Tag Archives: พุทธศาสนา

ศาสนาพุทธไม่ควรเป็นศาสนาประจำชาติ

ใจ อึ๊งภากรณ์

มันน่าเบื่อเหลือเกินที่กลุ่มพระสงฆ์ออกมาพูดซำแล้วซ้ำอีก ว่าศาสนาพุทธควรถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นศาสนาประจำชาติ การมีเผด็จการครองเมืองที่ทำลายสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่จะคิดเองยังไม่พออีกหรือ? การที่ทุกวันนี้คนติดคุกเพราะไม่รักใครสักคน หรือเพราะวิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมยังไม่พออีกหรือ? จะต้องมีการบังคับให้ความเชื่อชนิดหนึ่งสำคัญกว่าความคิดอื่นไปทำไม?

ลัทธิคลั่ง “ชาติ ศาสนา กษัตริย์” เป็นลัทธิสุดขั้วที่เผด็จการใช้ในการกดขี่พลเมืองประเทศนี้มานานเกินไป มันน่าจะหมดยุคนานแล้ว ความคิดเรื่อง “เสรีภาพ ประชาธิปไตย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” น่าจะเป็นความคิดกระแสหลักในสังคมเราแทน

มันอาจจริงที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้มองว่าตนเองนับถือศาสนาพุทธ อันนี้ไม่มีใครเถียงด้วยได้และมันปรากฏให้เห็นชัด แต่ต่อจากนั้นก็คงมีการถกเถียงกันว่าศาสนาพุทธที่แต่ละคนนับถือมันเป็นแบบไหน ภาพความขัดแย้งในคณะสงฆ์เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายในศาสนาพุทธ และเป็นสิ่งที่เกิดจากผลประโยชน์และความขัดแย้งทางการเมือง

ถ้าพูดถึงการนับถือศาสนาพุทธในไทยแล้ว บางคนเข้าพิธีศาสนาบ่อย บางคนบวช บางคนอาจศรัทธาในศาสนาในลักษณะเงียบๆ ไม่เข้าพิธี ไม่เข้าวัด และบางคนอาจไม่เคยคิดถึงศาสนาเลย นอกจากนี้ก็จะมีคนที่ไม่นับถือศาสนาเลย ซึ่งในสังคมทันสมัยที่อิงวิทยาศาสตร์ เสรีภาพ และเหตุผล ย่อมมีมากขึ้นทุกที

การประกาศว่าศาสนาพุทธ “ต้อง” เป็นศาสนาประจำชาติ มันมีข้อบกพร่องเสียหายสองอย่างคือ

(1) มันเป็นการกีดกันพลเมืองที่มีความเชื่อในศาสนาอิสลาม คริสต์ ฮินดู หรือความคิดอื่นๆ ที่รวมไปถึงปรัชญาที่ปฏิเสธศาสนาด้วย มันสร้างพลเมืองสองระดับ คนที่อยู่ในกระแส กับคนที่อยู่นอกกระแส และมันจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับคนที่มีความเชื่อที่ไม่ใช่พุทธ เช่นในปาตานีเป็นต้น หรือจะนำไปสู่การช่วงชิงกันเพื่อนิยามศาสนาพุทธ “ที่ถูกต้อง” อีกด้วย

การพูดเรื่องศาสนาที่ “ถูกต้อง” เป็นการพูดโกหกตอแหล คาร์ล มาร์คซ์ เคยอธิบายว่าศาสนาบริสุทธ์ไม่มีจริง เพราะศาสนาขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำเขียนศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์บางคนเขียนขึ้นในอดีต

ทุกวันนี้เราเห็นคนอย่าง “กลุ่มพิทักษ์พุทธศาสนา” ที่เชียงใหม่ ที่ออกมาคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งเป็นการเหยียดเชื้อชาติและวัฒนธรรมของคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธ ในภาคเหนือกลุ่มชนชาวจีนที่นับถืออิสลามมีมานานจากสมัยที่มีเส้นทางค้าขายโบราณ แต่พวก “กลุ่มพิทักษ์พุทธศาสนา” พูดเหมือนเขาไม่ใช่พลเมืองของสังคมเรา ในที่สุดถ้าความคิดแบบนี้ขยายตัวก็จะเกิดขบวนการพระสงฆ์ที่นำอันธพาลไปฆ่าคนมุสลิมอย่างที่เราเห็นที่พม่า ดังนั้นเราต้องคัดค้าน

(2) การประกาศว่ารัฐธรรมนูญต้องระบุว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นการผูกศาสนาไว้กับรัฐ ในอดีตรัฐไทยภายใต้เผด็จการทหารพยายามจะคุมพระสงฆ์ด้วยการรวมศูนย์อำนาจ มันไม่ใช่เพื่อพัฒนาศาสนาแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ และรัฐไทยพยายามตลอดที่จะกำหนดว่าพุทธศาสนาที่ “ถูกต้อง”คืออะไร หรือใครบ้างที่จะมีสิทธิห่มผ้าเหลือง

ความแตกแยกในหมู่สงฆ์ที่เราเห็นตอนนี้ก็เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ทั้งสิ้น ในอดีตรัฐไทยพยายามที่จะประโคมว่าพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งในการเมือง แต่มันเป็นภาพหลอกลวง เพราะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ หรือก่อนหน้านั้นอีก พระสงฆ์กับการเมืองเกี่ยวข้องกันเสมอ รัฐไทยพยายามสร้างภาพว่าพระที่ “ดี” ต้องคล้อยตามผู้มีอำนาจ และในปัจจุบัน พุทธอิสระ พระฟาสซิสต์คนโปรดของประยุทธ์ ก็ดูเหมือนมีสิทธิพิเศษ

ผมไม่สนใจหรอก ถ้าพระสงฆ์จะตีกันและแย่งชิงอะไรกัน ถ้าไม่มีผลกระทบกับพลเมืองส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ต้องสารภาพว่าผมชอบเห็นพระสงฆ์เผชิญหน้ากับทหาร แต่นั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่ไม่คิดมาก

สำหรับนักประชาธิปไตย หรือนักสังคมนิยม ศาสนาควรจะเป็นเรื่องส่วนตัว แยกออกจากรัฐโดยสิ้นเชิง ใครจะศึกษาศรัทธาในแนวคิดแบบไหนก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าคนที่นับถืออะไรจะมารวมตัวกันตั้งสมาคมหรือองค์กรทางศาสนา เพื่อสร้างวัดหรือประกอบพิธี เขาก็ควรมีสิทธิ์ ไม่ต้องขออนุญาตจากรัฐ แต่ไม่ควรมีการบังคับสวดมนต์ในโรงเรียน และไม่ควรมีการระบุว่าพลเมืองนับถืออะไรในบัตรประจำตัวแต่อย่างใด

ธรรมกายหรือพุทธะอิสระ?

ใจ อึ๊งภากรณ์

คำตอบง่ายๆคือไม่เอาทั้งสองฝ่าย ทั้งธรรมกายและพระฟาสซิสต์พุทธะอิสระ เป็นพวกล้าหลัง งมงายในเรื่องไร้สาระ แสวงหาอำนาจและความร่ำรวย และเป็นอุปสรรค์ในการปลดแอกชีวิตพลเมืองไทย

แต่ใครอยากจะงมงายตามพวกนี้ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นเรื่องส่วนตัวถ้าไม่มีผลกระทบต่อชาวบ้าน เช่นการทำลายการเลือกตั้งหรืออะไรแบบนั้น และในกรณีแบบนั้นก็มีกฏหมายธรรมดาที่มาลงโทษอันธพาลได้ ถ้าสังคมไม่อยู่ในสภาพไร้ความยุติธรรมใต้กะลาของเผด็จการทหาร

นักมาร์คซิสต์มีประวัติอันยาวนาน ในการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนที่จะเลือกนับถือศาสนาที่หลากหลาย สำหรับเราศาสนาควรเป็นเรื่องส่วนตัว ต้องแยกออกจากรัฐ ไม่ควรมีกฏหมายใดๆ หรือรัฐธรรมนูญใดๆ มาบังคับกติกาของการนับถือศาสนา และไม่ควรมีการบังคับสอนศาสนา หรือบังคับสวดมนต์ในโรงเรียน สตรีควรมีสิทธิ์บวชเป็นพระโดยไม่ต้องขออนุญาติใคร ถ้าจะมี “วันพระ” ก็ไม่ควรเป็นเรื่องที่ใช้บังคับใคร วันสำคัญทางศาสนาของบางคน ก็ควรได้รับการเคารพเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นวันของศาสนาไหน ในบัตรประชาชนหรือเอกสารอื่นๆ ไม่ควรถามว่านับถือหรือไม่นับถือศาสนาไหน ในสังคมไม่ควรให้ผู้ที่อ้างศาสนามากำหนดศีลธรรมของประชาชน เช่นการเสนอห้ามทำแท้งเพื่อควบคุมร่างสตรีเป็นต้น

การมีองค์กรของศาสนาพุทธ ที่มากำหนดควบคุมศาสนา โดยเชื่อมกับอำนาจรัฐ ไม่เคยเป็นหลักประกันว่าศาสนาจะ “ดี” ทุกวันนี้เราก็เห็นพวกมารพวกโจรห่มผ้าเหลือง เช่นสุเทพมือเปื้อนเลือด หรือพระฟาสซิสต์ที่เรียกตัวเองว่าพุทธะอิสระ ในอดีตเราก็เห็นพระฟาสซิสต์กิตติวุฑโฒที่ยุให้คนฆ่านักศึกษาในช่วง ๖ ตุลา

เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นเรื่องที่ควรจะมีในสังคมประชาธิปไตย เสรีภาพในความศรัทธา และเสรีภาพในการแสดงออกก็เช่นกัน ดังนั้นเราต้องพิจารณารวมกับสิทธิเสรีภาพในการชื่นชมระบบสาธารณะ เสรีภาพในการเสนอให้ยกเลิกระบบกษัตริย์ และเสรีภาพในการวิจารณ์ผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ นายกรัฐมนตรี หรือผู้พิพากษาและศาล

สำหรับนักมาร์คซิสต์ การวิเคราะห์ศาสนาของเรามีความละเอียดอ่อนและแหลมคม คาร์ล มาร์คซ์ มองว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างศาสนาและสร้าง “พระเจ้า” พระพุทธรูป หรือ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ขึ้นมาเอง และมนุษย์เป็นคนลงมือเขียนคัมภีร์ด้วย สำหรับ มาร์คซ์ ธาตุแท้ของศาสนาคือวิธีการนำศาสนาไปปฏิบัติของคนจำนวนมาก ซึ่งมีลักษณะหลากหลาย โดยไม่ได้ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ใด เพราะทุกคัมภีร์มีการตีความที่แตกต่างกัน

แน่นอนศาสนากลายเป็นเครื่องมือสำคัญของชนชั้นปกครอง คำสอนของศาสนาถูกเปล่งออกมาจากปากผู้ปกครองที่พยายามสอนให้เราสยบยอมและเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันศาสนาอาจเป็นธงนำในการต่อสู้ของคนที่ถูกกดขี่

คนไทยจำนวนมากยังงมงายในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีการยกมือไหว้พระ ไหว้รูปปั้นพระพุทธรูปหรือเทวดาฮินดู ไหว้ต้นไม้ ไหว้รูปปั้นคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือสามัญชน นี่คือภาพที่สะท้อนว่าสังคมไทยแย่ เหลื่อมล้ำ และเต็มไปด้วยการกดขี่ขูดรีด และศาสนาพุทธจะเน้นว่าเราต้องแก้ปัญหาที่ตัวเราเอง แทนที่จะรวมตัวกันแก้ไขสังคมและโค่นล้มชนชั้นปกครอง

มาร์คซ์เคยเขียนว่า “ความทุกข์ของมนุษย์ที่มีรูปแบบออกมาทางศาสนาคือความทุกข์จริง ศาสนาคือการประท้วงต่อความทุกข์จริงในโลก คือการถอนหายใจของผู้ถูกกดขี่ คือหัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ คือวิญญาณในสภาพไร้วิญญาณ” แต่ มาร์คซ์ เขียนต่อว่า “ศาสนาคือฝิ่นของประชาชน” มันให้ความอบอุ่นจอมปลอมนั้นเอง

มาร์คซ์ อธิบายต่อว่า “การยกเลิกศาสนาที่สร้างความสุขจอมปลอม ต้องทำผ่านการต่อสู้เรียกร้องให้ทุกคนมีความสุขแท้จริงในชีวิต การเรียกร้องให้คนเลิกงมงายในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ต้องเป็นการเรียกร้องให้ยกเลิกสภาพสังคมที่ทำให้คนจำเป็นต้องงมงาย และการวิจารณ์ศาสนาต้องเป็นการวิจารณ์สังคมที่ทำให้มนุษย์น้ำตาคลอด้วยความทุกข์”

เมื่อเราสร้างโลกใหม่ในอนาคต มนุษย์จะเข้าถึงเนื้อแท้ของตนเอง และมีจิตสำนึกที่สะท้อนความจริงทางวิทยาศาสตร์ และในโลกนั้นศาสนาจะค่อยๆ จางหายไปท่ามกลางโลกที่มีหัวใจ วิญญาณ ศักดิ์ศรีและความอบอุ่น แต่สิ่งเหล่านั้นเกิดไม่ได้ถ้าเราไม่มีเสรีภาพ ดังนั้นเราต้องร่วมใจกันต่อต้านเผด็จการ

เผด็จการประยุทธ์กับพุทธศาสนา

ใจ อึ๊งภากรณ์

เผด็จการมือเปื้อนเลือดของประยุทธ์ลั่นว่าจะจัดระเบียบใหม่สำหรับพุทธศาสนา

ในประการแรกการที่ฆาตกรจะมาทำอะไรกับศาสนา ก็คงไม่ทำให้ดีขึ้นแน่นอน และเราก็ทราบดีว่าพระสงฆ์คนโปรดของประยุทธ์คืออันธพาลห่มเหลืองที่ชื่อพุทธะอิสระ พุทธะอิสระเป็นสมาชิกแก๊งขวาจัดที่ใช้ความรุนแรงบนท้องถนน เพื่อทำลายการเลือกตั้ง และเชิญทหารเข้ามาทำรัฐประหาร นี่คงจะเป็น “พระตัวอย่าง” ใน “วัดตัวอย่าง” ของแก๊งทหารที่ขโมยสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเราไป

“พระตัวอย่าง” อีกคนคงจะเป็นคนห่มผ้าเหลืองที่เรียกตัวเองว่า “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และออกมาเลียชม คสช. คงเป็นเพราะ คสช. ทำผิดศีล 5 หลายข้อมั้ง?

แน่นอน คสช. คงไม่เสนอว่าพระเสื้อแดงเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งๆ ที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนและสิทธิเสรีภาพ

แล้วเรื่องความวิปริตทางเพศละ?

ผมไม่ใช่คนที่นับถือศาสนาแต่อย่างใด แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมสตรีเป็นพระไม่ได้ และไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ธรรมดาๆ ภายใต้ความรัก อย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ หลายศาสนาเขาให้พระแต่งงาน แต่พวกคริสต์แคทอลิคกับไทยพุทธ เขาไม่ให้ พวกนักบวชสองศาสนานี้หลายคนก็เลยกลายเป็นพวกวิปริตทางเพศไป

ส่วนเรื่องการสะสมเงินทอง ก็ให้ประชาชนตรวจสอบเอง เพื่อเลือกว่าจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธาใคร อันนี้เป็นมาตรฐานที่ต้องใช้กับนักการเมืองและทหารเผด็จการด้วย โดยเฉพาะคนที่ครองหลายตำแหน่งพร้อมกัน

ในสังคมไทยผมแนะให้มีการแยกระหว่าง “นักบวช” หรือคนที่บวชเป็นพระ กับ “ครูสอนศาสนา” เพราะการบวชเป็นพระในรูปธรรม ก็ทำไปเพื่อตนเองหรือพ่อแม่ เพื่อแสวงหาอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม แถมยังให้สังคมเลี้ยงอีก และคนที่ไปบวชหลายคนก็เป็นคนชั่วซึ่งไม่ได้กลับตัวแต่อย่างใด ตัวอย่างอันดับหนึ่งคือสุเทพ ดังนั้นจะไปกราบไหว้บูชาคนที่ห่มผ้าเหลืองเพื่อตนเองทำไม? ก็ปล่อยให้เขาทำของเขาไป เหมือนคนที่ชอบตกปลาหรือฟังเพลง ก็ไม่มีใครไปไหว้

ส่วนครูสอนศาสนาควรเป็นคนที่อยากศึกษาปรัชญาแล้วนำมาถ่ายทอดให้คนอื่น พวกนี้มีเจตนาทำเพื่อสังคม เราจะเห็นด้วยกับปรัชญาของเขาหรือไม่นั้นก็อีกอย่าง และใครศรัทธาไปไหว้ก็ไปไหว้ไปฟังได้อย่างอิสระ

และท้ายสุดศาสนากับรัฐควรแยกกันโดยสิ้นเชิง ใครจะนับถือหรือไม่นับถืออะไรก็ให้เป็นเรื่องส่วนตัว