Tag Archives: ปาตานี

ประยุทธ์แก้ตัวแทนทหารที่ใช้ความรุนแรงทรมานผู้ถูกขัง

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทหารไทยได้ใช้ความรุนแรงทรมานนักเคลื่อนไหว อับดุลเลาะ อีซอมูซอ อายุ 32 ปี ในค่ายอิงคยุทธ การทรมานและใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกคุมขังแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น และคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายตราบใดที่รัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ยังครองอำนาจอยู่ หลังเหตุการณ์ประยุทธ์แก้ตัวแทนทหารในค่ายอิงคยุทธ โดยการโกหกว่า อับดุลเลาะ อีซอมูซอ “หน้ามืด” แล้วล้มในห้องน้ำ ประยุทธ์มือเปื้อนเลือดคนนี้ยังพูดต่อว่าคนที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมของทหารคง “ดูหนังมากเกินไป” แถมหัวหน้าโจรปล้นประชาธิปไตยคนนี้ยังพูดอีกว่า บางคนเน้นสิทธิมนุษยชนมากเกินไป

1563771872921
อับดุลเลาะ อีซอมูซอ (นั่งตรงกลาง) ภาพจากข่าวสด

ทหารในค่าย อิงคยุทธ ไม่คิดจะแจ้งภรรยาของ อับดุลเลาะ อีซอมูซอ หลังจากที่เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล เขาต้องทราบเมื่อไปพยายามเยี่ยมสามีที่ค่ายทหาร หลังจากนั้นญาติและเพื่อนๆ ของ อับดุลเลาะ อีซอมูซอ ที่ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลก็ถูกรังแกโดยทหารที่คอยถ่ายภาพและรบกวนอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมแบบนี้แสดงให้เห็นว่าทหารของรัฐไทย ไม่มีความเคารพต่อประชาชนมาเลย์มุสลิมในปาตานีแต่อย่างใด

หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานว่า อับดุลเลาะ อีซอมูซอ อาจถูกทรมานโดยทหารนำถุงครอบหัวจนหายใจไม่ออก จากการตรวจร่างกายไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้าย เอกซเรย์ไม่พบว่ามีน้ำอยู่ในปอด แต่พบว่าผู้ป่วยสมองบวม สาเหตุจากการขาดอากาศเป็นเวลานาน สมองใกล้ตาย ถ้าฟื้นได้ก็คงพิการอย่างหนัก

67535340_2408292259228649_7345892156457877504_n

พฤติกรรมของรัฐไทยในการกดขี่ปราบปรามประชาชนมาเลย์มุสลิมในปาตานี สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่ง และเป็นสาเหตุที่ประชาชนบางส่วนตัดสินใจที่จะจับอาวุธสู้กับรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่อง [ดู https://bit.ly/2b5aCYI ]

สื่อกระแสหลักมักสนับสนุนการกดขี่ปราบปรามของรัฐไทย และเรียกนักสู้เพื่ออิสรภาพว่าเป็น “คนร้าย” หรือ “โจใต้” แต่คนร้ายและโจรตัวจริงกำลังคุมรัฐบาลไทยอยู่ทุกวันนี้

ทั้งๆ ที่เราไม่ควรเลือกข้างรัฐไทยโดยการประณามนักต่อสู้ชาวปาตานี แต่จุดยืนของนักสังคมนิยมคือ ถ้าจะมีสันติภาพและเสรีภาพในปาตานี ขบวนการมวลชนจะต้องมีบทบาทหลัก ทั้งในปาตานี และในกรุงเทพฯ การจับอาวุธคงไม่มีวันชนะรัฐไทย แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกร้องให้รัฐไทยถอนกำลังทหารตำรวจออกไป และที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย สามารถแก้ปัญหาได้

พวกเราคงไม่แปลกใจเลยที่มีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของตำรวจได้เข้าไปในพื้นที่ค่ายอิงคยุทธ เพื่อเข้าตรวจสอบพื้นที่และรวบรวมหลักฐาน โดยได้ขอดูเทปบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งภายในศูนย์ซักถาม ที่มีอยู่โดยรอบ แต่ปรากฏว่า ทางเจ้าหน้าที่ค่ายอิงคยุทธ ระบุว่ากล้องวงจรปิดเสียทุกตัว!!

ในกรณีอื่นๆ ที่ตำรวจและทหารวิสามัญฆาตกรรมชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ปาตานี หรือกรณีชาวชนเผ่าทางเหนือของไทย กล้องวงจรปิดมัก “เสีย” เสมอ

ล่าสุด ตำรวจเชียงใหม่ได้วิสามัญฆาตกรรม ‘จะจือ จะอ่อ’ ชาวชนเผ่ามูเซอ ที่ อ.เวียงแหง มีผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า ตอนแรกพบว่าผู้ตายไม่ได้มีอาวุธปืนวางอยู่ แต่ถูกกันไม่ให้เข้าไป ภายหลังจากที่ผู้เห็นเหตุการณ์กลับไปเรียกญาติผู้ตายมาในพื้นที่ ก็ปรากฏว่าร่างของผู้ตายถูกเคลื่อนไปยังอีกจุดหนึ่ง และมีอาวุธปืนวางอยู่ข้างๆ และหลังจากที่แม่ของผู้เสียชีวิตมาเห็นเหตุการณ์ก็วิ่งเข้าไปหาร่างของลูกชาย แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผลักและใช้เท้าถีบจนล้มลง ทำให้กลุ่มชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงที่มาดูเหตุการณ์ทนดูไม่ได้ จึงได้เข้าช่วยจนเกิดเหตุการณ์ชลมุนขึ้นมา

a11

ชาวบ้านมั่นใจว่า จะจือ จะอ่อ ไม่ใช่ผู้ค้ายาเสพติดอย่างที่ตำรวจอ้าง

เราจะเห็นว่านี่คืออีกกรณีหนึ่งของการที่เจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่แสดงความเคารพต่อประชาชนชนกลุ่มน้อย

ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยควรตระหนักว่าแนวคิดเหยียดเชื้อชาติและแนวคิดชาตินิยม ซึ่งเป็นแนวคิดกระแสหลักในสังคมเรา ทำให้การตรวจสอบพฤติกรรมของทหารและตำรวจรัฐไทย ทำได้ยากขึ้น เพราะไม่ค่อยมีใครสนใจ [ดู https://bit.ly/2YeOCT2 ] และตราบใดที่เรายังมีเผด็จการทหารที่ครองอำนาจผ่านการทำรัฐประหารและการโกงการเลือกตั้ง ความยุติธรรมและสันติภาพไม่มีวันเกิด

ทหารกับองค์กร ‘ภาคประชาชน’ ไทยไม่สามารถสร้างสันติภาพในปาตานีได้

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังข่าวการสังหารพระในวัดรัตนานุภาพนราธิวาส เราเห็นภาพของประชาชนหลายส่วนในสังคมไทยที่ออกมาประณามและแสดงความไม่พอใจ จริงอยู่การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องดี แต่คนเหล่านี้มักจะรับแนวคิดชาตินิยมจากรัฐไทยมาเต็มตัว โดยไม่ลองคิดลึกๆ ว่าปัญหาในปาตานีมันเกิดจากอะไร

patanipeace

แน่นอนทหารก็ออกมาพูดก้าวร้าวเหมือนเดิม โดยไม่ค่อยมีใครวิจารณ์ทหาร แต่ทหารไทยคือส่วนสำคัญของปัญหา ทหารไทยคือ “โจรใต้” ตัวจริง และเป็นโจรที่ปล้นประชาธิปไตยจากพลเมืองไทยอีกด้วย

041026_thai_riots_hmed_6a.grid-6x2
อาชญากรรมรัฐไทยที่ตากใบ

ในหลายปีที่ผ่านมา ปาตานี ซึ่งเคยถูกยึดและแบ่งระหว่างรัฐไทยกับอังกฤษ กลายเป็นสมรภูมิสงครามระหว่างรัฐไทยหรือกองกำลังทหารไทย กับขบวนการที่ต้องการปลดแอกปาตานี สงครามและความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันมีประวัติ มันมีที่มาที่ไป

rtxxz90-1-960x576

ที่มาที่ไปสำคัญคือพฤติกรรมของรัฐไทยในการครอบครองพื้นที่เหมือนเป็นเมืองขึ้น และการปราบปรามอิสรภาพกับวัฒนธรรมของชาวมาเลย์มุสลิม คนมาเลย์มุสลิมอาศัยอยู่ในปาตานีมาก่อนกำเนิดของประเทศไทยอีก [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2b5aCYI]

พูดง่ายๆ สงครามและความรุนแรงในปาตานีมาจากการที่รัฐไทยไม่ให้ความยุติธรรมกับชาวมาเลย์มุสลิม และการที่รัฐไทยพร้อมจะใช้ความรุนแรงในการปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นปกครอง และกีดกันเสรีภาพของประชาชน

ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐในไทย การเจรจาสันติภาพไม่มีความคืบหน้าเลย สาเหตุสำคัญคือทหารต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามยอมจำนนอย่างเดียว และไม่สนใจความไม่พอใจของชาวมาเลย์มุสลิมที่มีมานาน ทหารไม่มีความต้องการที่จะสร้างสันติภาพหรือแก้ปัญหา ต้องการแต่จะปราบหรือเอาชนะอย่างเดียว นี่คือปัญหาใหญ่ของการใช้วิธี “ทหารนำการเมือง” ในปัจจุบัน

เวลาพิจารณาเหตุการณ์ที่วัดรัตนานุภาพ สิ่งหนึ่งที่แย่สุดคือจุดยืนขององค์กรที่อ้างว่าเป็น “ภาคประชาชนไทย” เพราะมีการออกแถลงการณ์ที่เรียกร้องให้ “รัฐไทยดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนในการสังหารพระสงฆ์” แถลงการณ์นี้ออกมาในนามของหลายองค์กรและบุคคล เช่น เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ เป็นต้น

ในเมื่อสงครามในปาตานีมันเกิดจากความชั่วร้ายของรัฐไทย การเรียกร้องให้รัฐไทยและทหารไทย “ดำเนินการ” กับผู้ก่อการ เท่ากับเป็นการเลือกข้างสนับสนุนรัฐไทยและทหารไทยอย่างชัดเจน และมันจะส่งสัญญาณถึงผู้ที่ต่อต้านการกดขี่ของรัฐไทยว่า “ภาคประชาชนไทย” คือศัตรูที่ต่อต้านเสรีภาพสำหรับชาวมาเลย์มุสลิม นั้นคือเจตนาขององค์กรดังกล่าวหรือไม่ผู้เขียนไม่ทราบ แต่อย่าลืมว่าในอดีตองค์กรเอ็นจีโอไทยหลายองค์กรเคยร่วมในการโบกมือเรียกให้ทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลประชาธิปไตย

ลองนึกภาพดูก็ได้ คนมาเลย์มุสลิมเสียชีวิตจากมือของรัฐไทยจำนวนมาก เช่นในกรณีตากใบ ถ้าเกิดมีองค์กรออกแถลงการณ์ว่ากองกำลังที่ต้านรัฐไทยควร “ดำเนินการกับทหาร ตำรวจ และนักการเมืองที่มีส่วนในการฆ่าคน” กระแสสังคมจะว่ายังไง? ถ้าคนรับคำพูดแบบนี้ไม่ได้ แต่รับถ้อยคำของเอ็นจีโอได้ ก็แสดงว่ารัฐไทยกับทหารไทยน่าไว้ใจกว่าฝ่ายตรงข้าม?

คนที่ศึกษาปัญหาปาตานีหลายคนพยายามอธิบายว่าการโจมตีวัดของฝ่ายต้านรัฐไทย อาจเป็นการโต้ตอบการที่โต๊ะอิหม่ามสามคนถูกสังหารในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และในเดือนมกราคมมีความพยายามที่จะลอบสังหารโต๊ะอิหม่ามอีกหนึ่งครั้ง นอกจากนี้มีข่าวว่ารัฐไทยใช้การฆาตกรรมวิสามัญผู้นำองค์กรบีอาร์เอ็นที่นราธิวาสเมื่อไม่นานมานี้ เราทราบดีว่าทหารไทยใช้กองกำลังลับในการฆ่าวิสามัญโต๊ะอิหม่ามหรือนักเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกับทหารแต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าทำอะไรผิด

ท่ามกลางความโง่เขลาและการเลือกข้างฝ่ายทหารขององค์กร “ภาคประชาชน” เราโชคดีที่มีนักเขียนสองคนออกมาอธิบายว่าเรื่องการฆ่าพระสงฆ์ มันซับซ้อนกว่าการฆ่าผู้บริสุทธิ์ อย่างป่าเถื่อนอย่างที่พวกคลั่งชาติกับคลั่งศาสนาพุทธพยายามเสนอ ทั้งๆ ที่ตัวบุคคลที่โดนฆ่าอาจถือว่า “บริสุทธิ์” ได้

image

สุรพศ ทวีศักดิ์ อธิบายว่าการที่ศาสนาพุทธผูกพันกับรัฐไทยมาตลอดในปาตานี เช่นการจัดโครงการ  “พระสงฆ์นำชัยคุ้มภัยใต้” ซึ่งมีทหารติดอาวุธเข้าไปบวชในวัด หรือการที่ทหารไทยจัดกองกำลังในวัดและเดินไปกับพระในขณะที่บิณฑบาต สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสถาบันของศาสนาพุทธ และพระสงฆ์ส่วนใหญ่ ใกล้ชิดกับรัฐไทยจนอาจถือได้ว่าเป็นพวกเดียวกัน สุรพศ ทวีศักดิ์ เสนอมานานแล้วว่าศาสนาพุทธควรจะแยกออกจากรัฐ และเตือนว่าการนำศาสนามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องที่อันตรายมาก [ดู https://bit.ly/2RRkMG3 ]

gettyimages-80314673-612x612

ชาญณรงค์ บุญหนุน ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ชอบถามว่า “ฆ่าพระทำไม” มักจะไม่สนใจคำตอบ แต่สนใจที่จะโกรธเคืองจนอาจเสียสติได้ ชาญณรงค์ อธิบายว่าคณะสงฆ์ไทยในแง่ของสถาบัน ไม่เคยแยกตัวออกจากผู้มีอำนาจรัฐ ไม่เคยออกมาวิจารณ์พฤติกรรมเลวๆ ของรัฐ และมีความใกล้ชิดกับทหารในพื้นที่ปาตานี [ดู https://bit.ly/2WryRIX ]

5057316a-ddc1-4424-bd35-417362d7a1ff

หลังเหตุการณ์ที่วัดรัตนานุภาพไม่กี่วัน กองกำลังไทยได้ถือโอกาสบุกเข้าไปในโรงเรียนปอเนาะในปาตานี และจับคุมเยาวชนจำนวนหนึ่งด้วยวิธีการป่าเถื่อน เช่นการใช้ตาข่ายพันตัวในลักษณะที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยที่ทางทหารอ้างว่าคนที่โดนจับเป็นคนเขมรที่เข้ามาในไทยผิดกฏหมายและกำลังฝึกฝนเพื่อสู้รบกับรัฐไทย แต่คนในพื้นที่ไม่เชื่อคำอธิบายของทหาร และมองว่าพวกเยาวชนที่ถูกจับ ซึ่งดูเหมือนจะอายุน้อย เพียงแต่ออกกำลังกายหลังเรียนมาทั้งวัน การที่ทหารไทยปล่อยเยาวชนส่วนใหญ่หลังถูกจับ และแค่คุมคนที่เป็นพลเมืองกัมพูชาในเรื่องการเข้าเมืองผิดกฏหมายเพื่อส่งกลับ แสดงว่าไม่มีหลักฐานะอะไรเกี่ยวกับการฝึกสู้รบแต่อย่างใด [ดู https://bit.ly/2GkLTCb ]

เราควรรู้ว่าคนสัญชาติเขมรที่เข้ามาในแหลมมาลายูมักจะเป็นคนเชื้อสาย “จาม” ที่เคยก่อตั้งอาณาจักร “จามปา” ในเขตรเขมรกับเวียดนามยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์เราทราบว่าคนจามเดินทางไปมาติดต่อกับคนในปาตานี มาเลเซีย กับอินโดนีเซียมานาน เพราะเขาพูดภาษามาเลย์และนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งสื่อไทยไม่ได้อธิบายตรงนี้เลย และเราต้องไม่ลืมอีกว่าทหารไทยมีประวัติในการบุกเข้าไปข่มขู่คนที่โรงเรียนปอเนาะอย่างต่อเนื่อง และ “คนเขมร” เป็นแพะรับบาปของพวกชาตินิยมไทยมานานอีกด้วย

50860310_2260274137519799_281745503815729152_n

50832950_2260274160853130_672270138258489344_n

ถ้าเราสนใจที่จะสร้างสันติภาพจริงๆ ในปาตานี เราต้องสร้างความยุติธรรมให้กับชาวมาเลย์มุสลิมก่อน เราต้องเปิดใจยอมรับว่าประชาชนในพื้นที่ควรมีเสรีภาพที่จะร่วมกันกำหนดอนาคตของตนเอง โดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐไทย และการเลือกที่จะแยกตัวออกจากประเทศไทยก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่เขามีสิทธิ์จะเลือก แต่ถ้าจะเกิดสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องมีการแยกศาสนาออกจากรัฐ ถอนทหารและกองกำลังอื่นๆ ของรัฐไทยออกจากปาตานี และต้องแก้ปัญหาโดยการเมืองที่ไม่มีททหารเข้ามาเกี่ยวข้องเลย

มีพรรคการเมืองไหนบ้างที่สนใจการสร้างสันติภาพในปาตานีแบบนี้?

 

อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2zEwG9k  https://bit.ly/2UsUeaL  https://bit.ly/1Ue789J

พรรคอนาคตใหม่ไม่สามารถก้าวพ้นรูปแบบพรรคเดิมๆ

ใจ อึ๊งภากรณ์

 

มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่พรรคอนาคตใหม่ดูเหมือนยังไม่สามารถก้าวพ้นรูปแบบพรรคเดิมๆ ของไทย เพราะพรรคกระแสหลักเดิมๆ มักจะมีนายทุนหรือทหารเป็นแกนนำ และมีนายทหารเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกด้วย

 

ในการประชุมพรรคที่พึ่งจัดเมื่อไม่นานมานี้ นายทุนใหญ่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งไม่น่าแปลกใจ

 

กรรมการพรรคส่วนหนึ่งเป็นนักวิชาการ มีนักธุรกิจสองคนนอกจากธนาธร และมีนักเอ็นจีโอ รวมถึงนักเอ็นจีโอแรงงาน แต่ไม่มีผู้แทนจริงๆ จากสมาชิกสหภาพแรงงานหรือจากเกษตรกรรายย่อยเข้ามาเป็นกรรมการเลย

99569

 

แน่นอนหลายคนในกรรมการบริหารมีจุดยืนชัดเจนที่คัดค้านเผด็จการทหารชุดปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องดี และถ้าฉีกรัฐธรรมนูญทหารทิ้งได้ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่คงทำได้ยากถ้าไม่สร้างมวลชนนอกรัฐสภา

 

สิ่งหนึ่งที่น่าตกใจคือรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เป็นนายทหารเกษียณ พลโท พงศกร รอดชมภู เป็นอดีตรองเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ และในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เขาเคยเขียนบทความลงสื่อเกี่ยวกับปาตานี เขาเสนอว่าการแก้ไขปัญหาควรใช้การเมืองนำทหาร “แต่นั้นไม่ได้แปลว่าต้องยอมหรือขอเจรจา” คือต้องช่วงชิงประชาชนในพื้นที่ให้กลับมาอยู่กับฝ่ายรัฐไทย โดยการเลิกการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเปลี่ยนมาปราบฝ่ายตรงข้ามแบบนิ่มนวลมากกว่านี้ พลโท พงศกร ไม่มีการพูดถึงการให้สิทธิประชาชนในพื้นปาตานีที่จะกำหนดอนาคตว่าจะปกครองตนเองแบบไหนคือ แยกตัวออกจากประเทศไทย หรือมีเขตปกครองพิเศษ หรืออยู่แบบเดิม และไม่มีการพูดถึงต้นกำเนิดปัญหาซึ่งมาจากการที่รัฐไทยยึดพื้นที่ปาตานีมาเป็นอาณานิคม โดยไม่เคารพวัฒนธรรมของชาวมาเลย์มุสลิม นอกจากนี้ พลโท พงศกร ไม่มีการพูดถึงการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่เข่นฆ่าประชาชน มีแต่การพูดถึงการลงโทษฝ่ายตรงข้าม [ดู https://www.matichon.co.th/columnists/news_78135 ]

 

นโยบายแนวคิดแบบนี้ไม่ต่างจากแนวคิดฝ่าย “พิราบ” ของรัฐหรือทหารไทย มันเป็นการยืนยันจุดยืนอนุรักษ์นิยมว่ารัฐไทยแบ่งแยกไม่ได้ และมันห่างไกลเหลือเกินจากความคิดก้าวหน้าที่จะนำไปสู่เสรีภาพและสันติภาพสำหรับประชาชนในปาตานี นอกจากนี้มันแตกต่างจากคำพูดเดิมของ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยพูดว่าควรจะรื้อฟื้นข้อเสนอในการปกครองตนเองของชาวปาตานี

 

การมีนายทหารที่เป็นอดีตฝ่ายความมั่นคงเป็นรองประธานพรรค จะทำให้พรรคให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคง” เหนือสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยหรือไม่? เพราะการเน้นความมั่นคงเป็นนโยบายอนุรักษ์นิยมของรัฐบาลไทยทุกชุด โดยเฉพาะเผด็จการ

 

ในแง่หนึ่งตัวบุคคลที่เป็นแกนนำพรรคอาจแค่ชวนให้เราเดาว่านโยบายพรรคจะเป็นอย่างไร เรื่องชี้ขาดจะอยู่ที่นโยบายที่ประกาศออกมาเป็นรูปธรรม ถ้าไม่มีการเสนอรัฐสวัสดิการแบบครบวงจร ถ้วนหน้า และมาจากการเก็บภาษีก้าวหน้าในระดับสูงจากคนรวยและกลุ่มทุน ถ้าไม่เสนอให้ยกเลิก 112 ถ้าไม่เสนอให้สตรีมีสิทธิทำแท้งเสรี ถ้าไม่เสนอให้ชาวปาตานีสามารถกำหนดอนาคตตนเองโดยไม่ต้องพิจารณาความมั่นคงของชาติ และถ้าไม่เสนอให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามคำเรียกร้องของสหภาพแรงงาน และร่างกฏหมายแรงงานสัมพันธ์ใหม่เพื่อให้สหภาพแรงงานมีสิทธินัดหยุดงานและเคลื่อนไหวอย่างเสรี…. พรรคอนาคตใหม่ก็จะไม่ก้าวหน้าอย่างที่บางคนชอบอ้าง

 

มีเรื่องเดียวที่น่าชื่นชมเกี่ยวกับพรรคอนาคตใหม่ในขณะนี้  ซึ่งต้องยอมรับว่าพรรคอื่นๆ ยังไม่พูดถึงอย่างชัดเจน นั้นคือการประกาศว่าต้องการลบผลพวงของเผด็จการ

 

สรุปแล้วหน้าตาพรรคอนาคตใหม่ดูเหมือนเป็นพรรคคนชั้นกลาง สำหรับคนชั้นกลาง ไม่ใช่พรรคของคนชั้นล่างรากหญ้าแต่อย่างใด แต่ต้องยอมรับว่าคนของพรรคอนาคตใหม่ นอกจาก อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่พูดอะไรมากมายที่ไม่เป็นรูปธรรม ไม่เคยประกาศว่าจะสร้างพรรคของคนชั้นล่าง หรือพรรคของคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นกรรมาชีพและเกษตรกร และดูเหมือนพรรคจะเน้นการส่งเสริมกลไกตลาดเสรีที่ขัดกับผลประโยชน์คนจนอีกด้วย

 

ดังนั้นภารกิจในการสร้างพรรคฝ่ายซ้ายของคนชั้นล่าง เพื่อคนชั้นล่าง กรรมาชีพและเกษตรกรนั้นเอง ยังไม่มีใครลงมือริเริ่มอย่างจริงจัง

ธนาธรไม่ต้องขอโทษใครเรื่องข้อเสนอแยกศาสนาออกจากรัฐ และเรื่องปาตานี

ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดว่าควรแยกศาสนาออกจากรัฐ และให้รัฐเลิกอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้าและจะเพิ่มสิทธิเสรีภาพกับพลเมืองทุกคนไม่จะว่านับถือศาสนาใดหรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ดังนั้น ธนาธร ไม่ควรขอโทษใครในเรื่องนี้ และเราควรสนับสนุนเต็มที่

สิ่งที่ ธนาธร พูดเป็นข้อเสนอที่มีประโยชน์ต่อชาวพุทธ เพราะจะนำไปสู่เสรีภาพในการนับถือพุทธในลักษณะหลากหลายที่แต่ละคนเลือกจะนับถือ รัฐจะเข้ามาปราบคนที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็น “พุทธนอกรีต” หรือพวกธรรมกายไม่ได้ และสตรีที่ต้องการบวชเป็นพระสงฆ์ก็ย่อมทำได้ ศาสนาจะกลายเป็นสิทธิส่วนตัวของพลเมืองอย่างแท้จริง ดังนั้นพวกที่โวยวายเรื่องนี้เป็นพวกล้าหลังที่คัดค้านเสรีภาพและความหลากหลาย

แต่ในแง่หนึ่ง ทั้งๆ ที่ข้อเสนอของ ธนาธร จะเพิ่มเสรีภาพให้ชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี มันไม่พอที่จะแก้ปัญหาสงครามได้ เพราะมันไม่ใช่สงครามระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม มันเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของคนที่ถูกรัฐไทยกดขี่ต่างหาก

เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

ข้อเสนอของ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ที่จะรื้อฟื้นข้อเสนอในการปกครองตนเองของชาวปาตานี ที่หะยีสุหลง เคยยื่นต่อรัฐบาลไทยในปี 2490 ก่อนที่เขาจะถูกเผด็จการทหารไทยฆ่าทิ้ง เป็นสิ่งที่ก้าวหน้ากว่านโยบายพรรคการเมืองกระแสหลักทุกพรรค

บางคนที่มีอคติกับศาสนาอิสลาม จะโวยวายว่ามันจะนำไปสู่การ “เฆี่ยนเกย์” และขัดแย้งกับสิ่งที่ ธนาธร พูดเรื่องการแยกศาสนาออกจากรัฐ ผมขอฟันธงว่าไม่จริงเลย และจะขออธิบายต่อ

ศาสนาอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพลเมืองชาวมาเลย์มุสลิมส่วนใหญ่ในปาตานี แต่วัฒนธรรมนี้ถูกรัฐไทยกดขี่มานาน ดังนั้นการเพิ่มเสรีภาพในการนับถือศาสนาที่เคยโดนกดขี่จากรัฐไทย เป็นข้อเสนอก้าวหน้า และจะมาเปรียบเทียบกับสิทธิชาวพุทธกระแสหลักไม่ได้

หะยีสุหลง

ลองมาดูข้อเสนอเดิมของ หะยีสุหลง ซึ่งเคยได้รับการยอมรับจากอ.ปรีดี พนมยงค์

  1. “สิทธิในการปกครองตนเองของชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ด้วยผู้นำที่เป็นคนจากพื้นที่และมาจากการเลือกตั้งจากคนในพื้นที่” ข้อเสนอนี้จะเพิ่มเสรีภาพอย่างชัดเจนเพราะลดบทบาทรัฐจักรวรรดินิยมไทย ถ้ากรุงเทพฯเลือกผู้ว่าได้ ทำไมปาตานีเลือกไม่ได้?
  2. “ข้าราชการในพื้นที่อย่างน้อย 80 % ต้องเป็นมุสลิม” ตรงนี้เราอาจดัดแปลงให้ทันสมัยขึ้นโดยเสนอว่า ประมาณ 80% ต้องเป็นคนเชื้อสายมาเลย์จากพื้นที่ แต่ควรดัดแปลงสัดส่วนให้เท่ากับสัดส่วนจริงของพลเมืองเชื้อชาติต่างๆ ในพื้นที่ มันจะแก้ไขความรู้สึกของคนในปาตานี ที่รู้สึกว่าถูกยึดครองจากกรุงเทพฯ
  3. “ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยเป็นภาษาราชการ” ข้อเสนอแบบนี้เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก เช่นสวิสแลนด์ คานาดา สวีเดน และอังกฤษ มีแต่พวกไดโนเสาร์อย่างพลเอกเปรมที่เคยคัดค้าน
  4. “ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลางของการสอนในโรงเรียนชั้นประถมศึกษา” ซึ่งควรตีความว่าหมายถึงโรงเรียนในชุมชนที่เขาพูดภาษามลายูที่บ้าน แต่สำหรับครอบครัวที่พูดภาษาไทยที่บ้าน ก็ควรมีโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาไทยเพื่อเป็นทางเลือก จะไปคัดค้านทำไม? และมันไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนที่ใช้ภาษามลายูจะไม่สอนให้เด็กรู้จักภาษาไทย อย่าลืมว่าเรื่องภาษากลางเป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพและทำลายวัฒนธรรมหลากหลายมานาน รวมถึงคนเชื้อชาติลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  5. “ให้ใช้กฎหมายมุสลิมในศาลศาสนา แยกออกไปจากศาลจังหวัด” ตรงนี้พวกคนที่มีอคติกับศาสนาอิสลาม จะโวยวายว่ามันจะนำไปสู่การ “เฆี่ยนเกย์”!! ไม่เลยครับ มันหมายความว่าพลเมืองทุกคนสามารถเลือกได้ว่าอยากขึ้นกับศาลแบบไหนต่างหาก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเราอยู่แล้ว นอกจากนี้การลงโทษในศาสนาอิสลามตีความได้หลากหลาย ชาวอิสลามก้าวหน้าควรจะรณรงค์ไม่ให้มีการตีความแบบล้าหลัง และประเทศสิงคโปร์ที่ใช้การเฆี่ยนเป็นการลงโทษไม่ใช่รัฐอิสลามอีกด้วย
  6.  “ภาษีที่เก็บได้ในพื้นที่ให้ใช้ในพื้นที่เท่านั้น” ก็เป็นข้อเสนอที่ดี แต่ในเมื่อปาตานีเป็นพื้นที่ยากจน ควรมีงบประมาณสมานฉันท์จากพื้นที่อื่นเข้ามา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
  7. “ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลาม” อันนี้ก็เป็นข้อเสนอที่จะให้เสรีภาพกับการนับถือศาสนาอิสลาม แต่ในโลกสมัยใหม่ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดควรมาจากการเลือกตั้ง และคนอิสลามควรมีสิทธิที่จะไม่ทำตามระเบียบนั้นได้ คือระเบียบที่ว่านี้ควรจะเป็นแค่ข้อเสนอแนะเท่านั้น

แต่คำพูดหนึ่งของ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ น่าจะสร้างความกังวลนิดหน่อย คือเวลามีการถามว่าจะทำได้แค่ไหน เขาตอบว่า “อะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญไทย” แต่รัฐธรรมนูญไทยตอนนี้เขียนว่ารัฐไทยเป็นสิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรค์สำคัญในการที่คนในพื้นที่จะพูดคุยพิจารณารูปแบบต่างๆ ของการปกครองตนเอง รวมถึงสิทธิที่จะแยกประเทศด้วย

%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%83%e0%b8%9a-2

ปัญหาความรุนแรงในปาตานี มาจากการกดขี่ของรัฐไทย ผ่านการกระทำของกำลังทหารและตำรวจที่ยึดครองพื้นที่เหมือนเป็นอาณานิคม ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่ควรเสนอให้ถอนทหารและตำรวจส่วนใหญ่ออกจากพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยกันอย่างสันติ และควรเสนอให้ลดบทบาททหารในการเจรจาสันติภาพอีกด้วย

ข้อดีอีกอันหนึ่งของพรรคอนาคตใหม่คือ มีแผนจะลงไปพบปะกับนักเคลื่อนไหว และภาคประชาสังคมในปาตานี เพื่อจัดทำนโยบายการกระจายอำนาจและนโยบายด้านพหุวัฒนธรรม ผมหวังว่าคนของพรรคจะกล้าพอที่จะต่อสายและคุยกับคนที่กบฏต่อรัฐไทย หรือคนที่อยากแบ่งแยกดินแดนด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมกังวลอันหนึ่งคือ พอพวกอนุรักษ์นิยมวิจารณ์สิ่งที่เขาพูดนิดเดียว ก็จะเริ่มเห็นเขาถอยและเปลี่ยนใจ ทำไมต้องขาดความมั่นใจในการทำสิ่งที่ถูกถึงขนาดนั้น? เราคงต้องดูต่อไป

 

จาก คาทาโลเนีย ถึงปาตานี

ใจ อึ๊งภากรณ์

การต่อสู้ของชาวคาทาโลเนีย[1]เพื่อแยกตัวออกจากรัฐสเปน และก่อตั้งสาธารณรัฐอิสระ เป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพพื้นฐานของพลเมืองในการกำหนดอนาคตตนเอง และเราทุกคนที่รักเสรีภาพประชาธิปไตยควรจะสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข ในลักษณะเดียวกันเราควรสนับสนุนชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานีที่ต้องการเสรีภาพจากรัฐไทย

การปราบปรามชาวคาทาโลเนียที่เพียงแต่ต้องการจะไปลงประชามติ โดยรัฐสเปนที่ใช้ตำรวจปราบจลาจลระดับชาติ และกองกำลัง Guardia Civil นำไปสู่การกระทำอันความป่าเถื่อนของฝ่ายรัฐสเปน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการนัดหยุดงานทั่วไปเพื่อเป็นการประท้วง และก่อนหน้านั้นกรรมาชีพดับเพลิงและกรรมาชีพท่าเรือมีบทบาทในการพยายามปกป้องประชาชนจากความป่าเถื่อนของตำรวจ

ข้ออ้างของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมของสเปนคือ รัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ภายใต้อิทธิพลของนายพลฟรังโกซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการฟาสซิสต์ เขียนไว้ว่าประเทศสเปนจะแบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งไม่ต่างเลยจากรัฐธรรมนูญไทย เพราะไทยมีมาตราแบบนี้มาตั้งแต่เผด็จการฝ่ายขวาของไทยขึ้นมามีอำนาจ อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๗๕ ที่ร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของ อ. ปรีดี ไม่มีมาตราดังกล่าวเลย และ อ. ปรีดี เคยสนับสนุนการปกครองตนเองของชาวปาตานีอีกด้วย ดังนั้นการต่อสู้ของชาวคาทาโลเนีย มีประเด็นที่อาจทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเราควรสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของชาวปาตานีที่จะกำหนดอนาคตตนเอง

กษัตริย์ราชวงอื้อฉาวของสเปนได้ออกมาด่าชาวคาทาโลเนียอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งไม่ต่างจากราชินีไทยที่เคยพูดว่าอยากจับปืนสู้กับขบวนการต้านรัฐไทยในกรณีปาตานี

ถ้าเราจะเข้าใจเหตุการณ์ในคาทาโลเนียในขณะนี้เราต้อง ศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติสเปน

ในปี 1936 นายพล ฟรังโก พยายามทำรัฐประหารฟาสซิสต์เพื่อล้มรัฐบาล “สาธารณรัฐ” ของสเปนที่มาจากการเลือกตั้ง  ซึ่งรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแนวร่วมระหว่างพรรคนายทุนและพรรคฝ่ายซ้าย แต่ชนชั้นกรรมาชีพ พรรคฝ่ายซ้าย และองค์กรอนาธิปไตยสเปน ลุกฮือจับอาวุธจากกองทัพเพื่อต่อสู้กับฟรังโกและพวกฟาสซิสต์ การต่อสู้ในขั้นตอนแรกมีรูปแบบการยึดเมือง ยึดสถานที่ทำงาน และยึดที่ดินในชนบท มันเป็นการพยายามปฏิวัติล้มระบบทุนนิยมพร้อมๆ กับการต่อสู้กับทหารเผด็จการ

นักเขียนชื่อ จอร์ช ออร์เวล ในหนังสือ “แด่คาทาโลเนีย” อธิบายจากประสบการณ์โดยตรงในคาทาโลเนียว่า “มันเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นเมืองที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นใหญ่ ทุกตึด ทุกสถานที่ทำงาน ถูกกรรมาชีพยึดแล้วเปลี่ยนเป็นสหกรณ์การผลิต แม้แต่คนขัดรองเท้าข้างถนนยังมีสหกรณ์ คนเสริฟอาหาร และคนขายของตามร้านค้า ที่เคยก้มหัวให้ลูกค้าหรือคนรวย จะยืนตรงและกล้ามองหน้าทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีการเลิกใช้ภาษาของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่ รถยนต์ส่วนตัวไม่มีเหลือ กลายเป็นของส่วนรวมหมด และคนชั้นกลางและคนรวยหายไปจากเมือง ทุกคนมีความหวังในอนาคตอันสดใสที่มีการปลดแอกมนุษย์… มนุษย์กำลังพยายามทำตัวเป็นมนุษย์ที่แท้จริง”

ท่ามกลางกระแสการปฏิวัตินี้ มีสถานการณ์ “อำนาจคู่ขนาน” เกิดขึ้น ในเมือง บาซาโลนา อย่างที่เคยเกิดในรัซเสียเมื่อต้นปี 1917 คือมีรัฐบาล “พรรคสาธารณรัฐ” ที่เป็น “อำนาจทางการ” แต่อำนาจจริงอยู่ในมือของสหภาพแรงงาน องค์กรอนาธิปไตย (CNT) และพรรคฝ่ายซ้าย “สามัคคีแรงงานมาร์คซิสต์” (POUM) ที่เป็นฝ่ายปฏิวัติ ปัญหาคือองค์กรการเมืองสององค์กรหลักของกรรมาชีพคาทาโลเนีย ไม่ยอมตั้งสภาคนงาน เพื่อรวมศูนย์อำนาจกรรมาชีพ และล้มระบบเก่าเพื่อสร้างรัฐใหม่ พวกอนาธิปไตยมีอิทธิพลมากที่สุด และเขาไม่เห็นด้วยกับการรวมศูนย์อำนาจหรือการสร้างรัฐใหม่

ฝ่ายฟาสซิสต์ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันศาสนาคริสต์นิกายแคทอลลิค และได้รับการสนับสนุนด้วยอาวุธ กับเครื่องบินทิ้งระเบิด จากรัฐบาลนาซีในเยอรมันและรัฐบาลพรรคฟาสซิสต์ในอิตาลี่ แต่ประเทศ “ประชาธิปไตย” ตะวันตก อย่างอังกฤษและแม้แต่ฝรั่งเศส ประกาศว่าจะ “เป็นกลาง” อย่างไรก็ตาม มวลชนฝ่ายซ้ายจากยุโรปและทวีปอเมริกาจำนวนมาก เข้าไปเป็นอาสาสมัครในการสู้รบกับฟาสซิสต์ที่สเปน

ในไม่ช้า สตาลิน มีคำสั่งให้พรรคคอมมิวนิสต์สเปน ช่วยยับยั้งการปฏิวัติ และเปลี่ยนการต่อสู้จากการปฏิวัติไปเป็นสงครามทางทหารแบบกระแสหลักกับฝ่ายฟาสซิสต์ “เพื่อประชาธิปไตย” ทั้งนี้เพราะ สตาลิน ต้องการรักษามิตรภาพกับอังกฤษและฝรั่งเศส มีการใช้กองกำลังของรัฐบาล “พรรคสาธารณรัฐ” ในการปราบพวกอนาธิปไตย (CNT) และพรรค “สามัคคีแรงงานมาร์คซิสต์” (POUM) ในเมือง บาซาโลนา

สรุปแล้วการจำกัดการต่อสู้ และการยับยั้งการปฏิวัติ ที่พรรคคอมมิวนิสต์สเปนกระทำ ตามคำสั่งของสตาลิน จบลงด้วยความพ่ายแพ้และโศกนาฏกรรม เพราะเผด็จการฟาสซิสต์ของฟรังโกสามารถครองอำนาจในสเปนถึง 40 ปี

ในขณะที่รัฐบาลฟาสซิสต์ครองอำนาจ มีการกดขี่ประชาชนอย่างหนัก โดยกองกำลังหลักของฟาสซิสต์คือตำรวจ Guardia Civil และคนพื้นเมืองในภูมิภาค คาทาโลเนีย กับ บาส์ค ที่มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ถูกห้ามไม่ให้ใช้ภาษาพื้นเมือง

จริงๆ แล้วรัฐสเปนไม่เคยเป็นรัฐเอกภาพ เพราะในหลายพื้นที่มีพลเมืองที่มีภาษาและประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสร้างรัฐรวมศูนย์ย่อมอาศัยการบังคับด้วยความรุนแรงเสมอ

ล่าสุดกระแสเรียกร้องเสรีภาพของชาวคาทาโลเนียระเบิดขึ้นเมื่อรัฐบาลกลางไม่ยอมปฏิรูปการปกครองเพื่อเพิ่มออำนาจให้กับรัฐบาลท้องถิ่นของ คาทาโลเนีย ผลคือพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและพรรคที่สนับสนุนการแยกประเทศก็ชนะการเลือกตั้งในพื้นที่นี้ รัฐบาลท้องถิ่นของ คาทาโลเนีย พยายามจะนำนโยบายก้าวหน้าหลายอย่างมาใช้ เช่นกฎหมายห้ามการไล่คนจนออกจากบ้านเมื่อไม่สามารถจ่ายค่าเช่า ห้ามตัดไฟบ้านคนจนที่ติดหนี้ กฏหมายเก็บภาษีจากการผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อส่งเสริมพลังงานทางเลือก กฏหมายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมของสตรีในสถานที่ทำงาน และห้ามการลวนลามทางเพศ หรือกฏหมายห้ามการสู้กระทิง แต่ศาลรัฐธรรมนูญสเปนออกมาล้มทุกกฏหมาย

พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญสเปนก็ไม่ต่างจากศาลรัฐธรรมนูญไทย

ในประเด็นเรื่อง คาทาโลเนีย กับ ปาตานี ส่วนที่คล้ายกันคือรัฐบาลกลางใช้อำนาจและความรุนแรงในการรวมประเทศ และในการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความชอบธรรมกับการรวมประเทศ โดยไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของคนพื้นเมือง และมีการกดขี่ภาษาและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง มันหมายความว่าเราจะต้องสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของชาวมเลย์มุสลิมในปาตานีที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง รวมถึงการแยกประเทศด้วย ในขณะเดียวกันพลเมืองทุกคนในปาตานี ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด ควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะอาศัยอยู่ในรัฐแบบไหนในอนาคต

สิ่งที่เกิดขึ้นในคาทาโลเนียอาจเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับชาวปาตานีด้วย เพราะในกรณีคาทาโลเนียมีการอาศัยพลังมวลชน รวมถึงพลังกรรมาชีพ ในการต่อสู้ แทนที่จะเน้นกองกำลังติดอาวุธ และการใช้พลังมวลชนดังกล่าวที่คาทาโลเนียมีความเข้มแข็งมาก

[1] คนพื้นเมืองออกเสียงว่า “กาตาลูญญา”

คนที่ปกป้อง “พระ” อภิชาติ เป็นคนที่ไร้จิตสำนึกประชาธิปไตย

ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่ “พระ” ที่ชื่อ อภิชาติ ถูกทหารจับสึก สร้างความไม่พอใจในหมู่คนไทยจำนวนหนึ่งที่มีทัศนะแย่ๆ ต่อชาวมุสลิม พวกคนเหล่านี้ลึกๆ แล้ว เกลียดชังชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ หรือชาวโรฮิงญาในพม่า เขาเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติและศาสนา และการที่มีคนเสื้อแดงหลายคนรวมอยู่ในกลุ่มนี้ก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า แต่สำหรับหลายคนมันยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนตนเองและยกเลิกอคติที่ตนมีต่อเชื้อชาติหรือศาสนาของคนอื่น อย่างไรก็ตามสำหรับคนอีกส่วนหนึ่งคงไม่มีปัญญาจะทบทวนตนเองได้

“เอาน้ำมันหมูกรอกปากโต๊ะอิหม่ามเลยครับ” คือตัวอย่างของคำหยาบคายที่คนแบบนี้ใช้ในโซเชียลมีเดีย

อภิชาติเป็นคนที่อ้างตัวเป็น “พระสงฆ์” แล้วปลุกระดมให้คนเกลียดชังชาวมุสลิม และไปใช้ความรุนแรงกับชุมชนมุสลิมอีกด้วย สองปีก่อนอภิชาติพูดว่า “หมดเวลาแล้วที่ชาวพุทธจะใช้คำว่า เมตตาปรานี ถ้าพระใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกระเบิดหรือถูกยิงตาย 1 รูป ต้องแลกกับการไปเผามัสยิดทิ้งไป 1 มัสยิด โดยเริ่มจากภาคเหนือลงมาเรื่อยๆ”  “ถ้ากลัวก็ไปกราบเท้าแขกและยกประเทศให้” นอกจากนี้อภิชาติก็พูดทำนองว่า “แขกอิสลามบ่อนทำลายพุทธศาสนามาตลอด”

จะสังเกตเห็นว่าเขามักจะใช้คำหยาบคายและเหยียดหยามคนเชื้อสายมาเลย์หรือคนเอเชียใต้ด้วยคำว่า “แขก” เสมอ ซึ่งคนไทยจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับอภิชาติ ก็ใช้คำว่า “แขก” เช่นกัน ปรากฏการณ์แบบนี้ชี้ให้เห็นว่ากระแสเหยียดหยามทางเชื้อชาติแพร่กระจายไปทั่วสังคมไทย มันถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเตือนสติกัน

อภิชาติเป็นพวกที่ใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ลัทธิฝ่ายขวาสุดขั้ว ที่คอยปลุกระดมให้คนเกลียดมุสลิม เขาไม่ต่างจากพวกฟาสซิสต์ในยุโรป หรือพระฟาสซิสต์ในพม่าที่ชื่อวิระทู ซึ่งเป็นพระเอกของอภิชาติ วิระทูชอบปลุกระดมให้ม็อบอันธพาลชาวพุทธไปทำร้ายชาวมุสลิม โดยที่เขามีเส้นสายภายในหมู่ทหารเผด็จการพม่าอีกด้วย อภิชาติก็ชมวิระทูว่า “พูดถูก” ที่วิระทูพูดว่า ชาวโรฮิงญา “ใช้ชีวิตบนผืนแผ่นดินเราแต่ไม่สำนึกในบุญคุณของเรา”

คำพูดของ อภิชาติ และวิระทู เป็นคำพูดป่าเถื่อน แต่ยิ่งกว่านั้นเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อให้ความชอบธรรมกับลัทธิขวาตกขอบของเขา ในความเป็นจริงทั้งชาวมาเลย์มุสลิม และชาวโรฮิงญาอาศัยในพื้นที่ที่เป็นของเขามานาน ก่อนที่รัฐบาลไทย อังกฤษ หรือพม่า จะทำการสร้างประเทศและยึดพื้นที่ของเขามาปกครอง

ในกรณีภาคใต้ รัฐบาลไทยกดขี่คนมาเลย์มุสลิมมานาน พร้อมกับใช้ความรุนแรงในการพยายามปกครอง ตั้งแต่ปี ๒๔๖๔  รัฐบาลไทยมีนโยบายบังคับให้ชาวมาเลย์มุสลิมเปลี่ยนเป็น “ไทย” ผ่านระบบการศึกษา โดยมีการห้ามใช้ภาษาของตนเองในโรงเรียนเป็นต้น ในปี ๒๔๙๑  ผู้นำสำคัญของชาวมาเลย์ชื่อ ฮัจญีสุหลง ถูกจับคุมโดยรัฐบาลไทยและในที่สุดโดนฆ่าวิสามัญ ในปีเดียวกันตำรวจไทยก่อเหตุนองเลือด ฆ่าชาวบ้านที่ บ.ตุซงญอ อ.ระแงะ จ. นราธิวาส สภาพแบบนี้ดำรงอยู่มาจนทุกวันนี้ ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ กองทหารและตำรวจไทยจงใจฆ่าชายมุสลิมบริสุทธิ์แปดสิบกว่าคนในเหตุการณ์ที่ตากใบ

พฤติกรรมของรัฐไทยคือต้นกำเนิดของการลุกชึ้นจับอาวุธของชาวมาเลย์มุสลิมบางคน เขาไม่ใช่โจร เขาเป็นคนที่ต้องการเสรีภาพ โจรที่แท้จริงคือเจ้าหน้าที่รัฐไทย โดยเฉพาะทหาร ซึ่งโจรรัฐไทยก็เคยฆ่าคนเชื้อชาติไทยกลางกรุงเทพฯ หลายครั้ง และใช้กำลังอาวุธในการทำรัฐประหารอีกด้วย

การที่พลเมืองไทย รวมถึงพระสงฆ์ ไม่ออกมาประท้วงต่อต้าน อภิชาติ เปิดทางให้เขาสามารถสร้างภาพการเป็นเหยื่อเมื่อทหารเผด็จการจับสึกและนำไปขัง การกระทำของทหารครั้งนี้ไม่ได้ทำเพราะมีอุดมการณ์ดีๆ อะไรเลย แต่ทำไปเพราะกลัวว่า อภิชาติ จะเพิ่มความขัดแย้งในสังคมที่ทหารจะคุมยากขึ้น และการที่ทหารจับ อภิชาติ ไม่ได้แปลว่าทหารจะไม่มีแนวคิดคล้ายๆ เขา

ประเด็นการกระทำของทหารต่อ อภิชาติ ไม่ใช่ประเด็นหลัก ในระยะยาวแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ และแนวชาตินิยมของ อภิชาติ ช่วยปกป้องอำนาจของรัฐไทย โดยเฉพาะฝ่ายที่นิยมเผด็จการ เพราะทำให้พลเมืองไทยตาบอดถึงอาชญากรรมของรัฐไทยในภาคใต้ มันทำให้คนธรรมดาขัดแย้งกันเอง แทนที่จะมีการสร้างความสามัคคีในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมของทุกคน ลัทธิเหยียดเชื้อชาติเป็นอาวุธสำคัญในการแบ่งแยกและปกครอง และในการเบี่ยงเบนประเด็นความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อไม่ให้ไปโทษชนชั้นปกครอง ในหลายแง่ ถ้าดูจากมุมมองชนชั้น คนอย่างอภิชาติไม่ต่างจาก “พระฟาสซิสต์” ที่ชื่อ อิสระ ซึ่งเป็นพระโปรดของประยุทธ์มือเปื้อนเลือด ทั้งสองใช้ลัทธิที่เอื้อกับการใช้อำนาจของเผด็จการ

สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับสังคมไทยคือ คนไทยจำนวนมากใช้คำว่า “แขก” ในบริบทคล้ายๆ กับ อภิชาติ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นอาจไม่เห็นด้วยกับจุดยืนของ อภิชาติ และนอกจากนี้มีคนที่ปกติอยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยที่มีทัศนะแย่ๆ เกี่ยวกับโรฮิงญาหรือคนมาเลย์มุสลิม ในกรณีภาคใต้คนเหล้านี้จะด่า “โจรใต้” โดยไม่เอาใจใส่ในการศึกษาประวัติศาสตร์ และไม่มีการวิจารณ์ฝ่ายทหารที่ก่ออาชญากรรมแต่แรก นอกจากนี้มีคนไทยจำนวนมากที่นิยมลัทธิชาตินิยม ซึ่งในบริบทสังคมไทย เป็นลัทธิที่ปกป้องอำนาจของชนชั้นปกครองอย่างเดียว

ปรากฏการณ์แบบนี้แสดงให้เห็นว่ากระแสเหยียดเชื้อชาติในไทยมีอิทธิพลลสูง และเส้นแบ่งระหว่างคนอย่าง  อภิชาติ กับคนทั่วไปที่ใช้คำว่า “แขก” ไม่ชัดเจน สาเหตุหลักคือไม่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่รณรงค์อย่างเป็นระบบที่จะต่อต้านกระแสเหยียดเชื้อชาติในไทย และไม่มีการรณรงค์ประท้วงพฤติกรรมแย่ๆ ของ อภิชาติ ด้วย เหตุผลที่ไม่มีขบวนการมวลชนที่ต่อต้านทัศนะเหยียดเชื้อชาติในไทยก็เพราะไทยขาดพรรคฝ่ายซ้ายที่พอจะมีอิทธิพลได้ ตรงนี้เราเห็นชัดว่าไทยแตกต่างจากประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศในยุโรป ด้วยเหตุนี้ในเรื่องสิทธิเสรีภาพทั่วๆ ไป ไทยจะล้าหลังมาก เช่นเรื่องสิทธิในการทำแท้งเสรี ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ความเท่าเทียมของพลเมืองโดยไม่มีการมอบคลาน หรือในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจฯลฯ นอกจากนี้เราไม่มีขบวนการมวลชนของพลเมืองไทยที่ออกมาเรียกร้องให้มีการรับผู้ลี้ภัยโรฮิงญา หรือให้มีการถอนทหารตำรวจออกจากพื้นที่สามจังหวัดเพื่อสร้างสันติภาพเป็นต้น

ดังนั้นเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีสร้างขบวนการมวลชนที่ต่อต้านทัศนะเหยียดเชื้อชาติ เพื่อชักชวนคนส่วนใหญ่ให้เลิกเหยียดเชื้อชาติหรือเลิกใช้คำอย่างเช่น “แขก” หรือ “ไอ้มืด” ฯลฯ คนเหล่านี้ไม่เคยถูกท้าทายเรื่องทัศนคติ แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าเขาเปลี่ยนทัศนคติได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นคนที่เห็นด้วยกับคนอย่าง อภิชาติ ยิ่งกว่านั้นเราทราบดีว่ามีคนจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มต่างๆ เช่น “กลุ่มเพื่อนเพื่อมนุษยธรรม” ที่ไม่เห็นด้วยกับการเหยียดเชื้อชาติ แต่ไม่มีการจัดเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน เขาจึงมีอิทธิพลจำกัด

ขบวนการมวลชนที่ต่อต้านทัศนะเหยียดเชื้อชาติ จะต้องให้การศึกษากับคนธรรมดาให้เข้าใจต้นกำเนิดของความรุนแรงในภาคใต้ และต้องจับมือร่วมกับนักประชาธิปไตยในการต่อต้านเผด็จการทหารอีกด้วย

ถ้าเราไม่มีองค์กรมวลชนที่ทวนกระแสเหยียดเชื้อชาติในสังคม คนอย่าง อภิชาติ จะสามารถดึงคนธรรมดามาคิดเหมือนเขาได้ และสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยจะไม่มีวันเกิด

อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2b5aCYI

ลัทธิทหารคือลัทธิอันธพาล

ใจ อึ๊งภากรณ์

เราไม่ควรแปลกใจแต่อย่างใดที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกับทหารเกณฑ์เป็นประจำ เพราะทหารของทุกประเทศในทุกยุคคือโจรอันธพาลของรัฐ และใครที่เข้าใจธาตุแท้ของรัฐในสังคมชนชั้นปัจจุบันทั่วโลกย่อมเข้าใจว่ารัฐไม่ใช่รัฐของประชาชน รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง เพื่อควบคุมอำนาจที่เขามีเหนือเราที่เป็นคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ารัฐนั้นจะถูกบังคับให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ [อ่านเพิ่มเรื่องรัฐได้ที่นี่ http://bit.ly/2oPnBIm  ]

ในประเทศไทยพวกนายพลคิดจะปล้นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเมื่อไร ก็นำอาวุธออกมาข่มขู่ประชาชนแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้ารัฐบาล ภายใต้เผด็จการปัจจุบันแก๊งอันธพาลก็กระจายไปทั่วทุกส่วนของสังคมจนตำรวจเกือบจะไร้บทบาท พวกมันใช้อาวุธเพื่อแต่งตัวเองเป็นประธานโน้นประธานนี่ คุมเศรษฐกิจและสังคม บุกค้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ลากคนบริสุทธิ์เข้าคุกทหารเพื่อเปลี่ยนทัศนะคติ หรือขังลืมเพราะกล้ามีความเห็นต่าง คิดจะวิสามัญใครก็ทำได้โดยไม่เคยถูกลงโทษ คิดจะยิงประชาชนผู้รักประชาธิปไตยตายกลางถนนก็ทำได้ ทหารอันธพาลไม่ชอบใครก็เลื่อนตำแหน่งได้ตามอำเภอใจ คิดอยากจะออกกฏหมายอะไรก็ใช้มาตรา44สั่งการ ไม่ต้องปรึกษาหารือถกเถียงตามกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด ประยุทธ์อ้างกฏหมายได้ เพราะกฏหมายในปัจจุบันคือความคิดประยุทธ์เท่านั้น

ลัทธิทหารคือลัทธิอันธพาล อันธพาลคิดจะใช้ความรุนแรงเพื่อได้อะไรก็ทำได้ ทำต่อพลเมืองธรรมดาก็ได้ ทำต่อลูกน้องในกองทัพก็ทำได้

ทั้งหมดนี้ทำได้เพราะมีอาวุธอยู่ในมือ ไม่ต่างจากโจรผู้ร้ายแต่อย่างใด

ภายในกองทัพธรรมดาของรัฐปัจจุบันไม่เคยมีประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพ ไม่ต่างจากแก๊งโจร ใครเป็นใหญ่ในกองทัพสั่งลูกน้องได้โดยห้ามตั้งคำถามหรือเถียง วินัยทหารคือวินัยอันธพาล มันไม่ใช่วินัยที่มาจากจิตสำนึกของพลเมืองเองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานเหตุผลแต่อย่างใด

จริงอยู่บางครั้งในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติประชาชน เช่นในรัสเซียปี 1917 หรือสเปน 1936 มีกองกำลังปฏิวัติเกิดขึ้นที่นายพลเป็นแค่ “ผู้ประสานงาน” บางครั้งมีการเลือกนายพลได้อีกด้วย และคำสั่งของผู้ประสานงานต้องได้รับการยอมรับโดยทหารธรรมดาผ่านการถกเถียง แต่นั้นเป็นกรณีพิเศษของกองทัพปฏิวัติ มันไม่ใช่กองทัพของรัฐ

ทั่วโลกในยามสงครามทหารจะถูกสั่งให้ไปฆ่าประชาชนของอีกประเทศที่เป็นทหารและพลเรือนโดยไม่ต้องมีการอธิบายเหตุผลด้วยข้อมูลและรายละเอียดแต่อย่างใด ทุกครั้งก็จะมีโฆษกของชนชั้นปกครองในสื่อออกมากล่าวว่าเป็นสงคราม “เพื่อปกป้องชาติ” แต่คำถามสำคัญคือ “ชาติ” ที่พูดถึงเป็นชาติของใคร?

เวลา “ไทย” รบ “พม่า” ชาวบ้านธรรมดาได้อะไร? คำตอบคือไม่เคยได้อะไรเลย สงครามในยุคนั้นทำไปเพื่อแย่งไพร่และทาสกันระหว่างชนชั้นปกครอง เวลาตะวันตกทำสงครามในตะวันออกกลางทำไปเพื่ออะไร? แน่นอนไม่ได้ทำไปเพื่อประชาชนในอิรัก อัฟกานิสถาน หรือซิเรีย เพราะเขาต้องล้มตายเป็นแสน แล้วพอเขาต้องการหนีไปยุโรปก็ไม่ให้เข้า แน่นอนไม่ได้ทำไปเพื่อประชาชนในประเทศตะวันตกเอง เพราะนอกจากเขาต้องจ่ายภาษีเพื่อการทำสงครามแล้ว มันยังเป็นการชักศึกก่อการร้ายเข้าบ้านในขณะที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางไม่เคยเป็นภัยต่อความสงบของสังคมตะวันตก สาเหตุแท้ของการทำสงคราม “เพื่อชาติ” คือทำไปเพื่อกำไรของกลุ่มทุนใหญ่ เพื่อน้ำมัน และเพื่อการอวดความยิ่งใหญ่และแสดงอำนาจของประเทศจักรวรรดินิยมเท่านั้น

สงครามที่กองทัพไทยก่ออยู่ในปาตานีทุกวันนี้ ไม่ใช่สงครามเพื่อประโยชน์ของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด มันสร้างภัยให้ประชาชนธรรมดาต่างหาก มันสร้างความขัดแย้งจอมปลอมระหว่างคนที่มีเชื้อชาติศาสนาต่างกัน มันเป็นสงครามเพื่อยับยั้งไม่ให้ชาวมุสลิมมาเลย์กำหนดอนาคตตนเองเท่านั้น มันเป็นสงครามเพื่อปกป้องรัฐของชนชั้นปกครองไทย ถ้าปล่อยให้มีการคุยกันระหว่างประชาชนในพื้นที่โดยที่ทหาร ตำรวจและรัฐไทยไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง จะมีสันติภาพได้ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ชนชั้นปกครองไทยต้องการแต่อย่างใด

ทุกวันนี้เวลาชายไทยถูกเกณฑ์เป็นทหาร มันไม่ต่างจากการเกณฑ์ไพร่ในอดีต มันไม่ใช่การเกณฑ์ไป “รับใช้ชาติ” ของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด มันเป็นการเกณฑ์ไปรับใช้นายพล และภายใต้เผด็จการปัจจุบันมันเป็นการเกณฑ์ไปรับใช้เผด็จการเปื้อนเลือดของประยุทธ์

คนที่รักประชาชน คนที่มองว่า “ชาติ” คือ “ประชาชน” จะรับใช้ชาติได้ดีที่สุดโดยการคัดค้านการเกณฑ์ทหาร การประท้วงความรุนแรงภายในกองทัพ และการต่อต้านเผด็จการ

ปาตานี:พวกเอ็นจีโอและกรรมการสิทธิ์เลือกข้างสนับสนุนรัฐเผด็จการ

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้ในปาตานี มีเหตุการณ์วางระเบิดที่ตลาดโต้รุ่ง และลอบยิงที่ศูนย์การศึกษา

ใครควรจะรับผิดชอบ? ใครควรจะถูกประณาม? และในสงครามระหว่างฝ่ายนักรบปาตานีกับรัฐเผด็จการไทย เราควรเลือกข้างไหน?

สำหรับพวกที่อ้างตัวเป็นประชาสังคมและเอ็นจีโอ มันชัดเจนมาก พวกนี้เลือกจะประณามคนที่กบฏต่อรัฐไทย และเลือกที่จะชมและเข้าข้างรัฐเผด็จการไทยที่กดขี่ประชาชน มีการเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐเร่งจับกุมผู้ก่อการให้เร็วที่สุดและขอให้รัฐรักษาความปลอดภัยอีกด้วย นอกจากนี้มีการเรียกร้องให้ฝ่ายกบฏยุติการใช้ความรุนแรง

img

แต่ไม่มีการเรียกร้องให้กองกำลังของรัฐยุติความรุนแรงต่อชาวบ้าน หรือยุติการกดขี่ชาวมาเลย์มุสลิม ไม่มีการเรียกร้องให้รัฐเผด็จการไทยเลิกยึดพื้นที่ปาตานีดุจเมืองขึ้น หรือให้มีการจับกุมลงโทษทหาร ตำรวจ และผู้บังคับบัญชาต่างๆ ที่มีส่วนในการฆ่าประชาชนแต่อย่างใด

กรณีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ก็ไม่ต่างออกไป เพราะมีการประณามผู้ที่กบฏต่อรัฐไทย และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐเผด็จการไทยอย่างเต็มที่ อย่าลืมว่าองค์กรนี้ไม่เคยประณามการเข่นฆ่าเสื้อแดง หรือประณามการใช้กฏหมายเถื่อน 112

สรุปแล้วทั้งเอ็นจีโอ คนที่อ้างตัวเป็นประชาสังคม และคนที่อ้างตัวเป็นกรรมการสิทธิ์ ล้วนแต่คล้อยตามรัฐบาลเผด็จการและใช้สองมาตรฐานในเรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งนั้น

นักเขียนคนดังของอินเดียชื่อ อารุณดาธิ รอย เคยเขียนว่าคนที่จะประณามการใช้ความรุนแรงของผู้ที่ถูกกดขี่ จะต้องพิสูจน์อย่างชัดเจนก่อนว่ารัฐเปิดโอกาสให้คนที่เห็นต่าง หรือคนที่ต้องการมีอิสรภาพ สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเสรี และหาทางบรรลุเป้าหมายของเขาด้วยวิธีการสันติ

แต่รัฐไทยไม่เคยเคารพสิทธิของพลเมือง ไม่ว่าจะในปาตานี หรือกรุงเทพฯ

คนปาตานีไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งพรรคการเมืองที่ประกาศอย่างชัดเจน ว่ามีเป้าหมายทางการเมืองเพื่อให้ปาตานีอิสระจากรัฐไทย คนปาตานีไม่มีสิทธิ์ที่จะลงคะแนนให้พรรคการเมืองแบบนี้ และประชาชนทั่วไทยไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่เคารพ “ชาติ ศาสนา และกษัตริย์” ของชนชั้นปกครองไทย นอกจากนี้รัฐธรรมนูญไทยระบุตลอดว่าประเทศไทยแบ่งแยกไม่ได้ แล้วคนที่ถูกกดขี่มีโอกาสจะไปเคลื่อนไหวอย่างสันติมากน้อยเพียงไร?

10511093_945236505558179_2265417403833671613_n

%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%83%e0%b8%9a-2

ที่ตากใบเมื่อ 12 ปีก่อนหน้านี้ เมื่อชาวบ้านที่ปราศจากอาวุธชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อนชาวบ้านที่ถูกจับในข้อหายกอาวุธที่รัฐแจกให้กองกำลังกบฏ ทหารและตำรวจไทยใช้ความรุนแรงจนชาวบ้านบริสุทธิ์ตายไปเกือบหนึ่งร้อยคน เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่กองกำลังรัฐไทยฆ่าชาวบ้านปาตานี แต่จนถึงทุกวันนี้ไม่เคยมีใครถูกลงโทษ

เหตุการณ์สำคัญที่เป็นรากฐานความรุนแรงของรัฐไทย

๒๔๓๓  รัฐบาลของรัชกาลที่ ๕ เข้ามายึดครองส่วนหนึ่งของปัตตานี แบ่งกับอังกฤษ ซึ่งเป็นกระบวนการในการสร้างชาติไทยสมัยใหม่เป็นครั้งแรก มีข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับกรุงเทพฯในปี ๒๕๔๒ (1909)

๒๔๖๔  รัฐบาลมีนโยบายบังคับให้ชาวมาเลย์มุสลิมเปลี่ยนเป็น “ไทย” ผ่านระบบการศึกษา และมีการบังคับเก็บภาษี

๒๔๖๖  การกบฏ Belukar Semak บังคับให้รัชกาลที่ ๖ ทบทวนนโยบายการปกครอง และประนีประนอมกับวัฒนธรรมพื้นเมืองของชาวปัตตานี

๒๔๘๑  เผด็จการทหารของจอมพล ป. พิบูล สงคราม ใช้นโยบายชาตินิยมไทยสุดขั้วเพื่อกดขี่ประชาชนภาคใต้

๒๔๘๙  นายกรัฐมนตรี ปรีดี พนมยงค์ ส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นเมือง และยอมรับหลักการณ์ของเขตปกครองพิเศษในปี ๒๔๙๐ แต่ถูกรัฐประหารโดยกลุ่มทหาของจอมพลป.ฯ เลยพ้นจากอำนาจ ฮัจญีสุหลง ผู้นำปัตตานีคนหนึ่ง เสนอในช่วงนี้ว่าควรมีเขตปกครองตนเองพิเศษภายในรัฐชาติไทย แต่รัฐไทยไม่ฟัง

๒๔๙๑  ฮัจญีสุหลง ถูกจับคุมโดยรัฐบาลไทย และในเดือนเมษายนตำรวจไทยก่อเหตุนองเลือด ฆ่าชาวบ้านที่ บ.ตุซงญอ อ.ระแงะ จ. นราธิวาส

๒๔๙๗  ฮัจญีสุหลงถูกฆ่าตายโดยคำสั่งของ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ผู้ร่วมคณะเผด็จการกับจอมพลป.ฯ

๒๕๐๓-๒๕๑๓ เริ่มต้นในสมัยรัฐบาลเผด็จการของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีการขนชาวบ้าน “ไทย” พุทธจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงมาในเขตปาตานี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดครองพื้นที่ และมีการห้ามใช้ภาษายะวีในโรงเรียนรัฐและสถานที่ราชการ

สรุปแล้วทางการไทยมีประวัติอันยาวนานในการกดขี่ การฆ่าวิสามัญ และการทรมานผู้ที่โดนจับกุม และในปัจจุบันเมื่อมีองค์กรสิทธิ์แท้จริงพยายามเปิดโปงเรื่องนี้ก็มีการปราบองค์กรดังกล่าว

12461738351246174435l

เราควรเข้าใจอีกด้วยว่าสถานที่ศึกษาของรัฐไทยในปาตานี เป็นเครื่องมือสำคัญในการกดขี่ชาวมาเลย์มุสลิม ดังนั้นเราจะไปแปลกใจได้อย่างไรที่ครูของรัฐไทยกลายเป็นเป้า แม้แต่พระสงฆ์พุทธในพื้นที่นี้ก็ผูกพันกับทหารจนพูดไม่ได้ว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่อิสระจากแนวการเมืองของรัฐ

091208_mccargo

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราจะต้องชี้ให้ชัดเจนว่าความรุนแรงทุกชนิดที่เกิดในปาตานีมาจากการกระทำของรัฐไทย รัฐไทยต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และรัฐไทยต้องถูกประณาม

เราต้องเรียกร้องให้ทหารเลิกยึดครองปาตานี เราต้องเรียกร้องให้รัฐเลิกแจกอาวุธให้อาสาสมัครในหมู่บ้าน เราต้องเรียกร้องให้ภาษายะวีเป็นภาษาทางการควบคู่กับภาษาไทย

ความรุนแรงของผู้ที่ต่อสู้กับการกดขี่และความอยุติธรรม เทียบไม่ได้กับความรุนแรงของผู้กดขี่ และเราจะต้องสนับสนุนอิสรภาพของชาวปาตานี

12744275_1720991521448066_4919859868376036493_n

แต่ถึงแม้ว่าผู้เขียนเห็นใจและเข้าใจคนที่เลือกแนวทางจับอาวุธ เพื่อสู้กับการกดขี่ของรัฐไทย แต่ยุทธศาสตร์นี้มีจุดอ่อนด้อยมหาศาล เพราะเป็นการปิดพื้นที่เคลื่อนไหวสำหรับขบวนการที่ไม่อยากจับอาวุธ และเป็นการปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวทางสู่สังคมใหม่โดยประชาชนจำนวนมาก การปิดพื้นที่ดังกล่าวมาจากสภาพสงครามที่เกิดขึ้น

ยิ่งกว่านั้นยุทธวิธีการใช้กองกำลังกระจายที่ดูเหมือนไม่มีศูนย์กลาง เพื่อให้ทหารและรัฐไทยต้องสู้กับ “ผี” มีข้อเสียทางการเมืองมากมาย เพราะในสภาพที่มีการยิงกันและวางระเบิด แต่ไม่มีใครออกมาโฆษณารับผิดชอบ เป็นโอกาสทองสำหรับวิธีรบแบบสกปรกของรัฐไทย เราทราบดีว่ารัฐไทยใช้หน่วยงานสังหารวิสามัญตลอดเวลา และใช้โจรหรือทหารนอกเครื่องแบบเพื่อฆ่าหรือข่มขู่ประชาชน  แต่เมื่อฝ่ายกองกำลังกบฏต่อรัฐไทยไม่ยอมประกาศอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รัฐ และเมื่อไม่มีการออกมารับผิดชอบต่อปฏิบัติการของกองกำลังแต่ละครั้งอย่างชัดเจน ฝ่ายรัฐไทยสามารถสร้างภาพว่า “โจรไม่ทราบฝ่าย” ไปเที่ยวฆ่าชาวบ้านอิสลามและพุทธโดยไม่เลือกหน้า วิธีการปิดลับและรบแบบ “ผี” นี้ ทำให้ประชาชนทุกฝ่ายสับสนและเกรงกลัว มันไม่ช่วยในการสร้างมวลชน หรือในการเรียกร้องให้ประชาชนภาคอื่นๆ เข้ามาสมานฉันท์แต่อย่างใด มันมีบทเรียนเรื่องนี้จากการสู้รบของ “ไออาร์เอ” ในไอร์แลนด์ หรือของขบวนการอิสรภาพในอาเจห์กับทีมอร์

ขบวนการต้านรัฐไทยใน ปาตานี ควรสร้างพรรคมวลชนที่ทำงานอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องจดทะเบียน ทั้งนี้เพื่อสร้างฐานในหมู่ประชาชนในพื้นที่อย่างชัดเจน และเสนอนโยบายการเมือง เศรษฐกิจและสังคม สำหรับประชาชนทุกเชื้อชาติหรือศาสนา และเพื่อเรียกร้องให้มีการลงประชามติเรื่องการปกครอง คือควรมีการเสนอประชามติว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเขตปกครองพิเศษ หรือต้องการแยกรัฐออกไปเลย หรือต้องการอยู่ต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

patdemo3

     พรรคมวลชนแบบนี้สามารถรณรงค์ขอความสมานฉันท์จากประชาชนในภาคอื่นๆ ได้อีกด้วย และสามารถทำแนวร่วมกับกลุ่มที่ถูกกดขี่หรือด้อยโอกาสกลุ่มอื่นๆ ตัวอย่างที่ดีคือพรรคการเมืองถูกกฏหมายของฝ่ายจับอาวุธในไอร์แลนด์ อาเจห์ หรือในแข้วนบาสค์ระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือในทุกกรณีที่มีสงครามกลางเมืองเพื่อแบ่งแยกดินแดน ฝ่ายจับอาวุธกับฝ่ายทหารของรัฐไม่สามารถเอาชนะกันได้ และการแก้ปัญหาในที่สุดย่อมอยู่ที่กระบวนการทางการเมืองที่โปร่งใสเสมอ

ทหารไม่ควรมีบทบาทในปาตานี

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีข่าวว่าพวกอันธพาลใส่เครื่องแบบ สมุนของประยุทธ์มือเปื้อนเลือด ไปสั่งห้ามสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) จัดงานคุยสันติภาพที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา โดยที่พวกทหารอ้างว่าหัวข้อ “สันติภาพทำไมต้องเป็นประชาชน” ถือเป็นประเด็นที่ “ค่อนข้างอ่อนไหว” และแน่นอนพวกใส่เครื่องแบบเหล่านี้คงจะไม่พอใจที่นักศึกษาเน้นว่าการแก้ปัญหาในปาตานีต้องเป็นเรื่องของการกำหนดอนาคตตนเองของคนในพื้นที่

ตั้งแต่ไหนแต่ไร ทหารคับแคบหัวทึบ ที่ปัจจุบันปกครองประเทศหลังการปล้นอำนาจจากประชาชน จะไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับการกำหนดอนาคตของตนเองโดยพลเมืองธรรมดา ไม่ว่าจะในปาตานี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรืออุบลราชธานี

แต่ใครที่ติดตามสงครามกลางเมืองในปาตานี และเข้าใจประเด็นสงครามประเภทนี้ที่เกิดขึ้นในส่วนอื่นของโลก จะเข้าใจดีว่ามันมีวิธีเดียวที่จะแก้ไขความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนคนล้มตายเป็นพัน วิธีนั้นคือการเปิดพื้นที่เสรีภาพเพื่อให้พลเมืองในส่วนต่างๆ สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้

ต้นเหตุของสงครามในปาตานีมาจากพฤติกรรมของรัฐไทย ตั้งแต่มีการทำลายปาตานีแล้วมาแบ่งกันครอบครองระหว่างรัฐอังกฤษและรัฐที่กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่จุดนั้นเป็นต้นไป รัฐไทยมักจะใช้ความป่าเถื่อนในการบังคับ กดขี่ และทำลายวัฒนธรรมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวมาเลย์มุสลิม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ปาตานีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

การห้ามใช้ภาษาของตนเอง การบังคับให้เรียนหนังสือตามหลักสูตรไทยกลาง การฆ่าล้างประชาชน ล้วนแต่กดทับความฝันอันมีความชอบธรรมของประชาชน ที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง

สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) มีประวัติในการพยายามเน้นมวลชนเพื่อสร้างสันติภาพ แทนที่จะจับอาวุธสู้กับรัฐไทย แต่เขาไม่เหมือนพวกเอ็นจีโอประเภทที่พูดแต่เรื่องสันติภาพแล้วโทษทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันเหมือนคนปัญญาอ่อน เพราะเวลาคนที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นจับอาวุธสู้กับผู้กดขี่ตนเอง มันเป็นเรื่องที่มีความชอบธรรม ทั้งๆ ที่แนวจับอาวุธจะไม่มีวันนำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างจริงจังในปาตานี ดังนั้นพวก “คนร้าย” ตัวจริงในกรณีปาตานี มีอยู่ฝ่ายเดียว คือเจ้าหน้าที่รัฐไทย

การปิดกั้นเส้นทางที่จะนำไปสู่สันติภาพ อย่างที่พึ่งเกิดขึ้นที่ราชภัฏยะลา จะมีผลอย่างเดียว คือผลิตซ้ำความรุนแรง

ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มด้วยใจ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้เปิดรายงานสถานการณ์การทรมานโดยรัฐไทย ที่กระทำต่อผู้ถูกคุมขังที่ล้วนแต่เป็นชาวมาเลย์มุสลิม มีการเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาอย่างละเอียด รายงานนี้อธิบายถึงการทุบตี ข่มขู่ และทรมาณด้วยวิธีต่างๆ อย่างเป็นระบบ โดยฝ่ายความมั่นคง ซึ่งจำนวนกรณีการทรมาณดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบสามปีที่ผ่านมา

รายละเอียดของรายงานอ่านได้ที่ประชาไท ( http://bit.ly/1Xrdam5 )

ภาพที่เราเห็นจากรายงานดังกล่าว คือการอาละวาดของพวกอันธพาลใส่เครื่องแบบ มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยที่คนที่กระทำความผิดดังกล่าวลอยนวลเสมอ เราคงไม่แปลกใจในเรื่องนี้เพราะทหารโจรที่ฆ่าประชาชนในกรุงเทพฯ ก็ลอยนวลมาตลอดเช่นกัน

หลังจากที่มีการเปิดรายงานเรื่องการทรมานที่ปาตานี อันธพาลใส่เครื่องแบบก็ไปข่มขู่เจ้าหน้าที่องค์กรที่เกี่ยงข้องกับรายงาน นี่หรือจะนำไปสู่การ”ดับไฟใต้”???

บุคลิกภาพของทหารที่ชอบยึดอำนาจ แบบประยุทธ์กับสมุนของเขา คือความคับแคบหัวแข็งในเรื่องการปกครองตนเองของพลเมืองในชุมชนต่างๆ พวกนี้ยึดติดกับมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” เหมือนกับว่าประโยคนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะตกลงมาจากพระเจ้าบนฟ้า แทนที่จะถือว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเขียนขึ้น สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเขียนก็มักเปลี่ยนได้เสมอ แต่การเคารพสิทธิของพลเมืองที่จะกำหนดอนาคตการปกครองของตนเอง ไม่ว่าจะโดยการแยกตัวออกจากรัฐไทย หรือด้วยการมีสิทธิพิเศษภายในพรมแดน เป็นเรื่องที่พวกทหารเหล่านี้ “รับไม่ได้” และเมื่อใครกล้าเสนอว่าตนเองอยากมีสิทธิเสรีภาพในรูปแบบที่ขัดต่อมาตราหนึ่ง ทหารมีคำตอบเดียวคือการใช้ความรุนแรง

ด้วยเหตุนี้ทหารไทยไม่ควรจะมีบทบาทอะไรเลยในการกำหนดนโยบายรัฐ การเจรจาต่างๆ หรือการปฏิบัติการใดๆ ในพื้นที่ปาตานี เพราะนั้นเป็นการปิดกั้นหนทางที่จะสร้างสันติภาพ

[ล่าสุดเชิญอ่านบทความ “ปฏิบัติการทางทหารในโรงพยาบาลเจาะไอร้องเมื่อวาน ‪#‎บ้าทั้งคู่” ของ สุไฮมี ดูละสะ http://bit.ly/1puN2LB ]

รัฐไทยไม่ควรทำให้การบิณฑบาตรของพระในปาตานีเกี่ยวพันกับทหาร

ใจ อึ๊งภากรณ์

การลอบวางระเบิดพระสงฆ์ในขณะออกบิณฑบาตรที่สายบุรีเป็นเรื่องแย่ และในขณะเดียวกันการใช้กองกำลังของฝ่ายรัฐไทย เพื่อลอบสังหารนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพของปาตานีก็เป็นเรื่องที่เราควรประณามเช่นกัน นอกจากนี้การใช้กองกำลังรัฐไทย เพื่อกดขี่บังคับให้ชาวมุสลิมมาเลย์ในปาตานีต้องขึ้นกับประเทศไทย ก็เป็นเรื่องแย่อีกด้วย เพราะรัฐไทยทำตัวเหมือนเจ้าอาณานิคมในพื้นที่

แต่ถ้าเราจะพิจารณาเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นที่สายบุรี อ. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เคยเตือนมานานแล้วว่าการใช้ทหารเพื่อ “คุ้มครอง” พระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตร เป็นนโยบายที่ผิดพลาด เพราะไปผูกพันศาสนาพุทธกับทหารรัฐไทย ทำให้พระสงฆ์มีภาพเหมือนกับว่าอยู่ข้างอำนาจรัฐไทยที่กดขี่ชาวบ้าน ยิ่งกว่านั้นมันมีช่วงหนึ่งที่กองทัพพยายามส่งเสริมให้ทหารบวชเป็นพระในพื้นที่ปาตานีอีกด้วย

การที่องค์กร “สิทธิมนุษยชน” หรือองค์กรศาสนาต่างๆ ออกมาประณามการวางระเบิดที่สายบุรี ไม่มีทางแก้ปัญหาตรงจุดได้เลย เพราะพอประณามเสร็จแล้วก็ออกมาขอให้รัฐไทยคุ้มครองพระสงฆ์ แต่รัฐไทยคือผู้ใช้ความรุนแรงในการกดขี่ชาวมุสลิมมาเลย์ในปาตานีแต่แรก และกดขี่มาหลายร้อยปีอีกด้วยหลังจากที่ไทยยึดพื้นที่มาเป็นอาณานิคม มันเหมือนกับการขอร้องให้โจรจากรัฐไทยมาปกป้องประชาชน และอย่าลืมด้วยว่ากองกำลังทหารของรัฐไทย ภายใต้ประยุทธ์มือเปื้อนเลือด ก็เป็นพวกที่เข่นฆ่าเสื้อแดงที่ราชประสงค์ และปล้นสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยจากพลเมืองไทยทุกคนผ่านการทำรัฐประหาร

แทนที่พระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตร จะหลบอยู่หลังทหาร เขาควรจะผูกมิตรกับผู้นำศาสนาอิสลาม และให้ร่วมกันเดินเคียงข้างกัน

ปัญหาความรุนแรงที่ปาตานีไม่ใช่สงครามระหว่างศาสนา ไม่ใช่สงครามระหว่างชาวพุทธกับชาวอิสลาม แต่มันเป็นสงครามระหว่างชาวมาเลย์มุสลิมกับรัฐไทย ถ้าจะแก้ปัญหา ต้องมีการถอนกำลังทหารรัฐไทยออกไป และให้คนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด มาร่วมกันกำหนดอนาคต และที่สำคัญคือไม่ควรมีการบังคับใช้รูปแบบ “รัฐรวมศูนย์” ที่เคยทำมาตลอด ควรมีการคุยกันอย่างเสรีว่าปาตานีจะอยู่ต่อในรัฐไทย หรือจะแยกตัวออก หรืออาจมีการพิจารณาว่าควรจะเป็นเขตปกครองตนเองก็ได้ แล้วแต่พลเมืองในพื้นที่จะคิด

อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยปกครองโดยเผด็จการทหาร และการที่เผด็จการนี้เน้นการทหารเพื่อทำลายฝ่ายที่กบฏต่อรัฐ โดยอ้างว่าจะ “สร้างสันติภาพ” มีผลทำให้สันติภาพแท้ไม่มีวันเกิดตราบใดที่เราไม่ล้มเผด็จการ

สำหรับคนที่จับอาวุธสู้กับรัฐไทย เราต้องเห็นใจเขา เพราะเขาต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และเขามีประสบการณ์ของการใช้ความรุนแรงจากฝ่ายรัฐไทยมาตลอด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางออกในการปลดแอกประชาชนในปาตานีไม่ใช่การใช้กองกำลังติดอาวุธ เพราะมันทำให้เสียการเมืองเวลาฆ่าพลเรือน และมันไม่สามารถเอาชนะกองทัพไทยได้ ทางออกอยู่ที่การสร้างขบวนการมวลชนอย่างที่กลุ่มนักศึกษาในพื้นที่พยายามทำอยู่ทุกวันนี้