Tag Archives: พรรคแรงงานบราซิล

บราซิล เมื่อฝ่ายซ้ายหักหลังคนจน ฝ่ายขวามักฉวยโอกาส

ใจ อึ๊งภากรณ์

ชัยชนะของ ชาอีร์ โบลโซนาโร นักการเมืองขวาจัดในประเทศบราซิล สร้างภัยให้กับนักประชาธิปไตย ฝ่ายซ้าย และประชาชนทั่วโลก

ภัยหลักสำหรับชาวโลกที่มาจากผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนก่อนคือ จะช่วยเสริมกระแสฝ่ายขวาสุดขั้วในประเทศอื่นๆ และจะมีผลต่อปัญหาโลกร้อน

โบลโซนาโร เป็นนักการเมืองที่เหยียดสตรี เหยียดสีผิว เกลียดชังนักสหภาพแรงงานกับฝ่ายซ้าย ส่งเสริมนโยบายกลไกตลากเสรีสุดขั้ว และพร้อมจะใช้มาตรการเผด็จการที่รุนแรงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและคนรวย

bolsonaro-nao-nunca-jamais-logo-FFE4B3BC5C-seeklogo.com

ในเรื่องปัญหาโลก โบลโซนาโร พร้อมจะทำลายป่าอเมซอนเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเกษตรโดยเฉพาะกิจกรรมผลิตเนื้อวัว และทุนเหมืองแร่ โดยที่มองว่าชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าต้อง “ปรับตัว” หรือตาย และการที่ป่าอเมซอนคือ “ปอดของโลก” ที่ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออคไซด์ออกจากบรรยากาศ แปลว่าการทำลายป่านี้จะมีผลต่อประชากรทั้งโลกอีกด้วย

โบลโซนาโร เป็นนักการเมืองต่ำช้าที่เกลียดทุกอย่างที่ก้าวหน้า นอกจากการเกลียดชังสิทธิทางเพศทุกชนิด และการข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงกับฝ่ายค้านแล้ว โบลโซนาโร ซึ่งเป็นอดีตนายทหาร มองว่าควรหมุนนาฬิกากลับสู่ยุคเผด็จการทหารในอดีต เขามองว่าในยุคนั้นเผด็จการทหารไม่รุนแรงเพียงพอ

ระหว่างค.ศ. 1964 ถึง 1985 บราซิลตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร โดยที่รัฐประหารได้รับการสนับสนุนจากสลิ่มชนชั้นกลาง กลุ่มทุน และพวกเจ้าของที่ดินรายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ไปลงคะแนนให้โบลโซนาโร ในยุคเผด็จการทหารมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ มีการปราบปรามพรรคการเมืองทุกพรรค ปราบปรามสหภาพแรงงาน และจับแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ทุกคนมาฆ่าทิ้ง

แต่หลังจากที่ทหารยึดอำนาจมาได้แค่ 6 ปีกว่า ขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนเพื่อประชาธิปไตยเริ่มก่อตัวจากขบวนการนักศึกษา นักสหภาพแรงงาน และฝ่ายซ้าย สิ่งที่กระตุ้นการเติบโตของขบวนการนี้คือปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสิทธิมนุษยชน การเหยียดสีผิว การคอร์รับชั่น และความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจโดยรัฐบาลทหาร

ในปี 1978 คนงานในโรงเหล็กและในโรงงานประกอบรถยนต์ในเมืองเซาเปาโล ตัดสินใจนัดหยุดงานผิดกฏหมายจนได้รับชัยชนะ ผู้นำสำคัญของสหภาพแรงงานนี้คือ “ลูลา” และชัยชนะครั้งนี้นำไปสู่การก่อตั้งพรรคแรงงาน (PT) ในปี 1980 โดยที่พรรคนี้ประกอบไปด้วยนักสหภาพแรงงาน นักศึกษา และฝ่ายซ้ายกลุ่มต่างๆ ที่เคยทำการต่อสู้ทั้งใต้ดินและเปิดเผย พรรคนี้เป็นพรรคอิสระของชนชั้นกรรมาชีพและภายในเวลาสิบปีมีสมาชิก 8 แสนคน ในเวลาเดียวกันพรรคแรงงานนี้สามารถดึงสภาแรงงาน CUT และองค์กรเกษตรกร MST มาเป็นแนวร่วมที่สำคัญ

ระหว่าง 1979 ถึง 1985 บราซิลค่อยๆ ปฏิรูปกลับมาเป็นประชาธิปไตยภายใต้แรงกดดันจากขบวนการมวลชนและการนัดหยุดงาน ในปี 1988 มีการนำรัฐธรรมนูญใหม่มาใช้ที่เพิ่มสิทธิเสรีภาพและกล่าวถึงรัฐสวัสดิการ

ลูลา ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคแรงงานสามครั้งในปี 1989 1994 และ 1998 แต่ไม่ชนะเพราะกระแสของฝ่ายขวาและกลุ่มทุนมีอิทธิพลสูง ความไม่สำเร็จในการเลือกตั้งตอนนั้น ประกอบกับการล่มสลายของระบบเผด็จการสตาลินในรัสเซียกับยุโรปตะวันออก ทำให้แกนนำพรรคแรงงานขยับไปทางขวา มีการเขี่ยนักสังคมนิยมออกจากตำแหน่งที่มีอิทธิพล และ ลูลา เลิกแต่งตัวเหมือนคนธรรมดาและหันมาใส่เสื้อสูทราคาแพง พร้อมกันนั้นมีการสร้างแนวร่วมกับพรรคน้ำเน่าเพื่อขยายอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งเป็นอาการของการละทิ้งการเคลื่อนไหวและอุดมการณ์ เพื่อให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งอย่างเดียว

lulada
ลูลา

ในปี 2002 ลูลา ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีสองสมัย ในรอบแรกแนวร่วมของพรรคแรงงานเป็นแนวร่วมนรกที่ประกอบไปด้วยนายทุน เจ้าของที่ดินฝ่ายขวา คนจนในเมือง นักสหภาพแรงงาน กับชนชั้นกลาง และรัฐบาลพรรคแรงงานทั้งสองสมัยภายใต้ ลูลา ใช้นโยบายเศรษฐกิจกลไกตลาดเสรีเหมือนรัฐบาลชุดก่อนๆ ดังนั้นมีการตัดเงินบำเหน็จบำนาญ เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัดภาษีให้กลุ่มทุน และขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแค่เล็กน้อย นโยบายดังกล่าวได้รับคำชมจากองค์กรไอเอ็มเอฟ

ผลของนโยบายรัฐบาลพรรคแรงงานคือทำให้กรรมาชีพในสหภาพแรงงานเริ่มเบื่อหน่ายกับพรรค และพร้อมกันนั้นมีการสลายการเคลื่อนไหวนอกรัฐสภาของสมาชิกพรรคกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่ในขณะเดียวกันมีการนำโครงการช่วยคนจนในเมืองมาใช้ เพื่อสร้างฐานเสียง เงินที่ใช้ในการช่วยคนจนมาจากกำไรจากการส่งออกวัตถุดิบที่เริ่มบูมเนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน แต่ในขณะเดียวกันยังใช้แนวเศรษฐกิจเสรีนิยมกลไกตลาดต่อไป

Luiz Inacio Lula da Silva, Dilma Rousseff
ลูลากับเดลมา รุสเซฟ

ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงเมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่วิกฤตและราคาส่งออกของวัตถุดิบดิ่งลงเหวในยุคของประธานาธิบดี เดลมา รุสเซฟ จากพรรคแรงงาน มีการตัดโครงการต่างๆ ที่เคยช่วยคนจน และเกิดเรื่องอื้อฉาวคอร์รับชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวกับพรรคแรงงาน มันนำไปสู่ “รัฐประหารโดยวุฒิสภาและตุลาการ” ที่ล้มรัฐบาล เดลมา รุสเซฟ ในปี 2016 และนักการเมืองฝ่ายขวาก็เข้ามาเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวจนถึงวันเลือกตั้งที่พึ่งผ่านมา

สาเหตุที่คนอย่าง โบลโซนาโร ชนะการเลือกตั้งก็เพราะพรรคแรงงานทำลายฐานเสียงตัวเองในสหภาพแรงงานและในหมู่คนจนในเมือง โดยการใช้นโยบายที่หักหลังและละทิ้งคนธรรมดา พร้อมกันนั้นการคอร์รับชั่นก็ทำให้คนชั้นกลางเกลียดชังพรรค

manifestação-ele-não-joinville-800x445

โบลโซนาโร เป็นภัยต่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ เพราะเขากำลังวางแผนใช้ทหารและตำรวจเพื่อสร้างรัฐบาลที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงกับคนที่เห็นต่าง แต่ขบวนการสหภาพแรงงาน นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิทางเพศ ขบวนการนักศึกษา และขบวนการเกษตรกร ยังไม่ได้ถูกทำลาย และถ้าเรียนบทเรียนจากการล้มเผด็จการทหารรอบก่อน ก็จะสามารถเอาชนะ โบลโซนาโร ด้วยการต่อสู้นอกรัฐสภาได้

อ่านเพิ่ม เรื่องบราซิลกับลาตินอเมริกา https://bit.ly/2DlwMsp

วิกฤตการเมืองบราซิลเปรียบเทียบกับไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

[เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

ทั้งบราซิลกับไทยมีประวัติการตกภายใต้เผด็จการทหาร และมีวิกฤตการเมืองที่เกิดจากการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของพวกอภิสิทธิ์ชนและสลิ่มชนชั้นกลาง จนในที่สุดเกิดรัฐประหารที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

p18 argentina protest

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ชนชั้นกลางใช้ประเด็น “การต่อต้านคอร์รับชั่น” เพื่อเป็นข้ออ้างในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในทั้งสองประเทศ

นักวิชาการบราซิล Alfredo Saad-Filho และ Lecio Morais วิเคราะห์ว่าชนชั้นกลางชอบเล่นประเด็นเรื่องการคอร์รับชั่น เพราะมองว่าตัวเองมีฐานะดีที่มาจาก “ความสามารถและความขยันของตนเอง” ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่จริงเท่าไร แต่มันทำให้คนชั้นกลางมองว่าการคอร์รับชั่นเปิดโอกาสให้ “คนมีเส้น” เข้ามากอบโกยผลประโยชน์

brazil-45

ปัจจัยที่บวกเข้าไปสำหรับชนชั้นกลางคือ เขาจะมักจะไม่พอใจเมื่อรัฐบาลช่วยคนจนและแรงงาน

180908-004-2E0344EA
เดลมา รุสเซฟ

อย่างไรก็ตามการกล่าวหานักการเมืองว่าโกงกิน มักถูกใช้ในลักษณะที่เลือกปฏิบัติ ซึ่งเราเห็นในกรณีไทย เช่นการที่ทหารชั้นสูงจะโกงแค่ไหนก็ได้ โดยที่สลิ่มชนชั้นกลางเงียบเฉย ในกรณีบราซิล กระแสต่อต้านการคอร์รับชั่นกลายเป็นข้ออ้างสำหรับ ตุลาการ ตำรวจชั้นสูง และอัยการ ในการเลือกที่จะตั้งข้อกล่าวหากับพรรคแรงงานของ ประธานาธิบดี เดลมา รุสเซฟ และอดีตประธานาธิบดี ลูลา โดยที่ไม่มีการสอบสวนนักการเมืองฝ่ายขวาจากพรรคฝ่ายค้านเลยทั้งๆ ที่มีเรื่องอื้อฉาวติดตัวด้วย ในด้านหนึ่งการคอร์รับชั่นของนักการเมืองพรรคแรงงานมีจริง แต่ในกรณีผู้นำอย่างรุสเซฟหรือลูลา ยังไม่มีหลักฐานที่เชื่อได้ แต่ในไม่ช้าข้อกล่าวหาเรื่องการคอร์รับชั่น ก็แปรไปเป็นเรื่องที่ผูกพันกับการต่อต้านนโยบายช่วยคนจนของพรรคแรงงาน โดยมีการกล่าวหาว่า “ทำลายวินัยทางการคลัง” และข้อกล่าวหาหลังนี้เองที่ถูกใช้โดยฝ่ายตุลาการและวุฒิสภาบราซิลในการก่อรัฐประหารล้มประธานาธิบดี เดลมา รุสเซฟ มันทำให้เรานึกถึงกรณียิ่งลักษณ์ในไทย

Luiz Inacio Lula da Silva, Dilma Rousseff
ลูลากับเดลมา รุสเซฟ

ลึกๆ แล้ววัตถุประสงค์ของฝ่ายขวาอภิสิทธิ์ชนบราซิลในการล้มรัฐบาลพรรคแรงงาน คือความต้องการของพวกนี้ที่จะยกเลิกนโยบายที่ช่วยคนจนที่กระทำไปภายใต้นโยบาย “เสรีนิยมพัฒนา” (Developmental Neo-Liberalism) [รายละเอียดเรื่องนี้อ่านได้ในบทความสัปดาห์ที่แล้วเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจในลาตินอเมริกา]  และเขาต้องการยกเลิกมาตราในรัฐธรรมนูญที่ปกป้องสิทธิของคนจนและแรงงาน นอกจากนี้พวกนี้ต้องการเปิดประเทศเต็มที่และแปรรูปบริษัทน้ำมันของรัฐเพื่อขายให้ทุนข้ามชาติ นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้วของพวกนี้ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ

ผมเคยเสนอมานานว่าการทำรัฐประหาร๑๙กันยาและรัฐประหารของประยุทธ์ ส่วนหนึ่งกระทำไปเพื่อทำลายนโยบายเศรษฐกิจคู่ขนานของทักษิณที่ช่วยคนจน โดยมีเป้าหมายที่จะนำนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้วเข้ามาใช้ นโยบายดังกล่าวเป็นที่ชื่นชมของพรรคประชาธิปัตย์และทหาร และมันเอื้อประโยชน์ให้คนรวย [ดู https://bit.ly/2Na1TLa ]

จริงๆ แล้วนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด เป็นนโยบายที่ขัดแย้งกับประชาธิปไตย เพราะมันเน้นผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวย และเน้นอำนาจของ “กลไกตลาด” ในขณะที่กีดกันการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจสังคมของประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นคนจน และกีดกันไม่ให้รัฐคุมเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์คนส่วนใหญ่อีกด้วย ดังนั้นเราไม่ควรหลงเชื่อว่าเสรีนิยมสร้างประชาธิปไตย [ดู http://bit.ly/2tWNJ3V ]

แน่นอนบราซิลกับไทยไม่ได้เหมือนกัน 100% เพราะพรรคการเมืองของทักษิณไม่ใช่พรรคแรงงานหรือพรรคสังคมนิยมปฏิรูป และพรรคแรงงานบราซิลไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนเหมือนพรรคของทักษิณ

สำหรับทางออกในปัจจุบัน Alfredo Saad-Filho และ Lecio Morais เน้นว่าฝ่ายซ้ายต้องต่อต้านคอร์รับชั่น แต่ไม่ใช่ไปเล่นเรื่องนี้จนฝ่ายขวานำมาใช้เป็นเครื่องมือเองได้ คือต้องมีการให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำและการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ และต้องต่อต้านนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด ซึ่งจริงๆ แล้วเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนและคนรวยผูกขาดนโยบายของรัฐเพื่อประโยชน์คนส่วนน้อย

นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดปิดโอกาสสำหรับคนธรรมดาที่จะร่วมกันตรวจสอบการกอบโกยของนายทุน ซึ่งต้องถือว่าเป็นการคอร์รับชั่นประเภทหนึ่ง

ที่สำคัญคือ การล้มเผด็จการทหาร และการผลักดันให้รัฐเสนอนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้คนจน มาจากกระแสการกดดันจากมวลชนในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ทั้งในไทยและบราซิล เมื่อขบวนการดังกล่าวถูกหักหลังโดยรัฐบาลพรรคแรงงานในบราซิล หรือถูกแช่แข็งโดยพรรคของทักษิณ สังคมมีแนวโน้มจะถอยหลัง