Tag Archives: ทุนนิยม

อายุเกษียณ และบำเหน็จ บำนาญ ในมุมมองมาร์คซิสต์

ประเด็นอายุเกษียณเป็นเรื่องที่นำไปสู่การต่อสู้ทางชนชั้นที่ดุเดือดในฝรั่งเศสเมื่อเดือนเมษายนหลังจากที่ประธานาธิบดีมาครงใช้มาตรการเผด็จการเพื่อผ่านกฎหมายยืดเวลาเกษียณโดยไม่ผ่านรัฐสภา การต่อสู้ในฝรั่งเศสลามไปสู่ประเด็นอื่น เช่นเรื่องประชาธิปไตยที่ขาดตกบกพร่องมานาน และเรื่องอื่นที่มีความไม่พอใจสะสมอยู่ เช่นเรื่องวิกฤตค่าครองชีพและผลกระทบจากโควิดอีกด้วย

เป็นที่น่าเสียดายที่การต่อสู้รอบนั้นไม่นำไปสู่การล้มรัฐบาล และการตั้งรัฐบาลฝ่ายซ้าย ด้วยเหตุที่ผู้นำแรงงานหมูอ้วนระดับชาติพยายามประนีประนอมเสมอ เพราะกลัวการต่อสู้ของมวลชนจะทำลายความสงบของสังคมทุนนิยมและฐานะของผู้นำแรงงานเหล่านั้น

แต่มันไม่ใช่แค่รัฐบาลฝรั่งเศสเท่านั้นที่ต้องการยืดเวลาทำงานของเรา รัฐบาลทั่วโลกในระบบทุนนิยมต้องการจะทำเช่นนั้น และแอบอ้างว่าเป็นการ “ปฏิรูป” ระบบบํานาญบําเหน็จ  ทั้งๆ ที่เป็นการพยายามที่จะ “ทำลาย” สวัสดิการของเรา

การใช้คำว่า“ปฏิรูป” ในลักษณะที่ไม่ซื่อสัตย์  ไม่ต่างจากพวกที่เป่านกหวีดเรียกทหารมาทำรัฐประหารแล้วอ้างว่าจะ “ปฏิรูป” ระบบการเมืองไทย สรุปแล้วเมื่อไรที่ชนชั้นปกครองและนักวิชาการกับนักข่าวที่รับใช้นายทุนพูดถึงการ “ปฏิรูป” เขาหมายถึงการทำลายสิทธิและสภาพชีวิตของกรรมาชีพเสมอ

สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจคือบำเหน็จและบํานาญ เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่กรรมาชีพคนทำงานสะสมและออมในชีวิตการทำงาน มันไม่ใช่ของขวัญที่นายจ้างหรือรัฐมอบให้เราฟรีเลย ดังนั้นการยืดอายุเกษียณก่อนที่จะมีสิทธิ์ได้บำเหน็จบํานาญถือว่าเป็นการตัดค่าจ้างหรือขโมยค่าจ้างของเรา เพราะเราถูกบังคับให้ทำงานนานขึ้นเพื่อสวัสดิการเท่าเดิม

ขณะนี้อายุเกษียณในประเทศตะวันตกกำลังถูกยืดออกไปจากที่เคยเป็นอายุ 60 ไปเป็น 67 ในสหรัฐ กรีซ เดนมาร์ก อิตาลี่ 66 ในอังกฤษกับไอร์แลนด์ และ65.7 ในเยอรมัน

ในสเปนรัฐบาลไม่ขยายอายุเกษียณ แต่เรียกเก็บเงินสมทบบำเหน็จบำนาญจากหนุ่มสาวที่เริ่มทำงานแทน มันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการตัดค่าจ้างหรือขโมยค่าจ้างของกรรมาชีพเช่นกัน และในประเทศอื่นๆ เช่นอังกฤษมีการตัดระดับสวัสดิการที่คนงานพึงจะได้หลังเกษียณ

สำหรับเราชาวมาร์คซิสต์ เรามองว่าในระบบทุนนิยมหลังจากที่เราทำงานและถูกขูดรีดมาตลอดชีวิตการทำงาน กรรมาชีพควรมีสิทธิ์ที่จะเกษียณและรับบำเหน็จบํานาญในระดับที่ปกป้องคุณภาพชีวิตที่ดี มันไม่ต่างจากเรื่องการรณรงค์เพื่อค่าจ้างที่อยู่ในระดับที่พอเหมาะกับคุณภาพชีวิตที่ดี

ยิ่งกว่านั้น เราชาวมาร์คซิสต์เข้าใจว่าในระบบทุนนิยม ค่าจ้างบวกกับบำเหน็จบำนาญ ไม่เคยเท่ากับมูลค่าที่เรามีส่วนในการผลิต เพราะนายทุน ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือฝ่ายรัฐ ขโมย “มูลค่าส่วนเกิน” ไปในระบบการขูดรีดแรงงาน เพื่อเอาไปเป็น “กำไร”

การขูดรีดดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกภาคของเศรษฐกิจ เพราะคนทำงานในภาคบริการ เช่นพนักงานโรงพยาบาล หรือครูบาอาจารย์มีส่วนในทางอ้อมที่จะเพิ่มมูลค่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ผ่านการดูแลสุขภาพคนงาน หรือการเพิ่มฝีมือความสามารถผ่านการศึกษา คนที่ทำงานในภาคขนส่งก็เช่นกัน เพราะอุตสาหกรรมจะขายสินค้าไม่ได้ และไม่มีคนงานมาทำงานถ้าไม่มีระบบขนส่ง

ในขณะที่มีการยืดอายุเกษียณออกไปตอนนี้ ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมาอายุขัยหรืออายุคาดเฉลี่ยของพลเมืองในประเทศพัฒนาได้ลดลง หลังจากที่เคยเพิ่ม สาเหตุมาจากโควิด และนโยบายรัดเข็มขัดตัดสวัสดิการต่างๆ ของรัฐบาลที่ใช้นโยบายเสรีนิยมใหม่เพื่อกู้คืนเงินที่รัฐเคยนำไปอุ้มธนาคารในวิกฤตเศรษฐกิจ คือมีการพยายามดึงรายได้รัฐที่เคยอุดหนุนกลุ่มทุนกลับมาจากคนทำงานและคนจน

ในประเทศพัฒนาอายุขัยของประชาชนลดลงจาก 72.5 ในปี 2019 เหลือ 70.9 ในปี 2021 ซึ่งหมายความว่าการยืดอายุเกษียณออกไปถึง 67 แปลว่ากรรมาชีพโดยเฉลี่ยจะตายภายใน 4 ปีหลังเกษียณ

ยิ่งกว่านั้นมันมีความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนคนจนกับคนรวย เช่นในอังกฤษคนที่อาศัยอยู่ในย่านยากจนจะตายก่อนคนที่อาศัยในย่านร่ำรวยถึง 8 ปี

อย่างไรก็ตามพวกที่รับใช้ชนชั้นนายทุนจะอ้างว่าตอนนี้ระบบทุนนิยม “ไม่สามารถ” จ่ายบำเหน็จบำนาญในระดับเดิมได้ โดยมีการใช้คำแก้ตัวว่า (1) สัดส่วนคนชราในสังคมเพิ่มในขณะที่คนในวัยทำงานลดลง (2) อายุขัยหรืออายุคาดเฉลี่ยของพลเมืองยาวขึ้น คือโดยเฉลี่ยเราตายช้าลงนั้นเอง ดังนั้นเรา “ต้อง” ทำงานนานขึ้น และ(3) ถ้าไม่เปลี่ยนระบบบำเหน็จบำนาญ รัฐบาลจะรักษา “วินัยทางการคลัง” ยากขึ้น

ในขณะเดียวกันพวกคลั่งกลไกตลาดเสรีที่เชียร์การยืดอายุการทำงานหรือการตัดบำเหน็จบำนาญ ไม่เคยพูดถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมเลย ไม่เคยเสนอว่าเราควรจะเพิ่มความเสมอภาค มีแต่จะเชียร์การทำลายมาตรฐานชีวิตของคนจนคนทำงาน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม

คำแก้ตัวของชนชั้นปกครองฟังไม่ขึ้น

(1)  ในเรื่องสัดส่วนคนชราในสังคมที่เพิ่มขึ้นในขณะที่คนในวัยทำงายลดลง ถ้ามีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผ่านการลงทุน คนในวัยทำงานจะสามารถพยุงคนชราได้ ในยามปกติทุนนิยมจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องได้ และแค่การขยาย GDP (ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ)  เพียง 1% อย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอที่จะอุ้มคนชราได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่ทุนนิยมมักมีวิกฤตเสมอเพราะมีการลดลงของอัตรากำไร ดังนั้นบ่อยครั้งการลงทุนจะไม่เกิดขึ้น อันนี้เป็นข้อบกพร่องใหญ่ของทุนนิยมและกลไกตลาดเสรี ซึ่งแก้ได้ถ้าเรายกเลิกทุนนิยมและนำการวางแผนการผลิตโดยกรรมาชีพมาใช้แทนในระบบสังคมนิยม

นอกจากนี้ในทุกประเทศการชะลอของอัตราเกิดที่ทำให้สัดส่วนคนชราเพิ่มขึ้นเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุดสัดส่วนนั้นจะคงที่และไม่เปลี่ยนอีก

มาตรการชั่วคราวอันหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหานี้คือการเปิดพรมแดนต้อนรับคนงานจากที่อื่นเพื่อเข้ามา แต่ทุกรัฐบาลต้องการรณรงค์แนวคิดชาตินิยมเหยียดเชื้อชาติสีผิว เพื่อแบ่งแยกกรรมาชีพไม่ให้รวมตัวกัน ดังนั้นรัฐบาลต่างๆ ในระบบทุนนิยมจะมีปัญหาในการยกเลิกพรมแดนหรือต.ม.ที่ควบคุมคนเข้าเมือง

(2) ในเรื่องอายุขัยหรืออายุคาดเฉลี่ยของพลเมืองที่ยาวขึ้นนั้น (ยกเว้นในยุคนี้ในตะวันตก) สิ่งแรกที่เราต้องฟันธงคือมันเป็นสิ่งที่ดีที่พลเมืองเริ่มมีอายุยืนนานขึ้น แต่ชนชั้นนายทุนมองว่าเป็นเรื่องแย่ เขาต้องการให้เราทำงานตลอดชีวิตแล้วพอเกษียณก็ตายไปเลย คือใช้เราแล้วก็ทิ้งไปเลย ไม่มีการเคารพพลเมืองว่าเป็นมนุษย์แม้แต่นิดเดียว ส่วนนักมาร์คซิสต์สังคมนิยมจะมองว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับใช้และถูกขูดรีดอย่างเดียว เราต้องการให้มนุษย์สามารถใช้เวลาในชีวิตที่ยาวขึ้นเพื่อขยายคุณภาพชีวิตและเพื่อให้เราสามารถมีกิจกรรมที่สร้างความสุขให้กับเรา การขยายอายุเกษียณมันสวนทางกับสิ่งนี้

(3) ในเรื่องข้ออ้างว่าถ้าไม่เปลี่ยนระบบบำเหน็จบำนาญ รัฐบาลจะรักษา “วินัยทางการคลัง” ยากขึ้นนั้น การรักษา “วินัยทางการคลัง” เป็นศัพท์ที่ฝ่ายขวาใช้เสมอเวลาพูดถึงค่าใช้จ่ายของรัฐที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ พวกนั้นเคยไม่มีการพูดถึงปัญหาจากค่าใช้จ่ายในเรื่องงบประมาณทหาร หรืองบประมาณที่ใช้เลี้ยงคนชั้นสูงให้มีชีวิตหรูหรา

“วิกฤตของกองทุนบำเหน็จบำนาญ” ที่นักการเมืองและนักวิชาการเสรีนิยมพูดถึง ไม่ได้มาจากการที่มีคนชรามากเกินไปแต่อย่างใด แต่มาจากการที่รัฐบาลและบริษัทลดงบประมาณที่ควรใช้ในการสนับสนุนกองทุนดังกล่าว และไม่ยอมเก็บภาษีในอัตราสูง เพราะเป้าหมายรัฐบาลในระบบทุนนิยมคือการเพิ่มอัตรากำไรโดยทั่วไป

ประเด็นเรื่องคนชราเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการแบ่งมูลค่าในสังคมที่คนทำงานสร้างขึ้นมาแต่แรก  บำเหน็จบำนาญเป็นเงินเดือนที่รอจ่ายหลังเกษียณ ไม่ใช่เงินของรัฐหรือนายทุน แนวคิดเสรีนิยมต้องการจะรุกสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชนชั้นนายทุน และจะพูดเสมอว่าเราตัดงบประมาณทหารหรืองบเลี้ยงดูอภิสิทธิ์ชนไม่ได้ และการเพิ่มภาษีให้กับนายทุนและคนรวยก็เช่นกัน พวกนี้จะพูดว่าถ้าเพิ่มภาษีให้นายทุนเขาจะหมดแรงจูงใจในการลงทุน แล้วแรงจูงใจในการทำงานของเราหายไปไหน?  ถ้านายทุนไม่พร้อมจะทำประโยชน์ให้สังคม เราควรจะยึดทรัพย์เขาเพื่อคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไปเอาใจพวกหน้าเลือดที่ขูดรีดเรา

ในสหรัฐอเมริกากับยุโรประดับรายได้ของคนธรรมดา แย่ลงเรื่อย ๆ และคนงานส่วนใหญ่ต้องทำงานเพิ่มอีกหลายวันต่อปี แต่ในขณะเดียวกันสัดส่วนมูลค่าการผลิตที่ตกกับผู้บริหารและเจ้าของทุนมีการเพิ่มขึ้นมหาศาล

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่นำไปสู่การล้มละลายของธนาคาร ข้อแก้ตัวใหม่ที่รัฐบาลต่างๆ ใช้ คือ “ปัญหาหนี้สินของรัฐ” แต่เขาไม่ซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าหนี้ของภาครัฐมาจากการอุ้มธนาคารที่ล้มละลายจากการปั่นหุ้นในตลาดเสรี หรือมาจากการล้มละลายของธนาคารเมื่อมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางเพื่อหวังลดเงินเฟ้อผ่านการขู่กรรมาชีพว่าจะตกงานถ้าเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม ในความเป็นจริงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่ช่วยลดเงินเฟ้อในยุคปัจจุบันที่มาจากการผลิตที่ต้องหยุดไปในช่วงโควิด หรือจากผลของสงครามในยูเครน การขึ้นดอกเบี้ยเป็นนโยบาย “มั่ว” ของคนที่ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมและนึกได้แค่ว่าถ้าก่อให้เกิดการหดตัวของเศรษฐกิจเงินเฟ้อจะลดลง

ดังนั้นพวกนี้พร้อมจะให้คนธรรมดาแบกรับภาระวิกฤตที่นายธนาคารและนายทุนสร้างแต่แรก ในขณะเดียวกันพวกนายทุนและนักการเมืองก็ขยันดูแลตนเอง โดยรับประกันว่าพวกเขาจะได้บำเหน็จบำนาญหลายร้อยเท่าคนธรรมดาเมื่อตนเองเกษียณ

ในไทย

อายุเกษียณในไทยคือ 60ปี ซึ่งเหมือนกับมาเลเซีย และใกล้เคียงกับของ อินโดนีเซีย (58) บังกลาเทศ (59) และศรีลังกา (55) สิงคโปร์ (63) เวียดนาม (61)

อายุขัยของคนไทยตอนนี้อยู่ที่ 72.5 ปีสำหรับชาย และ78.9 ปีสำหรับหญิง แต่นอกจากจะมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจนเหมือนที่อื่นๆ ในโลกทุนนิยมแล้ว อายุสุดท้ายโดยเฉลี่ยของการยังมีสุขภาพที่ดีในไทยคือ  68 ปีสำหรับชาย และ 74 ปีสำหรับหญิง พูดง่ายๆ กรรมาชีพไทยที่เป็นชายจะมีสุขภาพที่ดีพอที่จะดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพแค่ 8 ปีหลังเกษียณ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่มีทรัพย์สินพอที่จะสามารถหยุดงานตอนอายุ 60 ได้อีกด้วย

ถ้าจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในไทย ก่อนอื่นต้องมีการสร้างรัฐสวัสดิการที่มีระบบสวัสดิการถ้วนหน้าครบวงจร รวมถึงบำเหน็จบำนาญสำหรับวัยชรา เพื่อให้คนเกษียณมีชีวิตอยู่ได้ด้วยศักดิ์ศรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนในครอบครัว หรือพึ่งตนเองท่ามกลางความยากจน ในอดีตคนชราจำเป็นต้องพึ่งพาลูกหลาน แต่ลูกหลานก็ไม่ค่อยมีรายได้เพียงพอที่จะดูแลตนเองและครอบครัวอยู่แล้ว

เมื่อพูดถึง “รัฐสวัสดิการ” เรามักจะได้ยินพรรคการเมืองที่อ้างว่าจะสร้าง แต่ในความเป็นจริงเขาหมายถึงแค่สวัสดิการแบบแยกส่วนและเพื่อคนที่ต้องพิสูจน์ความจน ไม่ใช่แบบถ้วนหน้า ครบวงจร “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ที่อาศัยการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าจากคนรวยและกลุ่มทุน

สิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขในสังคมไทยคือปัญหารายได้ของคนชราปัจจุบัน ดังนั้นการเสนอว่าพลเมืองต้องจ่ายประกันสังคมครบหลายๆ ปีก่อนที่จะได้รับสวัสดิการไม่ใช่ทางออกในระยะสั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพัฒนาคือระบบบำเหน็จบำนาญสำหรับนายทุนน้อยอย่างเช่นเกษตรกรในชนบท คือต้องมีระบบบำเหน็จบำนาญที่ใช้กองทุนของรัฐผ่านการเก็บภาษีจากคนรวย เพื่อให้พลเมืองทุกคน ทั้งในเมืองและในชนบทมีชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ

นอกจากนี้ต้องมีการปรับเพิ่มค่าแรงให้สูงขึ้น เพื่อให้พอเพียงสำหรับประชาชนทุกคน และเพื่อให้ทุกคนสามารถออมและจ่ายเงินสมทบทุนประกันสังคมได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเราต้องร่วมรณรงค์ให้สหภาพแรงงานมีเสรีภาพ อำนาจต่อรอง และความมั่นคงมากขึ้น และต้องมีการสร้างพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพเอง ไม่ใช่ไปหวังพึ่งพรรคการเมืองที่นำโดยนายทุนแต่มีผู้แทนจากแรงงานสองสามคนเป็นเครื่องประดับอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศยากจน ประเทศไทยมีกลุ่มทุนใหญ่ มีเศรษฐีและอภิสิทธิ์ชนที่มีทรัพย์สินในระดับเศรษฐีสากล มีกองทัพที่ใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อฆ่าประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย หรือเพื่อทำรัฐประหารทำลายประชาธิปไตย นี่คือสาเหตุที่สังคมเรามีความเหลื่อมล้ำสูง

พวกที่ปกครองเรามักเรียกร้องให้เรา “สามัคคี” และ “รักชาติ” และเรียกร้องให้เราหมอบคลานก้มหัวให้อภิสิทธิ์ชนหรือผู้ใหญ่ แต่เขาเองไม่เคยเคารพพลเมืองในสังคม ไม่เคยมองว่าพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์ใช้ชีวิตในระดับที่ดี โดยเฉพาะในวัยชรา

เงินเฟ้อกับค่าจ้างเกี่ยวข้องกันหรือไม่?

ทุกวันนี้นักการเมือง นายธนาคาร และนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก มักอ้างว่ากรรมาชีพไม่ควรเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มเพราะจะนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อ ข้ออ้างนี้ล้วนแต่เป็นเท็จ และมาจากความพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนบนสันหลังชนชั้นกรรมาชีพ จะขออธิบายเหตุผลเป็นข้อๆ

  1. เงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในยุคนี้ ไม่ว่าจะที่ไทย ที่ยุโรป หรือที่อื่นๆ เกิดขึ้นจากสองเหตุผลหลักๆคือ หนึ่งวิกฤตโควิด ซึ่งทำให้คนงานต้องขาดงานไปเป็นเดือนๆ มีผลในการสร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก และสร้างปัญหาในระบบขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและภายในประเทศอีกด้วย (Supply Chain problems) ปัญหานี้ทำให้สินค้าหลายชนิดขาดตลาด แต่การที่สินค้าขาดตลาดไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าเหล่านั้นเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติด้วย“มือที่มองไม่เห็น”แต่อย่างใด มือที่มองไม่เห็นไม่มีจริงและเป็นนิยายของชนชั้นปกครองเพื่อปกปิดสิ่งที่นายทุนทำ ในความจริงราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเพราะนายทุนฉวยโอกาสจากการที่สินค้าขาดตลาดเพื่อเพิ่มราคา โดยหวังจะเพิ่มกำไร ถ้าสินค้าขาดตลาด นายทุนคงไว้ราคาเดิมได้ ดังนั้นเงินเฟ้อยุคนี้มาจากพฤติกรรมของนายทุน

สอง สงครามระหว่างจักรวรรดินิยมในพื้นที่ยูเครน ซึ่งเกิดจากการรุกรานของรัสเซียเพื่อพยายามยับยั้งการขยายตัวของแนวร่วมทางทหารของตะวันตก (นาโต้) สงครามนี้นำไปสู่การทำสงครามทางเศรษฐกิจด้วย ตะวันตกพยายามทำลายเศรษฐกิจรัสเซียด้วยการคว่ำบาตรตัดรัสเซียออกจากการค้าและลงทุน ทำให้รัสเซียโต้ตอบด้วยการจำกัดการส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันไปสู่ยุโรป สิ่งนี้ทำให้ราคาเชื้อเพลิงเช่นก๊าซหรือน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในตลาดโลก ซึ่งไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติจากมือที่มองไม่เห็นเช่นกัน บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในภาคน้ำมันกับก๊าซ เพิ่มราคาและได้กำไรเพิ่มตามมามหาศาล การเพิ่มขึ้นของราคาเชื้อเพลิงซึ่งใช้ในทุกแง่ของชีวิตเราเป็นสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ยิ่งกว่านั้นสงครามระหว่างจักรวรรดินิยมในยูเครน มีผลกระทบต่อการผลิตอาหารและน้ำมันพืชซึ่งยูเครนและรัสเซียเป็นพื้นที่สำคัญในการส่งออกอาหาร ราคาอาหารจึงถูกดันให้พุ่งสูงขึ้นในตลาดโลก จนมีผลให้คนจนจำนวนมากในโลกเริ่มขาดแคลนอาหาร และเป็นแรงกระตุ้นให้มวลชนไม่พอใจในหลายประเทศ

  • จะเห็นว่าเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้เกิดจากการเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มแต่อย่างใด ตรงกันข้ามในช่วงสิบปีที่ผ่านมารายได้กรรมาชีพถูดกดตลอด แต่นายธนาคารและชนชั้นปกครองพูดเหมือนนกแก้วว่าเราไม่ควรเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม คือเราต้องยอมให้มูลค่าของค่าจ้างลดลงตามเงินเฟ้อ และธนาคารกลางในหลายประเทศก็ตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการ “แก้ปัญหาเงินเฟ้อ” ซึ่งทำให้ธนาคารกลางในประเทศอื่นต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม เพื่อปกป้องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา แต่ในความจริงการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทำให้การกู้ยืมเงินแพงขึ้น ซึ่งมีผลในระยะสั้นในการผลักดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น สาเหตุแท้ที่พวกธนาคารกลางเพิ่มอัตราดอกเบี้ยคือต้องการบีบบริษัทต่างๆ ซึ่งต้องกู้ยืมเงินเป็นธรรมดา ไม่ให้ยอมจ่ายค่าจ้างเพิ่มสำหรับลูกจ้าง และหวังว่าเศรษฐกิจจะหดจนเงินเฟ้อเริ่มลดลงเมื่อกำลังซื้อลดลง ซึ่งทั้งหมดนี้จะสร้างวิกฤตชีวิตให้กรรมาชีพ และจะมีการตกงาน ถือว่าเป็นการเปิดศึกทางชนชั้นให้กรรมาชีพกลัว ไม่กล้าสู้
  • ในเมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย สูงกว่า10% ในหลายประเทศ หรืออาจมากกว่านั้นอีก เราควรงอมืองอเท้าปล่อยให้มูลค่าค่าจ้างของเราลดลง โดยไม่ออกมาต่อสู้นัดหยุดงานและเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มให้ตรงกับอัตราเงินเฟ้อจริงหรือ? การเสียสละของเราจะให้ประโยชน์กับใคร? ให้ประโยชน์กับนายทุนแน่นอน เพราะกำไรของนายทุนมาจากมูลค่าการผลิตที่กรรมาชีพสร้างแต่ไม่ได้รับเป็นค่าจ้าง ซึ่งเราชาวมาร์คซิสต์เรียกว่า “มูลค่าส่วนเกิน” (แต่ต้องพิจารณาการลงทุนด้วย) ชนชั้นนายทุนพยายามกดค่าจ้างเราเพื่อพยุงกำไร และกรรมาชีพในสหภาพแรงงานทั่วโลกกำลังขยับออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องสภาพชีวิตด้วยการนัดหยุดงาน อย่างที่เราเห็นในอังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เกาหลีใต้และที่อื่น
  • เราต้องถามว่าค่าจ้างเป็นสัดส่วนเท่าไรของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการผลิตของนายทุน? เราต้องดูว่ามีการลงทุนในเครื่องจักรกับเทคโนโลจีแค่ไหน มีการลงทุนในการขนส่งแค่ไหน ฯลฯ โดยทั่วไป ค่าจ้างไม่ใช่ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของค่าใช้จ่ายในการผลิต ทั่วโลกมักจะประมาณ 10-30% ขึ้นอยู่กับภาคเศรษฐกิจ และขึ้นอยู่กับอัตราค่าจ้างในประเทศต่างๆ ที่แตกต่างกันอีกด้วย ในไทยนายทุนพยายามดึงการลงทุนเข้ามาโดยอวดว่าอัตราค่าจ้างต่ำกว่าที่อื่น และประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ในรอบ10-20ปีที่ผ่านมาสัดส่วนของมูลค่าที่ตกอยู่ในมือกรรมาชีพลดลงในขณะที่นายทุนขูดรีดกอบโกยกำไรและมูลค่าเพิ่มขึ้น ในประเทศตะวันตกก็เช่นกัน ขณะที่กรรมาชีพธรรมดาทำงานเพื่อพยุงสังคมในยามวิกฤตโควิด รายได้กรรมาชีพลดลงในขณะที่พวกเศรษฐีรวยขึ้นอย่างมหาศาล สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่ากรรมาชีพเป็นผู้สร้างมูลค่าและพยุงสังคมในยามวิกฤต แต่พวกนายทุนกอบโกยผลประโยชน์และกดค่าแรงกรรมาชีพ
  • การกดค่าแรงของกรรมาชีพ จะนำไปสู่การเพิ่มกำไรให้กลุ่มทุน แต่ในขณะเดียวกันจะนำไปสู่การลดกำลังซื้อของกรรมาชีพ สินค้าก็จะขายไม่ออกในที่สุด ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา

แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องสภาพชีวิตของเรา?

ในประการแรกเราต้องเข้าใจที่มาของเงินเฟ้อ และต้องเข้าใจการทำงานของระบบทุนนิยมที่มีการขูดรีดกำไรจากการทำงานของกรรมาชีพ (ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองมาร์คซิสต์ “ทฤษฎีมูลค่าแรงงาน”) เราจะได้มั่นใจในการปลุกระดมให้กรรมาชีพอื่นๆ สู้  แต่บางคนอาจพร้อมที่จะสู้อยู่แล้วเพราะโกรธสภาพชีวิต นี่คือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ แต่เราไม่ควรหลงคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยให้เราสู้โดยไม่เปิดศึกกับเรา

ศึกที่ชนชั้นนายทุนมักเปิดกับเรามีทั้งแง่ของลัทธิความคิดและการใช้กำลัง

ศึกทางความคิดจะรวมไปถึงการพยายามกล่อมเกลาเราให้เชื่อว่า “เงินเฟ้อมาจากการเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม” พวกเขาจะเข็น “ผู้เชี่ยวชาญ”เงินเดือนสูง ออกมาในสื่อกระแสหลักเพื่อสั่งสอนเรา แต่พวกนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตของทุนนิยมได้ และมักจะปิดหูปิดตาถึงสภาพจริงในโลก เพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นปกครอง เราต้องสร้าง “ปัญญาชนอินทรีย์” และสื่อของฝ่ายเราเองเพื่อโต้ตอบ“ผู้เชี่ยวชาญ”เหล่านั้น

ในอังกฤษ หลังจากที่ราชินีเสียชีวิตไป มีการรณรงค์ให้หยุดการนัดหยุดงานเพื่อ “สร้างความสามัคคีของชาติ” และเป็นที่น่าสียดายที่ผู้นำแรงงานระดับชาติยอมพักสู้ชั่วคราวในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยพักการขูดรีดแต่อย่างใด ในประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย จะมีการใช้ลัทธิชาตินิยมเพื่อชวนให้เราเสียสละเพื่อชาติเช่นกัน และมีการขู่ว่านายทุนจะย้ายการผลิตไปที่อื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนายทุนเสมอไป โดยเฉพาะในภาคการผลิตรถยนต์ ก่อสร้าง การคมนาคม และระบบการศึกษาและสาธารณสุข

ศึกด้วย”กำลัง”ที่ฝ่ายตรงข้ามจะเปิดกับเราคือการใช้กฎหมายและตำรวจในการปราบการนัดหยุดงาน หรือการสร้างอุปสรรคในการนัดหยุดงาน ซึ่งรัฐบาลอังกฤษกำลังพยายามทำ และรัฐบาลไทยทำมานานแล้ว

เราจะต่อสู้อย่างไร?

การนัดหยุดงานเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของสหภาพแรงงานในการต่อสู้กับนายทุนและรัฐบาล แต่การนัดหยุดงานในรูปแบบต่างๆ มีประสิทธิภาพแตกต่างกัน เช่นการนัดหยุดงานหนึ่งหรือสองวัน อาจเป็นการเตือนหรือขู่นายจ้าง แต่ถ้านายจ้างไม่แสดงความสนใจ อาจต้องมีการขยายการนัดหยุดงานไปโดยไม่จำกัดวัน อันนี้เป็นประเด็นในตะวันตก แต่อาจไม่เป็นประเด็นในไทย แต่การนัดหยุดงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือการ “นัดหยุดงานทั่วไป” ที่มีสมาชิกสหภาพรงงานจากหลายๆ สถานที่ทำงานนัดหยุดงานพร้อมกัน

การสร้างกระแสนัดหยุดงานทั่วไปเป็นสิ่งที่ทำได้ถ้ากรรมาชีพเผชิญหน้ากับปัญหาเหมือนกันทั้งประเทศ เช่นเรื่องวิกฤตค่าครองชีพและเงินเฟ้อ และการนัดหยุดงานทั่วไปเคยเกิดขึ้นในไทยช่วง ๑๔ ตุลา และเคยเกิดในประเทศอื่นๆ อีกด้วย แต่เราต้องเข้าใจว่าแค่การเรียกร้องให้มีการนัดหยุดงานทั่วไปโดยฝ่ายซ้ายในนามธรรม จะไม่ทำให้มันเกิดขึ้น คือมันต้องเป็นข้อเรียกร้องจากคนงานรากหญ้าจำนวนมาก ดังนั้นต้องมีการเตรียมตัวเป็นรูปธรรม

ปัญหาผู้นำแรงงานระดับชาติ

มันไม่ใช่ว่ามีแค่นายจ้างและรัฐที่จะพยายามห้ามและยับยั้งการนัดหยุดงานทั่วไปหรือแม้แต่การนัดหยุดงานธรรมดา ผู้นำแรงงานหมูอ้วนระดับชาติ ที่ห่างเหินจากคนทำงานธรรมดาด้วยรายได้ วิถีชีวิต และตำแหน่ง เป็นอุปสรรคสำคัญในการต่อสู้ของกรรมาชีพ แน่นอน มีผู้นำแรงงานระดับชาติบางคนที่พร้อมจะนำการต่อสู้อย่างจริงจัง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้นำแรงงานระดับชาติเป็นบุคคลที่มีฐานะทางชนชั้นระหว่างนายจ้างกับคนทำงานรากหญ้า และฐานะทางชนชั้นนี้มีอิทธิพลกับแนวความคิดของเขา ผู้นำเหล่านี้มีความขัดแย้งในตัว เพราะเขาจะมองว่าหน้าที่ของเขาคือการนำข้อเรียกร้องของสมาชิกสหภาพแรงงานไปเสนอต่อนายจ้างเพื่อ “แก้ไขปัญหาให้แรงงาน” ไม่ใช่เพื่อเอาชนะนายจ้างหรือรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกันถ้าเขาไม่นำการต่อสู้เลย สมาชิกจะลาออกจากสหภาพ

ถ้าจะแก้ไขปัญหานี้ สมาชิกรากหญ้าของสหภาพแรงงานที่ต้องการจะสู้ ต้องพยายามสร้างเครือข่ายเพื่อนำการเคลื่อนไหว และนำนัดหยุดงาน เพื่อสร้างความสมานฉันท์ข้ามรั้วสถานที่ทำงาน และเพื่อกดดันผู้นำแรงงานระดับชาติหรือพวกผู้นำระดับสภาคนงาน การสร้างพลังรากหญ้าของคนทำงานภายในสหภาพแรงงานเพื่อเชื่อมโยงกับนักเคลื่อนไหวรากหญ้าในสถานที่ทำงานอื่นๆ เป็นสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยพยายามสร้างในรูปแบบ “กลุ่มย่าน” ในอดีต และมีเอ็นจีโอสายแรงงานบางองค์กรที่สืบทอดเรื่องนี้ เราเลยเห็นเครือข่ายสหภาพแรงงานกลุ่มย่านที่ยังมีอยู่ในบางแห่ง

ที่สำคัญคือนักเคลื่อนไหวสังคมนิยมคงต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายสมานฉันท์จากล่างสู่บน เพื่อสนับสนุนการหนุนช่วยซึ่งกันข้ามรั้วสถานที่ทำงานและข้ามสหภาพแรงงาน และเพื่อให้คนทำงานรากหญ้ามีบทบาทนำโดยไม่ปล่อยให้ “ผู้นำแรงงานแบบข้าราชการ” มีอิทธิพลแต่ฝ่ายเดียว

ปัญหาการพึ่งรัฐสภา

ในเรื่องการเมืองของกรรมาชีพ มักจะมีความขัดแย้งในแนวทางระหว่างคนที่เน้นการเคลื่อนไหวประท้วงหรือนัดหยุดงาน กับคนที่ฝากความหวังไว้กับรัฐสภา ในประเทศตะวันตกพรรคแรงงานหรือพรรคสังคมนิยมปฏิรูปอาจถูกก่อตั้งขึ้นโดยขบวนการแรงงาน แต่นักการเมืองของพรรคเหล่านี้จะมองว่าเขามีบทบาทในการแก้ปัญหาให้กรรมาชีพผ่านกระบวนการของรัฐสภา และมองว่าการนัดหยุดงานหรือการประท้วงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในสังคม ยิ่งกว่านั้นถ้านักการเมืองพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล เขาอาจพร้อมที่จะปราบการนัดหยุดงานอีกด้วย เพราะเขามองว่าเขามีหน้าที่บริหารระบบทุนนิยม

ในไทยเรายังไม่มีพรรคการเมืองของสหภาพแรงงาน แต่พรรคการเมืองอย่างเช่นพรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่) ก็พยายามดึงนักสหภาพแรงานเข้ามาในพรรค ซึ่งจะทำให้เขาให้ความสำคัญกับรัฐสภามากกว่าการเคลื่อนไหว ในเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทยก็มีตัวอย่างของการลดบทบาทการเคลื่อนไหวบนท้องถนน เพื่อไปตั้งความหวังกับรัฐสภา และความหวังว่า “ท่านจะทำให้” เป็นกระแสทั้งๆ ที่รัฐสภาไทยถูกคุมโดยอำนาจเผด็จการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ารัฐสภาไทยไม่มีอำนาจเผด็จการคุมอยู่ในอนาคต ปัญหาการเลือกแนวทางระหว่างรัฐสภากับการเคลื่อนไหวนัดหยุดงานก็ยังคงเป็นประเด็น

ทำไมต้องมีพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ

ระบบทุนนิยมสร้างปัญหาวิกฤตมากมายสำหรับประชาชนโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามจักรวรรดินิยม วิกฤตโลกร้อน วิกฤตโควิดที่มาจากระบบเกษตรอุตสาหกรรม หรือวิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากการลดลงของอัตรากำไร และในทุกวิกฤต สันดานของนายทุนกับนักการเมืองฝ่ายทุนคือต้องโยนภารกิจในการแก้ปัญหาให้กับคนธรรมดาเสมอ

ถ้าเราจะปลุกระดมชักชวนให้คนเข้าใจเศรษฐศาสตร์การเมืองของระบบทุนนิยม เช่นในเรื่องเงินเฟ้อกับค่าจ้าง หรือเรื่องการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพ หรือเรื่องปัญหาผู้นำแรงงาน ฯลฯ เราต้องมีพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมมาร์คซิสต์ที่มีสื่อและสมาชิกที่จะลงไปต่อสู้ร่วมกับคนธรรมดา การที่เราจะเริ่มสร้างเครือข่ายสมาชิกสหภาพแรงงานในระดับรากหญ้าก็อาศัยการทำงานของพรรคเช่นกัน แค่เป็นนักเคลื่อนไหวปัจเจกหรือนักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงานไม่พอ เราต้องอัดฉีดการเมืองแนวมาร์คซิสต์ที่เน้นการเคลื่อนไหวนอกรัฐสภาเข้าไปในการต่อสู้ต่างๆให้มากที่สุด ถ้าเราไม่มีพรรค เราจะทำไม่ได้ และฝ่ายกรรมาชีพจะอ่อนแอ

กรรมาชีพในอาชีพใหม่ๆของศตวรรษนี้รวมตัวกันสู้ได้หรือไม่?

[แนะนำหนังสือ “Nothing to lose but our chains.” โดย เจน ฮาร์ดี้]

ในยุคนี้เรามักจะได้ยินคำพูดของคนที่มองว่า “ชนชั้นกรรมาชีพกำลังหายไป” หรือ “พลังการต่อสู้ของกรรมาชีพอ่อนตัวลง” หรือ “สภาพการทำงานที่มั่นคงกำลังสูญหายไป” คำพูดเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลจีอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลจีดิจิตอล หรือท่ามกลางการขยายตัวของวิธีการทำงานแบบใหม่อย่างเช่น “แรงงานแพลตฟอร์ม”

ในหนังสือ “ไม่มีอะไรจะเสียนอกจากโซ่ตรวนของเรา” เจน ฮาร์ดี้ ได้รายงานผลการวิจัยเรื่องสภาพการทำงานในอังกฤษในยุคปัจจุบัน พร้อมกับฉายภาพวิธีการต่อสู้ของแรงงานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาหลายประเด็นปัญหา และความเชื้อเท็จเรื่องการทำงานในศตวรรษที่21

ประเด็นหนึ่งที่เจน ฮาร์ดี้ พิจารณาคือเรื่องสภาพการทำงานที่ไร้ความมั่นคง และเต็มไปด้วยความยืดหยุ่น ซึ่งมีการอ้างกันว่าเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ โดยเฉพาะภายใต้ “เสรีนิยมใหม่” แต่เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์การทำงานแล้ว จะพบว่าการทำงานที่ไร้ความมั่นคงมีมาตลอด ตั้งแต่กำเนิดของทุนนิยม และสัดส่วนการทำงานที่มั่นคงเมื่อเทียบกับการทำงานที่ไร้ความมั่นคง มักขึ้นลง โดยถูกกำหนดจากระดับการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน ความต้องการของนายจ้างที่จะลงทุนในการจ้างงานที่มีประสิทธิภาพ และกระแสทางการเมือง ข้อสรุปคือไม่มีข้อมูลที่รองรับความเชื่อว่าทุนนิยมสมัยใหม่สร้างงานที่ไร้ความมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีข้อมูลใดๆ ที่สนับสนุนความเชื่อว่าชนชั้นกรรมาชีพกำลังลดลงแต่อย่างใด

ในอังกฤษจำนวนกรรมาชีพเพิ่มขึ้นจาก 26 ล้านในปี 1997 เป็น 33 ล้านในปี 2020 ทั่วโลกก็เป็นในลักษณะแบบนี้หมดด้วย

นอกจากนี้การทำงานแบบไร้ความมั่นคงอาจเกิดขึ้น ทั้งๆที่มีสัญญาการจ้างงานที่ชัดเจน คือความไม่มั่นคงอาจมาจากระดับค่าแรงที่ต่ำเกินไปที่จะเลี้ยงชีพเป็นต้น ซึ่งประเด็นนี้มีมานาน

คนงานสร้างเกม

บ่อยครั้งความเชื่อที่ไม่ตรงกับความจริง มักเกิดจากความเข้าใจผิดว่า “มูลค่าส่วนเกิน” เกิดจากการทำงานของกรรมาชีพในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งนักมาร์คซิสต์ไม่เคยเสนอว่าเป็นอย่างนั้น ในความเป็นจริงมูลค่าส่วนเกินเกิดขึ้นในทุกภาคของเศรษฐกิจ และเราจะเห็นชัดเมื่อเราพิจารณาภาพรวมของระบบทุนนิยม คือเกิดจากการผลิต การขนส่ง การค้า ระบบธนาคาร การพัฒนาการศึกษา และจากระบบสาธารณสุขด้วย ไม่ได้เกิดณจุดเดียว และยิ่งกว่านั้นมาร์คซิสต์ไม่เคยแยกการทำงานด้วยกล้ามเนื้อออกจากการทำงานด้วยสมอง การทำงานทั้งสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันและคู่ขนานกันเสมอ และข้อเสนอของบางคน รวมถึงพวกอนาธิปไตยในอิตาลี่ ว่าระบบเศรษฐกิจที่ “ไร้น้ำหนัก” (คืออาศัยการทำงานแบบความคิดเป็นหลัก) กำลังเข้ามาแทนที่ระบบการผลิตสินค้านั้น เป็นความเข้าใจผิด เพราะแม้แต่คนงานไอที ที่ผลิตโปรแกรมหรือแอพหรือเกม ก็ผลิตสินค้าที่จับต้องได้

ในไทยนักวิชาการสายแรงงานบางคนเชื้อผิดๆ ว่า “การขูดรีด” เกิดขึ้นแค่ในกรณีที่มีการจ้างงานแบบไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ในความจริง “การขูดรีด” เกิดจากการขโมยมูลค่าส่วนเกินจากการทำงานของกรรมาชีพโดยนายจ้างหรือรัฐ มันเกิดขึ้นในทุกที่และเป็นกำเนิดของ “กำไร” ซึ่งมาร์คซ์อธิบายไว้ใน “ทฤษฏีมูลค่าแรงงาน”

แน่นอนระบบทุนนิยมเป็นระบบที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำงานในภาคหนึ่งอาจหายไปหรือลดลง เช่นในภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่การทำงานในภาคใหม่หรือในรูปแบบใหม่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในอังกฤษยุคสมัยนี้คนงานในภาคการศึกษาและภาคสวัสดิการของรัฐ เพิ่มขึ้นมาก แต่อุตสาหกรรมก็ยังมีอยู่ ระบบสาธารณสุขของรัฐ (NHS) มีลูกจ้างทั้งหมด 1.5 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่มีลูกจ้างมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก มันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย

ส่วนเรื่องหุ่นยนต์ในระบบการผลิตนั้น ไม่มีข้อมูลว่าทำให้การจ้างงานในภาพรวมลดลง มันอาจลดลงในกิจการหนึ่ง แต่ไปเพิ่มที่อื่น เช่นการเพิ่มขึ้นของแรงงานในคลังสินค้ายักษ์ของบริษัทอเมซอนเป็นต้น นอกจากนี้ในการผลิตรถยนต์ บางบริษัทเริ่มลดจำนวนหุ่นยนต์ลง เพราะไม่ยืดหยุ่นและฉลาดเท่าแรงงานมนุษย์

การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของการทำงานในระบบทุนนิยมไม่ได้ทำลายโอกาสที่จะจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อสู้กับนายจ้างแต่อย่างใด มันแค่เปลี่ยนรูปแบบของสหภาพแรงงาน หรือเปลี่ยนกองหน้าของขบวนการแรงงานเท่านั้น

และสิ่งที่ เจน ฮาร์ดี้ เน้นในหนังสือเล่มนี้คือ “ไม่มีที่ไหนที่จัดตั้งสหภาพแรงงานไม่ได้” มันขึ้นอยู่กับว่านักปฏิบัติการสายแรงงานพร้อมจะลงมือจัดตั้งหรือไม่

สิ่งนี้ถูกพิสูจน์จากประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานสากล และจากกรณีศึกษาของ เจน ฮาร์ดี้ เอง คือเขาเข้าไปสำรวจการจัดตั้งสหภาพแรงงานและการต่อสู้กับนายจ้างในกิจการต่างๆ เช่น กลุ่มพนักงานทำความสะอาดที่ทำงานให้กับบริษัทเอาท์ซอร์สหรือรับเหมาช่วง กลุ่มคนงานหญิงรายได้ต่ำ แรงงานแพลตฟอร์ม แรงงานที่เขียนโปรแกรมสำหรับเกมคอมพิวเตอร์ ครูบาอาจารย์ หรือกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในคลังสินค้า และ ฮาร์ดี้ พบว่าในทุกสถานที่ทำงานเหล่านี้ มีความพยายามที่จะจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง บางแห่งอาจประสบความสำเร็จมาก บางแห่งอาจน้อย แต่ไม่มีที่ไหนที่จัดตั้งไม่ได้ และไม่มีที่ไหนที่คนไม่พยายามออกมาต่อสู้

แม้แต่ในไทยเรายังเห็นการจัดตั้งสหภาพแรงงานในคนงานไรเดอร์ ที่ถือว่าเป็นคนงานแพลตฟอร์ม เช่นกรณี “สหภาพไรเดอร์” ที่พึ่งต่อรองเรื่องสภาพการจ้างงานกับบริษัท ลาลามูฟ อีซี่แวน คนงานประเภทนี้ทั่วโลกกำลังเคลื่อนไหวเพื่อพัฒนามาตรฐานการจ้างงาน โดยที่บริษัทต่างๆ อ้างว่าคนงานแพลตฟอร์มเป็น “ผู้ประกอบการเอง” หรือเป็น “ผู้มีหุ้นส่วนในบริษัท” ทั้งๆ ที่เป็นลูกจ้างชัดๆ ข้ออ้างของบริษัทกระทำไปเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายสวัสดิการใดๆ และเพื่อผลักภาระจากการทำงานที่ไม่มีความมั่นคงไปสู่ลูกจ้าง

ภาพจากสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

ในอังกฤษสหภาพแรงงานของคนทำงานแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ทำการประท้วง หยุดงาน และใช้กระบวนการศาลเพื่อบังคับให้บริษัทต้องยอมรับว่าเป็นลูกจ้าง ที่สหรัฐและอังกฤษสหภาพแรงงานทำอาหารในร้านฟาสท ฟูดอย่างเช่นแมคโดนัลด์ หรือในบาร์ ก็กำลังจัดตั้งสหภาพแรงงานเช่นกัน

ในกรณีที่รัฐกับนายจ้างจับมือกันและใช้กฎหมายเพื่อทำให้การนัดหยุดงานยากขึ้น การต่อสู้ก็ยังทำได้ในหลายระดับตั้งแต่การนัดหยุดงานถูกกฎหมาย การนัดหยุดงานผิดกฎหมาย การขู่ว่าจะหยุดงาน การลงคะแนนเสียงเรื่องว่าจะหยุดงานหรือไม่ หรือการประชุมกลางแจ้งเพื่อกดดันนายจ้างเป็นต้น

สำหรับวิธีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เจน ฮาร์ดี้ กล่าวถึง “รูปแบบการจัดตั้ง” (Organising Model) ที่นำเข้ามาในอังกฤษจากขบวนการแรงงานสหรัฐ เพื่อเปลี่ยนทิศทางสหภาพแรงงานจากแค่การบริการสมาชิก มาเป็นการจัดตั้งเพื่อเพิ่มพลังต่อรอง รูปแบบนี้อาศัยหลักการ 3 ประการคือ 1.แสวงหาผู้นำระดับรากหญ้าธรรมชาติ 2.เชื่อมโยงคนทำงานกับชุมชน และ 3.ทดสอบว่าผู้นำรากหญ้าสามารถทำให้คนส่วนใหญ่สนับสนุนการต่อสู้ได้หรือไม่ ผ่านการล่ารายชื่อเป็นต้น ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นเรื่องสามัญสำนึก แต่ถ้าใช้ในลักษณะที่ตามสูตรแบบกลไกอาจมีปัญหา เพราะผู้นำรากหญ้าบ่อยครั้งเกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ เราไม่สามรถกำหนดล่วงหน้าได้ และเราอาจไม่จำเป็นต้องรอให้คนส่วนใหญ่ในสถานที่ทำงานถึงขั้นพร้อมจะสู้ เพราะการออกมาสู้ของของกลุ่มหนึ่งแผนกหนึ่ง อาจกระตุ้นให้คนอื่นออกมาสู้ได้

เจน ฮาร์ดี้ สรุปว่าการจัดตั้งสหภาพแรงงานและการนัดหยุดงานหรือการประท้วงที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เกิดขึ้นผ่านแกนนำที่เชื่อมโยงกับคนงานรากหญ้าอย่างใกล้ชิดและมีโครงสร้างสหภาพที่อำนวยให้คนงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา และบ่อยครั้งการมีเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาในสหภาพ ช่วยทำให้การต่อสู้เข้มแข็งมากขึ้น

ฮาร์ดี้ เสนอต่อว่าในสถานการณ์สังคมที่การต่อสู้ทางการเมืองเกิดขึ้น เช่นการต่อสู้กับการเหยียดสีผิวของขบวนการ Black Lives Matter และการประท้วงเรื่องโลกร้อน หรือถ้าจะยกตัวอย่างจากไทยก็คือการต่อสู้กับเผด็จการ บทบาทของนักสังคมนิยมที่เป็นสมาชิกพรรค และเป็นนักเคลื่อนไหวในสถานที่ทำงาน สามารถเชื่อมโยงโลกภายนอกรั้วสถานประกอบการ กับการต่อสู้ภายในได้ และสามารถนำกระแสอันมีพลังของการต่อสู้ทางการเมือง เข้ามาสร้างเป็นพลังการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานได้อีกด้วย พูดง่ายๆ การนำการเมืองภาพกว้างเข้ามาในสหภาพแรงงานและสถานที่ทำงาน ช่วยเสริมพลังการต่อสู้ของกรรมาชีพได้ ซึ่งข้อสรุปอันนี้ของ ฮาร์ดี้ ตรงกับสิ่งที่ โรซา ลัดคแซมเบอร์ค เคยเสนอในหนังสือ “การนัดหยุดงานทั่วไป”

ตัวอย่างของการจัดตั้งกรรมาชีพในภาคการทำงานใหม่ๆ หรือในสถานที่ทำงานที่ไม่เคยมีสหภาพแรงงานมาก่อน ไม่ได้อาศัยการพยายามสร้าง “สหภาพแรงงานแดง” หรือ “สหภาพแรงงานปฏิวัติ” อย่างที่พวกลัทธิสหภาพอนาธิปไตยเสนอแต่อย่างใด เพราะการสร้างสหภาพแรงงานแบบนั้นจะไม่สามารถจัดตั้งคนส่วนใหญ่ได้เลย เพราะคนทำงานในสถานที่ต่างๆ มักจะมีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่การจัดตั้งสหภาพแรงงานและการนำการต่อสู้ในภาคการทำงานใหม่ๆ ถ้าจะมีพลังจริงๆ จะต้องอาศัยนักปฏิวัติสังคมนิยมที่จัดตั้งในพรรค และพร้อมจะปลุกระดมเพื่อนร่วมงานต่างหาก

[ Jane Hardy (2021) “Nothing to lose but our chains.” Pluto Press]

ใจ อึ๊งภากรณ์

ประชุม COP 26 ล้มเหลวในการแก้ปัญหาโลกร้อน

ชื่อของการประชุมสหประชาชาติ COP26 บ่งบอกถึงความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของการประชุมดังกล่าว เพราะประชุมกันมา 26 ครั้งแต่ไม่แก้ปัญหาโลกร้อนเลย ซึ่งเราเห็นชัดในรูปแบบไฟไหม้ป่า น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุร้ายแรง และวิกฤตอากาศเสียจากฝุ่นละออง ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีสองปีที่ผ่านมา

องค์กร IPCC ซึ่งเป็นคณะกรรมการระหว่างประเทศระดับโลก ได้ประกาศว่าปีนี้วิกฤตโลกร้อนถึงขั้นสูงสุด “ไฟแดง” เพราะในปี 2020 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2)ในบรรยากาศโลกสูงถึง 417 ppm (ppm CO2 คือหน่วย CO2 ต่อหนึ่งล้านหน่วยของบรรยากาศ) ซึ่งในประวัติศาสตร์โลกครั้งสุดท้ายที่สูงถึงขนาดนี้คือก็เมื่อ 3 ล้านปีมาก่อน

ปัญหาโลกร้อนเกิดจากการสะสมก๊าซในบรรยากาศโลกประเภทที่ปิดบังไม่ให้แสงอาทิตย์ถูกสะท้อนกลับออกจากโลกได้ (ก๊าซเรือนกระจก) ความร้อนจึงสะสมมากขึ้น ก๊าซหลักที่เป็นปัญหาคือคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2) แต่มีก๊าซอื่นๆ ด้วยที่สร้างปัญหาเช่นมีเทน ก๊าซ CO2 มาจากการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอน เช่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าก่อนที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในโลก ปริมาณ CO2 ในบรรยากาศมีประมาณ 280 ppm

การที่โลกร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายและระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น จนท่วมเกาะและพื้นที่ที่อยู่ต่ำ ทำให้ระบบภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าใจหาย ซึ่งจะมีผลกระทบกับระบบเกษตรและวิถีชีวิตของคนที่ยากจนที่สุดในโลก รวมถึงไทยด้วย คาดว่าถ้าไม่มีการแก้ปัญหาจะมีผู้ลี้ภัยภูมิอากาศหลายล้านคน

ปัญหาโลกร้อนเชื่อมโยงกับปัญหาวิกฤตฝุ่นละอองในเมืองใหญ่ๆ เพราะมาจากการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอนในระบบขนส่ง และไฟไหม้ป่าที่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

บางคนมักพูดว่า “เราทุกคน” ทำให้โลกร้อน ยังกับว่า “เรา” มีอำนาจในระบบทุนนิยมที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน การพูดแบบนี้เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น โยนให้พลเมืองยากจนรับผิดชอบแทนนายทุน เขาเสนอว่า “เรา” จึงต้องลดการใช้พลังงานในลักษณะส่วนตัว ในขณะที่นายทุนกอบโกยกำไรต่อไปได้ มันเป็นแนวคิดล้าหลังที่ใช้แก้ปัญหาโลกร้อนไม่ได้ เพราะไม่แตะระบบอุตสาหกรรมใหญ่ และโครงสร้างระบบคมนาคมเลย

ทั้งๆ ที่มีการประชุม COP มาเรื่อยๆ และทั้งๆ ที่รัฐบาลต่างๆ สัญญาแบบลมๆ แล้งๆ ว่าจะลดการผลิตก๊าซ CO2 ทุกปี แต่ทุกปีการผลิตก๊าซนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกพวกรัฐบาลและกลุ่มทุนพยายามปฏิเสธปัญหาโลกร้อนทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ต่อมาก็มีการแย่งกันโทษประเทศอื่นๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของตน และล่าสุดก็มีการโกหกกันว่าจะใช้กลไกตลาดเสรีกับเทคโนโลจีใหม่ในการแก้ปัญหา ซึ่งทำไม่ได้

พวกกลุ่มทุนและรัฐบาลในโลกทุนนิยมโกหกว่าสามารถแก้ปัญหาด้วยการซื้อขาย “สิทธิ์” ที่จะผลิต CO2 หรือ “แลก” การปลูกต้นไม้กับ “สิทธิ์” ที่จะผลิต CO2  บางกลุ่มก็โกหกว่าจะใช้เทคโนโลจีเพื่อดูด CO2  ออกจากบรรยากาศ ซึ่งเทคโนโลจีแบบนั้นที่จะมีผลจริงในระดับโลกยังไม่มี นอกจากนี้มีการพูดว่าจะประกาศเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” หรือเป้าหมาย “ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นสูญ” ซึ่งเป็นการโกหกเพื่อให้สามารถผลิต CO2 ต่อไป โดยอ้างว่าไปคานกับมาตรการอื่นที่ไม่มีประสิทธิภาพจริง การโกหกทุกคำ พูดไปเพื่อชะลอการลดใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนอันเป็นที่มาของกำไรมหาศาลของกลุ่มทุน

นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันนานแล้วว่าถ้าเราจะหลีกเลี่ยงวิกฤตภูมิอากาศร้ายแรง เราจะต้องจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ไม่ให้เกิน 1.5 OC แต่ในปัจจุบันอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.1 OC และถ้าเราคำนวณผลของคำมั่นสัญญาของผู้นำโลกเรื่องเป้าหมายในการผลิตก๊าซเรือนกระจกในอนาคต อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 2.4 OC

ในเรื่องการเผาถ่านหิน การประชุมCOPแค่สรุปว่าจะลดการใช้ในอนาคต ไม่ใช่ว่าจะเลิกเผาถ่านหินแต่อย่างใด มีแค่สิบประเทศเท่านั้นที่จะเลิกเผาถ่านหิน และหลายประเทศกำลังขยายเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน สหรัฐอเมริกาจะเพิ่มการใช้ถ่านหินจากปีที่แล้วถึง 22% ประเทศจีนก็จะเพิ่มการใช้ถ่านหินเช่นกัน นอกจากนี้การประชุมCOPไม่เอ่ยถึงปัญหาการใช้น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติเลย

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ผู้นำต่างๆ สัญญา ไม่เคยแปรไปเป็นความจริงในรูปธรรมเลย และทุกวันนี้ทั่วโลก บริษัทเชื้อเพลิงคาร์บอนได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลต่างๆ ถึง $11ล้านต่อนาที

ผลของการประชุม COP ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะคณะตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดในการประชุมครั้งนี้คือคณะของตัวแทนบริษัทน้ำมัน ก๊าซ กับถ่านหิน ซึ่งมีผู้แทนทั้งหมด 500 คน ในขณะที่ตัวแทนของคนจนในโลกที่สาม หรือตัวแทนของประชาชนที่จะเดือดร้อนที่สุด ไม่สามารถเข้าประชุมได้ สรุปแล้วมันเป็นการประชุมของนายทุนและรัฐบาลพรรคนายทุนเท่านั้น

ในรอบหลายปีที่ผ่านมามีการประท้วงใหญ่ในประเทศต่างๆ ในเรื่องปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว คนจำนวนมากในปัจจุบันเริ่มหูตาสว่างมากขึ้น และเข้าใจว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับความยุติธรรมทางสังคมและผลประโยชน์ชนชั้น แต่ในไทยกระแสต้านโลกร้อนยังไม่เกิดขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวที่ประท้วงเผด็จการ หรือในขบวนการสหภาพแรงงาน

เราไม่สามารถแยกการเคลื่อนไหวเรื่องโลกร้อนออกจากการต่อสู้ทางชนชั้นได้ และยิ่งกว่านั้น ชนชั้นกรรมาชีพในประเทศต่างๆ เป็นชนชั้นเดียวที่มีพลังทางเศรษฐกิจพอที่จะสามารถกดดันให้มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังผ่านการนัดหยุดงานและยึดสถานที่ทำงาน แต่แค่การกดดันให้แก้ปัญหาภายในโครงสร้างทุนนิยมมันจะไม่พอ ต้องมีการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อล้มทุนนิยมและเปลี่ยนระบบ

แต่ท่ามกลางความล้มเหลวของการประชุมCOP พวกนักการเมืองกระแสหลักอย่างเช่นอดีตประธานาธิบดีโอบามา หรือพวกเอ็นจีโอ มักจะเสนอว่าเราต้องรณรงค์แก้ปัญหาโลกร้อนภายในระบบทุนนิยมปัจจุบัน

เราไม่สามารถเชื่อมันได้ว่าระบบทุนนิยมปัจจุบัน จะหาทางออกแท้จริงเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตร้ายแรงที่เผชิญหน้าเราทุกคนในโลก เรานิ่งนอนใจไม่ได้ แค่ดูวิกฤตโควิดที่นำไปสู่การล้มตายของประชาชนโลกประมาณ 5-15 ล้านคน หรือดูสงครามร้ายแรงที่เกิดจากระบบทุนนิยมซ้ำแล้วซ้ำอีกในร้อยปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นภาพ พวกนายทุนและนักการเมืองนายทุนไม่สนใจที่จะปกป้องอะไรนอกจากกำไรและผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าพลเมืองโลกเป็นล้านๆ จะล้มตายหรือเดือดร้อนแค่ไหน

ในไทยการที่ทหารครองอำนาจรัฐ และคุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หมายความว่ารัฐบาลจะไม่มีทางเสนอนโยบายก้าวหน้าเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนได้เลย คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็เพิ่งอนุมัติการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มอีก 2 แห่งที่แม่เมาะ

สำนักข่าวBloombergรายงานว่ารัฐบาลไทยสัญญาว่าจะนำประเทศสู่การ “ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นสูญ” ภายในปี 2050 หรือ 2065 แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตพลังงานสูงถึง 67% และเผาเชื้อเพลิงคาร์บอนเพื่อผลิตพลังงานอีก23% ในขณะที่แสงแดด ลม และพลังน้ำผลิตแค่ 10% ของพลังงานทั้งหมด

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำอันใหม่ที่เขื่อนสิรินธรที่พึ่งเริ่มผลิตไฟฟ้า และอีก 16 โครงการคล้ายๆ กัน จะสามารถผลิตไฟฟ้าแค่ 2.7 gigawatts ดังนั้นต้องมีการขยายโครงการแบบนี้ทั่วประเทศในขณะที่เลิกเผาเชื้อเพลิงคาร์บอนและปิดโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่ใช้ก๊าซ ถ่านหิน หรือฟืน Biomass

เราสามารถลดการผลิต CO2 และก๊าซเรือนกระจกได้อย่างจริงจัง ด้วยมาตรการรูปธรรม คือ

  1. หยุดใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน คือ ก๊าซ ฟืน กับ ถ่านหิน ในการผลิตไฟฟ้าและหันมาใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์กับลมแทน และเลิกใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนในครัวเรือน
  2. พัฒนาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถไฟกับรถเมล์ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงแดดกับลม ยกเลิกการใช้รถยนต์ส่วนตัว และลดการใช้เครื่องบิน
  3. ยกเลิกระบบเกษตรแบบอุตสาหกรรมที่ผลิตก๊าซเรือนกระจก
  4. สร้างงานจำนวนมากมาทดแทนงานเก่าในโรงงานไฟฟ้าและโรงงานประกอบรถยนต์ งานใหม่นี้ต้องช่วยลดการผลิตก๊าซเรือนกระจก เช่นการสร้างและคุมโรงไฟฟ้าแบบใหม่ การลดความร้อนของตึกต่างๆ และการสร้างรถไฟไฟฟ้าความเร็วสูงกับรถเมล์ไฟฟ้า แต่เราไว้ใจบริษัทเอกชนไม่ได้ ต้องเป็นกิจกรรมของภาครัฐภายใต้การควบคุมของประชาชน

ใจ อึ๊งภากรณ์

เผด็จการหรือประชาธิปไตย เราพึ่งศาลไม่ได้

ไม่ว่าประเทศเราจะปกครองด้วยประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ตราบใดที่เราอยู่ในระบบชนชั้นของทุนนิยม เราพึ่งศาลไม่ได้

ในระบบเผด็จการของไทยปัจจุบัน ศาลจะทำตามแนวคิดของเผด็จการ เพื่อปกป้องเผด็จการเสมอ ในเรื่องนี้คนจำนวนมากเข้าใจมานานแล้ว แต่ปัญหาทั้งหมดของ “ความไม่เป็นกลาง” ของศาลไม่ได้มาจากที่มาของศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลอื่นเท่านั้น แน่นอนในระบบเผด็จการมันชัดเจนมากว่าที่มาของศาลคือการแต่งตั้งจากพรรคพวกของเผด็จการ มันชัดเจนมาก

แต่ในระบบประชาธิปไตย ศาลซึ่งเป็นกลไกส่วนหนึ่งของรัฐทุนนิยม ศาลไม่ได้เป็นกลางอย่างที่แนวคิดเสรีนิยมชวนให้เราเชื่อ ลองไปคุยกับคนงานในสหภาพแรงงานเรื่องศาลแรงงานก็จะเห็นภาพ ศาลมักจะเข้าข้างนายจ้างเป็นส่วนใหญ่ และที่มาของศาลในระบบประชาธิปไตยก็ยังเป็นปัญหาอีก เพราะศาลถูกแต่งตั้งมาจากคนที่เรียนสูงและใกล้ชิดกับชนชั้นปกครอง มีที่ไหนไหมที่ศาลถูกแต่งตั้งจากกรรมาชีพคนทำงานธรรมดา หรือเกษตรกรยากจน? ไม่มีเพราะในกระแสหลักมักมีการอ้างกันว่าต้องเรียนสูงและเข้าใจกฎหมาย แต่ในความจริงเรื่องความยุติธรรมเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเข้าใจได้ และความยุติธรรมบ่อยครั้งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับกฎหมาย มันเกี่ยวกับการตัดสินว่าอะไรยุติธรรมอะไรไม่ยุติธรรมมากกว่า แต่ในระบบทุนนิยมกระแสหลักมักพยายามอ้างว่าความยุติธรรมมากจากการตีความเข้าใจกฎหมายหรือการตีความรัฐธรรมนูญ

นี่คือสาเหตุที่นักสังคมนิยมชื่นชมระบบลูกขุนที่คัดเลือกสามัญชนมาพิจารณาคดี แต่ถ้าเราจะมีความยุติธรรมแท้จริง และมีสิทธิเสรีภาพ เราต้องไปไกลกว่านี้ แม้การเลือกตั้งศาลในลักษณะที่ประชาชนถอดถอนได้ ซึ่งเป็นเรื่องดี ก็ยังไม่พอ

ในประเทศประชาธิปไตยตะวันตก เรื่องสองมาตรฐานสำหรับคนรวยกับคนจนยังเป็นปัญหาอยู่อย่างต่อเนื่อง และสาเหตุมาจากความไม่ยุติธรรมของศาล มันมาจากอำนาจเงินในการจ้างทนายหรือการกดดันเบี่ยงเบนกฎหมาย หรือการที่สื่อกระแสหลักเข้าข้างคนมีอำนาจอีกด้วย

ถ้าการมีประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมไม่เพียงพอที่จะสร้างความยุติธรรมได้ อะไรคือสิ่งสำคัญที่สร้างความยุติธรรมและสิทธิเสรีภาพภายใต้ประชาธิปไตยทุนนิยม?

คำตอบคือ คนธรรมดาต้องสร้างความยุติธรรมและสิทธิเสรีภาพเอง โดยเฉพาะคนธรรมดาที่จัดตั้งในขบวนการกรรมาชีพ สหภาพแรงงาน ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และพรรคการเมืองของกรรมาชีพ นี่คือพลังที่ใช้ขยายพื้นที่ประชาธิปไตยได้ภายใต้ข้อจำกัดของประชาธิปไตยทุนนิยม และเป็นพลังที่สร้างกระแสความคิดจากล่างสู่บน เพื่อคานกับกระแสความคิดของชนชั้นปกครอง

ชนชั้นปกครองและนักวิชาการของชนชั้นปกครองมักจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะมันไปขัดกับกติกาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง

ตัวอย่างที่ดีและชัดเจนในยุคนี้ตัวอย่างหนึ่ง คือคดีที่ตำรวจผิวขาวสหรัฐถูกดำเนินคดีในศาลอันเนื่องมาจากการจงใจใช้ความรุนแรงกับคนผิวดำจนคนอย่าง George Floyd ต้องเสียชีวิต

เหตุการณ์ฆ่าและใช้ความรุนแรงโดยตำรวจผิวขาวกับคนผิวดำในสหรัฐและในหลายประเทศของยุโรป เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน และมาจากการเหยียดสีผิวในองค์กรของรัฐ โดยเฉพาะตำรวจ และที่แล้วมาเกือบจะไม่มีตำรวจคนไหนเลยโดนดำเนินคดีทั้งๆ ที่มันน่าจะผิดกฎหมาย

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปที่ทำให้ตำรวจสหรัฐต้องขึ้นศาลและถูกจำคุก คือขบวนการ Black Lives Matter (ชีวิตคนผิวดำสำคัญ) ที่ระเบิดขึ้นบนท้องถนนและประกอบไปด้วยคนผิวดำและคนผิวขาว โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ที่เรียกร้องความยุติธรรม นี่คือสิ่งที่กดดันรัฐให้ต้องดำเนินคดี และกดดันศาลให้ต้องจำคุกตำรวจ

เวลามีการสำแดงพลังของคนธรรมดา ส่วนต่างๆ ของรัฐทุนนิยม อันประกอบไปด้วยคุกศาลตำรวจทหาร มักจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมชั่วคราวเพื่อตามกระแสในสังคม แต่มันเป็นเรื่องชั่วคราวตราบใดที่เราไม่โค่นล้ม ล้มล้างระบอบการปกครองทางชนชั้นของทุนนิยม

ใจ อึ๊งภากรณ์

Squid Game ท้าทายสภาพสังคมทุนนิยม

เมื่อไม่นานมานี้รองโฆษกตำรวจหน้าโง่ออกมาเตือนประชาชนว่าซีรีส์ Squid Game “มีพฤติกรรมรุนแรง แก่งแย่งกันเอาตัวรอด อาจเกิดการเลียนแบบ”!! ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตำรวจคนนี้ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ แต่ยิ่งกว่านั้น ถ้าประชาชนไทยเกิดออกมาแก่งแย่งกันเพื่อเอาตัวรอด มันก็ต้องเป็นความผิดของรัฐบาลเผด็จการประยุทธ์ที่ตำรวจคอยปกป้องทุกวันด้วยความรุนแรงอีกด้วย

มันมีฉากหนึ่งใน Squid Game ที่บ่งบอกที่มาที่ไปของความคิดผู้แต่ง ฉากนั้นคือตำรวจปราบฝูงชนเกาหลีใต้กำลังใช้ความรุนแรงกับคนงานโรงงานรถยนต์ที่นัดหยุดงาน โรงงานนั้นไม่ได้จ่ายค่าแรงให้กับคนงาน เขาจึงออกมาประท้วง และเพื่อนของตัวเอกในซีรีส์ก็โดนตำรวจตีจนตาย คนเขียนเรื่องนี้อยู่ข้างกรรมาชีพผู้ที่โดนตำรวจกระทำอย่างแน่นอน

ในหลายภาคหลายตอนของเรื่อง มีการสร้างเรื่องที่เปิดโปงความขัดแย้งในความคิดมนุษย์ระหว่าง “ความสมานฉันท์” กับการ “เอาตัวรอดแบบเห็นแก่ตัวของปัจเจก” และตัวละครจะต้องคิดหนักเรื่องนี้ทุกครั้ง มันน่าจะเป็นคำถามหลักสำหรับเราทุกคนในโลกจริงด้วย

มีฉากหนึ่งที่เสียดสีระบบการเลือกตั้งในประชาธิปไตยทุนนิยม ตัวละครกำลังจะลงคะแนนว่าจะเลิกเล่นหรือไม่ คนที่มีอำนาจในSquid Game ขู่คนที่ทะเลาะกันว่าผู้คุมจะไม่ยอมให้มีการใช้กำลังโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อโน้มน้าวให้ใครลงคะแนนในทางใด เสร็จแล้วผู้มีอำนาจก็เอาเงินก้อนใหญ่มาล่อให้คนเล่นเกมต่อไปโดยหวังจะซื้อเสียง

ตลอดทั้งเรื่องผู้มีอนาจจะพูดเสมอว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน” ทั้งๆ ที่ไม่มีความจริงเลย คือแต่ละคนที่เล่นเกมจะมีศักยภาพต่างกัน และแน่นอนคนเล่นกับผู้มีอำนาจและ “ตำรวจ” ของเขา มีอำนาจเหนือคนเล่นเสมอ

บ่อยครั้งผู้มีอำนาจจะพูดว่า “ทุกคนที่เข้าร่วมเล่น เลือกจะเล่นโดยสมัครใจ” ซึ่งไม่ต่างจากพวกที่มักพูดว่าในระบบทุนนิยมไม่มีใครถูกบังคับให้ทำงานในสถานที่ต่างๆ หรือที่มีการพูดกันว่า “ทุนนิยมทำให้ทุกคนมีเสรีภาพมีสิทธิ์เท่ากัน” ซึ่งนักสังคมนิยมจะโต้ตอบว่า “ใช่!! เสรีภาพที่จะอดอยากถ้าไม่มีงานทำ เสรีภาพที่จะนอนใต้สะพานลอยถ้าโชคร้ายไม่มีที่อยู่อาศัย”

Squid Games คือซีรีส์ที่วิจารณ์สังคมทุนนิยมอย่างแหลมคม ถ้าดูภาพรวมของเรื่อง จะเห็นว่าเศรษฐีร่ำรวยที่สุดของโลก ที่มองว่าตัวเขาเองมีสิทธิ์เหนือมนุษย์ผู้อื่นเสมอ ได้มารวมตัวกันเพื่อชมคนยากจนฆ่ากันเองเพื่อเอาตัวรอด นี่คือ “ความสนุก” ของพวกปรสิตเหล่านั้น และในฉากหนึ่งคนรวยคนหนึ่งอธิบายว่า “เศรษฐีกับคนยากจนเหมือนกันตรงที่เบื่อหน่ายกับชีวิต” แต่ในโลกแห่งความจริงความเบื่อหน่ายของคนจนมาจากการถูกทอดทิ้งหรือการที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ต่างจากคนรวยดุจฟ้ากับดิน

คนที่เป็นตัวละครในเกม ล้วนแต่เป็นคนชั้นล่างที่ตกยาก มีแรงงานข้ามชาติจากปากีสถาน มีผู้ลี้ภัยจากเกาหลีเหนือ มีสาวที่ถูกพ่อละเมิด มีคนที่ติดการพนัน มีโจรอันธพาล ฯลฯ และบ่อยครั้งคำถามว่าจะสมานฉันท์กันหรือแก่งแย่งกันก็ปรากฏขึ้น

เวลาผู้เขียนดูเรื่องนี้จะนึกถึงสหายสังคมนิยมคนหนึ่งที่เคยทำงานทในโรงงานเหล็ก เขาจะมีจุดยืนต่อต้านหวยหรือลอตเตอรี่อย่างชัดเจน เพราะเป็นการหลอกกรรมาชีพคนจนด้วยความฝันฝันลมๆแล้งๆ Squid Game ที่เล่นเพื่อก้อนเงินใหญ่ก็ไม่ต่าง

เรื่องนี้เป็นการวิจารณ์ความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง และความโหดร้ายของทุนนิยมแน่นอน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือทางออกในการแก้ไขสถานการณ์ ซีรีส์นี้ไม่มีทางออก แต่ในโลกทุนนิยมจริงทางออกมีเสมอ เพราะกรรมาชีพทำงานในหัวใจของระบบเศรษฐกิจ ถ้าเลือกที่จะรวมตัวกันลุกขึ้นสู้ เราสามารถเอาชนะนายทุนและปรสิตต่างๆ ได้ และบ่อยครั้งก็มีการต่อสู้เกิดจริง ถึงแม้ว่าฝ่ายเรายังไม่ได้ชัยชนะในการโค่นระบบ แต่สักวันหนึ่งประชาชนจะเป็นใหญ่ในโลก!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

สหรัฐกับอังกฤษพ่ายแพ้ในอัฟกานิสถาน ฝ่ายซ้ายคิดอย่างไร?

ในอัฟกานิสถานเราเห็นความพ่ายแพ้ของจักรวรรดินิยมตะวันตกท่ามกลางการเสียชีวิตของคนจำนวนมากในรอบ20ปีของการแทรกแซง เราดีใจที่สหรัฐและอังกฤษแพ้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราสนับสนุนตาลิบัน ซึ่งเป็นขบวนการฝ่ายขวาคลั่งศาสนา แต่ในการปลดแอกประชาชนจากตาลิบัน ประชาชนต้องทำเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ เพราะถ้าคนอื่นทำให้มันก็กลายเป็นการแทรกแซงโดยจักรวรรดินิยมอีกรอบไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติหรือสหรัฐ

เราต้องเน้นว่าโศกนาฏกรรมของอัฟกานิสถานเป็นสิ่งที่เกิดจากการแทรกแซงของจักรวรรดินิยม

จักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเป็นผู้ริเริ่มสงครามในประเทศอัฟกานิสถานโดยใช้ข้ออ้างในการก่อสงครามจากการถล่มตึกเวิลด์เทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ในการทำสงครามครั้งนี้สหรัฐอ้างว่าทำเพื่อกำจัดการก่อการร้าย โดยเฉพาะองค์กรอัลเคดาที่แอบอยู่ในประเทศ และทั้งๆ ที่รัฐบาลตาลิบันเสนอว่าพร้อมจะขับไล่อัลเคดาออกไป แต่สหรัฐไม่สนใจ ในที่สุดสงครามของสหรัฐและอังกฤษได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศหนึ่งที่ยากจนที่สุดในโลกและทำให้ผู้คนบริสุทธิ์ล้มตายเป็นจำนวนมากกว่าที่ล้มตายในนิวยอร์คแต่แรก  เพราะฉนั้นถ้าหากเราต้องการมองเห็นต้นตอสาเหตุของสงครามที่แท้จริง   เราต้องมองว่าสงครามครั้งนี้เกี่ยวข้องกับระบบจักรวรรดินิยมของทุนนิยมอย่างแยกไม่ออก

ในยุคหลังความพ่ายแพ้ของสหรัฐในสงครามเวียดนาม สหรัฐที่เคยเป็นเจ้าโลก เริ่มถูกมองว่าอ่อนแอลงทั้งทางกำลังทหารและเศรษฐกิจ รัฐบาลสหรัฐจึงต้องการฟื้นความเป็นใหญ่ของสหรัฐผ่านการทำสงครามให้ชาวโลกเห็น

สื่อต่าง ๆ  พยายามนำเสนอว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสรีภาพ ตามที่มีนักคิดฝ่ายขวา ชื่อ Samuel  P. Huntington  เคยเสนอไว้ในหนังสือชื่อ  ” The clash of civilizations ”  (ซึ่งแปลว่าการปะทะกันทางอารยธรรม)  เขาเสนอว่าหลังยุคสงครามเย็นจะมีการปะทะกันระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก  ระหว่างคริสต์กับอิสลาม ระหว่างประชาธิปไตยเสรีกับเผด็จการอิสลาม แต่ในความเป็นจริงสหรัฐและประเทศตะวันตกอย่างอังกฤษ ไม่เคยมีหลักการณ์ในนโยบายต่างประเทศเพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยและเสรีภาพ เพราะบ่อยครั้งสนับสนุนการทำรัฐประหารของฝ่ายขวา หรือไปจับมือกับรัฐอิสลามล้าหลังสุดขั้วอย่างซาอุดิอาระเบีย

ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น  จะเห็นว่ามีประเด็นทางเศรษฐกิจที่เป็นประเด็นหลักในการเกิดสงครามครั้งนี้  แม้ว่าประเทศอัฟกานิสถานจะไม่มีทรัพยากรให้กอบโกย  แต่ประเทศรอบข้างในแถบตะวันออกกลางนั้นมีบ่อน้ำมันเป็นจำนวนมาก  และประเทศอัฟกานิสถานก็เป็นประตูสู่ประเทศในแถบตะวันออกกลาง  ซึ่งมีการแย่งชิงผลประโยชน์ในเรื่องบ่อน้ำมันมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาจนถึงสงครามอ่าวเพอร์เซีย  ทำให้เราตัดสินได้ว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามจักรวรรดินิยม  ที่มีจักรวรรดินิยมรายใหญ่อย่างสหรัฐและพันธมิตรเป็นผู้เข้ารุมประเทศอัฟกานิสถาน  เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในโลกทางทหารซึ่งเชื่อมไปสู่ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจในเวทีโลก

จักรวรรดินิยมตะวันตกไม่ใช่กลุ่มมหาอำนาจเดียวที่แทรกแซงอัฟกานิสถาน ก่อนหน้าที่ตะวันตกจะบุกเข้าไปจักรวรรดินิยมรัสเซียก็เคยแทรกแซงและในที่สุดพ่ายแพ้ต้องถอนทหารออกไป ในยุคนั้นสหรัฐแอบสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ที่สู้กับรัสเซียรวมถึงตาลิบันด้วย

ตาลิบันเกิดขึ้นในรูปแบบขบวนการกู้ชาติของนักศึกษาในวิทยาลัยอิสลามแนวอนุรักษ์นิยม ซึ่งทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมจึงมีแนวคิดปฏิกิริยา กลุ่มนี้ยึดอำนาจได้ก่อนที่ตะวันตกจะบุกเข้ามา เพราะรัฐบาลขอกลุ่มขุนศึกต่างๆ ที่ครองอำนาจหลังจากที่รัสเซียถอนออกไป ล้วนแต่มีการแย่งชิงผลประโยชน์กันและเต็มไปด้วยการคอรรับชั่น

ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดินิยมตะวันตกในอัฟกานิสถานเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยลดอิทธิพลของกลุ่มประเทศเหล่านี้ที่จะไปก่อสงครามและแทรกแซงประเทศต่างๆ

ในเรื่องของสถานภาพสตรีในอัฟกานิสถาน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าตาลิบันกดขี่สตรี แต่การแทรกแซงของตะวันตกไม่เคยทำไปเพื่อปลดแอกสตรี เพราะไม่เคยสนใจที่จะปลดแอกสตรีในประเทศอย่างซาอุดิอาระเบีย และภายในสหรัฐและประเทศตะวันตกอื่นๆ ใช่ว่าจะไม่มีการกดขี่ทางเพศ

เหตุการณ์ในประเทศอัฟกานิสถานแสดงให้เห็นว่าระบบทุนนิยม  เป็นต้นเหตุความรุนแรง ทั้งในรูปแบบการก่อการร้ายของกลุ่มคนที่ถูกกดขี่แต่ไร้พลัง และการทำสงครามของมหาอำนาจ แทนที่จะเน้นการผลิตเพื่อการบริโภคอย่างเท่าเทียม ทุนนิยมกลับไปเน้นการแย่งชิงทรัพยากร การกอบโกยกำไร และผลิตอาวุธ และคนที่ไปรบและเสียชีวิตส่วนมากก็เป็นประชาชนคนจนในทุกประเทศรวมถึงในสหรัฐด้วย

สหประชาชาติไม่ใช่คำตอบ หลายคนอาจคิดว่าสันติภาพหรือความสงบสุขของโลกใบนี้มาจากสหประชาชาติ แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่  เพราะประเทศที่มีอิทธิพลและอำนาจในการกำหนดนโยบายของสหประชาชาติก็ล้วนแต่เป็นประเทศจักรวรรดินิยมรายใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น สหรัฐ รัสเซีย จีน อังกฤษ หรือ ฝรั่งเศส ความเป็นกลางจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

จุดยืนนักมาร์คซิสต์ต่อสงครามโดยทั่วไป

เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นกับโลกภายใต้ระบบทุนนิยม  ใช่ว่าทุกคนบนโลกจะเห็นด้วยหรือจะอยู่เฉย ๆ โดยดูได้จากจำนวนคนที่ต่อต้านสงครามอัฟกานิสถาน อย่างเช่น ที่ประเทศอินเดียออกมาประท้วง 100,000 คน  อิตาลี 300,000 คน ญี่ปุ่น 5,000 คนและสหภาพแรงงานมีส่วนร่วมด้วย อังกฤษ 100,000 คน รวมถึงในไทยด้วยตัวอย่างเช่นกลุ่มมุสลิมที่ออกมาต่อต้านสงครามหลายหมื่นคน

เราจะเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมหาศาลที่ไม่เห็นด้วยกับสงคราม  และที่สำคัญสงครามแต่ละครั้งหยุดได้เพราะมีการรวมตัวกันและออกมาต่อต้าน เช่น สงครามเวียดนามที่มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากออกมาต่อต้าน  หรือสงครามโลกครั้งที่1 หยุดได้เพราะมีการปฏิวัติในรัสเซีย

เพราะฉะนั้นจุดยืนของนักมาร์คซิสต์เห็นด้วยกับการสร้างแนวร่วมต้านสงคราม เห็นด้วยกับการที่กรรมาชีพ คนหนุ่มสาวและกลุ่มต่าง ๆ ที่รักความเป็นธรรมออกมาต่อต้านสงครามร่วมกัน แต่ในที่สุดถ้าจะยับยั้งสงครามระหว่างประเทศอย่างจริงจังเราต้องแปรรูปการต่อสู้ไปสู่การต่อสู้ทางชนชั้นในแต่ละประเทศ เพื่อโค่นล้มนายทุนและขุนศึกทั้งหลายและระบบทุนนิยมที่ก่อให้เกิดสงครามตลอดมา

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์ และอดุลย์ อัจฉริยากร

ทำไมต้องมีการปฏิวัติสังคมนิยม -สามวิกฤตของทุนนิยมปัจจุบัน

ยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งสามวิกฤตที่มาจากลักษณะของระบบทุนนิยม ซึ่งทั้งสามวิกฤตมีผลซึ่งกันและกัน และท้าทายความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งโลก

1. วิกฤตที่หนึ่ง  วิกฤตโควิด

วิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด กระทบคนทั้งโลก แต่ในขณะเดียวกันมันเปิดโปงความเหลื่อมล้ำในสังคมทุนนิยมของทุกประเทศ เพราะคนจน คนที่มีสีผิว คนที่มีเชื้อชาติเป็นคนส่วนน้อยของสังคม และแรงงานข้ามชาติ เป็นกลุ่มคนที่ล้มตายและยากลำบากจากโควิดมากที่สุด สาเหตุสำคัญก็เพราะเป็นคนที่ไม่สามารถกักตัวอยู่บ้าน หรือทำงานจากบ้านได้ ต้องออกไปเลี้ยงชีพทุกวันในงานสกปรกหรืองานที่เสี่ยงต่อการติดไวรัส นอกจากนี้สภาพที่อยู่อาศัยมักจะแออัด และในประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการจะเข้าถึงระบบสาธารณสุขและวัคซีนไม่ได้เพราะยากจนเกินไปหรือตกงาน

คนที่ตกงาน เด็กๆ หรือวัยรุ่นที่ต้องขาดเรียน และคนที่ทำงานในระบบสาธารณสุข จะเสี่ยงต่อปัญหาจิตใจมากขึ้นเนื่องจากชีวิตที่เปลี่ยนไป

ในขณะเดียวกันพวกนายทุนเศรษฐีที่รวยที่สุดมีการเพิ่มทรัพย์สินมหาศาล และบริษัทยาขนาดใหญ่ก็คุมการผลิตวัคซีนภายใต้ความต้องการที่จะเพิ่มกำไรอย่างเดียว

เมื่อโควิดระบาด รัฐบาลอาจปิดเมือง ปิดงาน หรือปิดโรงเรียน แต่ในไม่ช้าแรงกดดันจากกลุ่มทุนจะบังคับให้รัฐบาลเปิดเสรีก่อนที่ภัยโควิดจะหมดไป ซึ่งทำให้โควิดระบาดรอบสองหรือสาม

แต่ที่สำคัญคือวิกฤตโควิดเชื่อมโยงกับระบบทุนนิยมโดยตรง เพราะระบบเกษตรแบบทุนนิยม และการพัฒนาของชนบทที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเมือง แปลว่ามนุษย์รุกเข้าไปในธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน ซึ่งส่งผลให้มนุษย์สัมผัสกับสัตว์ป่ามากขึ้น โดยเฉพาะค้างคาว ซึ่งเป็นแหล่งไวรัสที่สำคัญเพราะค้างคาวมีภูมิต้านทานไวรัสสูงและสามารถอยู่กับไวรัสหลายสิบชนิดได้

นอกจากนี้ ระบบเกษตรแบบอุตสาหกรรม ซึ่งมีการเลี้ยงหมูหรือไก่ที่มีลักษณะเหมือนกัน ในคอกขนาดใหญ่ เปิดโอกาสให้ไวรัสกระโดดจากสัตว์ป่าไปสู่สัตว์เกษตร และต่อไปสู่มนุษย์ได้ง่ายขึ้น

การเดินทางระหว่างชนบทกับเมือง และที่อยู่อาศัยแออัดในเมือง สำหรับคนที่ต้องไปหางานทำในเมืองก็เพิ่มการระบาดได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสใหม่ๆ มากขึ้น และองค์กรอนามัยโลกก็มองว่าโควิด 19 คงจะไม่ใช่ไวรัสร้ายแรงชนิดสุดท้ายที่ระบาดไปทั่วโลก

ถ้าไม่มีการปรับรูปแบบการเกษตร พัฒนาสภาพชีวิตมนุษย์ และการปกป้องธรรมชาติอย่างจริงจังปัญหานี้จะแก้ไม่ได้ แต่ภายใต้ทุนนิยม การแสวงหากำไรของกลุ่มทุนใหญ่กลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลต่างๆ และกลุ่มทุน

อ่านเพิ่ม: โควิด https://bit.ly/2UA37Cx  

ทุนนิยม กลไกตลาด กับปัญหาโควิด https://bit.ly/3aA9hrF

2. วิกฤตที่สอง วิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไร

ก่อนที่โควิดจะระบาด ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกเข้าสู่สภาพถดถอยมาหลายสิบปีแล้ว สาเหตุคือแนวโน้มของระบบที่จะทำให้อัตรากำไรลดลง สืบเนื่องจากการลงทุนมากขึ้นในเครื่องจักรในอัตราที่เร็วกว่าและสูงกว่าการลงทุนในการจ้างกรรมาชีพ กลุ่มทุนต่างๆ โดนกดดันให้ทำเช่นนี้ เพราะการแข่งขันในระบบกลไกตลาดของทุนนิยม กลุ่มทุนไหนไม่ลงทุนแบบนี้ก็จะแข่งกับคู่แข่งไม่ได้ แต่ผลในภาพรวมคือทำให้เศรษฐกิจเสื่อมในระยะยาว และทุกวันนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะอ่อนแอตามด้วยวิกฤตเป็นระยะๆ และรัฐต่างๆ มักจะต้องอุ้มกลุ่มทุนและบริษัทต่างๆ เพื่อไม่ให้ล้มละลาย ซึ่งทำให้เราเห็น “บริษัทซอมบี้” มากมาย คือกึ่งเป็นกึ่งตาย และมีหนี้สินท่วมหัว รัฐเองก็มีหนี้สินเพิ่มจากการอุ้มบริษัทด้วย

พอโควิดระบาด สถานการณ์นี้ร้ายแรงขึ้นหลายเท่า คาดว่าตอนนี้ระบบทุนนิยมโลกเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจที่แย่กว่าช่วง 1930 เสียอีก คนเริ่มตกงานกันทั่วโลก และรัฐต่างๆ เข้ามาอุ้มกลุ่มทุนต่างๆ มากขึ้น แต่ไม่ช่วยพลเมืองอย่างเพียงพอ แถมมีการวางแผนที่จะตัดค่าแรงเงินเดือน และรัดเข็มขัดตัดระบบสาธารณสุขและสวัสดิการเพิ่มขึ้นอีก

สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ หรือประเทศในยุโรป แต่ลักษณะการเมืองฝ่ายขวายิ่งทำให้สภาพแย่ลงถ้ารัฐบาลปฏิเสธเรื่องโควิด หรือปฏิเสธที่จะใช้งบประมาณช่วยประชาชนในอัตราเพียงพอ ซึ่งต้องทำผ่านการเก็บภาษีจากคนรวย และการตัดงบทหารหรืองบพวกอภิสิทธิ์ชน

อ่านเพิ่ม: วิกฤตเศรษฐกิจ https://bit.ly/2v6ndWf

3. วิกฤตที่สาม วิกฤตโลกร้อน

วิกฤตโลกร้อนมีผลทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวน เกิดอากาศร้อนสุดขั้ว อากาศเย็นสุดขั้ว ไฟป่า พายุ น้ำท่วม ฝนแล้ง ฯลฯ อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ และมีส่วนในการผลิตฝุ่นละอองในอากาศด้วย มันจะทำให้การเกษตรล้มเหลวในบางพื้นที่ การประมงมีปัญหา ธรรมชาติและระบบนิเวศน์เสียหายมหาศาล ส่งผลให้ท้าทายสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วโลก เพิ่มความยากจน เพิ่มความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัย

วิกฤตโลกร้อนเป็นวิกฤตที่มาจากระบบทุนนิยมโดยตรง เพราะมีการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอน เช่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมทุนนิยม และทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ นายทุน และนักการเมืองส่วนใหญ่ทราบว่ามีปัญหานี้จริง แต่ระบบการแข่งขันในกลไกตลาดแปลว่ากลุ่มทุนใหญ่คิดแต่เรื่องการแสวงหากำไรเฉพาะหน้าโดยไม่สามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมได้เลย และถึงแม้ว่ามีการพูดกันว่าจะลดการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอน แต่ในทางรูปธรรมยังไม่มีประเทศไหนที่ทำได้รวดเร็วพอที่จะห้ามวิกฤตนี้ได้

วิธีสำคัญในการลดปัญหาโลกร้อน คือการที่รัฐที่ควบคุมโดยคนธรรมดาตามหลักประชาธิปไตย จะต้องออกมาควบคุมหรือยึดกลุ่มทุนและระบบอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มทุนเกษตร เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายในการผลิตจากการแสวงหากำไร ไปเป็นการตอบสนองทุกคนในสังคมอย่างเท่าเทียมกันในลักษณะที่ปกป้องโลกธรรมชาติ ต้องมีการใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนรถส่วนตัว ต้องใช้รถไฟไฟฟ้าแทนเครื่องบิน ต้องมีการผลิตพลังงานจากแสงแดดและลมพร้อมกับยกเลิกการผลิตพลังงานจากน้ำมัน ถ่านหินหรือก๊าซ ต้องทำอย่างเร่งด่วน แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นตราบใดที่เราไม่มีการเปลี่ยนระบบจากทุนนิยมไปเป็นสังคมนิยม

อ่านเพิ่ม: สิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F

นักเคลื่อนไหวไทยควรร่วมต้านปัญหาโลกร้อน https://bit.ly/2ZWipnF

วิกฤตโลกร้อนทับถมซ้อนลงไปกับสภาพวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ และทั้งสามวิกฤตมาจากเนื้อแท้ของระบบทุนนิยม ถ้าเราไม่ร่วมกันเปลี่ยนระบบและโครงสร้างของสังคม มนุษย์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในสภาพสังคมที่โหดร้ายป่าเถื่อนในอนาคตข้างหน้า

คำพูดของ โรซา ลัคแซมเบอร์ค ว่าเราเผชิญหน้ากับสองทางเลือกคือ “สังคมนิยมหรือความป่าเถื่อน” ดูเหมือนจะตรงกับความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม สภาพย่ำแย่ของโลกปัจจุบันเป็นประกายไฟในการลุกขึ้นสู้ของคนทั่วโลก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ซึ่งเราเห็นใน ไทย ฮ่องกง อัฟริกา ยุโรป สหรัฐ และลาตินอเมริกา การต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้คือความหวังของเรา

อ่านเพิ่ม: การลุกฮือของมวลชนทั่วโลกในปี 2019 https://bit.ly/2OxpmVr

ใจ อึ๊งภากรณ์

นักเคลื่อนไหวไทยควรร่วมต้านปัญหาโลกร้อน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในวันที่ 20 กันยายนปีนี้ นักสหภาพแรงงานในประเทศต่างๆ จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต้านปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงคอร์บอน เช่นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ

greta_finland_twitter

การประท้วงระดับโลกครั้งนี้เกิดจากการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของนักศึกษาและคนหนุ่มสาวในรอบปีที่ผ่านมา คนที่มีชื่อเสียงในการจุดประกายเรื่องนี้คือสาวสวีเดนชื่อ เกรตา ธันเบิร์ก​ (Greta Thunberg) นักศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศต่างๆ ได้เดินออกจากห้องเรียนในวันศุกร์ทุกเดือนเพื่อกดดันให้รัฐบาลต่างๆ ให้ความสำคัญกับวิกฤตโลกร้อนที่กำลังก่อตัวขึ้น ต่อมาก็เกิดการประท้วงใหญ่ที่ใช้วิธีสันติ เช่นการปิดถนน ขององค์กร Extinction Rebellion ในหลายประเทศ

exr2

เกรตาและพรรคพวกได้ประกาศเรียกร้องให้คนทำงานและผู้ใหญ่อื่นๆ “นัดหยุดงานทั่วไป” ในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน เพื่อเป็นพลังสำคัญในการกดดันรัฐบาลและกลุ่มทุน ดังนั้นนักเคลื่อนไหว นักสหภาพแรงงาน และคนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวประท้วงในวันนั้น สหภาพแรงงานบางกลุ่มในเยอรมัน อังกฤษ ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ กำลังวางแผนเพื่อเดินออกจากสถานที่ทำงาน บางคนจะนัดหยุดงาน บางคนจะลาพักร้อน และบางคนอาจออกมาตอนพักเที่ยง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในที่ทำงานต่างๆ และการออกมาประท้วงในวันที่ 20 กันยายน คงจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่จะใช้เวลา

D8Kz5kCXYAEjyZz

ในรอบหลายปีที่ผ่านมามีการประท้วงใหญ่ในประเทศต่างๆ ในเรื่องปัญหาโลกร้อน คนจำนวนมากในปัจจุบันเริ่มหูตาสว่างมากขึ้น และเข้าใจว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับความยุติธรรมทางสังคมและผลประโยชน์ชนชั้น เพราะต้นสาเหตุของปัญหามาจากการกอบโกยกำไรโดยกลุ่มทุน และการที่รัฐบาลต่างๆ ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเหล่านี้ ตัวอย่างที่ดีคือรัฐบาลของ ดอนัลด์ ทรัมป์ ในสหรัฐ ที่ปฏิเสธข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องเชื้อเพลิงคาร์บอนกับปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ผลร้ายของโลกร้อนในด้านภูมิอากาศ เช่นพายุ น้ำท่วม อุณหภูมิที่สูงขึ้น หรือฝนแล้ง ล้วนแต่มีผลกระทบกับคนจนมากกว่าคนรวย

FlatMapStillFinal_nasa-e1549853874827

การแก้ปัญหาโลกร้อนคงจะมีผลกระทบกับกำไรกลุ่มทุนแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ถ่านหิน หรือการประกอบรถยนต์ แต่มันสามารถสร้างงานให้คนทำงานได้ เช่นในเรื่องการผลิตวิธีปั่นไฟฟ้าจากลมหรือแสงแดด การสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเพิ่มการขนส่งมวลชนแทนรถยนต์ส่วนตัวหรือเครื่องบิน หรือผ่านการปรับบ้านเรือนและตึกทำงานให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นเป็นต้น

ดังนั้นเราไม่สามารถแยกการเคลื่อนไหวเรื่องโลกร้อนออกจากการต่อสู้ทางชนชั้นได้ และยิ่งกว่านั้น ชนชั้นกรรมาชีพในประเทศต่างๆ มีพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถกดดันให้มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังได้ผ่านการนัดหยุดงาน นี่คือความสำคัญของการที่เกรตาและพรรคพวกประกาศเรียกร้องให้มีการ “นัดหยุดงานทั่วไป” ในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน

ปัญหาโลกร้อนเกิดจากการสะสมก๊าซในบรรยากาศโลกประเภทที่ปิดบังไม่ให้แสงอาทิตย์ถูกสะท้อนกลับออกจากโลกได้ ความร้อนจึงสะสมมากขึ้น ก๊าซหลักที่เป็นปัญหาคือคาร์บอนไดออคไซท์ (CO2) แต่มีก๊าซอื่นๆ ด้วย ที่สร้างปัญหา นักวิทยาศาสตร์คาดว่าก่อนที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในโลก ปริมาณ CO2 ในบรรยากาศมีประมาณ 280 ppm (ppm CO2 คือหน่วย CO2 ต่อหนึ่งล้านหน่วยของบรรยากาศ) แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 385 ppm ซึ่งทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่ม 0.2 องศาทุกสิบปี

ผลคือน้ำแข็งในขั้วโลกเริ่มละลาย เกิดภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก ไฟไม้ป่าเพิ่มขึ้น ผลผลิตทางเกษตรลดลง และมีการสูญพันธ์ของสัตว์จำนวนมาก รวมถึงแมลงที่มีความสำคัญสำหรับการผสมเกสรดอกไม้ เพื่อให้มีการออกผล

3.1.1-Temperature-rise_1280x720

ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั่วโลก เช่นจากองค์กรสากล IPCC ของสหประชาชาติ แนะนำว่าต้องมีการลดอัตราการผลิตก๊าซ CO2 อย่างเร่งด่วน ในปลายปี ๒๕๖๑ IPCC เสนอว่าเรามีเวลาแค่ 12 ปี ที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิดวิกฤตร้ายแรงที่สุด และ IPCC เตือนว่าต้องมีการเปลี่ยน “ระบบเศรษฐกิจ” อย่างถอนรากถอนโคน

ก๊าซ CO2 นี้ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอน เช่นถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ และแหล่งผลิต CO2 หลักๆ คือโรงไฟฟ้าที่เผาถ่านหิน/น้ำมัน/ก๊าซ และระบบขนส่งที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะรถยนต์ส่วนตัวและเครื่องบิน

tnews_1558141107_1624

บางคนมักพูดว่า “เราทุกคน” ทำให้โลกร้อน ยังกับว่า “เรา” มีอำนาจในระบบทุนนิยมที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน การพูดแบบนี้เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น โยนให้พลเมืองยากจนรับผิดชอบแทนนายทุน เขาเสนอว่า “เรา” จึงต้องลดการใช้พลังงานในลักษณะส่วนตัว ในขณะที่นายทุนกอบโกยกำไรต่อไปได้ มันเป็นแนวคิดล้าหลังที่ใช้แก้ปัญหาโลกร้อนไม่ได้ เพราะไม่แตะระบบอุตสาหกรรมใหญ่ และโครงสร้างระบบคมนาคมเลย

พวกเสรีนิยมกลไกตลาดมีหลายข้อเสนอที่เขาอ้างว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่ในโลกจริงจะไม่มีผลเลย เช่นการซื้อขาย “สิทธิที่จะผลิตCO2” ซึ่งเป็นแค่การให้สิทธิกับบริษัทใหญ่ในการผลิตต่อไปแบบเดิม เพราะเขาจะสามารถซื้อ “สิทธิ์ที่จะผลิต CO2”จากประเทศหรือบริษัทที่ยังไม่พัฒนา หรือข้อเสนอว่าต้องใช้ “กลไกราคา” ในการชักชวนให้ทุกฝ่ายลด CO2 แต่กลไกราคาที่เขาเสนอ จะไม่มีวันมีผล เพราะต้องแข่งกับผลประโยชน์กำไรของบริษัทน้ำมัน ซึ่งทำไม่ได้ และการขึ้นราคาน้ำมันหรือเชื้อเพลิงคาร์บอนอื่นๆ ก็แค่ทำให้คนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ มีปัญหาเดือดร้อน

youth-climate-strike-may-24-2019-007-May-25-2019-011
ประท้วงโลกร้อนที่ฟิลิปปินส์ ถ้าเขาทำได้ เราก็ทำได้ในไทย

นักสังคมนิยมเข้าใจว่าต้นตอปัญหาไม่ได้อยู่ที่อุตสาหกรรมหรือความโลภของมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ยังยากจน ไม่ว่าจะเป็นคนในประเทศพัฒนาหรือในประเทศยากจน ปัญหาไม่ได้มาจากการที่เราไม่มีเทคโนโลจีที่จะผลิตพลังงานโดยไม่ทำลายโลก เทคโนโลจีเหล่านี้เรามีอยู่แล้ว เช่นการปั่นไฟฟ้าจากลมหรือแรงคลื่นในทะเล และการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดด ปัญหามาจากระบบทุนนิยมกลไกตลาดที่ตาบอดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และตาบอดถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ส่วนใหญ่ เพราะมุ่งแต่แข่งขันกันเพื่อเพิ่มกำไรอย่างเดียว

จะเห็นว่าเราต้องปฏิวัติสังคมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องรอให้มีกระแสปฏิวัติก่อนที่จะทำอะไรได้ ในช่วงนี้เราต้องรณรงค์ ผ่านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและพรรคการเมืองก้าวหน้าให้มีการเลิกผลิต CO2 และเลิกใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนทุกชนิด ต้องมีการใช้พลังงานทางเลือก และส่งเสริมการขนส่งมวลชนอย่างเช่นรถไฟไฟฟ้า และต้องมีการประหยัดพลังงาน แต่อย่าไปหวังว่าตามลำพังผู้นำโลกจะทำในสิ่งเหล่านี้เลย และในไทยการที่เรายังมีเผด็จการทหารที่อาศัยกลไกรัฐสภา ก็เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาโลกร้อนเช่นกัน

นี่คือสาเหตุที่นักเคลื่อนไหวในไทยจะต้องสร้างขบวนการต้านโลกร้อน และร่วมประท้วงในวันที่ 20 กันยายน

 

อ่านเพิ่ม สิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F

 

 

จุดเด่นจุดด้อยของทฤษฎี “การผลิตซ้ำทางสังคม” ในการทำความเข้าใจกับการกดขี่ทางเพศ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตั้งแต่ทศวรรษที่  80 การศึกษาในมหาวิทยาลัยเรื่องการกดขี่ทางเพศ หรือปัญหาสิทธิสตรี ถูกครอบงำโดยพวก “เฟมินิสต์” ฝ่ายขวาที่เน้นแนวคิด “ชายเป็นใหญ่” (Patriarchy) โดยตัดแนวคิดเรื่องชนชั้นออกไปและหันหลังให้กับทฤษฎีมาร์คซิสต์ที่เต็มไปด้วยงานเขียนเรื่องการกดขี่ทางเพศ สาเหตุหลักที่พวกแนวคิดชายเป็นใหญ่ครอบงำการศึกษาได้ ก็เพราะการต่อสู้ทางชนชั้นของขบวนการแรงงานอ่อนตัวลงชั่วคราวในตะวันตกหลังการลุกฮือ 1968

พวกเฟมินิสต์ฝ่ายขวามีอิทธิพลสูงในสหรัฐ และแนวคิดแบบนี้ก็ลามเข้ามาในแวดวงสตรีศึกษาของไทย มุมมอง “ชายเป็นใหญ่” เสนอว่าผู้หญิงควรจะสามัคคีข้ามชนชั้นเพื่อสู้กับแนวคิดของผู้ชาย มันนำไปสู่การเสนอว่าการมีชนชั้นนำเพศสตรี หัวหน้างานเพศสตรี หรือนักการเมืองเพศสตรี เป็นเรื่องดีสำหรับผู้หญิงทุกชนชั้นไม่ว่าสตรีที่เข้ามามีบทบาทนำจะมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร แต่ในความเป็นจริงกรรมาชีพหญิง พนักงานหญิง และผู้หญิงยากจน ไม่เคยได้ประโยชน์จากการที่สตรีบางคนขึ้นมามีอำนาจ เพราะผลประโยชน์ทางชนชั้นของสตรีที่เป็นชนชั้นนำจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสตรีธรรมดา

ในประเทศไทยการที่ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ทำให้สตรีไทยมีสิทธิ์ทำแท้งเสรี และไม่ได้ปลดแอกกรรมาชีพหญิงจากการถูกกดขี่ขูดรีดแต่อย่างใด การที่หัวหน้าองค์กร “ไอเอ็มเอฟ” เคยเป็นสตรีฝ่ายขวาที่คลั่งกลไกตลาด ไม่ได้ทำให้องค์กรนี้เลิกตัดสวัสดิการและทำลายฐานะทางเศรษฐกิจของสตรีล้านๆ คนทั่วโลกผ่านนโยบายรัดเข็มขัด

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาพวกเฟมินิสต์แนว “ชายเป็นใหญ่” ได้พัฒนาทฤษฎีโดยนำแนวคิดเข้ามาใหม่สองแนวคิดคือ “ทฤษฎีเอกสิทธิ์” (Privilege Theory) กับ “ทฤษฎีลัคนาภาวะ” หรือ “ทฤษฎีสภาวะทับซ้อน” (Intersectionality) ทั้งสองทฤษฎีนี้ลดความสำคัญของเรื่องชนชั้น

“ทฤษฎีเอกสิทธิ์” เสนอว่าชายผิวขาวทุกคน ไม่ว่าจะจนหรือรวย ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรหรือนายทุน มีเอกสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่นที่มีสีผิวต่างออกไป หรือคนอื่นที่ไม่ใช่เพศชาย หรือเป็นคนพิการ ฯลฯ

ส่วน  “ทฤษฎีลัคนาภาวะ” หรือ “ทฤษฎีสภาวะทับซ้อน” เสนอว่าทุกคนที่ถูกกดขี่ (คนที่ไม่ใช่ชายผิวขาว) จะถูกกดขี่ในหลากหลายรูปแบบเนื่องจาก เพศ สีผิว ชนชั้น สภาพร่างกาย ฯลฯ

จุดร่วมของสองแนวคิดนี้คือการเสนอว่ากรรมาชีพ หรือสตรี หรือคนที่ถูกกดขี่ทั้งหลาย ไม่สามารถรวมตัวกันต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพได้ เพราะทุกคนที่สภาวะที่แตกต่างกัน อีกจุดร่วมหนึ่งคือการปฏิเสธว่าการกดขี่ทั้งหลายในโลกปัจจุบันมาจากระบบทุนนิยม โดยมีการเสนอว่าการกดขี่มาจากนิสัยใจคอของชายเป็นหลัก นอกจากนี้การลดความสำคัญของชนชั้นเป็นการปฏิเสธพลังหลักในที่จะเปลี่ยนสังคม คือพลังของขบวนการแรงงาน

ในปี 1983 นักมาร์คซิสต์สหรัฐชื่อ Lise Vogel ได้เขียนหนังสือชื่อ Marxism and the Oppression of Women เพื่อดึงนักสิทธิสตรีกลับมาสู่แนวมาร์คซิสต์

Women's Lib

ในอดีตมาร์คซิสต์อย่าง เองเกิลส์ ได้เสนอว่าการกดขี่ทางเพศไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ และไม่ใช่ธรรมชาติของชาย แต่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์เมื่อเกิดสังคมชนชั้น และมาร์คซิสต์อย่าง Chris Harman, Brenner และคนอื่นๆ ได้อธิบายว่าระบบทุนนิยมสร้างค่านิยมทางสังคมที่เสนอว่าผู้หญิงควรจะทำหน้าที่หลักในการเลี้ยงลูก เพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับนายทุนในการผลิตคนงานรุ่นใหม่ ค่านิยมนี้นำไปสู่ “ลัทธิ” หรือแนวคิดที่มองว่าสตรีเป็นพลเมืองชั้นสอง ซึ่งเป็นเครื่องมือในการกดขี่ทางเพศ [ดู มาร์คซิสต์กับการกดขี่ทางเพศ https://bit.ly/2QQr5VX ]

woman

แนวคิดกดขี่ทางเพศนี้มีความสำคัญมากขึ้นในยุคที่ระบบทุนนิยมต้องการให้ผู้หญิงไปทำงานนอกบ้าน เพื่อผลิตส่วนเกินให้นายทุน เพราะทำให้สตรีถูกกดดันให้ทำสองหน้าที่ คือทำงานนอกบ้านและทำงานในครัวเรือนพร้อมกัน

640x390_638923_1426200224

ดังนั้นลัทธิกดขี่ทางเพศในระบบทุนนิยม เป็นเครื่องมือในการที่นายทุนบังคับให้ผู้หญิงในครอบครัวทำหน้าที่ “ผลิตซ้ำทางสังคม” หรือผลิตคนงานรุ่นใหม่นั้นเอง มันเป็นการผลักภาระสู่ครอบครัวปัจเจก แทนที่จะเป็นภาระของทุกคนในสังคมร่วมกัน

หนังสือของ Lise Vogel มีประโยชน์ในการกู้คำอธิบายมาร์คซิสต์กลับมา และการเน้นว่าการกดขี่ทางเพศในสังคมปัจจุบันมาจากระบบทุนนิยม แต่ข้อเสียคือ Vogel หันหลังให้ เองเกิลส์ โดยการเสนอว่าสภาพทางชีววิทยาของเพศหญิง ทำให้ผู้หญิงต้องถอนตัวออกจากระบบการผลิตในสังคมและต้องพึ่งผู้ชายตั้งแต่กำเนิดของมนุษย์ ซึ่งไม่ตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงในฐานะของผู้หญิงในโลกปัจจุบันอีกด้วย ข้อเสนออันนี้ของ Vogel นำไปสู่การเสนอว่าสตรีทุกชนชั้นต้องสามัคคีกัน แทนที่จะสามัคคีกรรมาชีพชายกับหญิง มีการลดความสำคัญของชนชั้นนั้นเอง

ในยุคนี้มีการพูดถึงทฤษฎี “การผลิตซ้ำทางสังคม” ในลักษณะที่ ผสมเรื่อง “การกดขี่” เข้ากับ “การขูดรีด” จนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน คือมีการเสนอว่างานของผู้หญิงในครัวเรือนเป็นการ “ขูดรีดส่วนเกิน” ชนิดหนึ่งไม่ต่างจากการขูดรีดในระบบการผลิตของสังคมทุนนิยม เพียงแต่ว่ามันเกิดขึ้นในครอบครัวปัจเจก

แต่การผสมเรื่อง “การกดขี่” กับ “การขูดรีด” เป็นการทำให้ลัทธิกดขี่ทางเพศกลายเป็นสิ่งเดียวกันกับการผลิตส่วนเกินในเศรษฐกิจซึ่งไม่ใช่

ความคิดแบบนี้ของเฟมมินิสต์รุ่นใหม่บางคนที่อ้างถึง Vogel ในลักษณะผิดเพี้ยน นำไปสู่การ “นัดหยุดงานของสตรี” ในสเปนเป็นต้น แต่การ “นัดหยุดงานของสตรี” ไม่ได้ท้าทายโครงสร้างอำนาจในสังคมทุนนิยมแต่อย่างใด เพียงแต่ทำให้คู่ของสตรีที่หยุดงานต้องเลี้ยงลูกหรือทำอาหารแทนในวันนั้นเท่านั้น

ทฤษฎี “การผลิตซ้ำทางสังคม” อย่างที่พวกนี้เสนอ มีผลทำให้ลดความสำคัญของชนชั้น และลดความสำคัญของขบวนการแรงงานหรือชนชั้นกรรมาชีพ โดยเน้นแค่การประท้วงบนท้องถนนเท่านั้น แต่บทเรียนจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นซูดาน หรือฮ่องกง ชี้ให้เห็นว่าเมื่อขบวนการแรงงานเข้ามามีบทบาทสำคัญในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการประท้วง การประท้วงจะมีพลังมากขึ้น เพราะกรรมาชีพมีพลังทางเศรษฐกิจที่จะล้มระบบทุนนิยมได้

13124929_1181060888592867_9078848768920258106_n

อ่านเพิ่มเรื่องทฤษฎี “การผลิตซ้ำทางสังคม”  https://bit.ly/31j6lKY