Tag Archives: พรรคอนาคตใหม่

จะรออะไรอีก? เมื่อนักศึกษานำทาง คนทำงานควรตาม ลงถนนร่วมกัน!!

ในเมื่อนักศึกษาจากหลายๆ สถาบันทั่วประเทศออกมาแสดงพลังประท้วงการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นการทำลายประชาธิปไตยอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ คนทำงาน นักสหภาพแรงงาน อดีตเสื้อแดง และประชาชนทั่วไปที่รักประชาธิปไตย….ควรวางแผนลงถนนร่วมกับคนหนุ่มสาวที่นำทางให้เราแล้ว

58525-728x546

49579356928_c4b624afdb_k

49583284531_afa9faa7f5_b

49588263307_6852e3839b_b

87050886_3965432330137236_6425129018772684800_o

49585215417_1dd10602a5_h

49587901378_37c8a8b6b4_b

ภาพจากประชาไท

การต่อสู้ในรัฐสภาหรือการหวังพึ่งกฏหมายถึงทางตันแล้ว

ใจ อึ๊งภากรณ์

สำหรับนักเคลื่อนไหวก้าวหน้า การตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่โดยศาลเตี้ยไทยที่รับใช้เผด็จการ ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แต่สำหรับเพื่อนพลเมืองที่รักประชาธิปไตยจำนวนมาก ที่เคยมีความหวังกับการสู้ภายในระบบ มันน่าจะพิสูจน์ว่าความหวังที่จะปฏิรูประบบการเมืองไทยผ่านโครงสร้างทางการ เช่นรัฐสภา มันถึงทางตันโดยสิ้นเชิง

เผด็จการรัฐสภาของแก๊งประยุทธ์กับพรรคพวก มันงอกมาจากการทำรัฐประหารด้วยกระบอกปืน มันไม่เคยเป็นประชาธิปไตย และกติกาต่างๆ ที่เผด็จการมันร่างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบเลือกตั้งเทียม การคำนวณจำนวนสส. การแต่งตั้งวุฒิสภา การแต่งตั้งศาลเตี้ย การใช้กฏหมายปิดปากเสรีภาพ หรือการให้อำนาจต่างๆ กับทหารเพื่อสืบทอดอำนาจไปอีกนาน ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์ที่จะฟอกเผด็จการให้ดูเหมือนมีความชอบธรรม

แต่เผด็จการประยุทธ์ไม่เคยมีความชอบธรรมตั้งแต่ต้น ดังนั้นการที่ใครจะไป “เคารพ” คำตัดสินของศาล หรือ “เคารพ” กฏหมายของเผด็จการ ก็เหมือนไปกราบไหว้หมาขี้เรื้อน

944902_1252013448161903_1049020342358851826_n

ทั้งๆ ที่ผมไม่เห็นด้วย ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่รักประชาธิปไตยจำนวณมากที่เคยอยากเห็นการปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตยที่อาศัยการใช้รัฐสภาหรือกฏหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้นอกสภาหรือบนท้องถนน แต่มันหมดข้อแก้ตัวแล้วที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

ในแง่หนึ่ง การที่พรรคอนาคตใหม่และฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังไม่พร้อมจะลงถนน ได้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งและระบบรัฐสภาภายใต้กติกาเผด็จการ แต่จบแบบนี้ มันพิสูจน์อย่างชัดเจนว่ามันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสู้ด้วยขบวนการเคลื่อนไหวนอกรัฐสภาที่พร้อมจะฝืนกฏหมายเผด็จการ มันจึงให้ความชอบธรรมสูงสุดกับการต่อสู้แบบนี้

ในขณะที่กระแสความไม่พอใจของประชาชนจำนวณมากมันกำลังมาแรง นักเคลื่อนไหว ทั้งภายในพรรคอนาคตใหม่และนอกระบบพรรค จะต้องใช้โอกาสนี้ในการสร้างขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ และแกนนำพรรคอนาคตใหม่เคยเรียกให้พลเมืองออกมาประท้วงครั้งหนึ่งแล้ว และได้ผล ถ้าเขาไม่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนประท้วงหลังจากที่พรรคถูกยุบครั้งนี้ ต้องถือว่าเขาก่ออาชญากรรมกับความฝันที่จะมีระบบประชาธิปไตยในไทย

4190D50EC0C44B17B899CBDA14848B21

ถ้าไม่มีการปลุกระดมให้คนออกมาต่อสู้ ทั้งบนท้องถนน ในมหาวิทยาลัย หรือในสถานที่ทำงาน กระแสความไม่พอใจจะลดลงและในที่สุดหายไปท่ามกลางความหดหู่ และมันจะเป็นการยอมจำนนโดยสิ้นเชิง

คิดดูครับ มันทำรัฐประหาร มันสืบทอดอำนาจ มันโกงระบบเลือกตั้ง มันเป็นรัฐบาลต่อหลังเลือกตั้ง และมันยังรุกไปยุบพรรคฝ่ายค้านอีก เราจะยังก้มหัวอีกหรือ?

ไม่ว่าแกนนำพรรคอนาคตใหม่จะออกมาปลุกระดมการต่อสู้ และสร้างขบวนการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่หรือไม่ นักต่อสู้คนธรรมดา ทั้งในและนอกพรรค จะต้องไม่รอคอยให้คนใหญ่คนโตทำอะไรให้ เราต้องสร้างเครือข่ายรากหญ้าของขบวนการประชาธิปไตยที่นำตนเองได้ เพื่อผลักดันการต่อสู้ไปข้างหน้าไม่ว่าแกนนำนักการเมืองจะทำอะไร และในกรณีที่นักการเมืองออกมาสู้ เครือข่ายรากหญ้านี้จะต้องเข้มแข็งและทำตัวเป็นพลังที่จะประกันไม่ให้มีการหักหลังประชาชนด้วยการประนีประนอมกับเผด็จการด้วย

FI-fists_0

ชื่นชม และสมานฉันท์ กับมวลชนที่ออกมาแสดงพลัง

ใจ อึ๊งภากรณ์

ขอชื่นชมและสมานฉันท์กับมวลชนผู้รักประชาธิปไตยที่ออกมาร่วมชุมนุม “แฟลชม็อบ” #ไม่ถอยไม่ทน ที่สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ และที่เชียงใหม่ ตามคำเชิญชวนของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่

79028343_712588782482887_5026448295782776832_o

ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคนฝ่ายประชาธิปไตยที่กระแนะกระแหนวิจารณ์พรรคอนาคตใหม่อย่างไร้สาระในเรื่องนี้ ใครที่อ่านบทความของผมมาตั้งแต่การก่อตั้งของพรรคอนาคตใหม่ จะทราบดีว่าผมพร้อมที่จะวิจารณ์สิ่งที่ผมมองว่าเป็นข้อเสียของพรรคและของแนวคิดของธนาธรและคนอื่นในแกนนำ แต่ทุกคนที่รักประชาธิปไตยและเข้าใจความสำคัญของการเคลื่อนไหวของมวลชนในการล้มเผด็จการ ควรจะชื่นชมการเปลี่ยนใจของธนาธรและพรรคพวก ที่เดิมเน้นแต่การเล่นเกมส์ในรัฐสภาตามกติกาเผด็จการ

555x312_858298_1576321253

การก่อ “แฟลชม็อบ” #ไม่ถอยไม่ทน ครั้งนี้พิสูจน์สิ่งสำคัญสองสิ่ง

หนึ่ง มันพิสูจน์ว่า “การลงถนน” ไม่ได้นำไปสู่การเสียเลือดเนื้อหรือเป็นการ “เข้าทางเผด็จการ” แต่อย่างใดตามที่พวกแนว “นิ่งเฉยไม่ทำอะไร” ชอบอ้าง มันพิสูจน์ความเฮงซวยของพวกหมาเห่าที่ชอบด่าพวกเราที่อยู่ต่างประเทศในทำนองว่า “แน่จริงทำไมไม่กลับไทยไปจัดม็อบเอง”

สอง มันพิสูจน์ความสำคัญของการนำ โดยเฉพาะจากแกนนำพรรค ในการสร้างการชุมนุมของมวลชน และการที่ผู้รักประชาธิปไตยหลายฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ สามารถสามัคคีและร่วมชุมนุมด้วยกัน การชุมนุมครั้งนี้สามารถระดมคนหลายพันคน และเป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง

4190D50EC0C44B17B899CBDA14848B21

ข้อสรุปสำคัญมีสองข้อด้วยคือ

หนึ่ง การสร้างขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนนอกรัฐสภา เพื่อล้มเผด็จการและสร้างประชาธิปไตยยังทำได้ ไม่ใช่เรื่องในอดีตหรือสิ่งไม่จำเป็น

สอง คนที่เป็นแกนนำพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องรับผิดชอบและมีหน้าที่สำคัญในการสร้างขบวนการมวลชนดังกล่าว และการที่ไม่ค่อยมีการชุมนุมของฝ่ายประชาธิปไตยในอดีต เป็นความผิดของแกนนำทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นทักษิณที่แช่แข็งเสื้อแดงจนไม่เหลืออะไร หรือแกนนำพรรคอนาคตใหม่ที่เดิมไม่ยอมทำอะไรนอกรัฐสภา แต่ถ้าธนาธรกับพรรคอนาคตใหม่จริงใจที่จะจัดการชุมนุมอีกในอนาคต และเปลี่ยนใจเพื่อหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมมันจะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง

79122988_712596512482114_5930674550952951808_o

แน่นอนเราไม่ควรไว้ใจแกนนำของพรรคการเมืองกระแสหลักอย่างอนาคตใหม่หรือเพื่อไทยอย่างเดียว แกนนำทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวที่อยู่นอกสองพรรคการเมืองนี้มีอีกมากมาย และทุกคนควรจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างและผลักดันให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนเพื่อล้มเผด็จการรัฐสภา

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยต้องให้ความสำคัญกับการทำงานทางการเมืองในสหภาพแรงงาน และกลุ่มนักศึกษา เพราะประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ไทยสอนให้เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนที่มีพลังเพียงพอที่จะล้มเผด็จการและสร้างสังคมใหม่ ย่อมอาศัยพลังของชนชั้นกรรมาชีพ

โจร500 สืบทอดอำนาจเผด็จการตามคาด แต่ทำไมพรรคฝ่ายประชาธิปไตยงอมืองอเท้าไม่นำการต่อสู้นอกสภา?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในที่สุดผลของการวางไข่พิษโดยเผด็จการประยุทธ์ก็บรรลุผลตามคาด พลเมืองที่รักประชาธิปไตยส่วนใหญ่คงไม่แปลกใจนัก เพราะเราเห็นการออกแบบประชาธิปไตยจอมปลอมโดยคณะโจรมานาน

ยุง

แต่ประเด็นที่พวกเราทุกคนต้องตั้งเป็นคำถามกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยคือ “ทำไมไปเล่นตามกติกาโจรทุกอย่างและไม่เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลล่วงหน้า?”

การร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของเผด็จการ และผลคะแนนเสียงที่ออกมา คือพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะต้านเผด็จการได้เสียงข้างมากและได้จำนวนที่นั่งข้างมาก เป็นโอกาสทองที่จะประกาศต่อมวลชนว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่คัดค้านการสืบทอดอำนาจโดยเผด็จการ และเป็นโอกาสทองที่จะใช้ความชอบธรรมจากผลการเลือกตั้งนี้ เพื่อสร้างขบวนการมวลชนทีเป็น “แนวร่วมเพื่อประชาธิปไตย” นอกรัฐสภา

แต่พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยโยนโอกาสทองอันนี้ทิ้งลงน้ำ

แทนที่จะเริ่มสร้างขบวนการมวลชนเพื่อเป็นพลังในการทำลายเผด็จการ แกนนำของพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย เลือกที่จะเล่นตามเกมส์เผด็จการหมดเลย มีแต่การยอมรับว่าจะเป็นฝ่ายค้านในสภาน้ำเน่า มีแต่การอาศัยกระบวนการอยุติธรรมของศาลเตี้ยใต้ตีนทหาร มีแต่การมองไปสู่การเลือกตั้งท้องถิ่น และการสร้างพรรคต่อไปเพื่อเล่นตามแนวเดิม

เผด็จการในไทยหรือที่อื่นทั่วโลกไม่เคยถูกล้มโดยการเล่นตามกติกาเผด็จการ เผด็จการจะถูกล้มได้ก็ด้วยพลังมวลชนบนท้องถนนและในสถานที่ทำงาน ขบวนการมวลชนเพื่อประชาธิปไตยในไทยควรจะถูกสร้างตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เมื่อมีกระแส “คนอยากเลือกตั้ง” แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ไม่สนใจ

ตอนนี้การเล่นตามเกมส์เผด็จการ และการหมกมุ่นกับกฏหมายโจรและศาลโจร ถึงทางตันแล้ว เพราะเรามีรัฐบาลทหารเถื่อนนำโดยอาชญากรที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสส.

สำหรับนักวิชาการและนักเคลื่อนไหว “สลิ่ม” ที่เคยแหกปากโกหกเรื่อง “เผด็จการรัฐสภา” ในยุคทักษิณ สิ่งที่เรามีวันนี้คือเผด็จการรัฐสภาตัวจริง

สภา
ภาพจาก ILaw

พวกเราคงทราบดีเรื่องที่มาที่ไปของการตั้งรัฐบาลเถื่อนชุดนี้ เริ่มจากการทำรัฐประหารล้มประชาธิปไตยของประยุทธ์ ผ่านการใช้ความรุนแรงกับฝ่ายประชาธิปไตยก่อนและหลังรัฐประหาร ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญเผด็จการ ผ่านการเขียนยุทธศาสตร์แห่งชาติ20ปี ผ่านการเขียนกติกาการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจ ผ่านการใช้ศาลเตี้ยยุบพรรค ผ่านการแต่งตั้งสว.เถื่อนโดยทหาร และขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้กกต.ของทหารเพื่อโยกย้ายจำนวนที่นั่งจากพรรคอนาคตใหม่สู่พรรคเล็กที่ไม่มีใครสนับสนุน ผลก็อย่างที่เราเห็นอยู่

สิ่งเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของทุกคน แต่แกนนำพรรคอนาคตใหม่กับพรรคเพื่อไทย ไม่เคยเสนอว่าจะจัดการกับการโกงการเลือกตั้งแบบนี้อย่างไร มีแต่การสร้างความฝันจอมปลอมว่าแค่การกาช่องในบัตรเลือกตั้งจะนำไปสู่การฆ่าเผด็จการได้ และมีแต่การสร้างความฝันว่ารัฐสภาจะคว่ำรัฐธรรมนูญและกติการทหารได้

ดู https://bit.ly/2Wu8eGH

ประเด็นที่เผชิญหน้าเราทุกคนคือ จะมีการทบทวนแนวยอมจำนนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ หรือจะยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลเถื่อนต่อไป

ในบทความฉบับหน้าจะมีข้อเสนอว่าเราจะสู้เผด็จการอย่างไร

วิธีการคัดค้านเผด็จการแบบปัญญาอ่อน: จับมือกับแมลงสาบและงูเห่า หรือหวังพึ่งศาลเตี้ย

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังการเลื่อนประกาศผลการเลือกตั้งไปหลายสัปดาห์ภายใต้ข้ออ้างไร้สาระเรื่องพิธีกษัตริย์ เราก็เห็นว่า กกต. ใช้เวลานั้นเพื่อบิดเบือนผล ผ่านการแก้สูตรจำนวน สส. บัญชีรายชื่อ โดยตัดจำนวน สส. ของพรรคอนาคตใหม่ และดึงพรรคขนาดเล็กที่ไม่เคยประกาศจุดยืน เข้ามาในรัฐสภา

เป้าหมายชัดๆ ของการเปลี่ยนสูตรที่ใช้คำนวณ สส. บัญชีรายชื่อครั้งนี้ ก็เพื่อลดจำนวน สส. ของฝ่ายพรรคที่ต้านทหารและสนับสนุนประชาธิปไตย จนขาดเสียงข้างมากที่เคยมี เพื่อเปิดทางให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

Dt-n4cyVYAA7HNH

พรรคขนาดเล็กต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อ และไม่ทราบจุดยืน คงถูกซื้อโดยแก๊งประยุทธ์ไปแล้ว ทหารเผด็จการจะได้สืบทอดอำนาจต่อไปอย่างที่คนจำนวนมากคาดการณ์ไว้

พร้อมกันนั้นนักการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ก็โดนคดีไร้สาระ เพื่อกลั่นแกล้งไม่ให้ปฏิบัติการได้ แต่พรรคทหารไม่มีทางโดนคดี

ยิ่งกว่านั้นทหารเผด็จการก็แต่งตั้งพรรคพวกของตนเป็น สว. อีก 250 คน เพื่อประกันว่าทหารจะอยู่ต่อไปได้

นี่คือโฉมหน้าประชาธิปไตยจอมปลอมของประยุทธ์

อย่าลืมว่าคะแนนเสียงทั้งหมดทั่วประเทศ ชี้ให้เห็นว่าพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะต้านเผด็จการทหาร ได้คะแนนมากกว่าพรรคที่ประกาศว่าจะสนับสนุนเผด็จการประยุทธ์ และอย่าลืมว่าพรรคที่ต้านทหารได้ สส. เขต มากกว่าพรรคที่สนับสนุนประยุทธ์ด้วย [ดู https://bit.ly/2H91pBg ]

พูดง่ายๆ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้ง แต่ทหารและหมารับใช้ทหารใน กกต. จัดการขโมยผลและโกงการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกติกาประชาธิปไตยและความต้องการของพลเมืองส่วนใหญ่

จับมือกับฆาตกรที่สนับสนุนเผด็จการเพื่อคัดค้านประยุทธ์?

มันเป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่งที่มีข่าวว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ปัญญาอ่อนถึงขนาดคิดจะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย โดยอ้างว่าจะสกัดไม่ให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้

cc45f-558953_10151808470973823_83426302_n

การเสนอฆาตกรอย่างอภิสิทธิ์เป็นนายก หรือแม้แต่การจับมือกับพรรคแมลงสาบและงูเห่า ถือว่าเป็นการทรยศอุดมการณ์ประชาธิปไตยและตบหน้าถ่มน้ำลายใส่ประชาชนเสื้อแดงที่เคยออกมาต่อสู้กับเผด็จการในอดีตและเสียเลือดเนื้อไปมากมาย ยิ่งกว่านั้นมันเป็นวิธีการที่โง่เขลาอย่างยิ่ง เพราะการจับมือกับพรรคที่ไม่เคารพประชาธิปไตยสองพรรคนี้จะไม่มีวันนำไปสู่สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย จะไม่มีวันลบผลพวงเผด็จการ และจะไม่มีวันทำให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ยุคใหม่ที่พรรคอนาคตใหม่ชอบพูดถึง

มันเป็นแนวการเมืองไร้เดียงสาที่มองว่า “การเมือง” เป็นแค่การเล่นเกมในรัฐสภาภายใต้กติกาของเผด็จการ โดยที่พลเมืองไทยเป็นล้านๆ ที่ต้องการประฃาธิปไตยเป็นแค่ “ผู้ชม” ที่ไม่ควรมีบทบาทหรือการมีส่วนร่วม และมันเป็นการเล่นเกมกับนักการเมืองระยำต่ำช้าอีกด้วย นี้หรือคือ “อนาคตใหม่” ของสังคมไทย?

DemLogo

อีกตัวอย่างหนึ่งของแนวการเมืองไร้เดียงสาที่มองว่า “การเมือง” เป็นแค่การเล่นเกมในรัฐสภา คือการที่พรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ทำตัวมือไม้อ่อนเป็นเหยื่อ แล้วบอกว่าจะ “ฟ้องศาล” เพื่อหวังให้ศาลขัดขวางการโกงการเลือกตั้งของกกต.

ศาลเตี้ย

hqdefault

จำไม่ได้หรือว่าพฤติกรรมศาลเตี้ยไทยเป็นอย่างไรในหลายปีที่ผ่านมา? ทุกคดีสำคัญๆ ที่ศาลพิจารณาเข้าข้างพวกเผด็จการทั้งสิ้น ทำไมความจำสั้นจัง?

การพึ่งศาลแปลว่าคดีเรื่องการเลือกตั้งจะลากยาวเป็นเดือนๆ ปีๆ ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ภายใต้อำนาจมืดของเผด็จการ ในทางปฏิบัติมันเท่ากับเป็นการยอมรับการโกงการเลือกตั้ง และในที่สุดเมื่อประกาศผลของคดีก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

CiHZjUdJ5HPNXJ92GRkJPGM3rHldarQkMI

พลังมวลชนนอกรัฐสภาเป็นเรื่องชี้ขาด แต่อนาคตใหม่กับเพื่อไทยไม่กล้าเดินเข้าหามวลชน

ในขณะนี้คงจะมีพลเมืองเป็นล้านๆ คนที่โกรธไม่พอใจกับ กกต. และการโกงการเลือกตั้งของฝ่ายเผด็จการ แกนนำของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยควรจะใช้อิทธิพลและความชอบธรรมที่มาจากการได้เสียงประชาชนในเขตต่างๆ เพื่อดึงคนทั่วประเทศมาชุมนุมใหญ่อย่างสันติที่กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ ซึ่งจะเป็นการสำแดงพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตยอย่างชัดเจน [ดู https://bit.ly/2Jsu6dN ]

COVER-คนอยากเลือกตั้ง

การเน้นพลังมวลชนแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างกระแสประชาธิปไตยในประเทศของเรา และปูทางไปสู่การสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เพราะไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนในโลกที่ไม่ได้สร้างจากการเคลื่อนไหวของมวลชน ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนที่สร้างจากการฝากความหวังไว้กับศาลที่เป็นเครื่องมือของเผด็จการ ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนที่สร้างจากการเล่นเกมกับนักการเมืองน้ำเน่า

ถ้าแกนนำพรรคฝ่ายประชาธิปไตยไม่ยอมพิจารณาการเคลื่อนไหวแบบนี้ ก็เท่ากับยอมแพ้ และผิดสัญญากับประชาชนว่าจะต่อต้านเผด็จการอย่างถึงที่สุด ถ้าเป็นเช่นนี้ประชาชนธรรมดาจะต้องเกาะกลุ่มกันและค่อยๆ สร้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเอง แต่ถ้าเราจะชนะ มันต้องขยายไปมากกว่าแค่คนสองคนยืนถือป้าย มันต้องมีการจัดตั้งมวลชน เรามีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะทำในสิ่งนี้ เราไม่ควรยอมแพ้

 

วิเคราะห์ผลเลือกตั้ง: การแบ่งขั้วยังดำรงอยู่ และการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวมีความสำคัญยิ่ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

คนไทยที่รักประชาธิปไตยรู้อยู่ในใจอยู่แล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เสรีและเป็นธรรม เพราะใครๆ ก็ทราบถึงมาตรการต่างๆ ของเผด็จการที่จะสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญทหาร แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20ปี การแต่งตั้งสว. 250คน หรือความลำเอียงของ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ

แต่คนไทยที่รักประชาธิปไตยจำนวนมากอยากฝันถึงเรื่องดีๆ จึงปล่อยให้ตนเองแอบหวังว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้ง และยุคแห่งเผด็จการจะสิ้นลง ตรงนี้เข้าใจได้

แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองความจริงที่ทุกคนรู้ในใจอยู่แล้ว คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการลบผลพวงของเผด็จการมันยังไม่จบ มันพึ่งเริ่มในรูปแบบใหม่เท่านั้นเอง และการกาบัตรเลือกตั้งไม่สามารถฆ่าเผด็จการได้ง่ายๆ

มันมีหลายคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของ กกต. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยุติประกาศคะแนนโดยไม่มีเหตุผลในเช้าวันที่25มีนาคม การที่คะแนนไม่ตรงกับจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ปัญหาบัตรจากนิวซีแลนด์ เรื่อง “บัตรเสีย” 2 ล้านเสียง และการที่ตัวเลขที่กกต.เดิมอ้างว่าเป็นการนับคะแนน 100% มีข้อผิดพลาดมากมาย เรารู้ด้วยว่า คสช. โกงการเลือกตั้งด้วยหลายวิธีที่อ้างกฏหมายที่มันเขียนเอง การยุบพรรคไทยรักษาชาติเป็นตัวอย่างสำคัญที่กระทบต่อคะแนนเสียง

ปัญหาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจคงจะเกิดจากสองสาเหตุหลักคือ ความไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงของ กกต. และการจงใจโกงการเลือกตั้งโดย คสช.

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสที่ประชาชนสามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับเผด็จการประยุทธ์ได้ และผลคะแนนทั่วประเทศคงสะท้อนความจริงในระดับหนึ่ง เพราะไม่ว่าคะแนนเสียงทั่วประเทศจะเปลี่ยนหรือ “เขย่ง” แค่ไหน ภาพรวมก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก คือฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนมากกว่าฝ่ายเผด็จการ

จำนวนคะแนนทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ในแง่ที่ประยุทธ์เสนอเพื่อให้ความชอบธรรมกับการตั้งรัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐ

จำนวนคะแนนทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับมีความสำคัญในการประเมินเสียงประชาชนที่ต่อต้านเผด็จการ แล้วเทียบกับเสียงที่สนับสนุนเผด็จการ เราจำเป็นต้องไม่ลืมว่ากติกาการเลือกตั้งภายใต้ คสช. ทำให้พรรคการเมืองแตกเป็นหลายพรรคย่อย ดังนั้นการดูแค่คะแนนของพรรคเดียวจะไม่สะท้อนภาพจริง

จากการประกาศผลทั้งหมด100%โดยกกต. ในวันที่28มีนาคม จะเห็นว่าในหมู่พรรคการเมืองที่ประกาศล่วงหน้าก่อนวันเลือกตั้งว่าต้องการลบผลพวงของเผด็จการ คือพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ และเพื่อชาติ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนทั้งหมด 15.9 ล้านเสียง หรือ 41.5% ของผู้มาใช้สิทธิ์

พรรคพลังประชารัฐของประยุทธ์ได้ 8.4 ล้านเสียง และถ้าบวกกับเสียงของพรรคภูมิใจไทย 3.7 ล้าน และพรรครวมพลังประชาชาติ 0.4 ล้าน จะเห็นว่าพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะสนับสนุนเผด็จการได้แค่ 12.5 ล้านเสียง หรือ 32.6% เท่านั้น เราไม่สามารถนับเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ 4 ล้านเสียงรวมเข้าไปตรงนี้ได้เพราะผู้นำพรรคประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่สนับสนุนให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

พูดง่ายๆ ฝ่ายเผด็จการแพ้เสียงข้างมากอย่างชัดเจน

พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนไปมากมาย ตกจาก 11.4 ล้านเสียงในปี ๒๕๕๔ เหลือแค่ 4 ล้าน สาเหตุคงจะเป็นเพราะสลิ่มเสื้อเหลืองเทคะแนนที่เคยให้ประชาธิปัตย์ไปสู่พรรคเผด็จการโดยตรง พวกนั้นคงอยากสนับสนุนเผด็จการตัวจริงแทนที่จะเลือกทางอ้อม การด่ากันเองภายในพรรคประชาธิปัตย์หลังเลือกตั้งสะท้อนสิ่งนี้

ถ้าพิจารณาว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๔ 1.1 เท่า เนื่องจากประชากรที่อายุเกิน 18 ปีเพิ่มขึ้น จะเห็นว่าคะแนนทั้งหมดของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคทหารปีนี้ คล้ายคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ในปี ๒๕๕๔

สัดส่วนผู้มาใช้สิทธิ์ในปีนี้ คือ 74.7% ของผู้มีสิทธิ์ 51.2 ล้าน สัดส่วนพอๆกับการเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ ที่ 75% ของผู้มีสิทธิ์ 46.9 ล้าน ไปใช้สิทธิ์

ผลคะแนนทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่าการแบ่งขั้วระหว่าง “เหลืองกับแดง” หรือ “เผด็จการกับประชาธิปไตย” ยังคงดำรงอยู่หลังจากการครองอำนาจเผด็จการมาหลายปี ไม่มีการแก้วิกฤตแต่อย่างใด

พรรคเพื่อไทยได้คะแนนน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ลงสมัครในทุกเขตเพื่อไม่ให้แข่งกับพรรคไทยรักษาชาติ และพอไทยรักษาชาติถูกยุบ คนที่เคยอยากจะลงให้พรรคนี้คงวุ่นวายพอสมควร มันอาจช่วยอธิบายได้บ้างว่าทำไมพรรคภูมิใจไทยเพิ่มคะแนนจาก 1.3 ล้านในปี ๕๔ เป็น 3.7 ล้านในปีนี้

คำพูดของกษัตริย์วชิราลงกรณ์เรื่องการ “เลือกคนดี” คงไม่มีผลอะไรทั้งสิ้นกับคนที่อยากเลือกฝ่ายเผด็จการหรือคนที่อยากเลือกฝ่ายประชาธิปไตย เพราะไม่ค่อยมีความหมาย และตีความยังไงก็ได้แล้วแต่ว่าอยู่ฝ่ายใด

ในแง่ของการกำหนดจำนวนสส.ในสภา จำนวนสส.บัญชีรายชื่อยังไม่แน่นอนและคงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ้าง เพราะสูตรในการคำนวณมันซับซ้อน ทั้งนี้เพื่อกีดกันพรรคใหญ่ของทักษิณเป็นหลัก แต่ถ้าดูจำนวน สส. เขต พรรคเพื่อไทยได้มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ และพรรคที่ประกาศต้านทหารทั้งหมด ได้มากกว่าพรรคที่ประกาศก่อนวันเลือกตั้งว่าจะสนับสนุนประยุทธ์

พูดง่ายๆ เผด็จการประยุทธ์แพ้ทั้งเสียงประชาชน และที่นั่งเขตในสภา

การที่เพื่อไทยนำทีมพรรคฝ่ายประชาธิปไตย 6 พรรคประกาศว่าจะตั้งรัฐบาล ถือว่ามีความชอบธรรม ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการเพื่อไทยระบุว่า ถ้ารวมพรรคเศรษฐกิจใหม่ของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แล้ว คาดว่าจะมีที่นั่งถึง 256 เสียง แต่ตัวเลขที่นั่งนี้เปลี่ยนได้ และมีหลายคนตั้งคำถามว่าไว้ใจ มิ่งขวัญ ได้แค่ไหน

การที่กกต.เสนอว่าจะรายงานผลอย่างเป็นทางการในเดือนพฤภาคม เป็นเรื่องตลกร้าย แต่ที่ชัดเจนคือเป็นโอกาสทองที่จะโกงการเลือกตั้งผ่านการแจกใบเหลือง ใบส้มหรือใบแดง

วิกฤตประชาธิปไตยไทยคงแก้ไม่ได้ถ้าเราเคารพกติกาที่ไร้ความชอบธรรมของเผด็จการ ไม่ว่าฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายประชาธิปไตยสามารถตั้งรัฐบาลได้ ทักษิณพูดถูกว่าไม่ว่าฝ่ายไหนเข้ามาก็ล้วนแต่ขาดเสถียรภาพ แต่สิ่งที่ทักษิณไม่พูดและไม่เคยพูดก็คือเรื่องความสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไทย เราจะค้นพบว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มาจากกระแสมวลชนที่ล้มเผด็จการทหารในปี ๒๕๓๕ และหลังจากนั้นเราก็มีรัฐบาลที่เสนอการปฏิรูปสังคมในทางที่ดีบ้าง เช่นการเริ่มต้นระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่หลังจากนั้นมวลชนฝ่ายเหลืองก็ขึ้นมาคัดค้านประชาธิปไตยและเรียกให้ทหารเข้ามาแทรกแซงการเมืองในปี ๒๕๔๙ แต่กระแสมวลชนเสื้อแดงบังคับให้ต้องมีการเลือกตั้งอีกที่เพื่อไทยชนะในปี ๒๕๕๔ ต่อมารัฐประหารของประยุทธ์เกิดขึ้นได้เพราะยิ่งลักษณ์กับทักษิณแช่แข็งขบวนการเสื้อแดงจนหมดสภาพ และไปหาทางประนีประนอมในรัฐสภา ซึ่งไม่สำเร็จ

จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนเป็นเรื่องชี้ขาดในการเมืองเสมอ ถ้าเราไม่หันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชนอย่างจริงจัง เผด็จการจะสามารถสืบทอดอำนาจไปได้อีกนาน และความสิ้นหวังของประชาชนจะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้คนยอมรับสภาพเช่นนี้

ร่วมกันลงคะแนนให้พรรคต้านทหาร – สรุปนโยบายหลักของพรรคเหล่านี้

ใจ อึ๊งภากรณ์

พลเมืองไทยที่รักประชาธิปไตยไม่ควรตั้งความหวังสูงเกินไปสำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงในอีกไม่กี่วัน เราทราบดีว่าเผด็จการประยุทธ์พยายามที่จะโกงการเลือกตั้งด้วยหลายวิธี เช่นการแต่งตั้งสว.ของฝ่ายทหาร 250 คน ซึ่งแปลว่าฝ่ายพรรคเผด็จการจะสามารถอ้างว่าได้เสียงข้างมากในสภาทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่ได้เลือก

นอกจากนี้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ20 ปี ที่ออกแบบเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการไปอีกนาน และจำกัดความอิสระของรัฐบาลประชาธิปไตยในการบริหารประเทศ บวกกับศาลและวุฒิสภาที่เป็นทาสรับใช้ของทหาร จะทำให้เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการเคารพ การยุบพรรคไทยรักษาชาติคือตัวอย่างที่ดี

การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งประชาธิปไตย

แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่าเราต้องร่วมกันลงคะแนนเสียงให้พรรคต้านทหาร เรื่องนี้สำคัญมากเพราะอะไร?

เราต้องมองการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าเป็นโอกาสที่ประชาชนจะลงมติไม่ไว้วางใจเผด็จการและพวกทหารที่ชอบก่อรัฐประหาร มันจะเป็นการลงมติในเชิงสัญญลักษณ์ที่มีค่ามหาศาลในการให้ความชอบธรรมกับการต่อสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตยแท้

ลองนึกภาพดูก็ได้ ถ้าพรรคที่ต้านทหารไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเกินครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วประเทศ พวกทหารจะยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการอยู่ต่ออีกนาน กรณีนายพลเอลซีซีในประเทศอียิปต์เป็นคำเตือนที่สำคัญ

ดังนั้นพวกเราทุกคนต้องเข้าใจกันว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ เราต้องข้ามพ้นอคติส่วนตัวและสร้างความสามัคคีในการลงคะแนนให้พรรคใดพรรคหนึ่งจากกลุ่มพรรคต้านทหาร ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคสามัญชน และพรรคประชาชาติ

และที่สำคัญคืออย่าไปหวังอะไรจากพรรคต่างๆ เพราะเรากำลังลงมติไม่ไว้วางใจในเผด็จการในเชิงสัญญลักษณ์เท่านั้น

ทุกพรรคที่เอ่ยถึงข้างบนมีปัญหา ไม่มีพรรคไหนพร้อมจะลงมือสร้างรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและครบวงจรทันทีด้วยการเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวยและกลุ่มทุน มีแต่การเสนอว่าจะสร้างในอนาคตอันไกลหรือแค่เพิ่มสวัสดิการบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับการลงมือสร้างรัฐสวัสดิการทันที นอกจากนี้ไม่มีพรรคไหนในรายชื่อข้างบนที่เสนอให้ยกเลิกหรือแม้แต่ปฏิรูปกฏหมายเผด็จการ 112 และไม่มีพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพและคนจนอีกด้วย

พรรคเพื่อไทยมีข้อดีตรงที่เสนอตัดงบประมาณทหาร แต่ทำไปเพื่อช่วยนายทุนน้อย มีการเสนออีกว่าจะซื้อรถเมล์ไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหามลพิษแทนการซื้อรถถัง ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่พรรคนี้มีนักการเมืองประเภท “มาเฟีย” หรือ “โจร” หลายคน เช่น พัลลภ ปิ่นมณี เสนาะ เทียนทอง และเฉลิม อยู่บำรุง และมี อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีที่เคยเพิ่มความเข้มข้นในใช้ 112 เพื่อการปราบประชาชานที่ใช้อินเตอร์เน็ด

พรรคอนาคตใหม่มีจุดเด่นตรงที่ประกาศว่าจะลบผลพวงของเผด็จการและตัดงบประมาณทหารเพื่อเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชน แต่คำประกาศดังกล่าวขาดประเด็นสำคัญคือการสร้างพลังมวลชนนอกรัฐสภาที่จะมาหนุนช่วย นอกจากนี้มีการพูดถึงปัญหาปาตานี และการเปิดรับผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นนโยบายก้าวหน้า แต่พรรคนี้เป็นพรรคนายทุนไม่ใช่พรรคแรงงานหรือพรรคฝ่ายซ้าย ดังนั้นการเพิ่มประโยชน์ให้กับแรงงานจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองผลประโยชน์นายทุนก่อน และทั้งๆ ที่มีปีกแรงงาน แต่นั้นเป็นแค่ไม้ประดับ เพราะไม่มีข้อเสนอให้เพิ่มอำนาจต่อรองให้สหภาพแรงงานและร่างกฏหมายแรงงานใหม่ ซึ่งตรงนี้ต่างกับนโยบายพรรคสามัญชน นอกจากนี้พรรคอนาคตใหม่มีข้อเสนอสำหรับบำนาญคนชราที่ตั้งไว้แค่ 1800 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าพรรคอื่นหลายพรรค

พรรคสามัญชนมีข้อเสนอให้รวมสามระบบประกันสุขภาพเข้าด้วยกัน ซึ่งต่างกับพรรคอื่นและเป็นก้าวสำคัญในการสร้างรัฐสวัสดดิการ แต่ไม่มีข้อเสนอที่ชัดเจนเรื่องการเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวย บำนาญถ้วนหน้าสำหรับคนชราพรรคตั้งไว้ในระดับ 3000 บาทต่อเดือน ซึ่งทุกคนจะมีสิทธิ์ได้รับ และถือว่าเป็นข้อเสนอก้าวหน้า โดยทั่วไปพรรคนี้มีอิทธิพลของเอ็นจีโอสูง ไม่ใช่พรรคของแรงงานหรือพรรคสังคมนิยม และนโยบายหลักๆ เน้นแต่สิ่งแวดล้อมกับปัญหาชนบท และยังมีอิทธิพลของแนวเศรษฐกิจชุมชนสูง ซึ่งสะท้อนวิธีการทำงานประเด็นปัญหาเดียวของเอ็นจีโอ อย่างไรก็ตามข้อเสนอของพรรคให้หนุนพลังสหภาพแรงงานและเขียนกฏหมายแรงงานใหม่เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้า และนโยบายยกเลิกการใช้พาราคอตเพื่อคืนอาหารปลอดภัยให้ประชาชนเป็นนโยบายก้าวหน้าเช่นกัน

เราอาจพูดได้ว่าพรรคสามัญชนเป็นพรรคซ้ายอ่อนๆ ซึ่งดีกว่าพรรคอื่นๆ มีจุดยืนเคียงข้างคนจนที่ชัดเจน แต่เป็นพรรคเล็ก แกนนำตั้งความหวังว่าอย่างมากอาจได้สส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคนเท่านั้น

ในเรื่องปัญหากฏหมายแรงงานฉบับปัจจุบันดูบทความนี้ https://prachatai.com/journal/2019/02/81152

พรรคเพื่อชาติไม่ค่อยมีนโยบายชัดเจน มีการพูดถึงการลดความเหลื่อมล้ำแต่รายละเอียดน้อยเกินไป มีการพูดถึง “อนาคตดิจิตอล” เหมือนเป็นคำขวัญสวย แต่ขาดรูปธรรมพอสมควร มีการเสนอบำนาญสำหรับคนชราในระดับ 2000 บาทต่อเดือน และมีนโยบายสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีนักเรียนแพทย์ตำบลละ 1 คน เพื่อให้กลับมาช่วยบ้านเกิด ซึ่งเป็นเรื่องดี

พรรคประชาชาติมีจุดเด่นตรงที่เน้นการสร้างสังคมแห่งพหุวัฒนธรรม และบำนาญสำหรับคนชราในระดับ 3000 บาทต่อเดือน แต่ทั้งๆ ที่มีฐานเสียงในภาคใต้ ไม่ค่อยมีนโยบายที่ชัดเจนและก้าวหน้าเรื่องการใช้การเมืองแทนการทหารในการคืนเสรีภาพให้ชาวปาตานี

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับรายละเอียดของนโยบายเท่าไร ประเด็นหลักคือการต้านทหาร เพราะเรารู้กันว่ากติกาการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย

โกงเลือกตั้ง

ดังนั้นเราต้องร่วมกันลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองที่ต้านทหารโดยข้ามพ้นอคติส่วนตัวบางอย่าง เราไม่ควรไปเลือกพรรคอื่นที่อวยทหารโดยเด็ดขาด เพราะพรรคอื่นเช่นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นตัวแทนของคนที่ทำลายประชาธิปไตย

หลังจากที่มีการนับคะแนน ถ้าคะแนนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เทให้พรรคต้านทหาร เราต้องเรียกร้องให้ประยุทธ์และแก๊งทหารถอนตัวออกจากการเมืองไทยสักที

 

เงื่อนไขสำคัญในการออกมาประท้วงการโกงการเลือกตั้ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยควรเตรียมตัวรับมือกับการโกงการเลือกตั้งโดยเผด็จการทหารของประยุทธ์ ขั้นตอนแรกคือการคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง ว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะมียุทธศาสตร์อะไรที่เหมาะสม เพราะเราไม่สามารถงอมืองอเท้าน้อมรับการโกงการเลือกตั้งโดยทหาร

แน่นอนพวกเราทราบดีว่า #เผด็จการทหาร มีแผนสืบทอดอำนาจไปอีก 20ปี ด้วยการแต่งตั้งสว. แต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งกกต. และการใช้แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ20ปีเพื่อมัดมือรัฐบาลที่มาจากการเลอกตั้ง ประเด็นนี้เราทราบมานานแล้ว แต่เราจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องที่จะทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจจนพร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว

ประเด็นสำคัญคือการโกงการเลือกตั้งหลังจากที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเรียบร้อยไปแล้ว

ในประการแรกหลังวันเลือกตั้งเราจะต้องนับคะแนนเสียงทั้งหมดที่ประชาชนแต่ละคนทั่วประเทศลงให้พรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ สามัญชน เพื่อชาติ และประชาชาติ ซึ่งเป็นพรรคหลักที่มีนโยบายต้านทหารที่ชัดเจน

หลังจากนั้นเราจะต้องนำคะแนนเสียงทั้งหมดที่ประชาชนลงให้พรรคต้านทหาร มาเปรียบเทียบกับคะแนนเสียงที่ประชาชนลงให้พรรคทหารและพรรคของสุเทพ

การนับคะแนนเสียงไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับการนับจำนวนสส.

เราควรจะมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนการลงประชามติว่าประชาชนต้องการประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ในขั้นตอนนี้จำนวน สส. ไม่สำคัญ เพราะเราทราบว่ามีการใช้สูตรแปลกๆ และการแต่งตั้ง สว. เพื่อให้ประยุทธ์กับพรรคพวกได้เปรียบ

ถ้าจำนวนคะแนนเสียงทั่วประเทศที่ต้านประยุทธ์มากกว่าคะแนนเสียงที่สนับสนุนประยุทธ์ เราต้องชัดเจนว่าประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรมแต่อย่างใดที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าที่นั่งในสภาจะเป็นอย่างไร

ถ้าประยุทธ์หน้าด้านผลักตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์แบบนั้น การออกมาประท้วงต้านประยุทธ์จะมีความชอบธรรมสูง และถ้าพรรคการเมืองหรือนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยสนับสนุนการประท้วงก็จะยิ่งดี แต่นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องรอนักการเมือง เพราะบ่อยครั้งนักการเมืองลังเลใจไม่กล้านำ

571d8aa2c038bd71e98317cb1cad16cdb98096fad3d964da3c320acffed5b9f0

ถ้ามีการประท้วงเราต้องชัดเจนว่ามันไม่ใช่การประท้วงแสดงความไม่พอใจกับผลการเลือกตั้ง แต่เป็นการประท้วงเพราะเผด็จการทหารและพรรคทหารไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

อีกกรณีที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการออกมาประท้วงคือกรณีที่พรรคอนาคตใหม่หรือพรรคสามัญชนหรือพรรคเพื่อไทยถูกยุบ หรือกรณีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือแกนนำพรรคต้านทหารคนอื่น ถูกลงโทษหรือจำคุก เพราะมันจะเป็นมาตรการที่ขัดกับการเลือกตั้งเสรีในระบบประชาธิปไตย เรายอมไม่ได้

ใครคิดที่จะเล่นพรรคเล่นพวกเพราะชอบหรือไม่ชอบ ธนาธร หรือพรรคอนาคตใหม่ หรือใครก็ตามจากฝ่ายประชาธิปไตยที่โดนลงโทษทางการเมือง จะเป็นคนปัญญาอ่อนทางการเมืองโดยสิ้นเชิง เราต้องข้ามพ้นอคติแบบนั้น

การประท้วงการโกงการเลือกตั้งอย่างที่พูดถึงนี้ มีความสำคัญในการเดินหน้าลดผลพวงของเผด็จการ ซึ่งเป็นงานที่คงใช้เวลา เราจึงยอมจำนนตั้งแต่ก้าวแรกไม่ได้ การประท้วงในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่การกระทำที่ “เข้าทางเผด็จการ” หรือสร้างเงื่อนไขให้เผด็จการอยู่ต่อยาว ตรงกันข้ามการนิ่งเฉยเป็นสูตรที่ทำให้เผด็จการอยู่ต่ออย่างสบาย และที่สำคัญคือวิธีการกับรูปแบบการประท้วงต้องถูกกำหนดจากนักเคลื่อนไหวในไทย ควรเรียนบทเรียนจากอดีต และควรพิจารณาการนัดหยุดงานอีกด้วย ควรเน้นมวลชนไม่ใช่ทำในรูปแบบกลุ่มเล็กๆในเชิงสัญญลักษณ์

นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทุกคน คงหวังว่าพรรคต้านทหารจะได้เสียงในรัฐสภาพอที่จะตั้งรัฐบาลพลเรือนได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแต่มีการกีดกันไม่ให้ตั้งรัฐบาล นั้นก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่จะออกมาประท้วงด้วยความชอบธรรม

ประชาธิปไตยไม่เคยสร้างได้จากการเคารพกฏหมายเผด็จการหรือการอาศัยสส.ในรัฐสภาอย่างเดียว

ถ้าเราไม่คุยและเตรียมตัวล่วงหน้าเรื่องนี้ พลเมืองไทยจะเป็นแค่เหยื่อของเผด็จการที่ไร้พลัง ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเถิด

นโยบายที่น่าขายหน้าของรัฐบาลไทยต่อผู้ลี้ภัยและคนงานข้ามพรมแดน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในขณะที่ผู้รักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกกำลังแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ลี้ภัยจากลาตินอเมริกาที่ต้องการเข้าไปในสหรัฐ และนโยบายของสหภาพอียู ที่มีการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ยุโรปจมน้ำตายเป็นพันๆ คนในทะเลสืบเนื่องจากนโยบายเหยียดเชื้อชาติสีผิวของอียู เราควรจะมาพิจารณาประวัติอันน่าอับอายขายหน้าของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ด้วย

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้รายงานว่ารัฐบาลเผด็จการไทยมีการละเมิดสิทธิของผู้ลี้ภัยอย่างต่อเนื่อง เช่นการจับคุมผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามและเขมรเกือบสองร้อยคน ซึ่งรวมถึงเด็กและหญิงตั้งครรภ์ โดยที่หลายคนถือบัตรผู้ลี้ภัยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ มีการแยกเด็กออกจากพ่อแม่ หลายคนถูกส่งไปศาลแล้วโดนจำคุก บางคนถูกส่งไปที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองซอยสวนพลู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นที่กักกันที่แออัดและไร้มาตรฐานมนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง

Bangkok-detention-center-300x225

ปัญหาใหญ่มาจากการที่รัฐบาลไทย ทุกรัฐบาล ไม่ยอมเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951และพิธีสารปี 1967 ดังนั้นผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในไทยถูกปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย เหมือนเป็นอาชญากร และมีหลายกรณีที่รัฐบาลไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปสู่คุกและการถูกทำร้ายในประเทศเดิม เช่นตุรกี เขมร และจีน

uyghur-detention-march2014

เมื่อสามปีที่แล้วรัฐบาลไทยส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์หนึ่งร้อยคนกลับประเทศจีน ทั้งๆ ที่เขาต้องการไปอยู่ตุรกีเพื่อหนีความรุนแรงและการกดขี่ของรัฐบาลจีน ซึ่งทำให้ชาวอุยกูร์ในตุรกีแสดงความไม่พอใจไทยด้วยการประท้วงทุบกระจกสถานกลสุลไทย

ล่าสุดคือกรณีของ ฮาคีม อัล อาไรบี และ รวต รุทมนี

សហជីព-1
รวต รุทมนี

รวต รุทมนี ถูกออกหมายจับโดยรัฐบาลเผด็จการของเขมรเพราะมีส่วนในการทำรายการสารคดีที่เปิดโปงการค้ามนุษย์ในเขมร เขาถูกจับโดยตำรวจไทยขณะที่กำลังขอลี้ภัยในสำนักงานวิซาของฮอลแลนด์ หลังจากนั้นเขาถูกส่งกลับเขมร

07bahrain-thailand-jumbo
ฮาคีม อัล อาไรบี

ฮาคีม อัล อาไรบี นักฟุตบอลชาวบาห์เรนที่มีสถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลีย ถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหลังจากที่เขาเดินทางจากออสเตรเลียมาเที่ยวที่ไทยพร้อมกับภรรยา ทั้งๆ ที่ไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับบาห์เรน แต่เผด็จการทหารไทยขู่ว่าจะส่งกลับบาห์เรน ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม หรือซ้อมทรมาน เพราะบาห์เรนเป็นเผด็จการโหด กรณีนี้ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสื่อต่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายองค์กร

ROHINGYA-MT-7-622x414-e1423819114649

ผู้ลี้ภัยโรฮิงญา ที่พยายามเข้ามาทางเรือก็โดนทหารและกรมน.ผลักออกไปสู่ทะเลอย่างป่าเถื่อน

2012_Thailand_burmarefugees

ส่วนผู้ลี้ภัยจากสงครามและความรุนแรงของทหารพม่าส่งผลให้คนเป็นแสนเดินข้ามพรมแดนเข้ามาในไทย แต่คนที่อยู่ต่อได้ถูกรัฐบาลไทยกักไว้ในค่ายผู้ลี้ภัยแถบชายแดน โดยที่ไม่มีสิทธิที่จะออกจากค่าย รัฐบาลไม่มีการบริการสาธารณสุข ไม่มีการให้การศึกษากับเด็ก และมีการห้ามไม่ให้ทำงานเลี้ยงชีพ คนที่แอบไปทำงานก็โดนนายจ้างและตำรวจเอาเปรียบเพราะเป็นแรงงาน “ผิดกฏหมาย”

แต่ชาวสังคมนิยมถือว่าผู้ลี้ภัยทุกคนเป็นมนุษย์ เราปฏิเสธคำจำกัดความที่ตราหน้าเพื่อนมนุษย์ว่าผิดกฏหมาย และเราจะไม่ยอมให้พวกชนชั้นปกครองชาตินิยมแบ่งแยกคนธรรมดาตามสีผิวหรือเชื้อชาติ การพูดว่าผู้ลี้ภัยเป็น “ภาระ” กับประเทศไม่เป็นความจริง เพราะถ้าเขาสามารถทำงาน เขาจะร่วมพัฒนาสังคมของเรา การพูดว่าเขาจะมา “แย่งงานคนไทย” ก็ไม่จริงอีกเพราะเขาพร้อมจะทำงานที่คนไทยไม่อยากทำ และเมื่ออายุของประชากรเพิ่มขึ้นสังคมเราก็จะขาดแรงงาน คำพูดแบบนี้ล้วนแต่เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาของระบบทุนนิยม โดยชนชั้นปกครอง เพื่อให้เรามองไม่เห็นการเอารัดเอาเปรียบและการกอบโกยกำไรของชนชั้นนายทุน สังคมเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร เพียงแต่ว่ามันไปกระจุกอยู่ในมือของคนชั้นสูง 5% ของสังคม และถูกใช้ในทางที่ผิด เช่นใช้ซื้ออาวุธให้ทหารที่ฆ่าประชาชนและทำลายประชาธิปไตย หรือถูกใช้เพื่อให้คนชั้นสูงเสพสุขมหาศาลเป็นต้น นี่คือสาเหตุที่เราปฏิเสธการกดขี่เอารัดเอาเปรียบพี่น้องแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาในไทยด้วย และเป็นสาเหตุที่เราปฏิเสธลัทธิชาตินิยมและการเคารพธงชาติอีกด้วย เราเคารพเพื่อนมนุษย์และพลเมืองในสังคมเราแทน

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ในยุคนี้กำลังกระตือรือร้นที่จะหาเสียง ไม่ยอมให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้ จริงอยู่พรรคอนาคตใหม่เคยเสนอว่าจะต้องไม่ผลักชาวโรฮิงญากลับสู่ทะเลและต้อง “ดูแล” แต่เมื่อมีพวกหัวอนุรักษ์นิยมรุมด่า ก็ไม่กล้าที่จะถกเถียงกับความคิดเหยียดเชื้อชาติแบบนี้ ได้แต่เงียบไปหรือพยายามปรับนโยบายคล้อยตามพวกล้าหลัง และที่สำคัญไม่มีการประกาศว่าจะเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 และพิธีสารปี 1967 และไม่มีการเสนอว่าต้องรื้อถอนนโยบายแย่ๆ ของรัฐบาลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ในเรื่องแรงงานข้ามชาติก็มีแต่การพูดว่าจะให้สิทธิเท่าเทียมกับแรงงานไทย แต่นั้นก็เฉพาะคนที่เข้ามาอย่าง “ถูกกฏหมาย” และแรงงานไทยเองก็ขาดสิทธิเสรีภาพในหลายเรื่อง

พรรคการเมืองอย่างอนาคตใหม่ ที่พยายามเล่นการเมืองในระบบเลือกตั้งของเผด็จการทหารไทย ไม่ให้ความสำคัญกับการปลุกระดมคนให้เปลี่ยนความคิด ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนกระแสในสังคม เพราะสนใจแต่การตามกระแส สนใจแค่เสียงสนับสนุนซึ่งรวมไปถึงเสียงของคนที่มีความคิดล้าหลัง การไม่พูดถึงกฏหมาย 112 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมแบบนี้

พรรคกรรมาชีพ

นี่คือสาเหตุที่เราจำเป็นต้องมีพรรคสังคมนิยม ที่เน้นการเคลื่อนไหวและการปลุกระดมคนให้เปลี่ยนความคิด เช่นให้เลิกบูชาคนข้างบน เลิกคลั่งชาติ หรือเลิกความคิดอคติต่อสิทธิทางเพศเป็นต้น โดยที่เราจะต้องไม่ยอมจำนนต่อการเมืองรัฐสภาในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

พรรคของชนชั้นกรรมาชีพ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ลีออน ตรอทสกี นักมาร์คซิสต์รัสเซีย เคยเขียนว่า “ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นที่จะเป็นผู้ต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับทุนนิยม จนได้รับชัยชนะ… และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อชนชั้นกรรมาชีพเข้าใจผลประโยชน์ของชนชั้นตัวเองอย่างชัดเจน สร้างพรรคการเมืองอิสระของกรรมาชีพเอง และไม่หลงเชื่อคำแนะนำจากพวกนายทุนน้อยประชาธิปไตยสองหน้าที่เสนอว่ากรรมาชีพไม่ต้องมีพรรคของตนเอง”

ทุกวันนี้มีคนไม่น้อยในไทย ทั้งอดีตฝ่ายซ้ายและอดีตนักเคลื่อนไหวแรงงาน ที่เถียงหน้าดำหน้าแดงว่ากรรมาชีพไทย “ไม่สามารถสร้างพรรคของตนเองได้” ต้องพึ่งนายทุนและชนชั้นกลางตลอดไป เหมือนเด็กที่ต้องพึ่งพี่เลี้ยงและไม่มีวันโต เรื่องนี้มีการถกเถียงกันเมื่อผมเสนอว่านักเคลื่อนไหวในขบวนการแรงงานควรสร้างพรรคของตนเองแทนที่จะพึ่งพรรคอนาคตใหม่

แรงงานกับอนาคตใหม่

บางคนอ้างว่ากรรมาชีพไม่สามารถสร้างพรรคของตนเองได้เพราะกรรมาชีพเปลี่ยนไปเป็นคนส่วนน้อยของสังคมไปแล้ว ซึ่งสะท้อนสองสิ่งเกี่ยวกับคนที่มีความคิดแบบนี้คือ ไม่เข้าใจว่ากรรมาชีพคือใคร และไม่ติดตามข้อมูลจริงในโลกปัจจุบัน

ชนชั้นกรรมาชีพในนิยามเศรษฐศาสตร์การเมืองมาร์คซิสต์ คือลูกจ้าง หรือคนที่ไม่มีปัจจัยการผลิตของตนเองและต้องไปทำงานให้กับคนอื่น ซึ่งนักมาร์คซิสต์เข้าใจดีว่าระบบทุนนิยมและกรรมาชีพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกรรมาชีพในโลกสมัยใหม่ประกอบไปด้วยคนงานโรงงาน คนที่ทำงานในภาคบริการ เช่นการขนส่ง ห้างร้านค้า กิจการธนาคารกับไฟแนนส์ และในโรงเรียน มหาวิทยาลัย กับ โรงพยาบาล มันรวมกรรมาชีพที่ใส่ชุดทำงานของโรงงาน และกรรมาชีพที่แต่งตัวเพื่อเข้าไปทำงานในออฟฟิส และถ้าเรานับปริมาณประชาชนในไทยหรือในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จะเห็นว่ากรรมาชีพเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนตลอดเวลา

เรื่องนี้ไม่น่าแปลกเลย เพราะทุนนิยมดำเนินการไม่ได้ถ้าขาดกำไร และกำไรดังกล่าวมาจากการทำงานของกรรมาชีพผู้เป็นลูกจ้างเสมอ นี่คือสาเหตุที่นายทุนและรัฐบาลที่รับใช้นายทุนพยายามหาทุกวิธีทางที่จะสร้างอุปสรรค์กับการนัดหยุดงาน เพราะเมื่อกรรมาชีพนัดหยุดงานก็จะไม่มีการสร้างกำไรเพื่อให้นายทุนขโมยไป

ในโลกสมัยใหม่ ไม่ว่าจะในไทยหรือที่อื่น กรรมาชีพในรูปแบบที่ผมกล่าวถึง มีการจัดตั้งตัวเองในสหภาพแรงงาน เช่นสหภาพลูกจ้างธนาคาร สหภาพอุตสาหกรรมสิ่งทอ สหภาพครู หรือแม้แต่สหภาพพยาบาล และเมื่อมีการจัดตั้งแบบนี้ การสร้างพรรคการเมืองของกรรมาชีพย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องมีนักเคลื่อนไหวที่เข้าใจความสำคัญของการสร้างพรรคของกรรมาชีพเอง

บางคนที่อ้างว่าพรรคกรรมาชีพ “สร้างไม่ได้” จะอ้าง “วัฒนธรรมของคนงานไทย” ว่าไม่สามารถรวมตัวกันต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ตนเองได้ ต้องคลานตามนายทุนหรือชนชั้นกลางเสมอ ความคิดแบบนี้ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าสร้างสหภาพแรงงานได้ ก็ย่อมสร้างพรรคได้ อย่างที่พึ่งอธิบายไป ในโลกแห่งความเป็นจริงวัฒนธรรมไม่ได้มีวัฒนธรรมเดียวในสังคม แต่มีหลายวัฒนธรรมที่ขัดแย้งกันและดำรงอยู่พร้อมๆ กัน ดังนั้นเราจะเห็นประวัติและวัฒนธรรมของแรงงานไทยที่ลุกขึ้นสู้ เข้าใจผลประโยชน์ของชนชั้นตนเอง และให้ความสำคัญกับการเมืองฝ่ายซ้าย เราเห็นในอดีตยุคพรรคคอมมิวนิสต์ และเราเห็นในปัจจุบัน แต่แน่นอนเขาอาจไม่ใช่คนส่วนใหญ่ พร้อมกันนั้นเราเห็นวัฒนธรรมของนักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงานที่บูชาคนข้างบน เชิญนักการเมืองฝ่ายทุนหรือแม้แต่เผด็จการทหารมาพูดในงานของแรงงาน และมองว่าตนเองทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ที่มีอำนาจและเงินมาช่วย นั้นคืออีกวัฒนธรรมหนึ่ง

ถ้าจะชักชวนและดึงกรรมาชีพส่วนใหญ่ให้เห็นด้วยกับวัฒนธรรมแรกที่ต่อสู้และพึ่งตนเอง มันต้องมีการจัดตั้งในองค์กรทางการเมืองของฝ่ายซ้าย พรรคกรรมาชีพสังคมนิยมนั้นเอง บ่อยครั้งคนที่อ้างว่าคนงานไทยไม่มีวัฒนธรรมการต่อสู้ มักจะเป็นคนที่ไม่สนใจการจัดตั้งพรรคฝ่ายซ้ายของกรรมาชีพ และเขาก็จะหาข้ออ้างไร้สาระมาหนุนจุดยืนของเขา เช่นการพูดว่าฝ่ายซ้ายคาบคำภีร์ หรือฝ่ายซ้ายไม่รู้จักแรงงาน ซึ่งเป็นคำด่าเหลวไหลของคนที่หมดปัญญาที่จะเถียงโดยใช้เหตุผลและข้อมูลจากโลกจริง ผู้เขียนสามารถฟันธงในเรื่องนี้ได้เพราะมีประสบการณ์โดยตรงจากการพยามสร้างพรรคในสังคมไทย

42864387_1048457538658557_5369240746756931584_n

พรรคกรรมาชีพที่ควรจะถูกสร้างขึ่นในไทยตอนนี้ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? ในประการแรกมันควรจะเป็นพรรคสังคมนิยมที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานในชนชั้นกรรมาชีพ แต่ในขณะเดียวกันบ่อยครั้งต้องอาศัยคนหนุ่มสาวที่เป็นนักศึกษาไฟแรง หรือ “เตรียมกรรมาชีพ” นั้นเอง เพราะคนหนุ่มสาวแบบนี้มีเวลาที่จะศึกษาและอ่าน และไม่เหนื่อยเกินไปจากการทำงานหนัก อาจมีปัญญาชนเข้าร่วมด้วย แต่ที่สำคัญคือต้องมีการสร้างกรรมาชีพให้นำตนเอง ที่คิดเอง เป็นปัญญาชนกรรมาชีพ และสอนคนอื่นได้ และสมาชิกส่วนใหญ่ควรจะเป็นคนทำงานที่เคลื่อนไหวในสหภาพแรงงานของตนเอง

คนไทยที่สนใจสร้างพรรคฝ่ายซ้ายหรือพรรคสังคมนิยม ไม่ควรจะไปตั้งเป้าในการสร้างพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งภายใต้อิทธิพลของเผด็จการ หรือภายใต้กรอบ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” แต่อย่างไรก็ตามนักกิจกรรมฝ่ายซ้ายในไทย ไม่ควรลังเลที่จะสร้างพรรค ควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย เพื่อเคลื่อนไหวในระดับรากหญ้านอกรัฐสภา พูดง่ายๆ “พรรค” กับการเลือกตั้งรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องเดียวกันเสมอ ดังนั้นพรรคไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนจนกว่าจะตัดสินใจลงแข่งขันในการเลือกตั้ง ภาระแรกเลยคือการสร้างสมาชิกที่เป็นนักเคลื่อนไหว สมาชิกที่แค่จ่ายค่าสมาชิกไม่ค่อยมีประโยชน์

ตัวอย่างของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นถึงการมีบทบาทนอกรัฐสภาของพรรค เช่นในการจัดตั้งกรรมาชีพ คนหนุ่มสาว หรือเกษตรกร อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับแนวทางในการจับอาวุธของ พคท. หรือการที่ พคท. ไม่มีประชาธิปไตยภายใน

เราจะต้องเข้าใจกันว่าเป้าหมายของพรรคในที่สุด คือการล้มระบบทุนนิยมผ่านการลุกฮือของมวลชน การลุกฮือแบบนี้จะนำไปสู่การปกครองกันเองของกรรมาชีพที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม เพราะตราบใดที่เราไม่ล้มระบบทุนนิยม เราไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยแท้ที่มีความเท่าเทียมได้ กรุณาเข้าใจอีกด้วยว่า “สังคมนิยม” ที่กำลังเอ่ยถึงนั้น แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับระบบเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์ที่พบในจีน เวียดนาม เกาหลีเหนือ หรือในอดีตโซเวียด [อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2vbhXCO ]

แน่นอนพรรคจะต้องอิสระจากอิทธิพลของชนชั้นที่มีอำนาจในสังคมปัจจุบัน ดังนั้นจะต้องอิสระจากนายทุนและมีจุดยืนในการรักษาผลประโยชน์ของคนชั้นกรรมาชีพ ด้วยเหตุนี้เงินทุนของพรรคต้องมาจากสมาชิกที่เป็นคนธรรมดาเท่านั้น และพรรคก็ต้องมีจุดยืนต้านนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมกลไกตลาด หรือนโยบายที่นำไปสู่การกดค่าแรงเป็นต้น

ความชัดเจนของจุดยืนพรรค ไม่ได้มีไว้เพื่ออวดความบริสุทธิ์ แต่มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการขยายความคิดและปลุกระดมในหมู่มวลชนภายนอกพรรค จุดยืนของพรรคต้องมาจากการถกเถียงกันอย่างเสรีภายในพรรค โดยไม่มีใครที่เป็นอภิสิทธิ์ชน แต่พอถกเถียงกันแล้ว เมื่อมีการลงมติ ลูกพรรคควรจะทำตามมติเสียงส่วนใหญ่

พรรคจะต้องผสมผสานสองยุทธศาสตร์เข้าด้วยกันคือ ต้องร่วมต่อสู้เพื่อพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือเรื่องปากท้อง เข้ากับเรื่องการเมืองภาพกว้าง

ถ้าพรรคเน้นแต่การต่อสู้เรื่องปากท้องอย่างเดียว พรรคจะไม่ต่างจากสหภาพแรงงานสามัญ และที่สำคัญคือ พรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคของนายทุน จะสามารถครองใจมวลชนจนผูกขาดการวิเคราะห์ประเด็นการเมืองได้ และการวิเคราะห์ดังกล่าวจะกระทำจากมุมมองนายทุนเสมอ ในบริบทสังคมไทย ถ้าพรรคสังคมนิยมไม่สนใจการเมืองด้านกว้างจากจุดยืนคนชั้นล่าง พรรคของคนอย่างทักษิณหรือพรรคอนาคตใหม่จะเข้ามาครองใจคนส่วนใหญ่ได้ง่าย

แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าพรรคไม่สนใจประเด็นปากท้อง และไม่ร่วมกับมวลชนนอกพรรคในการต่อสู้เพื่อพัฒนาชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ ก็จะแค่เป็นกลุ่มที่พูดเก่ง แต่ไม่ลงมือทำอะไร ไม่มีวันขยายการต่อสู้ได้ ดังนั้นพรรคจะต้องโฆษณาขยายความคิดและปลุกระดมการต่อสู้พร้อมกัน

การผสมผสานยุทธศาสตร์สองอย่างนี้เข้าด้วยกัน แปลว่าพรรคจะต้องชักชวนให้มวลชนมองภาพกว้างทางการเมืองจากชีวิตประจำวันเสมอ และจะต้องเชื่อมโยงทุกประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุนนิยมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ สิทธิของแรงงานข้ามชาติ สิทธิทางเพศ สิทธิของเชื้อชาติต่างๆ เรื่องประชาธิปไตย และสถานการณ์ในโลกภายนอกประเทศไทยอีกด้วย

ในบริบทสังคมไทย การที่จะสร้างพรรคแบบนี้ควรเริ่มต้นจากการรวมตัวกันของเครือข่ายต่างๆ ในขบวนการแรงงาน และนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์คล้ายๆ กัน การสร้างพรรคสังคมนิยมจะต้องไม่เริ่มต้นจากการคุยกันว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรค หรือการเชิญผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วม หรือการถกกันเรื่องการลงทะเบียน