Tag Archives: ประยทธ์

ทำไมพวกนายพลเผด็จการไม่ละอายใจที่จะพูดขยะ?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตลอดเวลาที่เผด็จการทหารชุดนี้ครองอำนาจ พวกนายพลในคณะเผด็จการชอบออกมาพูดขยะเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นประยุทธ์หรือประวิตร ดูเหมือนจะแข่งกันหาคำพูดขยะมาเสนอต่อประชาชนตลอด เช่นการอ้างว่าเขาปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มีการเลือกตั้ง หรือการประกาศว่าตนเป็นนักประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ยึดอำนาจผ่านการทำรัฐประหาร

คำถามคือพวกโจรใส่เครื่องแบบเหล่านี้ ทำไมหน้าด้านไม่ละอายใจที่จะพูดแบบนี้ในเวทีสาธารณะ คำตอบที่อยากจะให้คือ “เพราะมันโง่” แต่นั้นคงไม่จริง มันคงมีสาเหตุอื่นอยู่เบื้องหลัง

ในแง่สำคัญพวกเผด็จการป่าเถื่อนเหล่านี้มันก้าวร้าวและหยิ่ง ความหยิ่งของอันธพาลสามัญย่อมมาจากการถืออาวุธ เผด็จการทหารก็ไม่ต่างออกไป เวลาถือปืนจะพูดขยะอะไรก็ได้ เพราะไม่ค่อยมีคนกล้าเถียงหรือวิจารณ์ และในกรณีที่มีใครกล้าเถียงก็จะจับไป “ปรับทัศนคติ” ในค่ายทหาร หรือยัดข้อหา 112

ในอีกแง่หนึ่ง คณะเผด็จการ ไม่จำเป็นต้องถูกประชาชนตรวจสอบผ่านระบบเลือกตั้ง มันเลยคิดจะพูดอะไรก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ แต่นักการเมืองที่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งจะต้องคำนึงถึงความเห็นของประชาชนต่อสิ่งที่ตนเองพูดหรือกระทำเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะในการเลือกนักการเมือง

ในแง่ที่สาม พวกคณะเผด็จการอาจคิดว่าพลเมืองไทยโง่ และพร้อมจะเชื่อขยะทุกรูปแบบที่ออกมาจากปากทหาร แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่คนไม่สนใจคำพูดของพวกนี้เท่าไร และมองว่าโกหกหรือไร้สาระ

แต่นอกจากนี้ มันอาจมีอีกเหตุผลหนึ่งที่คณะเผด็จการชอบพูดว่ามันเป็นนักประชาธิปไตย เพราะตอนนี้มันกำลังออกแบบระบบประชาธิปไตยจอมปลอมแบบพม่า คือจะมีการเลือกตั้งเป็นพิธีกรรม เพื่อดูดี ภายในกรอบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพโดย “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ที่มันร่างเอง และ “คณะกกรมการยุทธ์ศาสตร์แห่งชาติ” ที่มันใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสืบทอดอำนาจ ตรงนี้เป้าหมายของการพูดถึงประชาธิปไตยบ่อยๆ คือการสร้างภาพลวงตา เพื่อให้คนไทยบางส่วน โดยเฉพาะคนชั้นกลาง หลอกตัวเองว่าในอนาคตไทยจะเป็นประชาธิปไตยของ “คนดี”

พวกทหารอาจคำนวณว่าภาพลวงตานี้อาจเพียงพอที่จะเป็นข้อแก้ตัวสำหรับรัฐบาลตะวันตก รัฐบาลตะวันตกต้องการเหลือเกินที่จะยอมรับว่าไทย “กลับสู่ประชาธิปไตยแล้ว” ทั้งๆ ที่ใครๆ คงมองออกว่ามันไม่ใช่ การแสวงหาข้อแก้ตัวเพื่อให้รัฐบาลตะวันตกกลับมาคบผู้นำไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับรัฐบาลเหล่านั้น เพราะจริงๆ แล้วการพูดว่าไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการของไทย บ่อยครั้งเป็นคำพูดนามธรรมเพื่อให้ดูดีในสายตาพลเมืองตะวันตก

ในความเป็นจริง เราเห็นว่ารัฐบาลอังกฤษพร้อมจะเชิญคนอย่างประวิตร ไปเที่ยวงานขายอาวุธที่ลอนดอน ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับนายพลหน้าหมูคนนี้ ที่จะคบค้าสมาคมกับทรราชจากทั่วโลกที่ไปเที่ยวงานเดียวกัน แล้วในที่สุดทหารไทยก็จะได้อาวุธเพิ่มและบริษัทตะวันตกจะได้กำไร

ส่วนรัฐบาลสหรัฐ ก็ผูกมิตรกับประยุทธ์มือเปื้อนเลือดและพร้อมจะขายอาวุธให้ นอกจากนีั้มีการฝึกทหารร่วมกับกองทัพไทยอีกด้วย

ในแวดวงการทูตต่างๆ ของรัฐบาลทั่วโลก อุดมการณ์ประชาธิปไตยมักจะไม่มีความสำคัญ ที่สำคัญคือการแข่งกันระหว่างมหาอำนาจ เช่นการแข่งกันระหว่างจีนกับสหรัฐเพื่อมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย และการหาโอกาสที่จะค้าขายสร้างกำไรให้กลุ่มทุนของประเทศตนเองก็เป็นเรื่องสำคัญ นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลตะวันตกขายอาวุธให้ทรราชทั่วโลกโดยไม่เลือกหน้า

เราหนีไม่พ้นข้อสรุปว่า ถ้าเราจะกำจัดอิทธิพลและมรดกของเผด็จการ เพื่อสร้างประชาธิปไตยแท้ คนไทยจะต้องรวมตัวกันปลดแอกตนเอง จะไม่มีใครทำให้ และนอกจากนี้เราหวังอะไรไม่ได้เลยจากพรรคพวกของทักษิณอีกด้วย เพราะเขาแช่แข็งทำลายการต่อสู้มาหลายปีแล้ว

สามปีรัฐประหารของไอ้ยุทธ์ อย่าให้มันทำให้เราชินกับเผด็จการจนเรากลายเป็นซอมบี้

ใจ อึ๊งภากรณ์

สามปีหลังรัฐประหารของไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือด เราสามารถสรุปได้ว่าคณะเผด็จการทหารชุดนี้นำพาสังคมการเมืองไทยถอยหลังไปสามสิบกว่าปี

แทนที่เราจะเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วม โดยการขยายสิทธิเสรีภาพต่างๆ และทางเลือกทางการเมืองให้หลากหลายขึ้น เช่นเปิดให้มีพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของกรรมาชีพ หรือพรรคการเมืองที่ให้ความสนใจกับสิทธิทางเพศ สิทธิของชนกลุ่มน้อย สิทธิของแรงงานข้ามชาติ หรือเรื่องการสร้างสันติภาพในปาตานี แทนที่เราจะมีโอกาสพัฒนาสังคมให้เป็นรัฐสวัสดิการและลดความเหลื่อมล้ำ แทนที่เราจะเดินหน้ายกเลิกกฏหมาย 112 เพื่อสร้างความโปร่งใส แทนที่เราจะลดอิทธิพลของทหารในระบบการเมือง เราต้องถูกบังคับให้ย้อนกลับไปสู่สังคมอนุรักษ์นิยมที่ไม่มีพื้นที่สำหรับพลเมือง และเราต้องเดินถอยหลังไปสู่ระบบประชาธิปไตยจอมปลอมภายใต้อำนาจของทหารและอภิสิทธิ์ชน

ทั้งหมดนี้คือผลงานของทหาร ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม และชนชั้นกลาง “สลิ่ม” พวกนี้อ้าง “ชาติ ศาสนากษัตริย์” เพื่อดูถูกกดขี่พลเมืองส่วนใหญ่ เขาอ้างว่าคนส่วนใหญ่ไม่พร้อมจะมีประชาธิปไตย ทั้งๆที่พลเมืองไทยธรรมดาจำนวนมากออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วถูกทหารเข่นฆ่าอย่างเลือดเย็น ไม่ว่าจะในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือในการต่อสู้ของขบวนการเสื้อแดง

การทำลายประชาธิปไตย การขังคุกนักต่อสู้คนดีๆ การข่มขู่ผู้เรียกร้องเสรีภาพจนหลายคนต้องเงียบหายไปหรือออกจากประเทศ การกอบโกยผลประโยชน์ของทหารในการคอร์รับชั่น การเพิ่มงบประมาณในเรื่องสิ้นเปลืองเช่นการซื้ออาวุธ หรือการทุ่มเทเงินประชาชนในตำแหน่งหรือพิธีกรรมสำหรับคนชั้นสูงที่รวยเกินไปอยู่แล้ว และการทำลายสวัสดิการในระบบสาธารณสุขและการศึกษาของพวกเผด็จการ ภายใต้ลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาดแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ทั้งหมดนี้คือผลพวงของรัฐประหาร

แต่ตอนนี้เราเผชิญหน้ากับภัยร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง คือการถูกบังคับหรือกล่อมเกลาให้ชินกับสภาพเผด็จการ และการเลิกฝันนถึงสังคมใหม่ พูดง่ายๆ คือ ตอนนี้เราต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับการแปรตัวของคนจำนวนมากไปเป็น “ซอมบี้” ทางการเมืองและสังคม

ส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์การเป็นซอมบี้ มาจากการปราบปรามข่มขู่ของเผด็จการ แต่อีกส่วนที่สำคัญพอๆ กัน อาจเป็นสาเหตุหลักก็อาจว่าได้ คือการเมืองและยุทธศาสตร์ของฝ่ายเราเอง

ในประการแรกพรรคพวกของทักษิณในพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. สามารถแช่แข็งการต่อสู้ของเสื้อแดงจนขบวนการที่เคยยิ่งใหญ่เข้มแข็ง อ่อนตัวลงและหมดสภาพในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง มันคือการหักหลังความฝันของพลเมืองหลายล้านคนที่จะเห็นเสรีภาพและสังคมใหม่ และพวกเราปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่เราไม่ควรแปลกใจเท่าไร เพราะทักษิณและพรรคพวกก็ไม่ได้เป็นคนก้าวหน้าที่อยากเห็นประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เขาอาจมีความคิดทันสมัยในการแก้ปัญหาหลายอย่าง แต่เขายังต้องการปกป้องระบบชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในสังคม

ในประการที่สอง นักต่อสู้ที่หลุดพ้นแนวคิดของทักษิณ ไปหันหลังให้กับการสร้างขบวนการมวลชน หรือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และหันหลังให้กับการจัดตั้งทางการเมือง เช่นการสร้างพรรคการเมืองของคนชั้นล่างอีกด้วย เขามองว่าการออกมาแสดงจุดยืนของปัจเจกไม่กี่คน ในเชิงสัญลักษณ์ จะนำมาซึ่งประชาธิปไตยและเสรีภาพ แต่คนที่กล้าสู้แบบนี้ก็โดนปราบง่าย ทุกวันนี้บางคนติดคุก ส่วนคนที่นั่งอยู่บ้านเชียร์การกระทำของวีรชนดังกล่าว ก็ไร้อำนาจที่จะปกป้องเขาและเปลี่ยนสังคม นี่คือโศกนาฎกรรมของการต่อสู้ในยุคเผด็จการไอ้ยุทธ์

พร้อมกับโศกนาฏกรรมดังกล่าว เชื้อโรคที่ทำให้คนเป็นซอมบี้ ก็ปรากฏตัวในสังคม คนที่ควรจะรู้ดีกว่านี้เริ่มเรียกผู้นำเผด็จการชั่วว่า “ลุง” หรือ บิ๊ก” นำหน้าชื่อเล่นของมัน เหมือนกับว่าพวกนี้เป็นผู้ใหญ่ใจดีหรือคนที่เราควรเคารพ บางกลุ่มเริ่มออกมาเรียกร้องให้เผด็จการแก้ปัญหาต่างๆ ให้ เหมือนกับว่ามันเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรม ท่ามกลางความหดหู่หลายคนหยุดการเคลื่อนไหวทางปัญญาโดยสิ้นเชิง และหมดความหวังไปเลย หรือตั้งความหวังไว้กับการปฏิรูปการเมืองจอมปลอม และมันยากที่จะฟื้นตัวจากสภาพเช่นนี้

สภาพซอมบี้มันรักษาได้ ยังไม่สายเกินไป แต่เราต้องทำงานจัดตั้งทางความคิดแบบใต้ดิน เพื่อร่วมกันศึกษาแลกเปลี่ยนเรื่องปัญหาการเมืองและสังคม และเพื่อขยายเครือข่ายประชาธิปไตย เตรียมพร้อมที่จะปรากฏตัวในสังคมเปิดเมื่อโอกาสเหมาะสม และเพื่อเดินหน้าโค่นเผด็จการในอนาคต

เราคงต้องรื้อถอนโครงสร้างศาสนา

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในการสร้างประชาธิปไตย เราคงจะต้องรื้อถอน ยกเลิก หรือปฏิรูปหลายองค์กรหลายสถาบันที่เป็นอุปสรรค์ต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย แน่นอนสถาบันหลักที่ต้องรื้อถอนคือทหาร แต่สถาบันและโครงสร้างของศาสนาพุทธคงต้องได้รับการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคนด้วย

คนห่มผ้าเหลืองที่ใช้ชื่อหรูว่า “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ออกมาพูดชมเชยและให้กำลังใจคณะทหารเถื่อน ที่ยึดอำนาจจากประชาชน และยังพูดอีกว่าประยุทธ์มือเปื้อนเลือดมีคุณสมบัติที่ดีที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

“พระ” ประจบสอพลอเลียเผด็จการคนนี้ ยังหน้าด้านพูดอีกว่าประชาชนควรใช้ศีล5 ในการปรองดองตามคำสั่งประยุทธ์

“สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” คงลืมไปแล้วมั้งว่าศีล5ประกอบไปด้วยอะไร

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากฆ่า แต่ประยุทธ์มันมือเปื้อนเลือดจากการฆ่าเสื้อแดง 90 คน

๒. อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ แต่ประยุทธ์ขโมยประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของพลเมืองไทยไป

๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

๔. มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ แต่ประยุทธ์โกหกว่า “ต้อง” ทำรัฐประหาร “เพื่อแก้ปัญหา” ในขณะที่ทหารเป็นตัวปัญหาแต่แรก

๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

สรุปแล้วประยุทธ์ เจ้านายของ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” กระทำผิดศีลข้อ 1,2 และ 4

ตั้งแต่ยุคเผด็จการสฤษดิ์ในอดีต มีการทำให้องค์กรศาสนาเป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการและอำมาตย์ ดังนั้นในการสร้างประชาธิปไตยเราคงต้องรื้อถอนองค์กรศาสนา ยกเลิกตำแหน่งพระสังฆราช และแยกศาสนาพุทธออกจากรัฐ ให้ทุกศาสนาเป็นเรื่องความศรัทธาส่วนตัว

ทหารมันต้องการทำอะไร?

ทหารมันต้องการทำอะไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถ้าจะตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็ต้องตอบว่าทหารมันต้องการ “ทำเหี้ย”

อย่างไรก็ตามเราคงต้องวิเคราะห์ไปไกลและลึกกว่านี้

คงไม่มีใครที่พอมีสมองที่จะเชื่อว่าประยุทธ์ทำรัฐประหาร เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายและคืนความสันติสุขให้กับประชาชน

28-soldiers-AFP-Getty

ถ้าใครไม่แน่ใจก็ลองทบทวนบทบาทกองทัพและประยุทธ์ก็ได้ ประยุทธ์และทหารเผด็จการอื่นร่วมกันก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยา เพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อเข้าข้างฝ่ายเผด็จการ พอมันต้องจัดการเลือกตั้งอีกเพื่อดูดี ฝ่ายทักษิณก็ชนะอีก มันเลยให้ศาลทำรัฐประหารตุลาการแล้วตั้งรัฐบาล อภิสิทธ์-สุเทพ ในค่ายทหาร ต่อมาเมื่อเสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตย แก๊งประยุทธ์-อนุพงษ์-อภิสิทธ์-สุเทพ ก็จัดการฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธในมือเก้าสิบราย หลังจากนั้นมันจำเป็นต้องยอมให้มีการเลือกตั้งอีก แล้วมันก็แพ้อีกทั้งๆ ที่ประยุทธ์เสือกการเมืองโดยวิจารณ์พรรคเพื่อไทยก่อนวันเลือกตั้งเป็นประจำ ปลายปีที่แล้วประยุทธ์ก็นั่งเฉยอมยิ้มปล่อยให้อันธพาลสุเทพก่อความรุนแรงและทำลายกระบวนการเลือกตั้ง ดังนั้นข้ออ้างของประยุทธ์ในการก่อรัฐประหารฟังไม่ขึ้น ไม่ต่างจากข้ออ้างเหลวไหลของผู้ก่อรัฐประหารในอดีตทุกครั้ง

เราต้องหวังว่าพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยในไทย จะจดจำชื่อของพวกทำเหี้ยทั้งหลาย เพื่อขึ้นบัญชีดำและจัดการกับพวกก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในอนาคต ไม่ใช่ไปอโหสิกรรม นิรโทษกรรม หรือลืมคนทำชั่วแบบในอดีต ชื่อแรกๆต้นๆ ในบัญชีดำของเราต้องเป็นแก๊ง ประยุทธ์-อนุพงษ์-อภิสิทธ์-สุเทพ แต่ขอเพิ่มชื่อทักษิณเข้าไปด้วย เพราะเขาเคยก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในปาตานี และสงครามยาเสพติดด้วย เราต้องไม่ “สองมาตรฐาน” เหมือนฝ่ายตรงข้าม

ทุกวันนี้เราเห็นทหารมุ่งหน้าปราบ รังแก และจำคุก คนเสื้อแดงและพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยอื่นๆ ในขณะที่ปล่อยให้อันธพาลประชาธิปัตย์และพวกชนชั้นกลางลอยนวล แต่พวกนี้คือกลุ่มคนที่ทำลายความสงบสุขของสังคมไทยด้วยการไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตยตลอดแปดปีที่ผ่านมา

ประยุทธ์กำลังพยายามทำสงครามกับคนเสื้อแดงและพลเมืองรักประชาธิปไตยทุกคน มาตรการในการเรียกเราไปรายงานตัว ขัง บังคับให้สัญญาว่าจะไม่ทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งรวมไปถึงนักวิชาการและผู้สื่อข่าวด้วย มาตรการในการใช้ทหารบุกบ้านคน มาตรการในการพยายามคุมพื้นที่สาธารณะเมื่อมีข่าวว่าคนอาจออกมาประท้วง มาตรการในการเก็บหนังสือจากร้านหนังสือ และมาตรการในการปิดกั้นการแสดงออกในสถานที่ศึกษา ล้วนแต่เป็นมาตรการของเผด็จการสุดขั้วที่มีกลิ่นอายของระบบฟาสซิสต์ แต่มันยังไม่มีการจัดตั้ง “รัฐตำรวจ” เบ็ดเสร็จแบบที่พวกฟาสซิสต์ทำ มันคงทำไม่ได้ด้วย เพราะต้องไปฝืนใจประชาชนส่วนใหญ่อย่างหนักและต่อเนื่อง

กิริยาการหลงตนเองของประยุทธ์ ทั้งในเรื่องที่จะให้ประชาชนกราบไหว้ และในเรื่องที่อ้างว่าตน “ทำงานหนักเพื่อชาติ” บวกกับความโง่เขลาปัญญาอ่อนของการรณรงค์ให้ประชาชนกลับคืนสู่ความสุข ซึ่งไม่มีใครนอกจากสลิ่มที่จะเชื่อหรือไม่หัวเราะเยาะในใจนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าสมเพช

กิริยาต่างๆ และวิธีการของประยุทธ์ทำให้ผมนึกถึง จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ….ใช่ครับ สฤษดิ์มันหลงตนเองถึงขนาดแต่งตั้งตนเองให้เป็นหัวหน้าทุกอย่าง รวมถึงหัวหน้าจอมคอร์รับชั่นอีกด้วย

สฤษดิ์มันโหดร้าย จับนักต่อสู้คนดีหลายคนมายิงเป้า แต่สฤษดิ์ก็เป็นคนน่าสมเพชด้วย เป็น “จอมพลผ้าขาวม้าแดง” ที่เอาผู้หญิงไปทั่วแล้วแจกเงินรัฐจากภาษีประชาชนให้เมียน้อย และเป็นนักธุรกิจมาเฟียที่ละเมิดกฏหมายที่ตนเองมีส่วนในการร่าง ไม่ว่าจะขายน้ำมันหรือดิบุกเถื่อน หรือกอบโกยเงินใต้โต๊ะ รัฐบาลกับผู้นำประเทศอื่นๆ รู้เรื่องนี้ไปกันหมด เสียชื่อประเทศไทย แต่ต่างประเทศซีกตะวันตกยอมปิดปากเพราะสฤษดิ์เลือกจะเลียสหรัฐในยุคสงครามเย็น

ที่สำคัญคือ ยุคสฤษดิ์กับยุคนี้ มันต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน เวลามันผ่านไปกว่า 50 ปี วุฒิภาวะของพลเมืองไทยพัฒนาไปไกล ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น ทุกคนมีการศึกษา ทุกคนมีส่วนเสียโดยตรงจากเผด็จการ และคนส่วนใหญ่เป็นผู้ทำงานในเมืองหรือนอกภาคเกษตร เผด็จการทหารครองเมืองนานๆ ไม่ได้ ประชาชนจะลุกฮือต้านในที่สุด

พลเอก “น้ำนม” ประยุทธ์ไม่มีวันหมุนนาฬิกากลับได้ ไม่ว่าเขาจะฝันเปียกกี่คืนเรื่องนี้

ประเด็นคือ ประยุทธ์กับพวกประจบสอพลอรอบตัวมัน โง่เขลาเต็มตัวที่ฝันว่าจะหมุนนาฬิกากลับแบบนั้น หรือเขามีเป้าหมายอื่น?

เรื่องความโง่เขลาของประยุทธ์กับพรรคพวกนั้นผมพร้อมจะเชื่อ แต่มันก็เป็นไปได้อีกว่ามันไม่โง่ถึงขนาดนั้น ไม่ว่ามันจะเลวและมือเปื้อนเลือดแค่ไหน

ถ้าประยุทธ์กับพวกประจบสอพลอรอบตัวมันมีเป้าหมายอื่น เป้าหมายหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ เขากำลังพนันครั้งใหญ่ว่า ถ้าเขาข่มขู่พวกเรา ถ้าเขาขังแกนนำ และถ้าเขาสร้างกระแสความกลัว ในไม่ช้าพวกเราจะหดหู่หมดกำลังใจ หลังจากนั้นมันก็จะเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งอีกรอบ เพื่อให้พรรคการเมืองของทักษิณและยิ่งลักษณ์ไม่มีวันชนะหรือครองอำนาจได้ เขาพนันว่าเราจะไม่สู้เรื่องนี้

ถ้านี่คือเป้าหมายของพวกมัน เราต้องทำทุกอย่างที่จะไม่หดหู่หมดกำลังใจหรือยอมจำนน เราอาจลดระดับการเคลื่อนไหวชั่วคราว แต่ในพื้นที่ใต้ดินเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างเครือข่ายทางการเมือง ที่หนักแน่นกว่าเดิม พอมีโอกาสเราก็จะได้ระเบิดออกมาประท้วงและล้มเผด็จการได้

ทุกวันนี้ทั้งทักษิณ นักการเมืองเพื่อไทย และแกนนำ นปช. กำลังร่วมมือกับทหาร ซึ่งต้องถือว่าเป็นการหักหลังประชาชน เขามีทางเลือกอื่นในการนำการต่อสู้ แต่เขาเลือกไม่ทำ เขายอมจำนน ดังนั้นพลเมืองรากหญ้าต้องก้าวขึ้นมานำตนเอง แต่นำตนเองอย่างเป็นระบบที่มีการจัดตั้ง

วันนี้ประชาธิปไตยไทยถอยหลัง แต่ในอนาคต เมื่อเราพร้อม เราจะลุกขึ้นสู้และล้มระบบอำมาตย์ทั้งหมด โค่นมันแบบถอนรากถอนโคน