Tag Archives: ประยุทธ์

โจร500 สืบทอดอำนาจเผด็จการตามคาด แต่ทำไมพรรคฝ่ายประชาธิปไตยงอมืองอเท้าไม่นำการต่อสู้นอกสภา?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในที่สุดผลของการวางไข่พิษโดยเผด็จการประยุทธ์ก็บรรลุผลตามคาด พลเมืองที่รักประชาธิปไตยส่วนใหญ่คงไม่แปลกใจนัก เพราะเราเห็นการออกแบบประชาธิปไตยจอมปลอมโดยคณะโจรมานาน

ยุง

แต่ประเด็นที่พวกเราทุกคนต้องตั้งเป็นคำถามกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยคือ “ทำไมไปเล่นตามกติกาโจรทุกอย่างและไม่เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลล่วงหน้า?”

การร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของเผด็จการ และผลคะแนนเสียงที่ออกมา คือพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะต้านเผด็จการได้เสียงข้างมากและได้จำนวนที่นั่งข้างมาก เป็นโอกาสทองที่จะประกาศต่อมวลชนว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่คัดค้านการสืบทอดอำนาจโดยเผด็จการ และเป็นโอกาสทองที่จะใช้ความชอบธรรมจากผลการเลือกตั้งนี้ เพื่อสร้างขบวนการมวลชนทีเป็น “แนวร่วมเพื่อประชาธิปไตย” นอกรัฐสภา

แต่พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยโยนโอกาสทองอันนี้ทิ้งลงน้ำ

แทนที่จะเริ่มสร้างขบวนการมวลชนเพื่อเป็นพลังในการทำลายเผด็จการ แกนนำของพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย เลือกที่จะเล่นตามเกมส์เผด็จการหมดเลย มีแต่การยอมรับว่าจะเป็นฝ่ายค้านในสภาน้ำเน่า มีแต่การอาศัยกระบวนการอยุติธรรมของศาลเตี้ยใต้ตีนทหาร มีแต่การมองไปสู่การเลือกตั้งท้องถิ่น และการสร้างพรรคต่อไปเพื่อเล่นตามแนวเดิม

เผด็จการในไทยหรือที่อื่นทั่วโลกไม่เคยถูกล้มโดยการเล่นตามกติกาเผด็จการ เผด็จการจะถูกล้มได้ก็ด้วยพลังมวลชนบนท้องถนนและในสถานที่ทำงาน ขบวนการมวลชนเพื่อประชาธิปไตยในไทยควรจะถูกสร้างตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เมื่อมีกระแส “คนอยากเลือกตั้ง” แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ไม่สนใจ

ตอนนี้การเล่นตามเกมส์เผด็จการ และการหมกมุ่นกับกฏหมายโจรและศาลโจร ถึงทางตันแล้ว เพราะเรามีรัฐบาลทหารเถื่อนนำโดยอาชญากรที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสส.

สำหรับนักวิชาการและนักเคลื่อนไหว “สลิ่ม” ที่เคยแหกปากโกหกเรื่อง “เผด็จการรัฐสภา” ในยุคทักษิณ สิ่งที่เรามีวันนี้คือเผด็จการรัฐสภาตัวจริง

สภา
ภาพจาก ILaw

พวกเราคงทราบดีเรื่องที่มาที่ไปของการตั้งรัฐบาลเถื่อนชุดนี้ เริ่มจากการทำรัฐประหารล้มประชาธิปไตยของประยุทธ์ ผ่านการใช้ความรุนแรงกับฝ่ายประชาธิปไตยก่อนและหลังรัฐประหาร ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญเผด็จการ ผ่านการเขียนยุทธศาสตร์แห่งชาติ20ปี ผ่านการเขียนกติกาการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจ ผ่านการใช้ศาลเตี้ยยุบพรรค ผ่านการแต่งตั้งสว.เถื่อนโดยทหาร และขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้กกต.ของทหารเพื่อโยกย้ายจำนวนที่นั่งจากพรรคอนาคตใหม่สู่พรรคเล็กที่ไม่มีใครสนับสนุน ผลก็อย่างที่เราเห็นอยู่

สิ่งเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของทุกคน แต่แกนนำพรรคอนาคตใหม่กับพรรคเพื่อไทย ไม่เคยเสนอว่าจะจัดการกับการโกงการเลือกตั้งแบบนี้อย่างไร มีแต่การสร้างความฝันจอมปลอมว่าแค่การกาช่องในบัตรเลือกตั้งจะนำไปสู่การฆ่าเผด็จการได้ และมีแต่การสร้างความฝันว่ารัฐสภาจะคว่ำรัฐธรรมนูญและกติการทหารได้

ดู https://bit.ly/2Wu8eGH

ประเด็นที่เผชิญหน้าเราทุกคนคือ จะมีการทบทวนแนวยอมจำนนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ หรือจะยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลเถื่อนต่อไป

ในบทความฉบับหน้าจะมีข้อเสนอว่าเราจะสู้เผด็จการอย่างไร

ฆาตกรทหาร ลอยนวลมาตลอด

ใจ อึ๊งภากรณ์

9 ปีหลังการสังหารเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย โดยอนุพงษ์ เผ่าจินดา, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ฆาตกรแก๊งนี้ยังลอยนวล

15 ปีหลังเหตุสังหารประชาชนมาเลย์มุสลิมที่ตากใบ ทหารตำรวจและทักษิณ ชินวัตร ยังลอยนวล

26 ปีหลังการสังหารผู้รักประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕ ฆาตกรทหารยังลอยนวล

43 ปีหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ฆาตกรทหารและตำรวจยังลอยนวล และฆาตกรหลายคนคงตายไปแล้ว

ตั้งแต่กบฏผู้มีบุญในอีสาน ที่เกิดขึ้นเพื่อต้านการกดขี่ที่มาพร้อมกับการสร้างรัฐไทยสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่๕ ชนชั้นปกครองไทยมือเปื้อนเลือดจาก “อาชญากรรมรัฐ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก และไม่มีเคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดที่ถูกลงโทษ วัฒนธรรมการลอยนวลของอาชญากรระดับสูงในสังคมไทยจึงถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะมีการสั่งฆ่าโดยตรง หรือมีการเปิดไฟเขียวให้คนอื่นฆ่า ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องเป็นผู้ที่ถืออำนาจในยุคนั้นๆ ความรับผิดชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความผิดที่มาจากการสั่งการโดยตรงทั้งๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดคนหนึ่งอาจสั่งการไปด้วย ปัญหาที่มักพบคือพิสูจน์คำสั่งโดยตรงยาก แต่ประเด็นคือคนที่มีอำนาจเพราะมีตำแหน่งต้องรับผิดชอบ เพราะผู้บริหารองค์กรหรือประเทศมีอำนาจ และต้องรับผิดชอบต่ออำนาจที่สังคมมอบให้หรือที่เขายึดมาจากสังคมผ่านการทำรัฐประหาร

ในแง่นี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของสหาย สุรชัย, ภูชนะ กับ กาสะลอง

_107009966_44481289_775709012771367_386115618585182208_n

และประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง), สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เราคงต้องสรุปว่าทหารของ คสช. อุ้มฆ่าสามคนนี้

ในกรณีการอุ้มฆ่านักสิทธิมนุษยชน เช่นทนายสมชาย หรือนักเคลื่อนไหวไทยในประเทศลาว เราต้องเข้าใจว่ารัฐบาลเผด็จการทรราชในไทยและทั่วโลก มักจะออกมาโกหกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้เป็นธรรมดา และวิธีการที่พวกนี้ใช้มักจะไม่เหลือหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้เราสืบค้นได้ แต่นั้นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนในการก่ออาชญากรรม

เผด็จการทหารไทยมีประวัติในการเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าคนที่เห็นต่างหรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “โกตี๋” กับ “ดีเจซุนโฮ” ที่อยู่ในประเทศลาว เป็นตัวอย่างที่ดีของการถูกอุ้มฆ่า กองทัพไทยใช้กองกำลังลับ เพื่อฆาตกรรมวิสามัญคนมาเลย์มุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลไทยในปาตานี และใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้กองทัพไทยมีประวัติในการข้ามพรมแดนเข้าไปในประเทศลาวเพื่อไปใช้อาวุธแบบลับๆ ร่วมกับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม มันชวนให้เราคิดว่าการข้ามพรมแดนไปฝั่งลาวของทหารไทยเป็นเรื่องธรรมดา

ชูชีพ
ลุงสนามหลวง
สยาม
สยาม ธีรวุฒิ

นอกจากนี้ในกรณีของ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ (ลุงสนามหวง), สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย และกรณีการส่งตัวคุณประพันธ์ จำเลยคดีสหพันธรัฐไท กลับไทย เราต้องประณามรัฐบาลเวียดนามและมาเลเซีย ที่ไม่มีหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานเลย และร่วมมือกับอาชญกรเผด็จการไทย

ส่วนกรณีวงดนตรีไฟเย็นที่โดนเผด็จการทหารไทยคุกคาม เราต้องคอยติดตามดูแลสถานภาพของเขาตลอด จนกว่าเขาจะได้โอกาสเดินทางไปลี้ภัยในตะวันตก

safe_image

ที่เห็นชัดคือประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง และเราไม่สามารถพึ่งพรรคการเมืองกระแสหลักได้ในขณะนี้ ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน เพื่อขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในสังคมของเรา

เงื่อนไขสำคัญในการออกมาประท้วงการโกงการเลือกตั้ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยควรเตรียมตัวรับมือกับการโกงการเลือกตั้งโดยเผด็จการทหารของประยุทธ์ ขั้นตอนแรกคือการคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง ว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะมียุทธศาสตร์อะไรที่เหมาะสม เพราะเราไม่สามารถงอมืองอเท้าน้อมรับการโกงการเลือกตั้งโดยทหาร

แน่นอนพวกเราทราบดีว่า #เผด็จการทหาร มีแผนสืบทอดอำนาจไปอีก 20ปี ด้วยการแต่งตั้งสว. แต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งกกต. และการใช้แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ20ปีเพื่อมัดมือรัฐบาลที่มาจากการเลอกตั้ง ประเด็นนี้เราทราบมานานแล้ว แต่เราจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องที่จะทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจจนพร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว

ประเด็นสำคัญคือการโกงการเลือกตั้งหลังจากที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเรียบร้อยไปแล้ว

ในประการแรกหลังวันเลือกตั้งเราจะต้องนับคะแนนเสียงทั้งหมดที่ประชาชนแต่ละคนทั่วประเทศลงให้พรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ สามัญชน เพื่อชาติ และประชาชาติ ซึ่งเป็นพรรคหลักที่มีนโยบายต้านทหารที่ชัดเจน

หลังจากนั้นเราจะต้องนำคะแนนเสียงทั้งหมดที่ประชาชนลงให้พรรคต้านทหาร มาเปรียบเทียบกับคะแนนเสียงที่ประชาชนลงให้พรรคทหารและพรรคของสุเทพ

การนับคะแนนเสียงไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับการนับจำนวนสส.

เราควรจะมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนการลงประชามติว่าประชาชนต้องการประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ในขั้นตอนนี้จำนวน สส. ไม่สำคัญ เพราะเราทราบว่ามีการใช้สูตรแปลกๆ และการแต่งตั้ง สว. เพื่อให้ประยุทธ์กับพรรคพวกได้เปรียบ

ถ้าจำนวนคะแนนเสียงทั่วประเทศที่ต้านประยุทธ์มากกว่าคะแนนเสียงที่สนับสนุนประยุทธ์ เราต้องชัดเจนว่าประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรมแต่อย่างใดที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าที่นั่งในสภาจะเป็นอย่างไร

ถ้าประยุทธ์หน้าด้านผลักตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์แบบนั้น การออกมาประท้วงต้านประยุทธ์จะมีความชอบธรรมสูง และถ้าพรรคการเมืองหรือนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยสนับสนุนการประท้วงก็จะยิ่งดี แต่นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องรอนักการเมือง เพราะบ่อยครั้งนักการเมืองลังเลใจไม่กล้านำ

571d8aa2c038bd71e98317cb1cad16cdb98096fad3d964da3c320acffed5b9f0

ถ้ามีการประท้วงเราต้องชัดเจนว่ามันไม่ใช่การประท้วงแสดงความไม่พอใจกับผลการเลือกตั้ง แต่เป็นการประท้วงเพราะเผด็จการทหารและพรรคทหารไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

อีกกรณีที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการออกมาประท้วงคือกรณีที่พรรคอนาคตใหม่หรือพรรคสามัญชนหรือพรรคเพื่อไทยถูกยุบ หรือกรณีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือแกนนำพรรคต้านทหารคนอื่น ถูกลงโทษหรือจำคุก เพราะมันจะเป็นมาตรการที่ขัดกับการเลือกตั้งเสรีในระบบประชาธิปไตย เรายอมไม่ได้

ใครคิดที่จะเล่นพรรคเล่นพวกเพราะชอบหรือไม่ชอบ ธนาธร หรือพรรคอนาคตใหม่ หรือใครก็ตามจากฝ่ายประชาธิปไตยที่โดนลงโทษทางการเมือง จะเป็นคนปัญญาอ่อนทางการเมืองโดยสิ้นเชิง เราต้องข้ามพ้นอคติแบบนั้น

การประท้วงการโกงการเลือกตั้งอย่างที่พูดถึงนี้ มีความสำคัญในการเดินหน้าลดผลพวงของเผด็จการ ซึ่งเป็นงานที่คงใช้เวลา เราจึงยอมจำนนตั้งแต่ก้าวแรกไม่ได้ การประท้วงในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่การกระทำที่ “เข้าทางเผด็จการ” หรือสร้างเงื่อนไขให้เผด็จการอยู่ต่อยาว ตรงกันข้ามการนิ่งเฉยเป็นสูตรที่ทำให้เผด็จการอยู่ต่ออย่างสบาย และที่สำคัญคือวิธีการกับรูปแบบการประท้วงต้องถูกกำหนดจากนักเคลื่อนไหวในไทย ควรเรียนบทเรียนจากอดีต และควรพิจารณาการนัดหยุดงานอีกด้วย ควรเน้นมวลชนไม่ใช่ทำในรูปแบบกลุ่มเล็กๆในเชิงสัญญลักษณ์

นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทุกคน คงหวังว่าพรรคต้านทหารจะได้เสียงในรัฐสภาพอที่จะตั้งรัฐบาลพลเรือนได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแต่มีการกีดกันไม่ให้ตั้งรัฐบาล นั้นก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่จะออกมาประท้วงด้วยความชอบธรรม

ประชาธิปไตยไม่เคยสร้างได้จากการเคารพกฏหมายเผด็จการหรือการอาศัยสส.ในรัฐสภาอย่างเดียว

ถ้าเราไม่คุยและเตรียมตัวล่วงหน้าเรื่องนี้ พลเมืองไทยจะเป็นแค่เหยื่อของเผด็จการที่ไร้พลัง ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเถิด

เราต้องร่วมกันประณามเผด็จการไทยที่วิสามัญฆ่าสุรชัยและสหาย

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกคนที่รักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะต้องประณามเผด็จการทหารไทยที่มีส่วนในการวิสามัญฆาตกรรม สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหาย “ภูชนะ” และสหาย “กาสะลอง”

46097871864_6f2f471e68_k
ภาพจากประชาไท

ประยุทธ์เปื้อนเลือดอีกแล้ว

bloody prayut

หลังการพิสูจน์ด้วยดีเอ็นเอว่าสองศพที่ติดฝั่งแม่น้ำโขงที่นครพนม คือศพของสหายภูชนะกับสหายกาสะลอง ทั้งภรรยาและนักข่าวหลายคนที่เชื่อถือได้ ร่วมกันมองว่าสหายสุรชัยก็ถูกฆ่าไปแล้ว และศพที่สามของ สุรชัย หายไป

สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหายภูชนะ และสหายกาสะลอง เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศลาวจากเหตุการณ์รัฐประหาร ๒๕๕๗ เขาทั้งสามหายออกจากที่พักโดยที่ไม่มีใครสามารถติดต่อได้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่จะพบศพ

เผด็จการทหารไทยมีประวัติในการเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าคนที่เห็นต่างหรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “โกตี๋” กับ “ดีเจซุนโฮ” ที่อยู่ในประเทศลาวเช่นกัน เป็นตัวอย่างที่ดีของการถูกอุ้มฆ่า ในกรณี โกตี๋ เขาถูกอุ้มโดยชายไทยแต่งชุดดำที่ข้ามพรมแดนมาจากไทย

gplus777070875

รัฐบาลเผด็จการทรราชในไทยและทั่วโลก ที่ใช้วิธีการจัดตั้งกองกำลังลับเพื่อฆ่าวิสามัญฝ่ายตรงข้าม มักจะออกมาโกหกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้เป็นธรรมดา และวิธีการที่พวกนี้ใช้มักจะไม่เหลือหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้เราสืบค้นได้ แต่นั้นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลของประยุทธ์ไม่ได้มีส่วนในการฆ่า สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหายภูชนะ และสหายกาสะลอง เพราะอะไร?

ในประการแรก เราทราบดีว่าทั้งประยุทธ์จอมเผด็จการ ประวิตรหมูโสโครก และพรรคพวกคนอื่นๆ มีนิสัยโกหกเป็นสันดาน

ในประการที่สอง ประยุทธ์มีประวัติเปื้อนเลือดจากการฆ่าเสื้อแดงที่ไร้อาวุธในขณะที่เรียกร้องประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลทหารที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี

ในประการที่สาม กองทัพไทยใช้กองกำลังลับ เพื่อฆาตกรรมวิสามัญคนมาเลย์มุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลไทยในปาตานี และใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

ในประการที่สี่ รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ใช้อำนาจเถื่อนในการปราบปรามคนที่คิดต่าง โดยเฉพาะผ่านการใช้กฏหมาย 112 สิ่งนี้บวกกับการคลั่งเจ้าของทหาร ทำให้พวกโจรป่าเถื่อนสุดขั้วอย่าง พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา หัวหน้าแก๊ง “เก็บขยะ” ได้ใจในการข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง โดยที่ไม่เคยโดนรัฐบาลลงโทษหรือปลดออกจากตำแหน่งผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ พูดง่ายๆ รัฐบาลประยุทธ์ส่งเสริมพฤติกรรมแย่ๆ ของนายเหรียญทอง

asdwdwd-1

อ. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เคยเขียนไว้ในบทความที่เผยแพร่ใน Japan Times ว่า เหรียญทอง แน่นหนาเคยโพสธ์ในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับคนไทยที่หลี้ภัยในฝรั่งเศสอันเนื่องมาจากการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ว่า “ถ้าทำได้ อยากจ้างมือปืนไปฆ่า” นั้นไม่ได้พิสูจน์ว่านายเหรียญทองเกี่ยวข้องกับการฆ่าวิสามัญในลาว แต่มันสะท้อนระบบคิดของพวกคลั่งเจ้าและความมั่นใจว่ามันจะลอยนวลเมื่อก่ออาชญากรรม [ดู https://bit.ly/2UaJYnq]

ในประการสุดท้าย ไม่ว่าประยุทธ์กับพรรคพวกจะสั่งหรือไม่สั่งให้มีการฆ่าสหายสุรชัยกับสหายอื่น แต่การที่คนฆ่าน่าจะเกี่ยวกับกองทัพ และการที่แก๊งประยุทธ์ยึดอำนาจมาปกครองประเทศ แปลว่าคณะเผด็จการต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเราต้องประณามพฤติกรรมของเขา

การที่คนไทยผู้รักประชาธิปไตยข้ามไปหลี้ภัยในลาว ไม่ได้ทำให้รัฐบาลลาวปกป้องเขาแต่อย่างใด เพราะลาวไม่ได้ให้สถานะผู้หลี้ภัยเป็นทางการ แค่ปล่อยให้อยู่ ซึ่งแปลว่าอันธพาลจากกองทัพไทยสามารถข้ามฝั่งไปก่ออาชญากรรมได้อย่างง่ายดาย ในอดีตสมัยสงครามเย็นทหารไทยก็เคยแอบเข้าไปในลาวเพื่อต่อสู้กับขบวนการปลดแอกของประเทศลาว ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงที่ไร้ความชอบธรรม

เป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศตะวันตกและองค์กรสหประชาชาติไม่ได้สนใจปัญหาของผู้ลี้ภัยไทยเท่าที่ควร แต่เราต้องวิจารณ์องค์กรภายในประเทศไทยด้วย ยังไม่มีพรรคการเมืองหรือองค์กรณ์เอ็นจีโอไทยที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลไทยในเรื่องนี้เลย และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่กำลังเล่นละครกับรัฐบาลทหารเรื่องกฏหมายอุ้มฆ่าและทรมาน ก็เงียบเฉยในเรื่องสุรชัยและพรรคพวก มีแต่ฮิวแมนไรท์วอทช์เท่านั้นที่ออกแถลงการณ์ [ดู https://bit.ly/2Wdilfi ]

เราคงหวังอะไรไม่ได้จากรัฐบาลลาว เพราะรัฐบาลลาวเน้นรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลไทย และลาวเองก็มีการอุ้มหายไปของนักกิจกรรม ดังนั้นทุกคนที่รักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะต้องประณามเผด็จการทหารไทยที่มีส่วนในการวิสามัญฆาตกรรม สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหาย “ภูชนะ” และสหาย “กาสะลอง”

[อ่านเพิ่มเรื่องอาชญากรรมรัฐไทยในอดีต https://bit.ly/2S5c5XT ,   https://bit.ly/2B50UVd ]

ผู้นำตะวันตกที่คบประยุทธ์ล้วนแต่เป็นพวกล้าหลัง

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน ท่านควรกดเข้าไปที่หน้าบล็อก]

คนไทยไม่ควรตกใจที่ผู้นำตะวันตกพร้อมจะคบ “ประยุทธ์มือเปื้อนเลือด” เพราะอย่างที่ผมเคยอธิบายแล้ว รัฐบาลตะวันตกไม่ได้สนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพหรือประชาธิปไตยในไทยหรือที่อื่น แค่สร้างภาพเท่านั้นเอง สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือเรื่องการค้า การหากำไรให้กลุ่มทุนของตน และการหาวิธีคานอิทธิพลทางการเมืองของคู่แข่งในเวทีโลก            [ดู https://bit.ly/2MVbtyv ]

36114148_10212637065542288_4317893616677683200_n

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่เราควรเข้าใจด้วยคือไม่ว่าจะชาติไหนในโลก ยุโรปตะวันตก สหรัฐ หรือไทย มันมีความขัดแย้งทางการเมืองหรือขั้วการเมืองระหว่างนักการเมืองก้าวหน้ากับนักการเมืองล้าหลังเสมอ มันไม่ใช่ว่า “อังกฤษคือแม่แบบประชาธิปไตย” ประชาธิปไตยอังกฤษมาจากการต่อสู้ระหว่างพวกอนุรักษ์นิยมล้าหลัง กับพวกก้าวหน้าที่ยืนอยู่เคียงข้างคนจน กรรมาชีพ และคนส่วนใหญ่

18137-1t8ewuk

ในกรณีอังกฤษ ทะรีซา เมย์ เป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมที่มีประวัติในการใช้นโยบายรัดเข็มขัด ตัดสวัสดิการของคนส่วนใหญ่ ทำลายระบบสาธารณสุข กดขี่สหภาพแรงงาน ลดภาษีให้คนรวยและกลุ่มทุน และเขามีประวัติในการใช้นโยบายเหยียดสีผิวและเหยียดคนต่างชาติอีกด้วย นอกจากนี้รัฐบาลนี้ก็จับมือกับทรราชอื่นๆ รอบโลก รวมถึงซาอุดิอาระเบีย กับอิสราเอล

ในอดีตพรรคอนุรักษ์นิยมเป็นอุปสรรคใหญ่ในการต่อสู้เพื่อสิทธิในการเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ในอังกฤษอีกด้วย

trump_0

ในกรณีสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีที่ปฏิกิริยาล้าหลังที่สุด ทรัมป์ชอบใช้คำพูดเหยียดสีผิวอย่างต่อเนื่อง เขามองว่าคนต่างชาติเหมือน “แมลง” หรือเป็นพวก “อาชญากร” เขาใช้นโยบายกักขังเด็กเล็กแยกจากพ่อแม่เมื่อเด็กเหล่านั้นข้ามพรมแดนกับพ่อแม่เพื่อแสวงชีวิตใหม่ในสหรัฐ เขามีประวัติในการละเมิดสตรีและใช้คำหยาบคายเกี่ยวกับผู้หญิง เขาใช้นโยบายก้าวร้าวต่อประเทศอื่นจนเกิดภัยสงคราม เขาตัดภาษีให้กลุ่มทุนและคนรวย และประกาศย้ายสถานทูตสหรัฐในอิสราเอลไปเมืองเยรูซาเลมทั้งๆ ที่ชาติอื่นๆ ไม่เห็นด้วย และการกระทำครั้งนี้ก่อให้เกิดสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง

macron-1

ในกรณีฝรั่งเศส ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เป็นผู้นำฝ่ายขวาที่พยายามทำลายฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนผู้ทำงาน และทำลายสิทธิของสหภาพแรงงานจนเกิดการนัดหยุดงานทั่วประเทศ

460C8FA3-8BDE-4B3D-A4BD-0777AD9B41C8_w1023_r1_s

รัฐบาลของเขาใช้นโยบายรัดเข็มขัดกับประชาชนธรรมดา แต่ตัว มาครง เองก็ใช้เงินภาษีประชาชนเพื่อซื้อชุดกินข้าวหรูราคาเป็นแสน และสั่งสร้างสระว่ายน้ำในทำเนียบฤดูร้อน นอกจากนี้เขาพร้อมจะคบจับมือกับทรราชรอบโลกเช่นผู้นำซาอุดิอาระเบีย กับอิสราเอล ไม่ต่างจาก ทะรีซา เมย์

มาครอง เป็นคนถือตัว เขาไม่พอใจเมื่อเด็กวัยรุ่นเรียกเขาโดยใช้ชื่อเล่นว่า ‘มานู’ และร้องเพลง “อินเตอร์เนชั่นแนล” ของฝ่ายซ้าย เพื่อประชดนโยบายเอาใจนายทุนของรัฐบาล มาครอง

Britain and France summit

ดังนั้นในขณะที่พวกเราต้องประท้วงรัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ และเรียกร้องประชาธิปไตย เราไม่ควรตกใจหรือแปลกใจในพฤติกรรมของผู้นำตะวันตก

36177328_10212637068502362_2465469304175329280_o

 

นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยต้องเลิกฝากความหวังกับรัฐบาลตะวันตก

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน ท่านควรกดเข้าไปที่หน้าบล็อก]

การที่ประยุทธ์มือเปื้อนเลือดถูกเชิญไปพูดคุยกับรัฐบาลฝ่ายขวาของอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อทำสัญญาการค้า การลงทุน และซื้ออาวุธ เป็นอีกกรณีหนึ่งที่พิสูจน์ว่ารัฐบาลตะวันตกไม่มีความจริงใจเลยในเรื่องการสนับสนุนประชาธิปไตยในไทย

Not welcome here

ก่อนหน้านี้เราเห็นว่ารัฐบาลอังกฤษพร้อมจะเชิญคนอย่างประวิตรหน้าหมู ไปเที่ยวงานขายอาวุธที่ลอนดอน ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับหมูโสโครกคนนี้ที่จะคบค้าสมาคมกับทรราชจากทั่วโลกที่ไปเที่ยวงานเดียวกัน  และในที่สุดทหารไทยก็ได้อาวุธเพิ่มและบริษัทตะวันตกก็ได้กำไร

ส่วนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็ทำการฝึกทหารร่วมกับกองทัพไทย และประธานาธิบดีทรัมพ์ก็ยินดีพบอาชญากรอย่างประยุทธ์

ในแวดวงการทูตต่างๆ ของรัฐบาลทั่วโลก อุดมการณ์ประชาธิปไตยมักจะไม่มีความสำคัญ ที่สำคัญคือการแข่งกันระหว่างมหาอำนาจ เช่นการแข่งกันระหว่างจีนกับสหรัฐเพื่อมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย และการหาโอกาสที่จะค้าขายสินค้า เพื่อสร้างกำไรให้กลุ่มทุนของประเทศตนเอง โดยเฉพาะการขายอาวุธ นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลตะวันตกคบค้าสมาคมและขายอาวุธให้ทรราชทั่วโลกโดยไม่เลือกหน้า

ถ้ารัฐบาลตะวันตกไม่ยอมคบใคร หรือพยายามผลักดันมาตรการกีดกันการค้าขายกับประเทศใด ก็เฉพาะประเทศที่เป็นศัตรูหรือคู่แข่งหลักเท่านั้น มันไม่เคยเกี่ยวอะไรกับสิทธิเสรีภาพหรือประชาธิปไตยเลย และในอดีตในช่วงสงครามเย็นที่ใครๆ ชอบอ้างว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง “โลกเสรี” กับ “โลกคอมมิวนิสต์” รัฐบาลตะวันตกก็ยินดีจับมือกับเผด็จการทหารในหลายประเทศ รวมถึงไทยด้วย

สิ่งที่รัฐบาลตะวันตกสนใจมากกว่าสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในประเทศอื่นๆ คือ “เสถียรภาพ” ของรัฐบาล และ “ความสงบเรียบร้อย” ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย

20180620_200111

ตอนนี้เผด็จการทหารไทยกำลังออกแบบระบบประชาธิปไตยจอมปลอมแบบพม่า คือจะมีการเลือกตั้งเป็นพิธีกรรม เพื่อดูดี ภายในกรอบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพโดยแผน “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ที่มันร่างเอง และ “คณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์แห่งชาติ” ที่มันใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสืบทอดอำนาจร่วมกับวุฒิสภา ตุลาการ และกกต.ที่มันแต่งตั้งเอง เป้าหมายคือการสร้างภาพลวงตา เพื่อให้คนไทยบางส่วน โดยเฉพาะคนชั้นกลาง และรัฐบาลต่างประเทศ มองว่าในอนาคตไทยจะเป็น “ประชาธิปไตย” ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง และวันเลือกตั้งก็เลื่อนออกไปได้เรื่อยๆ

พวกทหารคำนวณว่าภาพลวงตานี้เพียงพอที่จะเป็นข้อแก้ตัวสำหรับรัฐบาลตะวันตก รัฐบาลตะวันตกต้องการเหลือเกินที่จะยอมรับว่าไทยกำลัง “กลับสู่ประชาธิปไตยแล้ว” ทั้งๆ ที่ใครๆ คงมองออกว่ามันไม่ใช่ การแสวงหาข้อแก้ตัวเพื่อให้รัฐบาลตะวันตกกลับมาคบผู้นำไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับรัฐบาลเหล่านั้น เพราะจริงๆ แล้ว การพูดว่าไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการของไทย บ่อยครั้งเป็นคำพูดนามธรรมเพื่อให้ดูดีในสายตาพลเมืองตะวันตกเท่านั้น มันเป็นเรื่องการเมืองภายใน การส่งตัวแทนจากสถานทูตไปสังเกตการณ์คดีต่างๆ ในไทย ก็เป็นแค่การสร้างภาพเช่นกัน เพราะไม่เคยนำไปสู่การปล่อยนักโทษการเมืองหรือการยอมให้นักประชาธิปไตยขอลี้ภัยทางการเมืองในตะวันตกอย่างง่ายๆ  และในที่สุดตอนนี้ประเทศอียูและสหรัฐก็ยกเลิกการจำกัดความสัมพันธ์กับรัฐบาลประยุทธ์เรียบร้อยไปแล้ว

อย่างไรก็ตามมีนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายคนในไทย ที่ยังหลงตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลตะวันตก หรือสหประชาชาติ ซึ่งก็เป็นแค่สมาคมของรัฐบาลมหาอำนาจนั้นเอง

34605905_10155712246440819_8867687056130703360_n
อย่าหลงเชื่อว่าตัวแทนรัฐบาลตะวันตกจะมาช่วยเราสร้างประชาธิปไตย

ดังนั้นเราหนีไม่พ้นข้อสรุปว่า ถ้าเราจะล้มล้างอิทธิพลและมรดกของเผด็จการ เพื่อสร้างประชาธิปไตยแท้ คนไทยจะต้องรวมตัวกันปลดแอกตนเอง และสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีมวลชน เพราะจะไม่มีใครคนอื่นทำให้

เราควรมีท่าทีอย่างไรต่อคดีจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์?

ใจ อึ๊งภากรณ์

บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อให้สลิ่มอ่าน ถ้าสลิ่มอ่านมันจะเป็นการสีซอให้ควายฟัง เพราะสลิ่มไม่สนใจความยุติธรรมหรือประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่บทความนี้เขียนเพื่อแลกเปลี่ยนกับฝ่ายประชาธิปไตยและคนที่เป็นเสื้อแดงในอดีต ผมใช้คำว่า “อดีต” เพราะขบวนการเสื้อแดงโดนแช่แข็งโดยนักการเมืองเพื่อไทยและทักษิณจนหมดสภาพไปแล้ว

ผมคงจะไม่เสนออะไรใหม่ถ้าผมฟันธงว่าคดีจำนำข้าว ที่เผด็จการมือเปื้อนเลือดริเริ่ม เป็นคดีการเมืองเพื่อทำลายนักการเมืองอย่างยิ่งลักษณ์ เพราะนั้นคือเจตนาของพวกโจรที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจมาแต่แรก

การโทษยิ่งลักษณ์ว่าต้องรับผิดชอบต่อปัญหานโยบายจำนำข้าวนั้น มีเหตุผล แต่ไม่ใช่ตามเหตุผลปลอมของศาลหรือเผด็จการ คนที่ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในบ้านเมืองควรรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนามของรัฐบาลหรือในนามขององค์กรที่ตนคุมอยู่ ดังนั้นประยุทธ์และอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบต่อการเข่นฆ่าคนเสือแดง ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าปัญหาการจำนำข้าวหลายพันเท่า

ทุกคนทราบดีว่าถ้ามีการคอร์รับชั่นในบางส่วนของโครงการจำนำข้าว ยิ่งลักษณ์ไม่ได้มีส่วนได้ประโยชน์จากการคอร์รับชั่นนี้แต่อย่างใด แต่การคอร์รับชั่นภายใต้เผด็จการประยุทธ์ มีหลายกรณีที่เพื่อฝูงและญาติประยุทธ์ได้ประโยชน์

การรับผิดชอบต่อสิ่งที่คนอื่นทำเวลาตัวเองดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนใหญ่แล้ว ในประเทศประชาธิปไตย จะปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในวันเลือกตั้ง บางครั้งนักการเมืองอาจโดนกดดันให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบก็ได้

ถ้ายิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบทางกฏหมาย คือโดนยึดทรัพย์ หรือโทษอื่นๆ จากการคอร์รับชั่นของคนอื่นในสมัยที่เป็นนายก ประยุทธ์ก็ควรถูกยึดทรัพย์และลงโทษจากการคอร์รับชั่นที่เกิดขึ้นในยุคนี้ โดยเฉพาะการคอร์รับชั่นในกองทัพ รวมถึงการไปเที่ยวต่างประเทศของทหารภายใต้ข้ออ้างว่า “ไปดูงาน”

และนี่ไม่รวมถึงโทษที่ประยุทธ์ควรจะได้รับจากการทำรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตย และละเมิดสิทธิเสรีภาพของพลเมือง

ในแง่หนึ่งผมไม่สนใจว่าเศรษฐีตระกูลชินวัตร จะโดนยึดทรัพย์หรือไม่ เพราะผมสนใจสภาพชีวิตของประชาชนผู้ทำงานธรรมดาๆ มากกว่า พวกเราไม่ใช่เศรษฐี และพวกเรากังวลตลอดชีวิตในเรื่องความมั่นคงของรายได้ และนี่คือสาเหตุที่ผมสนับสนุนนโยบายจำนำข้าวที่ช่วยเกษตรกร ผมไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการเสรีนิยมกลไกตลาด ที่วิจารณ์การใช้งบประมาณรัฐในการช่วยประชาชน ถ้าโครงการจำนำข้าวขาดทุนเพราะช่วยเกษตรกรก็เป็นเรื่องดี และไม่ขาดทุนจริงเพราะได้กำไรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร พวกนักวิชาการเสรีนิยมเหล่านี้ไม่เคยวิจารณ์การใช้เงินของชาติในการซื้ออาวุธ เครื่องบิน รถถัง หรือเรือดำน้ำให้ทหารเลย

มันมีอีกเรื่องที่เราต้องพิจารณากัน ยิ่งลักษณ์และนักการเมืองพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะอยากเห็นประชาชนออกมาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ในจำนวนมาก

ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้รักยิ่งลักษณ์หรือทักษิณ และทั้งๆ ที่พวกนี้ไม่เคยสนใจประเด็น 112 หรือนักโทษการเมืองจำนวนมากที่มีอยู่ และพร้อมจะนิรโทษกรรมตนเองกับพวกมือเปื้อนเลือด โดยไม่สนใจที่จะนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง 112 และยกเลิกกฏหมายเถื่อน 112 แต่อย่างใด แต่ผมเสนอว่าเราควรจะยินดีกับการระดมมวลชนเพื่อสนับสนุนยิ่งลักษณ์ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เพราะมันอาจปลุกกระแสที่พัฒนาไปสู่การล้มเผด็จการได้ และนักประชาธิปไตยหรือนักสังคมนิยมควรเป็นส่วนหนึ่งของกระแสมวลชนแบบนี้… ถ้ามันเกิดจริง…และมันไม่มีหลักประกันว่าจะเกิด แต่เราควรช่วยให้มันเกิดโดยไม่ต้องไปอวยตระกูลชินวัตร

บ่อยครั้งการต่อสู้จะเกิดขึ้นในบริบทที่เราไม่ได้เลือก การนิ่งเฉยเพราะกระแสที่เกิดไม่บริสุทธ์พอ เช่นเพราะเต็มไปด้วยคนที่รักยิ่งลักษณ์ เป็นความผิดพลาดทางการเมืองและเป็นการเล่นพรรคเล่นพวกแบบคับแคบ

เราควรเป็นส่วนหนึ่งของกระแสมวลชนที่ไม่พอใจกับพฤติกรรมของเผด็จการต่อยิ่งลักษณ์ เพราะมันเป็นโอกาสทองที่เราจะเสนอว่ากระแสนี้ควรจะไปไกลกว่าแค่การปกป้องยิ่งลักษณ์ คือพัฒนาไปสู่การล้มทหารเผด็จการ การปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และการยกเลิก 112 เป็นต้น ถ้าเรางอมืองอเท้าหันหลังให้กระแส เราจะไม่สามารถเสนอสิ่งเหล่านี้ต่อมวลชนได้ และถ้าเราไม่จัดตั้งเป็นกลุ่มหรือพรรคการเมืองเสียงปัจเจกของเราจะน้อยนิดจนหายไปกับสายลมอีกด้วย

อ่านเพิ่มเรื่องเสรีนิยมกลไกตลาด http://bit.ly/2tWNJ3V 

ตอบคำถามของไอ้ยุทธ์เรื่องประชาธิปไตย คำต่อคำ

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้ หัวหน้าคณะเผด็จการ “ยุทธ์มือเปื้อนเลือด” ได้ตั้งคำถามปัญญาอ่อนกับประชาชน…. ผมจะพยายามตอบโดยไม่หวังอะไรเลยว่ามันจะเข้าใจ

(1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่?

ตอบ ในประการแรก ตอนนี้เรามีรัฐบาลที่ประกอบไปด้วยโจรใส่เครื่องแบบ นำโดยฆาตกร ที่ใช้อำนาจปืนในการล้มระบบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ มันยากที่จะเห็นรัฐบาลที่ไร้ธรรมาภิบาลมากกว่านี้ แต่ในเรื่อง “ธรรมาภิบาล” มันเป็นเรื่องจุดยืนทางการเมืองของแต่ละคน มันไม่ได้มี “ธรรมาภิบาล” ชุดเดียวที่หัวหน้าเผด็จการบ้าอำนาจหลงตนเองจะมีสิทธิ์กำหนดแต่ผู้เดียว

(2) หากไม่ได้จะทำอย่างไร?

ตอบ คนที่รักระบบประชาธิปไตย จะไว้ใจและเคารพประชาชนว่ามีวุฒิภาวะในการเลือกรัฐบาล พวกเราทั้งหลายไม่ได้โง่เหมือนนายทหารชั้นสูง ถ้าเราได้รัฐบาลที่เราไม่ชอบ เพราะคนส่วนใหญ่ไปเลือก เราสามารถรณรงค์เคลื่อนไหวให้เพื่อนพลเมืองเปลี่ยนใจได้ โดยใช้วิธีประชาธิปไตย เราไม่นิยมการโบกมือเรียกโจรให้เข้ามาปล้นบ้าน หรือดูถูกเพื่อนพลเมืองว่าโง่ อย่างที่พวกสลิ่มเคยทำ

(3) การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้นเป็นความคิดทีถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง?

ตอบ ในประการแรก ระบบไหนไม่มีการเลือกตั้ง ต้องถือว่าเป็นเผด็จการ ทุกวันนี้เรามีเผด็จการโดยที่ประชาชนไม่ได้เลือกที่จะมี แน่นอนการเลือกตั้งรัฐบาลคงไม่พอ ควรมีการเลือกประมุขของประเทศ และควรมีการเลือกผู้พิพากษา นายพล หัวหน้าบริษัท และตำแหน่งสาธารณะอื่นๆ ด้วยวิธีการประชาธิปไตย เพื่อให้อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราจะได้ประมุขปัญญาอ่อนที่สนใจแต่เสพสุข ผู้พิพากษาลำเอียงที่ไม่เคยถูกตรวจสอบ นายพลบ้าอำนาจ และหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่ผู้แทนของผู้ที่ทำงานผลิตมูลค่าอย่างแท้จริง

สำหรับการ “ปฏิรูป” การเมือง และยุทธศาสตร์ของประเทศชาตินั้น สิ่งที่แน่นอนคือคณะทหารเผด็จการชุดนี้ มีแผนสืบทอดอำนาจโดยการปฏิกูลการเมืองและหมุนนาฬิกากลับสู่ยุคมืด

ที่สำคัญคือ ในระบบประชาธิปไตย ทิศทางของการปฏิรูป ยุทธศาสตร์ทางการเมือง และผลประโยชน์ของชาติ เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเสมอท่ามกลางความเห็นทางการเมืองที่หลากหลาย ไอ้ยุทธ์อาจไม่เข้าใจหลักพื้นฐานอันนี้ของประชาธิปไตยเลย ดังนั้นสมควรที่จะถูกเชิญไปปรับทัศนะคติและเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยจากประชาชน

(4) ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาซ้ำอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร

ตอบ ที่ชัดเจนคือคนที่สั่งฆ่าประชาชนนับร้อย เพื่อรักษาอำนาจของกองทัพ คนที่โกหกเป็นสันดาน คนที่ใช้อำนาจเถื่อนในการยึดรัฐบาล คนที่กอบโกยผลประโยชน์จากการนั่งในตำแหน่งหลังรัฐประหาร และคนที่ไม่เคยเคารพประชาธิปไตย… คือคนอย่างไอ้ยุทธ์ และพรรคพวกนั้นเอง ไม่ควรมีโอกาสใช้อำนาจเลย

ส่วนในเรื่องว่าถ้ามีนักการเมืองที่ทำผิดมาลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น มันต้องขึ้นอยู่กับประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ว่าเขามองว่า “ผิด” หรือไม่ และมันต้องขึ้นอยู่กับประชาชนเสียงส่วนใหญ่ที่จะเรียกร้องหรือไม่เรียกร้องให้คนเหล่านั้นลาออก หรืออย่างน้อยมันขึ้นอยู่กับประชาชนเสียงส่วนใหญ่ที่จะไม่ลงคะแนนเสียงให้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ไอ้ยุทธ์อาจซื่อบื้อไม่เข้าใจระบบประชาธิปไตยเพราะเติบโตในวัฒนธรรมเผด็จการของทหาร ดังนั้นคนซื่อบื้อแบบนี้ไม่ควรอวดว่าตนเข้ามาแก้ปัญหาอะไรได้เลย แน่จริงถ้าอยากแก้ปัญหาก็ควรลงสมัครรับเลือกตั้ง…. แล้วจะรู้ว่าประชาชนคิดอย่างไรกับตัวเขา

ใครจะจัดการกับอาชญากรรัฐ?

ใจ อึ๊งภากรณ์

6 ปีผ่านไปหลังเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่คนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยถูกทหารฆ่าตายอย่างเลือดเย็นกลางถนนในกรุงเทพฯ และทุกวันนี้สี่อาชญากรรัฐที่มีส่วนร่วมในการสั่งฆ่าประชาชนคือ อภิสิทธิ์ สุเทพ อนุพงษ์ และประยุทธ์ ก็ยังลอยนวลเหมือนเดิม

Murderers

บางคนคิดว่านายภูมิพลมีส่วนในการสั่งฆ่า แต่คงไม่จริง เพราะนายภูมิพลเป็นแค่เครื่องมือของทหารมาตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ พร้อมกันนั้นนายภูมิพลใกล้หมดสภาพที่จะคิดอะไรสั่งอะไร อย่างไรก็ตามเราสามารถวิจารณ์นายภูมิพลว่าไม่ทำอะไรเลยเพื่อห้ามความโหดร้ายของทหารแต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่าไม่รักประชาชน และไม่ทำตามหน้าที่ประมุขที่ใช้เงินประชาชนเพื่อเสพสุข มันชวนให้ถามว่ามีไว้ทำไมพวกราชวงศ์

อย่าไปหวังเลยว่าเมื่อนายภูมิพลตาย สถานการณ์ทางการเมืองในไทยจะเปลี่ยนภายใต้รัชกาลใหม่ คนต่อไปจะยิ่งอ่อนแอกว่าพ่อและไม่สนใจการเมืองเลย สนใจแต่ความสุขส่วนตัว

แล้วใครจะมาจัดการกับสี่อาชญากรรัฐที่มีบทบาทใน “เมษา-พฤษภาอำมหิต”? ใครจะมาจัดการกับอาชญากรที่สั่งฆ่าประชาชนในปี ๒๕๓๕? ใครจะมาจัดการกับอาชญากรที่สั่งฆ่าประชาชนหน้าธรรมศาสตร์ในเหตุการณ์ ๖ ตุลา (ถ้ายังมีชีวิตอยู่) และเราจะเปลี่ยนวัฒนธรรมของพวกคนเลวที่ลอยนวลเสมอในสังคมไทยได้อย่างไร?

สิ่งที่ชัดเจนคือเราไม่สามารถพึ่งพรรคเพื่อไทย หรือพรรคของฝ่ายทักษิณได้เลย

ในประการแรกทักษิณไม่อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือนักการเมืองที่ต้องรับผิดชอบกับอาชญากรรมต้องขึ้นศาล เพราะทักษิณเองต้องรับผิดชอบกับอาชญากรรมที่ตากใบ และการฆ่าทนายสมชาย

ในประการที่สองประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่าการมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้นำไปสู่การนำคนที่ฆ่าเสื้อแดงมาขึ้นศาลแต่อย่างใด รัฐบาลพรรคเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์จงใจไม่ประกาศให้ไทยเข้าไปในกระบวนการศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่สามารถนำพวกนั้นมาลงโทษได้ รัฐบาลนี้ใช้กฏหมายเถื่อน 112 แรงขึ้นด้วย และสุดท้ายก็เสนอการนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” ที่จะให้พวกนั้นลอยนวล

หลายคนที่พยายามปกป้องรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เคยอธิบายว่ารัฐบาลต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา โดยไม่ไปพุ่งชนฝ่ายทหาร เพราะทหารภายใต้ประยุทธ์ คอยหาโอกาสทำรัฐประหาร พูดง่ายๆ พวกนี้เสนอว่าต้องเอาใจทหารเพื่อให้รัฐบาลอยู่รอด แต่มันไม่เป็นไปตามนั้น เพราะการเอาใจทหารอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามมั่นใจมากขึ้น และในที่สุดก็มีรัฐประหาร

การเอาใจทหารเผด็จการและพวกคลั่งเจ้าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เสมือนคนที่พยายามเอาใจงูพิษโดยการลูบหัวมัน ทำไม่ได้หรอกเพราะงูมันจะหันมากัดตาย การจัดการกับเผด็จการก็เหมือนกัน

ดังนั้นอย่าไปหวังเลยว่าถ้าเรามีรัฐบาลแบบพรรคเพื่อไทย ที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคต จะมีการจัดการกับอาชญากรรัฐ

ถ้าหมุนนาฬิกากลับได้ เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเสนอว่าหลังชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์สามารถประกาศว่าจะนำทหารและอภิสิทธิ์มาขึ้นศาลได้ สามารถปลดพวกผู้พิพากษาลำเอียงได้ สามารถปลดนายทหารระดับสูงที่คัดค้านประชาธิปไตยได้ แต่ต้องทำทันที โดยมีการระดมมวลชนเสื้อแดงให้ออกมาปกป้องรัฐบาล โดยเสนอนโยบายสำคัญๆ ที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตของกรรมาชีพและเกษตรกร และโดยเพิ่มคุณภาพสภาพความเป็นอยู่ของพลทหารและตำรวจระดับล่าง เพื่อให้คนเหล่านั้นเลิกฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา

แต่รัฐบาลที่จะทำอย่างนั้นได้คงไม่ใช่รัฐบาลของพรรคทักษิณ คงต้องเป็นรัฐบาลของพรรคกรรมาชีพและเกษตรกรคนจน ต้องเป็นรัฐบาลที่เดินหน้าคู่ขนานกับพลังมวลชนจำนวนมากนอกรัฐสภา และต้องเป็นรัฐบาลที่พร้อมจะปฏิวัติสังคมไทยแบบถอนรากถอนโคน

ในประเทศอื่นเมื่อมีการลุกฮือของมวลชนในการล้มเผด็จการจนสำเร็จ ก็มีกระแสที่จะจัดการกับพวกนายพลอาชญากร และลดอำนาจทางการเมืองของกองทัพ จนในที่สุดมีนายทหารบางคนในลาตินอเมริกาและเอเชียที่ถูกนำมาขึ้นศาล

10 10 2010_25

ในไทยก็เคยมีการลุกฮือล้มเผด็จการในอดีต เราทำได้อีก แต่เราต้องให้ความสำคัญกับรูปแบบการจัดขบวน คือต้องดูว่าพลังต่างๆ ในสังคมอยู่ตรงไหน ต้องให้ความสำคัญกับขบวนการแรงงาน โดยเฉพาะซีกที่ก้าวหน้า ต้องเน้นการนำตนเองจากล่างสู่บน และต้องสร้างพลังประชาชนที่อิสระจากนักการเมืองอย่างทักษิณ ถ้าจะทำให้สำเร็จ

เศรษฐกิจพอเพียง กับ ประชาธิปไตยพอเพียง

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในเมื่อไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือดไปแหกปากพูดเท็จที่สหประชาชาติ และไปพูดถึงการที่รัฐบาลทหารยึดหลักแนวเศรษฐกิจพอเพียง เราควรมาทบทวนว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้คืออะไร

ในปี ๒๕๔๙ พอล์ แฮนลี่ ในหนังสือ “กษัตริย์ไม่เคยยิ้ม” เขียนว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแค่ “เศรษฐศาสตร์จอมปลอม”

ในปีเดียวกันคณะเผด็จการทหารก็แห่กันไปเชิดชูส่งเสริม “เศรษฐศาสตร์จอมปลอม” อันนี้ และเราก็เห็นว่าคณะทหารชุดนั้นและชุดปัจจุบันก็คลั่งเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบเดียวกัน

ในปี ๒๕๕๐ วารสาร “อีคอนโนมิสต์” วิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น “ขยะเพ้อฝัน” เนื่องในโอกาสที่ “โครงการพัฒนาของสหประชาชาติ” ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับประเทศไทยที่เต็มไปด้วยขยะเพ้อฝันของเศรษฐกิจพอเพียง รายงานนี้ผลิตด้วยความช่วยเหลือจาก คริส เบเคอร์ สามีของอาจารย์ ผาสุก พงษ์ไพจิตร

วารสาร อีคอนโนมิสต์ เขียนไว้ว่ารายงานของโครงการพัฒนาของสหประชาชาติฉบับนี้ เป็นการเสนอความคิดด้านเดียวในเรื่องทฤษฏีที่ไม่เคยถูกพิสูจน์ในโลกจริงว่าใช้ได้ผล มันเป็นการให้ความชอบธรรมกับเผด็จการ และทั้งๆ ที่รองหัวหน้าโครงการพัฒนาของสหประชาชาติในไทยอ้างว่าเป็นการ “เปิดประเด็นเพื่อถกเถียง” แต่ในไทย เนื่องจากกฏหมาย 112 ประชาชนไม่สามารถถกเถียงกันในเรื่องนี้ได้เลย

ในปีเดียวกันผมก็โดนกฏหมาย 112 เนื่องจากวิจารณ์รัฐประหาร ๑๙ กันยาและเศรษฐกิจพอเพียงในหนังสือ “A Coup for the Rich” ย่อหน้าหนึ่งที่ทหารไม่พอใจคือ

“สมาชิกสภาที่แต่งตั้งโดยทหารหลังรัฐประหาร ได้รับเงินเดือนและเงินค่าต่างๆ 140,000บาท ในขณะที่กรรมกรส่วนใหญ่รับค่าจ้างขั้นต่ำเพียงเดือนละ 5000 บาท และเกษตรกรจำนวนมากได้น้อยกว่านี้ พวกส.ส.เหล่านี้ได้เงินเดือนจากตำแหน่งที่อื่นอีกด้วย รัฐบาลอ้างว่าใช้เศรษฐกิจพอเพียงของกษัตริย์ และพูดว่าเราต้องไม่โลภมาก ดูเหมือนทุกคนต้องพึงพอใจกับระดับพอเพียงของตนเอง เราอาจคิดไปว่านักเขียนอังกฤษ จอร์ช ออร์เวล  คงจะเสนอว่า “บางคนพอเพียงมากกว่าผู้อื่น” สำหรับพระราชวัง ความพอเพียงหมายถึงการมีหลายๆ วัง และบริษัททุนนิยมขนาดใหญ่เช่นธนาคารไทยพาณิชย์ สำหรับทหารเผด็จการความพอเพียงหมายถึงเงินเดือนสูง และสำหรับเกษตรกรยากจนหมายถึงการเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบากโดยไม่มีการลงทุนในระบบเกษตรสมัยใหม่ รัฐมนตรีคลังเสนอว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือการ “ไม่มากไปหรือน้อยไป” คือให้พอดีนั้นเอง”

พวกเราคงทราบดีว่าสถาบันกษัตริย์เป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่มีผลประโยชน์ข้ามชาติ และกษัตริย์ภูมิพลเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศไทย แล้วยังบังอาจสอนคนจนว่าต้องพอเพียงในความยากจน นอกจากนี้นายภูมิพลมีจุดยืนที่ต่อต้านรัฐสวัสดิการมาตั้งแต่ยุค ๖ ตุลา แต่ที่น่าแปลกใจคือสำนักอนาธิปไตยชุมชน โดยเฉพาะลูกศิษย์ของอาจารย์ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา เคยอ้างว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้คิดค้นแนวชุมชนพึ่งตนเอง เพื่อคัดค้านระบบทุนนิยม

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ แต่เป็น “ลัทธิ” ฝ่ายขวาที่ต่อต้านการกระจายรายได้และการสร้างรัฐสวัสดิการ มันแช่แข็งความเหลื่อมล้ำ และมันไปได้ดีกับแนวเสรีนิยมกลไกตลาด เราจึงเห็นสองความคิดนี้บรรจุควบคู่กันในรัฐธรรมนูญเผด็จการมาตั้งแต่ปี ๕๐

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นลัทธิโปรดของเผด็จการมือเปื้อนเลือดของไทย และไปได้ดีกับแนวคิด “ประชาธิปไตยพอเพียง” ของพวกนั้น