Tag Archives: บัตรทอง

บัตรทองกับประชาธิปไตยและกลไกตลาด

ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่เครือข่ายเพื่อปกป้องบัตรทองและหลักประกันสุขภาพ ออกมาคัดค้านวิธีการปรับแก้กฏหมายว่าด้วยบัตรทองนั้น เป็นเรื่องดี เพราะเราต้องช่วยกันปกป้องหลักประกันสุขภาพจากการที่จะถูกทำลายโดยเผด็จการทหาร แต่มันมีเรื่องที่เราควรเข้าใจมากกว่านั้น

ประเด็นใหญ่คือรัฐบาลและสภาโจรที่มาจากการทำรัฐประหาร ไม่มีสิทธิ์และความชอบธรรมที่จะแก้ไขกฏหมายอะไรเลย รวมถึงกฏหมายที่เกี่ยวกับสุขภาพของพลเมือง นอกจากนี้พลเมืองทุกคนควรจะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย ในการกำหนดอนาคตของหลักประกันสุขภาพ และในการร่วมบริหารระบบสาธารณสุขอีกด้วย

ส่วนการที่ไอ้ไก่อู ปากหมาของเผด็จการ ออกมาพูดว่า “มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง” นั้น ก็แน่นอนละ เรื่องสาธารณสุขมันเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ และในกรณีนี้เป็นเรื่องการเมืองทหารเผด็จการ ที่เผชิญหน้ากับการเมืองประชาธิปไตยของพลเมือง

แต่บางครั้งกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องหลักประกันสุขภาพ จะ “ลืม” ว่าเรามีรัฐบาลเผด็จการ ยิ่งกว่านั้นบางกลุ่มเคยสนับสนุนการทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในยุคนี้ ไม่มีความชอบธรรมแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าการเลือกสนใจประเด็นการเมืองแบบแยกส่วน ทำให้การปกป้องหลักประกันสุขภาพทำได้ยากขึ้น พูดง่ายๆ ถ้าเราจะปกป้องระบบบัตรทอง และทำให้มันดีขึ้น เราต้องร่วมกันขับไล่เผด็จการทหารด้วย ซึ่งรวมไปถึงการวิจารณ์ระบบประชาธิปไตยครึ่งใบที่ทหารออกแบบมาในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน

การที่องค์กรเอ็นจีโอและองค์กรที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” มองปัญหาแยกส่วนมาตลอด ทำให้เขาไม่สนใจกระบวนการประชาธิปไตยเท่าที่ควร เพราะเขาอ้างตัวว่าเป็น “ภาคประชาชน” แต่ไม่มีการเลือกตั้งภายในองค์กรแต่อย่างใด และไม่มีการพยายามสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่จะเป็น “ตัวแทน” ของพลเมืองจำนวนมากอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ไม่มีคนอื่นเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ การที่เขาออกมาก็ดีกว่าไม่ทำอะไร

แต่การไม่สนใจระบบ “ประชาธิปไตยแบบผู้แทน” ของพวกนี้ แปลว่าเขาจะมองข้ามวิธีที่จะบริหารการบริการสังคมที่มีการมีส่วนร่วมจริงๆ เพราะถ้าระบบสาธารณสุข หรือระบบการศึกษาจะมีการบริหารแบบประชาธิปไตย นอกจากเราจะต้องมีรัฐบาลและรัฐมนตรีสาธารณสุขและการศึกษาที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีแล้ว ในระดับจังหวัดและชุมชน พลเมืองจะต้องมีสิทธิ์เลือกผู้แทนเข้าไปบริหารโรงพยาบาลและโรงเรียนอีกด้วย ที่สำคัญคือกระบวนการประชาธิปไตยแบบนี้ที่เน้นการเลือกตั้ง ต่างโดยสิ้นเชิงกับการที่องค์กร “ภาคประชาชน” จะเสนอตัวเองเข้าไปมีส่วนในการบริหารโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

การที่องค์กรเอ็นจีโอและ “ภาคประชาชน” มองปัญหาแบบแยกส่วนและภูมิใจที่จะไม่สนใจทฤษฏีเศรษฐกิจหรือการเมืองแต่อย่างใด แปลว่ามีการรับแนวคิดการบริหารระบบสาธารณสุขของนายทุนมาเต็มๆ แนวคิดนี้ที่เรียกว่าแนวคิด “กลไกตลาดเสรี” จะพยายามนำระบบตลาดเข้ามาในการบริการสาธารณะ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเสนอว่า “ต้อง” มีการแยกฝ่ายที่รับบริการออกจากฝ่ายที่ให้การบริการ ซึ่งในภาษาเศรษฐกิจเรียกว่าการแยกผู้ซื้อบริการออกจากผู้ขายบริการ (Purchaser-Provider Separation) พูดง่ายๆ แนวคิดนี้มองว่ากระทรวงสาธารณสุขและสาขาย่อยในท้องถิ่นต่างๆ ของกระทรวง ไม่ควรคุมทั้งโรงพยาบาลและระบบบัตรทอง

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือคำพูดของ ธนพลธ์ ดอกแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ป่วย ที่เสนอว่าเอกชนควรมีส่วนร่วมในการบริการสาธารณสุข [ดู http://bit.ly/2sE0FxA ] อันนี้เป็นความคิดแปรรูป Privatisation ซึ่งนักการเมืองและนักวิชาการฝ่ายขวาทั่วโลกนิยมกัน มันตรงข้ามกับผลประโยชน์คนจนหรือคนธรรมดา มันเข้ากับแนวคิดพวกสลิ่มที่เกลียดชังการบริการประชาชนโดยรัฐ มันสนับสนุนให้กลุ่มทุนเข้ามาได้ประโยชน์จากคนไข้ ผ่านเงินภาษีที่รัฐเก็บจากประชาชน โดยที่เอกชนจะเลือกให้บริการที่สร้างกำไรเท่านั้น และปล่อยให้รัฐแบกภาระกับการบริการอื่นๆ

ระบบสาธารณสุขไม่ควรจะเป็นเรื่องซื้อขาย ไม่ควรจะเป็นแหล่งกำไรให้กลุ่มทุน มันควรจะเป็นสิทธิถ้วนหน้าของพลเมือง

ตั้งแต่ระบบ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคถูกนำมาใช้ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย มันเป็นระบบที่มี “ตลาดภายใน” มาตั้งแต่แรก คือกองทุนบัตรทองจะ “ซื้อ” บริการจากโรงพยาบาลต่างๆ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนที่แสวงหากำไร แทนที่จะนำโรงพยาบาลทุกแห่งมาเป็นของรัฐ  แนวคิดนี้ลอกแบบมาจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองฝ่ายขวาในตะวันตก หรือที่เรียกกันว่าแนวคิดเสรีนิยมกลไกตลาด มันเอื้อกับการที่บริษัทเอกชนจะเข้ามามีบทบาทในระบบสาธารณสุขเพื่อหวังกำไร มันเอื้อกับการนำเข้าระบบคิดค่ารักษาพยาบาล ที่เขาเรียกกันว่าระบบ “ร่วมจ่าย” เพื่อให้ดูดี แต่มันเป็นระบบที่หมุนนาฬิกากลับจากการบริการถ้วนหน้าอย่างเท่าเทียมที่อาศัยงบประมาณจากการเก็บภาษีเท่านั้น มันเอื้อกับการสร้างระบบสาธารณสุขที่มีความแตกต่างกันสำหรับคนจนและคนรวย

แต่ในไทยผู้ที่อ้างว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ” จะไม่กล้าบอกตรงๆว่าเขาสังกัดแนวคิดแบบกลไกตลาดเสรีนิยม หรือแนวคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย มันมีการสร้างภาพโกหกว่าแนวคิดเศรษฐศาสตร์มีแนวเดียว คือแนวของฝ่ายขวา

ระบบสาธารณสุขที่ไม่มีตลาดภายใน เป็นระบบตามแนวสังคมนิยมประชาธิปไตย อย่างเช่นระบบสาธารณสุขของรัฐสวัสดิการอังกฤษตอนเริ่มแรก ก่อนที่รัฐบาลแทชเชอร์จะทำลายมัน ผู้บริหารโรงพยาบาล และหมอประจำครอบครัว จะคาดการว่าถ้าจะบริการประชาชนในพื้นที่ได้เต็มที่ จะต้องมีงบประมาณเท่าไร และจะมีการปรับตามความเป็นจริงเสมอ โรงพยาบาลต่างๆ และหมอประจำครอบครัว จะอยู่ภายใต้กรรมการสาธารณสุขท้องถิ่นที่มีผู้แทนจากการเลือกตั้ง และผู้แทนจากรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุขจะคำนวนงบประมาณที่ส่วนต่างๆ ควรจะได้ทั่วประเทศ มันไม่มีการซื้อขายบริการแต่อย่างใด มีแต่การเน้นความต้องการของประชาชนเท่านั้น

การนำกลไกตลาดเข้ามา มีผลในการจ้างนักบัญชีและผู้บริหารจำนวนมาก แทนที่จะใช้เงินตรงนั้นเพื่อจ้างหมอและพยาบาลหรือซื้อยาที่จำเป็น มันมีผลทำให้บริษัทเอกชนเข้ามาแสวงหากำไร และมันมีผลในการชู “เงิน” และ “ตลาด” เหนือความต้องการแท้จริงของประชาชนทุกคนไม่ว่าจะจนหรือรวย และพวกที่สนับสนุนแนวคิดฝ่ายขวาแบนี้มักจะดูถูกประชาชนว่าไปหาหมอหรือเข้าโรงพยาบาลมากเกินความจำเป็น

มันเป็นเรื่องดีที่องค์กรภาคประชาชนคัดค้านระบบร่วมจ่าย แต่เขาควรจะไปไกลกว่านั้น เพื่อรณรงค์ให้มีประชาธิปไตยและการบริการที่ไม่อิงกลไกตลาด ในระบบสาธารณสุขไทย

อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2rOzlLy (โดยเฉพาะหน้า 18)

เราจะปกป้องและพัฒนาระบบบัตรทองได้อย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในอดีตพวกคลั่งกลไกตลาดเสรีพยายามหลายครั้ง ที่จะทำลายอุดมการณ์ระบบสาธารณสุขถ้วนหน้า ที่หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เป็นผู้บุกเบิกในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งอุดมการณ์นี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ประชาชนชื่นชมรัฐบาลทักษิณในยุคนั้น ล่าสุดรัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ก็พยายามเช่นกัน โดยที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่าประชาชน “ต้องร่วมจ่าย” ในระบบบัตรทอง โดยอ้างว่ารัฐ “แบกรับไม่ไหว”

ส่วน สุริยะใส กตะศิลา สุนักรับจ้างขององค์กรสลิ่มทุกยุค ก็ออกมาเห่าหอนสนับสนุนรัฐบาลในเรื่องนี้

ทุกคำที่ออกมาจากปากพวกนี้ล้วนแต่เป็นคำโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น

ระบบ “๓๐ บาทรักษาทุกโรค” เป็นแนวคิดของคนก้าวหน้าในยุคหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง คนที่ได้ชื่อว่าผลักดันเรื่องนี้จนสำเร็จมากที่สุดคือ หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งชื่นชมระบบสาธารณสุขอังกฤษ ในยุคนั้น “อุดมการณ์” ของระบบนี้ คือความพยายามที่จะให้พลเมืองทุกคนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบประกันสังคมหรือระบบข้าราชการ สามารถเข้าถึงการบริการสาธารณสุขอย่างถ้วนหน้า โดยอาศัยแค่สิทธิการเป็นพลเมืองเท่านั้น การเก็บเงิน ๓๐ บาท เป็นแค่การเก็บเงินในเชิงสัญลักษณ์ จึงไม่เรียกว่าเป็นการ “ร่วมจ่าย”

หลังจากการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๒๕๔๙ นสพ. บางกอกโพสธ์รายงานว่ารัฐบาลเผด็จการลงมือตัดงบระบบ ๓๐ บาทไป 23% แต่ในขณะเดียวกันมีการเพิ่มงบประมาณทหาร 30% ซึ่งก่อนหน้านี้ในยุคทักษิณมีการค่อยๆ ลดงบประมาณทหาร

เราไม่ควรลืมว่ารัฐบาลทหารหลัง ๑๙ กันยาเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยพวกคลั่งกลไกตลาดเสรี พวกนี้ไม่พอใจที่มีการใช้งบประมาณรัฐเพื่อประโยชน์ประชาชน แทนที่จะทุ่มเทงบประมาณเพื่อทหาร พระราชวัง และคนชั้นสูงอย่างเดียว ดังนั้นเขาและนักวิชาการอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนเขา มักจะวิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณว่าเป็น “ประชานิยม” และ “ขาดวินัยทางการคลัง” ตามนิยามของพวกกลไกตลาดเสรีที่เกลียดชังสวัสดิการรัฐ แต่ในขณะเดียวกันเวลาพวกนี้มีอำนาจก่อนและหลังรัฐบาลทักษิณ เขาไม่เคยมองว่าการขึ้นงบประมาณทหารเป็นการ “ขาดวินัยทางการคลัง” แต่อย่างใด

ภายใต้รัฐบาลเผด็จการยุคนั้นมีการยกเลิกเก็บค่าพยาบาล ๓๐ บาท ซึ่งในแง่การปฏิบัติเป็นเรื่องดี แต่ถ้าตรวจสอบเจตนาของการทำให้ระบบนี้ฟรี เราจะเห็นว่าหลายคนในแวดวงเผด็จการมีอคติและวาระแอบแฟง คือหลายคนเตรียมจะเสนอให้เก็บค่าพยาบาลเพิ่มขึ้นหลายเท่าภายใต้ระบบที่เขาเรียกว่า “การร่วมจ่าย” คนจนสุดอาจไม่ต้องจ่าย แต่ใครมีรายได้มากกว่านั้นนิดเดียวคงต้องจ่ายมากกว่า ๓๐ บาท หลายเท่า ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างระบบอนาถาสำหรับคนจนแล้ว ยังสร้างภาระมหาศาลให้กับคนที่ถูกจำแนกว่าไม่ได้อยู่ในระดับยากจนที่สุด

ในยุครัฐบาล “แต่งตั้งโดยทหาร” ของอภิสิทธิ์ มีการเปลี่ยนชื่อจากบัตร ๓๐ บาท เป็น “บัตรทอง” เพื่อตัดความหลังที่มาจากยุคทักษิณออกไป และแน่นอนอภิสิทธิ์และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นพวกคลั่งตลาดเสรีที่สำคัญกลุ่มหนึ่ง ที่เคยวิจารณ์ระบบ ๓๐ บาทมาตลอด

หลายคนเข้าใจผิดว่าแนวเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมไปกับระบบประชาธิปไตย ซึ่งไม่จริง ในกรณีไทยเราจะเห็นว่าทั้งประชาธิปัตย์และเผด็จการทหารยุค ๑๙ กันยา และยุคปัจจุบัน เป็นพวกที่เกลียดชังการใช้งบประมาณรัฐเพื่อประโยชน์ประชาชนตามแนวคลั่งกลไกตลาดเสรี ในขณะที่รัฐบาลทักษิณใช้แนวเศรษฐศาสตร์คู่ขนาน คือใช้รัฐและตลาดร่วมกันตามสูตรเศรษฐศาสตร์ “เคนส์”

จริงๆ แล้วคำว่า “ร่วมจ่าย” เป็นคำหลอกลวงของพวกคลั่งกลไกตลาดเสรี เพราะพลเมืองไทยทุกคนจ่ายภาษี ไม่ว่าจะจนหรือรวย ทั้งทางอ้อมเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีน้ำมัน หรือผ่านการจ่ายภาษีรายได้ ดังนั้นระบบอะไรที่ใช้งบประมาณรัฐ เป็นระบบที่ประชาชนทุกคนร่วมจ่ายสมทบผ่านภาษีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าระบบภาษีไทยเป็นระบบที่ส่งเสริมความเหลื่อมล้ำเพราะคนจนมักจ่ายภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่าคนรวยถ้าเปรียบเทียบกับรายได้

ดังนั้นเวลาพวกนี้พูดถึงการ “ร่วมจ่าย” เราควรรู้ทันทีว่ามันแปลว่า “คิดค่าพยาบาล” ซึ่งสำหรับบัตรทองแล้ว เป็นการหมุนนาฬิกากลับสู่ยุคก่อนไทยรักไทย และก่อนยุคความทันสมัย ตามความฝันของอำมาตย์ล้าหลัง

การพยายามทำลายอุดมการณ์ของ “๓๐ บาท” เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะในเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๕๖ เราจะเห็นความเสื่อมของแนวคิดเดิม โดยที่ นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำเสนอระบบ “ร่วมจ่าย” เพื่อเปิดประเด็นแนวคิดย้อนยุค แต่มันไม่ออกมาเป็นนโยบายรูปธรรม เหตุการณ์นี้พิสูจน์ว่าเราไม่สามารถหวังพึ่งพรรคเพื่อไทยให้ปกป้องระบบ ๓๐ บาทได้ และแน่นอนเราทราบดีว่าเขาจะไม่นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วย

หลังรัฐประหารปี ๒๕๕๗ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดสาธารณสุข ในยุคแรกๆ ของเผด็จการประยุทธ์ ก็ออกมาเสนอแนว “ร่วมจ่าย” อีก โดยเสนอว่าประชาชนควรจ่ายถึงครึ่งหนึ่งของค่ารักษาพยาบาล นายแพทย์คนนี้เคยเข้าร่วมกับม็อบอันธพาลของสุเทพ รัฐบาลเผด็จการหลังรัฐประหารประยุทธ์ก็จำกัดงบประมาณบัตรทองในขณะที่เพิ่มงบประมาณทหารมหาศาลตามสูตรเดิม ล่าสุด นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาเสนอเรื่อง “ร่วมจ่าย” อีก

นิมิตร์ เทียนอุดม นักเคลื่อนไหวด้านสุขภาพ เตือนว่าตั้งแต่มีรัฐบาลเผด็จการทหารชุดปัจจุบัน มีการแอบกัดและค่อยๆ ทำลายระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและผลงานดีๆ ในเรื่องนี้หลายอย่าง โดยเฉพาะผ่านระเบียบออกใหม่ที่จำกัดการใช้งบประมาเหมาจ่ายรายหัวของโรงพยาบาลสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง และการลดบทบาทรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรมในการหายาสำหรับโรงพยาบาลต่างๆ อีกด้วย เราสามารถคาดเดาได้ว่ามาตรการใหม่ๆ ที่เกิดภายใต้เผด็จการประยุทธ์ จะนำไปสู่การอ้างว่ารัฐ “แบกรับ” ไม่ไหว หรือต้อง “ปฏิรูป” ระบบ ซึ่งจริงๆ แล้วแปลว่าพวกนี้อยากทำลายมันมากกว่า แต่ทางออกที่เป็นประโยชน์กับประชาชนคือต้องมีการเพิ่มงบประมาณโดยรัฐ

ปัญหาคือหลายคนที่อยากปกป้องระบบบัตรทอง แค่ชี้ถึงความไม่เสมอภาคระหว่างระบบข้าราชการ ระบบประกันสังคม กับระบบบัตรทอง โดยไม่มองภาพกว้างและไม่เข้าใจพิษภัยของแนวคิดคลั่งตลาดเสรีที่เผด็จการชื่นชม

การที่จะไปขโมยทรัพยากรจากระบบข้าราชการ หรือระบบประกันสังคม เพื่อไปอุดบัตรทอง มันไม่ใช่คำตอบ มันเป็นแค่การกระจายการบริการระหว่างคนทำงานธรรมดา ซึ่งจะกดมาตรฐานสำหรับบางคนเพื่อไปเพิ่มให้คนจนคนอื่น โดยไม่ไปแตะกลุ่มผลประโยชน์ใหญ่ โดยเฉพาะทหาร นายทุนใหญ่และคนรวยชั้นสูงแต่อย่างใด

คนที่ไม่กล้าพูดถึงปัญหางบประมาณทหาร และระบบภาษีที่ไม่เป็นธรรม ควบคู่กับการพยายามปกป้องบัตรทอง จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และถ้าเราไม่ร่วมกันล้มเผด็จการทหารเราก็จะเดินหน้าไม่ได้เช่นกัน

เราต้องเข้าใจเสมอว่าเรื่องนี้มีพื้นฐานจากการถกเถียงในประเด็นผลประโยชน์ทางชนชั้น เพราะถ้ารัฐบาลอ้างว่ามีงบไม่พอที่จะบริการสาธารณสุข ก็ต้องไปเก็บภาษีจากคนรวยและกลุ่มทุนเพิ่ม และต้องตัดงบทหารและงบคนชั้นสูงอื่นๆ เพื่อเป็นทางออก

การยึดโรงพยาบาลเอกชนมาเป็นของรัฐจะช่วยประหยัดเงินด้วย เพราะตัดค่านายหน้าของกลุ่มทุน และการผลิตยารักษาโรคแพงๆ เอง โดยการฝืนลิขสิทธิ์กลุ่มทุนข้ามชาติ ก็สำคัญเช่นกัน

ประสบการณ์ในอดีตและปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีการวิจารณ์ข้อเสนอเพื่อทำลายระบบ ๓๐ บาทของรัฐบาล ไม่ว่าจะโดยรัฐบาลชุดไหน คนของรัฐบาลมักจะรีบออกมาแก้ตัวโกหกว่าจะ “ไม่แตะ”หรือ “ไม่ทำลาย” ซึ่งมันบ่งบอกว่าพวกนี้กลัวกระแสความโกรธของประชาชน ดังนั้นเราต้องออกมาวิจารณ์กันมากๆ

เราควรรณรงค์เพื่อเดินหน้าสู่การสร้างระบบรัฐสวัสดิการ ขั้นตอนแรกคือการรวมทั้งสามกองทุนสาธารณสุขเป็นกองทุนเดียวกัน โดยรักษามาตรฐานที่ดีที่สุดแล้วนำมาใช้กับทุกส่วน ต้องมีการตัดงบประมาณทหารและงบสิ้นเปลืองอื่นๆ และเราต้องยืนยันว่างบประมาณหลักของระบบสาธารณสุขต้องมาจากภาษีรัฐที่เก็บในอัตราก้าวหน้า คือในอัตราสูงจากคนรวย