ใจ อึ๊งภากรณ์
แคชเมียร์ หรือที่เรียกกันเต็มๆ ว่า “จัมมูและแคชเมียร์” เป็นพื้นที่ที่มีทหารยึดครองหนาแน่นที่สุดในโลก คาดว่าทหารอินเดีย 5 แสนคนคุมพื้นที่ที่มีประชากรแค่ 7 ล้านคน และตั้งแต่ปี 2016 กองกำลังของอินเดียได้ใช้ปืนยิงนกในการปราบการเดินขบวนประท้วงของประชาชน โดยจงใจทำให้คนตาบอด นอกจากนี้มีการอุ้มฆ่า ทรมาน และข่มขืนประชาชนชาวมุสลิม โดยทหารอินเดียอีกด้วย
ต้นกำเนิดของความขัดแย้งและความรุนแรงมาจากการปกครองของอังกฤษ ทีใช้วิธีการแบ่งแยกเพื่อปกครองมาตลอด และในยุคที่มีการยอมยกเอกราชให้อินเดีย ผลของการแบ่งแยกเพื่อปกครองนั้นก็สำแดงออกมาในความขัดแย้งนองเลือดระหว่างคนมุสลิมกับคนฮินดู
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ขบวนการกู้ชาติอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว อังกฤษจงใจสนับสนุน “สันนิบาตมุสลิม” ที่หนุนอังกฤษในสงครามโลกและขัดขาขบวนการกู้ชาติ และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ อังกฤษสัญญาว่าจะแบ่งแยกอาณานิคมอินเดีย เป็นอินเดียกับปากีสถาน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของ“สันนิบาตมุสลิม” และเป็นการแบ่งแยกประเทศตามศาสนา


พอใกล้เวลาที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอินเดีย “พรรคคองเกรส” ที่เคยต้านอังกฤษและคัดค้านการแบ่งแยกประเทศก็เปลี่ยนใจยอมรับ สาเหตุหลักคือพรรคคองเกรสกลัวว่าถ้าไม่รีบแบ่งแยกประเทศ มวลชนชาวอินเดียจากทุกศาสนาจะสามัคคีรวมตัวกันลุกฮือ และอิทธิพลของพรรคคองเกรสจะหายไปท่ามกลางกระแสการเมืองซ้ายที่ก้าวหน้ามากกว่า
เมื่อเกิดการแบ่งแยกประเทศ ประชาชนจำนวนมากพบว่าตนอยู่ในเขต “ผิด” เพราะไม่ได้นับถือศาสนาเหมือนคนส่วนใหญ่ในเขตนั้น การปลุกระดมความเกลียดชังของคนต่างศาสนา ซึ่งมาจากนโยบายของอังกฤษ และความพยายามเบี่ยงเบนความเดือดร้อนของประชาชนไปสู่แพะรับบาปโดยนักการเมือง นำไปสู่การนองเลือด คาดว่าคนเป็นแสนเสียชีวิต และประชาชนนับล้านต้องหนีข้ามพรมแดนกัน
ประเทศใหม่สองประเทศที่เกิดขึ้น อินเดีย กับ ปากีสถาน(ซึ่งตอนนั้นรวมถึงบังคลาเทศ) กลายเป็นคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะในเรื่องแคชเมียร์ ปากีสถานถูกปกครองในรูปแบบเผด็จการทหารหลายปีโดยเจ้าครองที่ดินและพ่อค้าใหญ่ชาวมุสลิมมีอิทธิพลสูง ส่วนอินเดียปกครองผ่านระบบประชาธิปไตยโดย “พรรคคองเกรส” ที่อ้างว่าไม่อิงศาสนา แต่ในทางปฏิบัติมีความสัมพันธ์กับพวกที่เน้นความเป็นใหญ่ของชาวฮินดู
ในสมัยที่อินเดียกับปากีสถานได้เอกราช คนส่วนใหญ่ในจัมมูและแคชเมียร์เป็นคนมุสลิมแต่ปกครองโดยเจ้าที่นับถือศาสนาฮินดู และในขณะที่ผู้ปกครองคนนี้ไม่ยอมเลือกข้างระหว่างอินเดียกับปากีสถาน “กองโจร”ติดอาวุธจากปากีสถาน และทหารของอินเดีย ก็ข้ามพรมแดนเข้ามาเพื่อแย่งชิงพื้นที่ ในที่สุดสหประชาชาติก็แบ่งแยกแคชเมียร์ระหว่างปากีสถานกับอินเดีย โดยมีการสัญญาว่าจะมีการทำประชามติให้ประชาชนเลือกว่าอยากจะปกครองกันอย่างไร ประชามตินั้นไม่เคยเกิดขึ้น
คาดว่าคนส่วนใหญ่คงจะอยากมีประเทศอิสระของตนเองที่ไม่ขึ้นกับอินเดียหรือปากีสถาน เพราะมองว่าไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ใครก็จะไม่มีเสรีภาพ
สถานการณ์ในจัมมูและแคชเมียร์ค่อยๆ เข้าสู่ขั้นวิกฤต หลังจากที่พรรคคองเกรสแพ้การเลือกตั้ง และนเรนทรา โมดี จาก “พรรคภารตียชนตา” ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี “พรรคภารตียชนตา” เป็นพรรคของคนคลั่งศาสนาฮินดู และโมดี มีประวัติในการปลุกระดมความรุนแรงต่อชาวมุสลิมอีกด้วย

ปีนี้รัฐบาลอินเดียภายใต้โมดี ได้ยกเลิกมาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิในการปกครองตนเองระดับหนึ่งกับชาวแคชเมียร์ และยกเลิกมาตรา 35A ที่ปกป้องการยึดครองที่ดินของคนพื้นเมืองในแคชเมียร์ เพราะโมดีต้องการส่งเสริมให้ชาวฮินดูจากอินเดียเข้าไปถือครองที่ดิน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มจำนวนคนฮินดูและเปิดทางให้กลุ่มทุนอินเดียเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ในขณะที่ประกาศนโยบายใหม่มีการจับคุมนักการเมืองและปิดระบบโทรคมนาคมพร้อมๆ กับการใช้ความรุนแรงของทหาร
พื้นที่แคชเมียร์ล้มอรอบด้วยมหาอำนาจติดอาวุธนิวเคลียร์สามประเทศคือ อินเดีย ปากีสถาน และจีน อินเดียกับปากีสถานเคยทำสงครามกันเรื่องแคชเมียร์หลายครั้ง และตอนนี้สหรัฐอเมริกาก็เข้ามามีส่วน โดยเปลี่ยนการสนับสนุนปากีสถานไปเป็นการสนับสนุนอินเดียเพื่อต้านอิทธิพลจีน
เสรีภาพแท้จริง และสันติภาพจะเกิดขึ้นกับชาวแคชเมียร์ได้ก็ต่อเมื่อคนในพื้นที่มีสิทธิที่จะกำหนดอนาคตของตนเองอย่างเสรี โดยไม่มีมหาอำนาจใดเข้ามาแทรกแซง และถ้าจะเกิดขึ้นได้ ชนชั้นกรรมาชีพในอินเดียและปากีสถานจะต้องออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านชนชั้นปกครองของตนเอง เพื่อประโยชน์ทางชนชั้น และในขณะเดียวกันต้องสมานฉันท์กับชาวแคชเมียร์
[ข้อมูลส่วนใหญ่ในการเขียนบทความนี้มาจากบทความ Kashmir: the poisoned legacy of partition. By Joseph Choonara https://bit.ly/2k6joj3 ]