หันมาใช้เผด็จการฟาสซิสต์ ดังนั้นทุกอย่างมันไม่ได้คงที่ตลอดเวลา

รัฐทุนนิยมมีสองด้านเสมอ คือด้านยิ้มที่เปิดพื้นที่ประชาธิปไตย และด้านโกรธที่ใช้กองกำลังจัดการกับเรา

ในไทยชนชั้นปกครองทุนนิยมประกอบไปด้วยนายทุน ข้าราชการชั้นสูง และนายทหารชั้นสูง และชนชั้นนี้มีกษัตริย์เป็นสัญญลักษณ์เพื่อพยายามสร้างความสามัคคีข้ามชนชั้น คือมีไว้สร้างภาพว่าเราทุกคนคิดเหมือนกัน ให้ทุกคนรักชาติ ศาสนา กษัตริย์ แต่สัญญลักษณ์นี้ก็มีสองด้านเช่นกัน เพราะถ้าไม่รักก็ปราบด้วย 112 และวิธีอื่น

เวลาพวกนายพลหัวทึบชอบตะคอกว่า “ทหารคือรั้วของชาติ” ในความจริงคนที่อยู่ในรั้วนั้นมีแค่พวกชนชั้นปกครอง พวกเราพลเมืองธรรมดาอยู่นอกรั้ว ทหารมีบทบาทสำคัญในการปราบเราเพื่อประโยชน์ชนชั้นปกครอง และมีบทบาทในการปกป้องผลประโยชน์ของพวกมันเองเมื่อถูกท้าทายจากชนชั้นปกครองของประเทศอื่น คือในยุคสงคราม แต่ในกรณีไทยกองทัพไม่เคยสามารถรบกับกองทัพประเทศอื่นได้เลย คือเป็นกองทัพของพวกมือไม้อ่อน เวลาญี่ปุ่นบุกไทยตอนสงครามโลกครั้งที่สองก็ยอมแพ้ทันที เวลาจักรวรรดินิยมอังกฤษกับฝรั่งเศสท้าทายรัฐทุนนิยมใหม่ของไทยในยุครัชกาลที่๕ ก็หมดสภาพทันที ต้องมีการเจรจาต่อรองและแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกรุงเทพฯ กับลอนดอนและปารีส

เวลานายพลหัวทึบตะคอกอีกว่าทหารปกป้องเราจากโจร เราคงต้องหัวเราะ เพราะโจรใหญ่สุดในสังคมไทยคือทหาร ไม่ว่าจะเป็นการปล้นสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย การฆ่าประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหว หรือการค้ายาเสพติดและของเถื่อนอื่นๆ ทหารเป็นตัวหลักเสมอ

ทั้งๆ ที่ไอ้ยุทธ์มันพองตัวเหมือนคางคกเพื่ออวดว่าตนเอง “กู้ชาติ” จากวิกฤต มันก็แค่กู้สถานการณ์เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครองเท่านั้น มันมีรถถังและอาวุธก็จริง แต่ถ้ากลุ่มส่วนใหญ่ในหมู่ชนชั้นปกครองไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารของมัน มันก็ทำไม่ได้ หรือถ้าทำก็อยู่ไม่ได้นาน

ถ้ามองไปที่พม่า หลายคนชอบพูดว่ากองทัพพม่า ที่เรียกว่า “ตะมะดอ” (Tatmadaw) เป็น “รัฐอิสระภายในรัฐ” แต่มันก็ไม่ใช่อีก มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ชนชั้นปกครองพม่าแตกแยกอ่อนแอและพวกนายพลขึ้นมาเป็นแกนนำของชนชั้นปกครองเท่านั้น เผด็จการทหารเป็นเพียงใบหน้าหนึ่งของรัฐทุนนิยม แต่กรณีไทยไม่สุดขั้วเท่าพม่า

ในขณะที่นายทุน ข้าราชการชั้นสูง และพวกนายพลตกลงกันว่าทหารควรเข้ามาคุมอำนาจสักพักหนึ่ง เพื่อตัดแปลงระบบการเมืองให้ผิดเพี้ยนไปจากประชาธิปไตย ผ่านการปฏิกูลการเมือง เราต้องเข้าใจว่านายพลต่างๆ ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน คิดเองเป็น และสมาชิกของชนชั้นปกครองก็แข่งกันและร่วมมือกันในขณะเดียวกัน เหล่ามนุษย์ใส่เครื่องแบบจะโลภทั้งทรัพย์และอำนาจ ดังนั้นงบประมาณในการซื้ออาวุธและรักษากองทัพเป็นแหล่งหากินสำคัญเสมอ ถ้าไม่ปกครองประเทศก็สามารถเบ่งอำนาจเพื่อหากินกับการขายของเถื่อนหรือนั่งบนกรรมการบริหารสื่อหรือรัฐวิสาหกิจ และการมีอำนาจทางการเมืองเป็นโอกาสในการกินเพิ่ม

สรุปแล้วทหารไทยไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับพลเมืองทั่วไป มันเป็นองค์กรที่ช่วยทำให้ระบบการเมืองล้าหลัง และในแง่ที่คล้ายปรสิต มันเป็นทั้งพิษภัยต่อพวกเรา และสูบทรัพยากรสำคัญจากสังคม

แล้วเราต้องทำอะไรกับปรสิต??

“รัฐ” กับกองกำลังติดอาวุธของชนชั้นปกครอง

ใจอึ๊งภากรณ์

ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย และสร้างสังคมนิยมในไทย เราต้องโค่นระบบเก่าที่เป็นเผด็จการ ต้องจัดการกับกองทัพ และสถาบันกษัตริย์ที่เป็นเครื่องมือของกองทัพและส่วนอื่นของชนชั้นปกครอง แต่ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ กองทัพ และเราต้องเข้าใจเนื้อแท้ของ “รัฐ”

ถ้าเราศึกษาหนังสือ “รัฐกับการปฏิวัติ” ของ เลนิน เราจะเข้าใจว่า ในทุกสังคมของทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการทหาร และไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรปตะวันตก หรือไทย มันมีชนชั้นปกครองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งดำรงอยู่ ซึ่งดูเหมือนขัดกับรัฐธรรมนูญหรือหลักประชาธิปไตย ดังนั้นแค่การเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น หรือการเลือกพรรคสังคมนิยมเข้ามาคุมรัฐสภา จะไม่นำไปสู่สังคมใหม่แห่งเสรีภาพแต่อย่างใด

ในหนังสือ “รัฐกับการปฏิวัติ” เลนิน กล่าวถึงงานของ มาร์คซ์ และ เองเกิลส์ ซึ่งเป็นนักมาร์คซิสต์ “รุ่นครู”   ทั้งเลนิน และ เองเกิลส์ ชี้ให้เห็นว่า “รัฐ” มันมากกว่าแค่ “รัฐบาล” เพราะรัฐประกอบไปด้วย “อำนาจพิเศษสาธารณะ”

รัฐทุนนิยมมีไว้เพื่อกดขี่ชนชั้นกรรมาชีพและเกษตรกร โดยยึดผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนเป็นหลัก ตรงนี้เราไม่ควรสับสนว่า “ชนชั้นนายทุน” คือคนอย่างทักษิณหรือนักธุรกิจเท่านั้น เพราะในไทยชนชั้นนายทุนซึ่งเป็นชนชั้นปกครองมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๕ ประกอบไปด้วยนายทหารชั้นสูง ข้าราชการชั้นสูง กษัตริย์ และนายทุนเอกชน เขาคือชนชั้นปกครอง และ “รัฐ” เป็นเครื่องมือของเขา ไม่ว่าเราจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่

สำหรับนักมาร์คซิสต์ เราเชื่อกันว่า “รัฐ” เป็นสิ่งที่เกิดมากับสังคมชนชั้น มันไม่ใช่สิ่งธรรมชาติที่ตกจากฟ้า รัฐเป็นเครื่องมือที่คนกลุ่มน้อยในสังคมปัจจุบันใช้เพื่อควบคุมคนส่วนมากที่ถูกปกครอง ในการสร้างสังคมนิยมอันเป็นประชาธิปไตยแท้ เราต้องปฏิวัติรัฐเก่าและสร้างรัฐใหม่ชั่วคราวขึ้นมา เพื่อเป็นอำนาจในการเปลี่ยนสังคม แต่เป้าหมายระยะยาวคือการยกเลิกรัฐไปเลย หรือที่ เลนิน เรียกว่า “การสิ้นสุดของการปกครอง” เพื่อให้มนุษย์ทุกคนกำหนดอนาคตตนเอง

“อำนาจพิเศษสาธารณะ” ของรัฐที่เราพูดถึง อาศัยวิธีควบคุมสังคมสองวิธีคือ

(๑) ใช้อำนาจดิบของความรุนแรง คืออาศัยกองกำลังและการปราบปราม ซึ่ง เองเกิลส์และเลนิน เรียกว่า “องค์กรพิเศษของคนติดอาวุธ” นั้นคือ ทหาร ตำรวจ ศาล และคุก

(๒) การสร้างระเบียบและความชอบธรรมกับการปกครองของรัฐนายทุน ให้ผู้ถูกปกครองยอมรับอำนาจรัฐ และวิธีที่สำคัญคือการวางตัวของรัฐให้ห่างเหินแปลกแยกจากสังคม เพื่อให้ดูเหมือนว่า “ลอยอยู่เหนือสังคมและเป็นกลาง” ในขณะที่คุมสถาบันต่างๆ ด้วยอำนาจเงียบ เพราะถ้ารัฐไม่สร้างภาพแบบนี้มาปิดบังความจริงที่รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองฝ่ายเดียว ประชาชนจะไม่ให้ความจงรักภัคดี การควบคุมสถาบันต่างๆ ด้วยอำนาจเงียบ ทำผ่านการพยายามผูกขาดแนวคิดในโรงเรียน หรือผ่านศาสนา และสื่อ จนเราอาจไม่รู้ตัวว่าเราถูกควบคุมทางความคิด

ด้วยเหตุนี้เราจะต้องสู้กับรัฐด้วยสองวิธีหรือสองแนวรบเช่นกันคือ

(๑) การใช้ “กำลัง” ซึ่งกำลังหรืออำนาจที่เรามีและฝ่ายชนชั้นปกครองไม่มี คืออำนาจที่มาจากการรวมตัวกันของกรรมาชีพผู้ทำงานในสถานที่ทำงานชนิดต่างๆ ทั่วประเทศ เราต้องชุมนุมบนท้องถนนแน่นอน แต่เมื่อเขานำกองกำลังติดอาวุธมาปราบเรา เราต้องโต้ตอบด้วยการนัดหยุดงานทั่วไป

(๒) การปลุกระดมทางการเมือง เพื่อคานแนวคิดของชนชั้นปกครอง และเพื่อคานคนที่เสนอว่าเราต้องประนีประนอมกับสภาพสังคมปัจจุบันและอำนาจที่ปกครองเราอยู่ เราต้องทำสงครามความคิดอย่างถึงที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราแค่เสนอให้ “ปฏิรูปกฎหมาย 112” แทนการยกเลิกกฎหมายนี้ไปเลย เราก็จะยังยอมจำนนต่อความคิดชนชั้นปกครอง และไม่ปลดแอกความคิดของเราเอง

ทั้งสองแนวรบนี้อาศัยการจัดตั้งมวลชนในพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย เราต้องเลือกสมรภูมิในการรบกับความรุนแรงของรัฐให้ดี ไม่ออกรบเวลาเราอ่อนแอและไม่พร้อม แต่เมื่อเราพร้อมแล้ว ก็ออกมาเผชิญหน้ากับรัฐบนท้องถนนและในสถานที่ทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ประสานกัน และไม่เข้าใจธาตุแท้ของสังคม เราคงทำไม่ได้

ถ้าเราเข้าใจ “รัฐกับการปฏิวัติ” เราจะเข้าใจว่า “อำนาจพิเศษสาธารณะ” ซึ่งประกอบไปด้วย ทหาร ตำรวจ ศาล คุก ระบบราชการ รัฐบาล สถาบันกษัตริย์ และสถาบันต่างๆ ที่กล่อมเกลาความคิด มันต้องถูกโค่นแบบถอนรากถอนโคน เพื่อสร้างรัฐใหม่ของคนส่วนใหญ่ เราใช้รัฐเก่า หรือกองทัพและตำรวจเก่าเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ไม่ได้

แต่เมื่อพูดถึงกองกำลังติดอาวุธของชนชั้นปกครอง เราต้องเข้าใจด้วยว่ามันประกอบไปด้วยนายทหารชั้นล่าง ซึ่งเป็นคนธรรมดา ในสถานการณ์ปฏิวัติ ที่กระแสปฏิวัติมาแรงเพราะคนส่วนใหญ่ไม่พอใจที่จะอยู่ต่อแบบเดิม และชนชั้นปกครองอยู่ในสภาวะวิกฤต เราสามารถดึงทหารระดับล่างมาเข้าข้างเราได้ แต่นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการดึง “นายพลก้าวหน้า” มาอยู่ข้างเรา ซึ่งเคยเป็นความฝันเปียกๆ ของแกนนำ นปช.

มาร์คซ์เคยอธิบายว่า การสร้างรัฐใหม่ต้องอาศัยการปฏิวัติรัฐเก่าในทุกแง่ เพราะองค์ประกอบของรัฐเก่านั้นมันไม่หายไปง่ายๆ มันเป็น “งูเหลือมที่รัดสังคมไว้อย่างแน่นแฟ้น” ต้องใช้ “ไม้กวาดแห่งการปฏิวัติ” ถึงจะแกะมันออกได้ และต้องสร้างรัฐใหม่กับองค์ประกอบใหม่ขึ้นมาแทน เช่นรัฐสภาคนทำงาน กองกำลังของประชาชน หรือผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกตั้งเป็นต้น ต้องรื้อกฎหมายเก่าๆ ทิ้งให้หมด และสร้างระเบียบใหม่ของสังคม โดยที่คนส่วนใหญ่ คนจน คนทำงานทุกคน ขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน นั้นคือวิธีการสร้างสังคมนิยม ซึ่งเป็นประชาธิปไตยขั้นสูงสุด

ในช่วงที่เรายังปฏิวัติสังคมไม่ได้ การต่อสู้เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยในทุกรูปแบบ เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น มันเป็นการต่อสู้ประจำวันที่ให้สิทธิเสรีภาพมากขึ้น มันช่วยให้เรามีสหภาพแรงงานที่มีอำนาจต่อรอง มันช่วยให้เราประท้วงหรือเดินขบวนได้ และมันช่วยให้เรามีสื่อเสรีและสิทธิในการแสดงออก นอกจากนี้การต่อสู้เพื่อเปิดพื้นที่ประชาธิปไตย เป็นการทำให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นในระยะสั้น ดังนั้นเป็นเรื่องดีและจำเป็น แต่ยิ่งกว่านั้น  อย่างที่ โรซา ลัคแซมเบอร์ค นักมาร์คซิสต์สตรีเคยอธิบาย…มันจะเป็นการฝึกฝนมวลชนให้พร้อมในการที่จะล้มชนชั้นปกครองและทำลายรัฐเก่าลงอย่างสิ้นเชิงในอนาคต

ประเทศไทยไม่ควรจะมีหนังสือต้องห้าม

ใจ อึ๊งภากรณ์

หนังสือของ แอนดรู มะเกรกกอร์มาร์แชล์ ไม่ควรถูกทำให้เป็นหนังสือต้องห้าม แต่ใน “กะลาแลนด์”ภายใต้ไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือด การใช้มันสมองคิดอะไรเอง กลายเป็นเรื่อง “ผิด” ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าพวกนายพลปัญญาอ่อนที่ครองประเทศไทยตอนนี้ กลัวประชาชนที่ฉลาดกว่าตนเองมาก

สาเหตุสำคัญที่ประชาชนควรมีโอกาสอ่านหนังสือของ แอนดรู มะเกรกกอร์มาร์แชล์ ก็เพราะมันเป็นการวิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทยที่ผิด และวิเคราะห์ไม่ตรงจุด

แต่ถ้าเราไม่สามารถอ่านข้อเสนอของนักวิชาการหรือนักข่าวต่างๆ เราไม่สามารถมาถกเถียงแลกเปลี่ยนได้เลย ซึ่งแปลว่าเราเข้าถึงความจริงยากขึ้น และพลเมืองจำนวนมากอาจต้องเดาว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบนพื้นฐานข่าวลือ

ประเด็นหลักที่ผมไม่เห็นด้วยกับ แอนดรู มะเกรกกอร์มาร์แชล์ คือเราไม่สามารถอธิบายความขัดแย้งปัจจุบันด้วยการเสนอว่าเป็นปัญหา “การเปลี่ยนรัชกาล” อย่างที่ มาร์แชล์ สเนอ แต่การทำให้เป็นหนังสือต้องห้ามของแก๊งโจรประยุทธ์ มีผลในการชักชวนให้คนไทยเชื่อว่ามันเป็นวิกฤตการเปลี่ยนรัชกาลจริง

นักข่าวต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ฟังการโม้ของคนไทยในบาร์เบียร์ มักอธิบายว่าชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยมเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากทีรัชกาลนี้สิ้นสุดลง และนี่คือสาเหตุที่ไทยมีเผด็จการทหาร

มันมีหลายระดับของคำอธิบายผิดๆ แบบนี้

ในระดับที่หยาบและไร้สาระที่สุดคือ มีการอธิบายว่าจะเกิดศึก “ชิงราชสมบัติ” ระหว่างลูก เหมือนสมัยอยุธยาหรือสมัยรัตนโกสินตอนต้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้มีอำนาจจริงในสังคมไทยสมัยนี้คือทหาร นายทุนใหญ่ และข้าราชการชั้นสูง

ในประเทศทุนนิยมทั่วโลก การมีสถาบันกษัตริย์ มีไว้เพื่อปกป้องและให้ความชอบธรรมกับลำดับชนชั้น และการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองในมือชนชั้นปกครอง ไม่ว่าประเทศเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ และประเทศไทยหรือประเทศอังกฤษไม่ใช่กรณีพิเศษ ดังนั้นในไทยกฏหมาย 112 มีไว้ปกป้องการกระทำของทหารและส่วนอื่นของชนชั้นปกครองไทย และในอังกฤษไม่มีกฏหมาย 112 เพราะชนชั้นปกครองอังกฤษ สามารถหาทางสร้างเสถียรภาพสำหรับการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองในมือตนเอง โดยการนำผู้นำพรรคแรงงานมาเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นปกครอง

กษัตริย์ไทยหลัง ๒๔๗๕ ไม่เคยมีอำนาจ แต่ทหารที่ก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยา ผูกโบสีเหลือง เพื่อสร้างความชอบธรรมกับตนเอง ปัจจุบันเวลาแก๊งประยุทธ์บอกว่าจะเข้มงวดในการใช้ 112 ก็ทำเพื่อหาความชอบธรรมกับการปล้นอธิปไตยจากประชาชนเท่านั้นเอง กิจกรรมแบนี้จำต้องอาศัยการสร้างประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจอมปลอมเสมอ

ในระดับที่พอเชื่อได้บ้าง มีการเสนอว่าชนชั้นปกครองซีกประยุทธ์-สลิ่ม-ประชาธิปัตย์ กลัวว่าทักษิณจะมีอิทธิพลกับสถาบันกษัตริย์หลังการเปลี่ยนรัชกาล และมีการกระซิบว่าบางคนไม่อยากให้คนนั้นคนนี้ขึ้นครอง เรื่องแบบนี้อาจมีความจริงบ้าง แต่มันไม่สามารถอธิบายต้นเหตุหลักของวิกฤตการเมืองไทยได้และ ความจริงที่จับต้องได้คือ ชนชั้นปกครองไทยทั้งหมด เลือกจะนำเจ้าฟ้าชายขึ้นครอง เพราะตลอดเวลาที่มีรัฐบาลทหารหลัง ๑๙ กันยา หรือสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ หรือสมัยยิ่งลักษณ์ เจ้าฟ้าชายก็ทำหน้าที่เป็น “รองประมุข” ในพิธีกรรมต่างๆ

ถ้าเราจะวิเคราะห์จุดเริ่มต้นของวิกฤตการเมืองไทย เราจะเห็นว่ารัฐบาลไทยรักไทยที่เข้ามาในปี ๒๕๔๔ หลังวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” เป็นรัฐบาล “คิดใหม่ทำใหม่” ที่มีพลวัตรจริงๆ เพราะนโยบายใหม่ๆ ของไทยรักไทยในที่สุดไปกระทบโครงสร้างเก่าของพวกอภิสิทธิ์ชนไทย ทั้งๆ ที่ทักษิณไม่ได้มีเจตนาหรือแผนที่จะทำอย่างนั้นเลย และความขัดแย้งนี้นำไปสู่รัฐประหาร ๑๙ กันยาท่ามกลางการโวยวายอย่างรุนแรงของพวกชนชั้นกลางฝ่ายขวาเสื้อเหลือง

การใช้นโยบายกลไกตลาดเสรีของรัฐไทยมานาน ตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ ในสภาพที่ไร้ประชาธิปไตย หรือไร้สิทธิของคนชั้นล่าง มีผลในการสร้างความเหลื่อมล้ำมหาศาลระหว่างคนจนกับคนรวย และมีผลในการสร้างอุปสรรคกับการพัฒนาเศรษฐกิจในโลกสมัยใหม่ด้วย สิ่งเหล่านี้เริ่มถูกเปิดโปงอย่างชัดเจนในวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๓๙

เราควรจะเข้าใจว่านโยบายช่วยคนจนของไทยรักไทย ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพ หรือกองทุนหมู่บ้าน ที่ตั้งเป้าหมายไปที่คนชนบท เพราะคนงานในเมืองมีประกันสังคมอยู่แล้ว เป็นนโยบายที่ช่วยคนงานในเมืองด้วย เพราะลดภาระในการช่วยเหลือญาติพี่น้องในชนบท แต่สำหรับนายทุนอย่างทักษิณ นโยบายเหล่านี้เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพของสังคมไทย ที่จะแข่งขันทางเศรษฐกิจในเวทีโลก ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งชี้ให้เห็นว่าไทยอ่อนด้อยตรงนี้มานาน

ความรู้สึกไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจสังคมของคนเสื้อแดง มาจากความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจถ้าเทียบกับคนชั้นสูง คือผลของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นการที่พรรคไทยรักไทยและทักษิณประกาศว่าจะให้ “คนจนเป็นผู้ร่วมพัฒนา” แทนที่จะมองอย่างที่รัฐบาลต่างๆ ในอดีตมอง ว่าคนจนเป็น “ภาระ” ของชาติ ทำให้ประชาชนจำนวนมากนิยมพรรคไทยรักไทย

การที่ทักษิณและไทยรักไทย เปลี่ยนกระบวนการทางการเมืองในไทย จากการแค่ “เล่นการเมือง”แบบเลือกตั้ง แจกเงิน และเข้ามาร่วมกิน ของนักการเมืองหัวเก่าที่ไม่สนใจประชาชนหรืออนาคตของสังคม มาเป็นการเสนอนโยบายเพื่อครองใจประชาชน กลายเป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งทหาร ข้าราชการอนุรักษ์นิยม และนักการเมืองหัวเก่า เพราะเป็นการใช้กระบวนการประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อขึ่นมามีอำนาจ แทนที่จะใช้ยศศักดิ์ และความเป็นนักเลง เพื่อมีอิทธิพลในสังคม นี่คือรากกำเนิดของความขัดแย้งปัจจุบัน

ปัจจุบันพวกเศษสวะที่กำลังปฏิกูลการเมืองไทย ต้องการหมุนนาฬิกากลับสู่การเล่นการเมืองในรูปแบบก่อนไทยรักไทย นั้นคือสาเหตุที่เราจะต้องรื้อทิ้งรัฐธรรมนูญปฏิกูล ที่พวกนี้กำลังจะผลิต

หนังสือของ แอนดรู มะเกรกกอร์มาร์แชล์ ขาดการวิเคราะห์แบบนี้ที่ครอบคลุมทั้งสภาพเศรษฐกิจ ชนชั้น และการเมืองภาพกว้าง และที่มองพลเมืองไทยส่วนใหญ่ว่าสำคัญและมีบทบาท เพราะ แอนดรู มะเกรกกอร์มาร์แชล์ ใช้ทฤษฏีประเภทที่ไม่เห็นหัวประชาชนส่วนใหญ่ และมองว่าทุกอย่างในสังคมกำหนดจากชนชั้นบน

ผู้ประท้วงฝ่ายค้านในปากีสถาน สร้างสถานการณ์เพื่อหวังรัฐประหาร

ใจ อึ๊งภากรณ์

ผู้ประท้วงจากพรรคการเมืองและกลุ่มศาสนาที่คัดค้านรัฐบาล กำลังสร้างสถานการณ์ตามท้องถนน เพื่อหวังให้กองทัพทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นาวาซ์ ชาริฟ

นาวาซ์ ชาริฟ นักการเมืองมือเก่าที่เคยดำรงตำแหน่งหลากหลายรวมถึงนายกรัฐมนตรีในอดีต เป็นหัวหน้าพรรคสันนิบาตมุสลิม นอกจากนี้ครอบครัวของ ชาริฟ คุมแคว้นพันจาป ชาริฟ เป็นนัการเมืองที่มีเรื่องอื้อฉาว และในการบริหารประเทศไม่เคยทำอะไรเพื่อคนจน

นาวาซ์ ชาริฟ ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ หลายคนตั้งความหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นจะนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยหลังยุคเผด็จการทหาร

อย่างไรก็ตาม อิมราน คาน นักกิฬาชื่อดัง และหัวหน้าพรรค “ขบวนการเพื่อความยุติธรรมปากีสถาน” กล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง และ คาน เรียกร้องให้ นายก ชาริฟ ลาออก

อิมราน คาน เป็นนักการเมืองฉวยโอกาสที่พยายามสร้างภาพให้ตนเอง เช่นด้วยการเดินขบวนต่อต้านการปราบปรามประชาชนทางเหนือโดยกองทัพ แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกยกเลิกไปในไม่ช้า

คาน ทำแนวร่วมในการต่อต้านรัฐบาลกับ ทาหิร ควาดรี ซึ่งเป็นอิหม่ามที่เป็นพลเมืองของประเทศคานาดา และเป็นหัวหน้าขบวนการ อาวามิ เทรีค ซึ่งบริหารโรงเรียนศาสนาในปากีสถาน ทาหิร ควาดรี หันหลังให้กับการเลือกตั้งและเรียกร้องให้มีรัฐบาลแต่งตั้งของ “ผู้เชี่ยวชาญ”

การประท้วงของฝ่ายค้านตอนนี้สร้างความไม่สงบในสังคมมาก และหลายคนมองว่าเป็นการกระทำเพื่อเชิญทหารเข้ามาทำรัฐประหารอีกครั้ง

pakistan_mass_anti-government_protests_53_2808x1872_8 _77284343_023693125-1

     ในขณะที่พรรคและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาทะเลาะกัน กองทัพก็เก็บตัวไว้โดยอ้างความ “เป็นกลาง” แต่กองทัพปากีสถานไม่เคยเป็นกลาง ในรอบ 65 ปีที่ผ่านมา ปากีสถานมีรัฐบาลเผด็จการทหารนานถึง 34 ปี

8897

     ปากีสถานเป็นประเทศที่ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงที่อังกฤษให้เอกราชกับอินเดีย เมื่อก่อนจะแยกเป็นสองส่วนก่อนที่บังกลาเทศจะต่อสู้เพื่อเอกราช นอกจากนี้ปากีสถานเป็นประเทศทีสร้างบนพื้นฐานการนับถือศาสนาอิสลามอย่างเดียว ไม่มีวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์ร่วมแต่อย่างใด ดังนั้นสถาบันที่มีอำนาจและความเข้มแข็งมากที่สุดคือกองทัพ ซึ่งนอกจากจะคุมกำลังอาวุธแล้ว ยังคุมวิสาหกิจขนาดใหญ่อีกด้วย พรรคการเมืองต่างๆ อ่อนแอกว่ามาก

สถานการณ์ในปากีสถานอาจคล้ายไทยเมื่อต้นปีนี้ในบางแง่ แต่แตกต่างตรงที่ปากีสถานขาดขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างที่ไทยมีมานาน นอกจากนี้พรรคการเมืองทุกพรรคที่ขึ้นมามีอำนาจ ไม่เคยทำอะไรเพื่อคนจนเลย

ในไทยคำว่า “ปฏิรูป” หมดความหมายไปแล้ว

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกวันนี้ในไทย พวกที่เกลียดชังสิทธิเสรีภาพของประชาชน และพวกที่มีส่วนร่วมในการใช้กำลังเพื่อทำลายประชาธิปไตย ได้ทำให้คำว่า “ปฏิรูป” มีความหมายตรงข้ามกับความหมายเดิม เราน่าจะหันมาใช้คำว่า “อปฏิรูป” หรือ “ปฏิกูล” เพื่อบรรยายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ขอทบทวนความจริงเกี่ยวกับสภาพการเมืองหน่อย คือในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา พวกอนุรักษนิยม ไม่ว่าจะเป็นทหาร คนชั้นกลาง ข้าราชการชั้นสูง นักวิชาการล้าหลัง เอ็นจีโอ และพรรคประชาธิปัตย์ ได้กระทำทุกอย่างเพื่อสร้างอุปสรรคต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน และการดำรงอยู่ของประชาธิปไตย การพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหอกในการสร้างประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่ประเด็นหลักคือพลเมืองไทยส่วนใหญ่ได้เลือกพรรคเหล่านี้ในการเลือกตั้งที่ตรงไปตรงมา ไม่มีการโกง และเขาเลือกเพราะพรรคของทักษิณมีนโยบายใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนส่วนใหญ่ ตัวอย่างที่สำคัญคือระบบรักษาพยาบาลถ้วนหน้า การสร้างงานในหมู่บ้าน และการช่วยเหลือเกษตรกร ดังนั้นการแจกเงินซื่อเสียงจึงหมดความสำคัญลงในวันเลือกตั้ง

ฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเพราะระบอบอุปถัมภ์แบบเก่า และการมีอำนาจนอกกรอบประชาธิปไตย ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง และพรรคการเมืองเก่าเคยใช้ ดูเหมือนจะหมดยุค เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่พรรคการเมืองของทักษิณครองใจพลเมืองส่วนใหญ่ได้ผ่านนโยบายการเมืองที่ถูกทดสอบในวันเลือกตั้ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงพร้อมจะใช้ทุกกลไกในการล้มประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารสองรอบ การใช้กลไกศาล กกต. หรือองค์กรอิสระลำเอียง และการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงแต่ไม่เคยถูกลงโทษ

ด้วยเหตุนี้เราพอสรุปได้ว่าคนที่ครองอำนาจอยู่ปัจจุบัน คือประยุทธ์ จันทร์โอชา และแก๊งเผด็จการ เป็นพวกมือเปื้อนเลือดที่จงใจฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ราชประสงค์ และทำรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต่อจากนั้นหลังทำรัฐประหารก็มีการโกหกบิดเบือนความจริงตลอด และปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดร้ายผ่านการกักขังและข่มขู่หรือทรมานนักโทษการเมือง

เราฟันธงได้เลยว่าคณะเผด็จการที่กำลังอ้างว่าจะริเริ่มกระบวนการ “ปฏิรูป” เป็นพวกอาชญากรที่ “ฆ่า” ประชาธิปไตย เขาเป็นพวก “อปฏิรูป-ปฏิกูล” นั้นเอง

แล้วพวกนี้จะไป “ปฏิรูป”  การเมืองทำหอกอะไรได้?

ใครมีสมองเท่าไส้เดือนคงเข้าใจเป้าหมายจริงของคณะทหาร มันต้องการเปลี่ยนกติกาการเมืองเพื่อขัดขวางการที่พลเมืองส่วนใหญ่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองและใช้สิทธิเสรีภาพ

คณะทหารต้องการ “พม่าโมเดล” คือเราไปเลือกตั้งได้ แต่ทหารและแนวร่วมประจบสอพลอยังคุมอำนาจต่อ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งจะถูกกฏหมายและองค์กรหรือสถาบันต่างๆ มัดมือไว้จนดิ้นไม่ได้ภายใต้ข้ออ้างว่ามันเป็นการ “ตรวจสอบ” นักการเมือง แต่อย่างที่ทุกคนเห็นทุกวันนี้ ผู้ที่อ้างว่ามีอำนาจตรวจสอบไม่เคยถูกประชาชนตรวจสอบได้เลย

แค่นี้ยังไม่แย่พอ ท่านผู้อ่านควรจะทำใจไว้เพิ่ม เพราะสิ่งที่แย่กว่านี้คือปรากฏการณ์ของพวกตอแหล โกหก โง่เขลา เลียทหาร ที่วิ่งเต้นจะไปร่วมกระบวนการ “อปฏิรูป-ปฏิกูล” ที่กำลังเกิดขึ้น และพวกสื่อมวลชนที่รายงานอย่างหน้าด้านว่า “นี่คือการปฏิรูป”

คำถามคือ พวกนี้มันโง่ หรือมันจงใจโกหกทุจริตเพื่อผลประโยชน์มันเอง? ในกรณีนักวิชาการและพวกอดีตข้าราชการหรือนักกฏหมาย รวมถึงนายทหาร ผมมองว่ามันจงใจโกหกทุจริตว่านี้คือการปฏิรูป แต่พวกเอ็นจีโอบางคน สื่อมวลชน และพวกผู้นำแรงงานน้ำเน่า อาจทั้งโง่และทั้งจงใจโกหกในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่โดยรวมแล้วฝูงเปรตเหล่านี้ เป็นพวก “ขยะสังคม” ที่เราจะต้องกวาดทิ้งจากการมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของประเทศ เพราะเขาไม่เคารพพลเมืองส่วนใหญ่ ไม่ชื่นชมสิทธิเสรีภาพกับประชาธิปไตย และไม่สุจริตพอ หรือไม่ฉลาดพอ ที่จะกล้าพูดความจริง

ในเดือนต่อๆไป เราคงเห็นละครสัตว์ “อปฏิรูป-ปฏิกูล” เล่นไปบนเวทีที่ทหารสร้าง แต่ในอนาคตข้างหน้าพลเมืองไทยจะล้มกระดานเผด็จการและผลพวงทั้งหมดของพวกนี้เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง